Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว ค่ายทหารมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี

Sunday, December 26, 2010


สบายดีทหารเกณท์...กับความรัก
ลูกคนโตของครูได้ทำหน้าที่เข้าไปรับใช้ชาติ...สมัครเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์ อยู่ที่มณฑลทหารบกที่ 24 จังหวัดอุดรธานี หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ แล้วไปรับใช้พระศาสนา บวชเข้าพรรษาอยู่ที่วัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม) อ.บ้านผือ จ. อุดรธานี ก็ถือว่าทำหน้าที่พื้นฐานของลูกผู้ชายไทยแล้วละค่ะ

รักในหน้าที่ รักประเทศชาติ มั่นคงในศาสนา รักครอบครัว รักคนรู้ใจ...ทั้งหมดนี่กว่าจะได้มามันก็มีความทุกข์และความสุขเจือปนอยู่ตลอดไม่ว่าทำหน้าที่อันใด ยืนอยู่ตรงไหน...ความอ้างว้าง ว้าเหว่มักจะเข้ามาครอบคลุม ตอนบวชก็ต้องอยู่ในป่าบนภูอันวิเวก...มองเห็นไฟลิบๆห่างออกไป ใจก็ย่อมสะท้าน แล้วจะทำอย่างไรกับความเหงานั้น กับความทุกข์ที่ถั่งโถมเข้ามา...พระอาจารย์ไพบูลย์ อภิปุณโณ แห่งวัดดอนหายโศกเทศน์ผ่านวิทยุในตอนเช้าวันคริสต์มาสอีฟบอกว่า ให้อยู่กับลมหายใจ อย่าก้าวลงไปในความทุกข์ ซึ่งครูกำลังจะปรับปรุงมาสอนเด็กๆว่า ให้ต่อสู้กับแรงดึงดูดของ “หลุมดำแห่งความทุกข์” ถ้าทำอย่างนี้ได้ ความทุกข์ก็จะหายไปทันที มีสติอยู่กับปัจจุบัน อย่าตกเป็นเหยื่อของความคิด อย่าเผลอ เผลอเมื่อไหร่มันก็จะดูดเข้าไปลงหลุมดำแห่งความทุกข์ทันที

ทีนี้มาถึงเรื่องใหญ่ของทหารเกณฑ์ละค่ะ เรื่องรักคนรู้ใจ...รู้สึกทุกข์มากเมื่อไม่ได้เห็นหน้า...อันนี้เข้าใจดีค่ะ และจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์นี้ที่จะไม่ต้องทุรนทุราย มีทุกปีที่ทหารหนีออกจากหน่วย เคยถามอยู่เหมือนกันว่าหนีทำไม ส่วนมากบอกว่าคิดถึงแฟน คิดถึงลูก...แล้วก็หนีออกมา นั่นคือทิ้งอนาคตเลยนะคะ กว่าคดีจะหมดอายุความนี่ต้องเข้าไปลำบากอยู่ในป่าดงกันเลย จึงมาถึงจุดที่ต้องให้คิด ว่าเมื่อมีความรักแล้วเป็นอย่างไร อยากให้ไปฟัง “ถามหาความรัก” ของภูสมิง หน่อสวรรค์ ที่ร้องเพลงรักเศร้าๆนี้ใว้ค่ะ...

เดียวดายเหมือนนกไร้รัง
สิ้นหวังร้าวโรยแรงเหนื่อยอ่อน
ร่ำไห้ดังใจจะขาดรอน
ทอดถอน สะอื้นกล้ำกลืนฝืนทน
**อ้างว้างดั่งหลงทางอยู่กลางทะเล
หว้าเหว่ดังโลกไร้ผู้คน
มองฟ้าซ่อนน้ำตาหมองหม่น
อาภัพอับจน สิ้นไร้หนทาง
ความรัก ความรักอยู่ไหน
อยู่แห่งใด ใครรู้บ้าง
ถามหาน้ำตาไหลหลั่ง
อ้างว้างไร้คนเข้าใจ
(ซ้ำ **)
ถามหาน้ำตาไหลหลั่ง
อ้างว้างไร้คนเข้าใจ

รู้สึกเศร้าๆนะคะ อย่าตกใจค่ะ หายใจเข้าไว้...หายใจเข้า...รู้สึกตัว หายใจออก...รู้สึกตัว เห็นมั๊ย...ความทุกข์ก็หายไป

รอบรั้ว พุทธศาสนา เซ็น 2010 จากสวนโมกข์สู่หมู่บ้านพลัม

Thursday, October 28, 2010



ครูได้ดูรายการสารคดีนี้จากทีวีของช่องเนชั่น ที่คุณสุทธิชัย หยุ่น เป็นคนดำเนินรายการ และสามารถดูผ่านอินเทอร์เนทได้จากยูทูบซึ่งมีหลายตอน คำสอนของท่าน ติช นัท ฮันห์ หลายตอนได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงไปของโลก ที่ก้าวไปข้างหน้าแล้ว ความทุกข์ของคนก็เปลี่ยน จากที่คนร่วมสมัยของพระพุทธเจ้ามีความทุกข์เมื่อสองพันกว่าปีโน้น กับสมัยนี้ ความทุกข์ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ความทุกข์ของคนยังคงอยู่ แต่ทุกข์ที่มาหานั้นเปลี่ยนหน้าตาไป วิธีแก้ยังใช้เหมือนเดิม มรรคมีองค์ 8 วิธีการที่จะพูดให้คนปลดทุกข์ให้ได้นั้นนั้น ก็ต้องปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตปัจจุบัน ปรับให้เข้ากับโลกปัจจุบันให้ได้ ซึ่งก็จะดึงคนร่วมสมัยเข้ามาหาพุทธได้ ซึ่งก็จะเห็นว่า ในหมู่บ้านพลัมของท่านที่ฝรั่งเศส มีคนหนุ่มสาว วัยรุ่นจากทั่วโลก ต้องย้ำนะคะว่ามาจากทั่วโลกทีเดียว การสอนก็ไม่เคร่ง มักจะได้ยินเสียงหัวเราะจากผู้มาปฎิบัติธรรมเป็นระยะๆ ท่านมีคำสอนที่ฟังง่ายๆ คำสอนที่ยากก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย บทสวดมนต์เหมือนกับการร้องเพลง เป็นอีกอย่างที่ท่านเปลี่ยน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ชาวตะวันตกเข้าใจธรรมะ แต่ทุกอย่างยังคงไว้ซึ่งแก่นธรรม เพียงแต่กลับมาอยู่กับลมหายใจและสติเท่านั้น ภาษาที่ใช้ก็ได้รับการแปล เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจ ไม่ว่าภาษาฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน แม้แต่เวียดนามซึ่งเมื่อก่อนใช้ภาษาจีนโบราณก็ได้รับการแปลให้เป็นภาษาเวียดนาม เมื่อร้องเพลงสวดมนต์ได้อย่างง่ายๆ เวลาฟังเทศน์คำสอนก็สามารถเข้าใจได้ง่ายยิ่ง ทุกอย่างท่านทำเพื่อคนสมัยใหม่

ในเรื่องอนัตตาที่ครูชอบมากคือคำเปรียบเทียบตอนที่มือซ้ายโดนค้อนทุบ...คำสอนของท่านตอนนี้เข้ากับสภาพบ้านเมืองเราตอนนี้มาก คือความสามัคคี...แบ่งพรรค แบ่งฝ่าย แบ่งเสื้อสีต่างๆ...คนไทยไม่เป็นเนื้อเดียวกัน ท่านติช นัท ฮันห์บอกว่า ทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ยกตัวอย่างมือซ้ายและมือขวา มือข้างซ้ายเราเองเป็นคนตั้งชื่อว่ามีข้างซ้าย มือขวา เราตั้งชื่อว่ามือขวา ทั้งสองข้างมี 5 นิ้วเท่ากัน แต่ความสามารถไม่เท่ากัน มือทั้งสองข้างก็ไม่เคยบ่นว่ามือข้างไหนเก่งกว่า ทำงานมากกว่า ซึ่งคนที่ถนัดขวาจะเห็นว่า มือขวานั่นทำงานหนักกว่ามือข้างซ้าย ทำงานหนัก เขียนหนังสือ วาดรูป ทำสารพัด มือด้านซ้ายได้แต่แกว่งไปแกว่งมา มีอยู่มาวันหนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านต้องแขวนรูป มือซ้ายท่านก็ต้องจับตะปู มือขวาถือค้อน แต่เพราะท่านไม่ได้ตั้งสติให้ดี ตีค้อนพลาดไปโดนนิ้วซ้าย...เจ็บค่ะ...มือด้านซ้ายเจ็บ ทำให้มือด้านขวารีบวางค้อนลง แล้วมาประคองมือด้านซ้าย...ไม่ได้พูดอะไร...มือด้านซ้ายก็ไม่ได้บ่นว่า...หรือบอกว่าลองให้ฉันตีคืนสักครั้ง มือทั้งสองข้างนั้นเข้าใจกัน ว่าเป็นมือเช่นเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน...ทำให้เข้าใจเรื่องอนัตตาขึ้นมาแบบง่ายๆ ฝรั่งที่ฟังอยู่นั่นครางฮือ..แล้วก็หัวเราะกัน เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง แบบไม่ต้องมานั่งฟังคำอธิบายที่เข้าใจยากอะไรเลย...แม้กระทั่งการอธิบายกระดาษแผ่นหนึ่ง ท่านก็โยงไปว่านั่นคือต้นไม้ ทุกอย่างไม่มีจุดเริ่ม เป็นวัฎสงสาร...สารคดีชุดนี้หาดูได้จากอินเทอร์เนทค่ะ มีอยู่หลายตอน ครูอยากให้ลูกๆได้ดู ได้ฟังเป็นการฝึกภาษาอังกฤษไปด้วย มีคำแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าจะแปลพลาด เพราะคุณสุทธิชัย หยุ่นนั่นถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านภาษาอยู่แล้วค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 7:20 AM

รอบรั้ว ดูหนังฟังเพลง A few good men

Wednesday, October 27, 2010


ครูได้ดูหนังเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อคืนเขาเอามาฉายอีกครั้ง เลยได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆในหนัง แล้วก็เอามาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์บ้านเรา ในเรื่องจุดเด่นของหนัง มีอยู่คำเดียว คือ เกียรติยศของทหาร หรือความภาคภูมิใจในการเป็นทหาร จุดหักมุมก็คือ การจากไปอย่างไร้เกียรติเมื่อได้ทำผิด ไม่ว่าจะเป็นทหารยศชั้นไหน
A few good men มักใช้ในใบปิดประกาศรับสมัครทหารของนาวิกโยธิน ซึ่งต้องการคนเก่งซึ่งมีอยู่ในจำนวนน้อย การฝึกนั้นเท่าที่ดูจากหนังหลายเรื่อง ค่อนข้างจะหนักไปทางหนักมาก การที่จะได้เข้าไปอยู่ในหน่วยนี้ได้จึงเป็นความภาคภูมิใจอยู่นิดๆ ในบ้านเราเคยมี นาวิกโยธินอเมริกัน หน่วย MAG 15 (Marine Aircraft Group 15) ซึ่งย้ายฐานปฏิบัติจากเวียดนามเข้ามาอยู่ครั้งหนึ่ง ที่น้ำพอง ขอนแก่น เพื่อรบเข้าไปในลาวและเขมรด้วย แต่ก็อาศัยความช่วยเหลือในด้านต่างๆจากหน่วยทหารอเมริกันอื่นๆจากอุดรธานี พ่อบ้านเล่าให้ฟังว่า การเป็นอยู่เต็มไปด้วยความยากลำบาก อาศัยอยู่ในเต๊นท์ ต้องระวังงูกันตลอดเวลา เพราะค่ายอยู่ในป่า ในสมัยนั้นยังเป็นสนามบินลับๆ เหล่านาวิกเรียกค่ายนี้ว่า Rose garden ซึ่งเอามาจากชื่อเพลงของดอลลี่ พาร์ตัน ที่มาร้องเพลงปลอบขวัญให้กำลังใจทหารอยู่เนืองๆ เท่าที่สังเกตุดูพฤติกรรม นาวิกโยธินดูจะมีระเบียบวินัยมากกว่าทหารบกหรือทหารอากาศ ที่มีความเป็นอยู่จะสะดวกสบาย ออกคำสั่งอะไรออกไปก็ได้ตามนั้น ดูจะไม่มีข้อแม้อะไรเลย เล่าให้ฟังเป็นการปูพื้นถึงระเบียบวินัยที่ได้รับฟังมา

ทีนี้มาเรื่องในหนัง เป็นเรื่องของทหารที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ ทำให้ผู้บังคับบัญชามักจะไม่พอใจ และนำมาซึ่งการลงโทษสั่งสอน ที่ไม่มีในกฏหรือวินัยของนาวิกโยธิน ที่เรียกกันว่า Code red ซึ่งมีทหาร 2 นาย รับหน้าที่ไปปฎิบัติ แต่โชคร้าย ทำให้ทหารที่ถูกทำโทษเสียชีวิต ในการสืบสวนสอบสวนหาคนทำผิด ก็มีนายทหารฝ่ายธรรมนูญเข้ามาเป็นทนายให้ ซึ่งครั้งแรกก็ต้องการให้ทหารสองนายนั่นรับผิด โทษจะได้ลดน้อยลง จำคุกแค่ 6 เดือน แต่ทหาร 2 นายนั่นไม่ยอม ถือว่า ได้รับคำสั่งให้ปฎิบัติที่เขาต้องทำตาม เขาปฎิบัติตามหน้าที่ จะผิดได้อย่างไร เรื่องชักจะเข้าเค้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ที่ไม่ว่าตำรวจหรือทหาร ที่เข้าไปทำหน้าที่ดูแลผู้ชุมนุม ที่จากคลิปในทีวีเราจะเห็นการทำร้าย การยิง การลอบยิง หรือใช้ระเบิดกัน บางทีเราเห็นผู้ชุมนุมล้มลงนอนแล้ว ตำรวจผ่านไปเตะเสยคางให้เห็น สมัยก่อนๆมีการกระทืบ ทุบด้วยด้านปืนในโรงแรมก็มี อย่างนี้ตำรวจ-ทหารเหล่านั้นผิดหรือเปล่า มีคำตอบค่ะจากหนังเรื่องนี้


เนื้อเรื่องในหนังนอกจากจะตั้งใจให้เห็นเกียรติยศของทหารแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการปฎิบัติหน้าที่ของสองฝ่าย คือผู้บังคับบัญชาค่ายทหาร ที่ต้องการทำหน้าที่ของตัว เพื่อความปลอดภัยของชาติ โดยจะทำทุกอย่างที่ไม่มีใครสามารถจะหยุดการกระทำได้ อีกฝ่ายหนึ่งคือทนายของทหารที่เสียชีวิต ทำหน้าที่ทุกวิถีทางที่จะเอาความจริงออกมาให้ได้ ผลสุดท้ายความจริงก็ออกมา นายทหารผู้บัญชาการมีความผิด ที่ออกคำสั่ง ทหารสองนายที่รับคำสั่งให้ไปปฎิบัติหน้าที่ลงโทษ ก็มีความผิดไปด้วย...แต่...ไม่ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมด ฐานฆาตกรรม เพราะทำตามคำสั่ง ไม่ผิด..ฐานร่วมมือกันฆาตกรรม....ไม่ผิด แต่ในพฤติกรรม ความเหมาะสม ที่ตัวเองเป็นทหารนาวิกโยธิน การทั้งหมดที่ได้กระทำลงไปนั้น...มีความผิด เกียรติของทหารต้องไม่ใช่ทำร้ายผู้คน คำพูดในตอนท้ายของหนังแสดงถึงหน้าที่ของตัวเองที่ต้องมีเกียรติถึงการกระทำ ไม่ว่าของทนายที่ต้องเอาความจริงออกมา และเกียรติของทหารที่ต้องป้องกันชาติ เป็นรั้วของชาติ และที่ต้องไม่ลืมก็คือ ไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ค่ะ

รอบรั้ว เรื่องเล่า เขื่อนของกุ่นและต้าอวี่

Tuesday, October 19, 2010


ช่วงนี้บ้านเราน้ำกำลังไหลหลากท่วมบ้านเรือนไปทั่ว ก็เกิดจากฝนที่ตกลงมาหนักเป็นเวลาต่อๆกันหลายวัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ น้ำในเขื่อนพร่องจนเกือบแห้ง จนต้องห้ามชาวบ้านปลูกข้าวก่อนกำหนด เพราะกลัวว่าน้ำจะมีไม่พอ แต่พอถึงหน้าฝน กลายเป็นว่ามาจนล้นเขื่อน เรื่องนี้ครูมีนิทานจากจีนมาให้อ่าน ซึ่งที่จริงก็แฝงเอาไว้กับประวัติศาสตร์จีน ถ้าอ่านในแนวประวัติศาสตร์เรื่องก็จะออกมาในเรื่องคนที่เก่งในเรื่องชลประทาน แต่เพื่อไม่ให้เรื่องนี้หายไป เขาจึงเล่าในแนวนิทาน ซึ่งก็ต้องแอบเอาของวิเศษเข้าไปช่วยในการแต่งเรื่องให้คนติดตาม หรือเด็กๆได้ตาโตตอนฟังนิทาน เรื่องมีอยู่ว่า

ในประเทศจีน เรื่องราวเกี่ยวกับ “อวี่”แก้ปัญหาอุทกภัยเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่ท่านทราบไหมว่า “กุ่น” ผู้เป็นบิดาของ“อวี่”ก็เป็นวีรบุรุษอีกคนหนึ่งที่สร้างคุณงามความดี ในการแก้ปัญหาอุทกภัยเช่นกันค่ะ
ในสมัยดึกดำบรรพ์ของจีน เกิดภัยน้ำป่าไหลหลาก ต่อเนื่องกันถึง 22 ปี พื้นพิภพและพืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ จมน้ำหมด ชาวบ้านพลัดที่นาคาที่อยู่ อีกทั้งยังถูกคุกคามจากสัตว์ร้ายด้วย จำนวนประชากรจึงลดลงอย่างรวดเร็ว “เหยา”ผู้เป็นกษัตริย์ทรงห่วงใยทุกข์สุขของประชาชน จึงเรียกหัวหน้าเผ่าชนต่าง ๆ มาประชุม เพื่อหาผู้สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม ในที่สุด “กุ่น”ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ทำหน้าที่นี้ “กุ่น” รับคำสั่งนี้ไว้ ต่อหน้าอุทกภัยที่ร้ายแรง เขาขบคิดตั้งนาน จึงนึกถึงสุภาษิตจีนประโยคที่ว่า “พลทหารมานายพลต้าน น้ำไหลมาดินกั้น” จากประโยคนี้ เขาได้แนวความคิดที่ดีคือ สร้างทำนบล้อมรอบหมู่บ้าน ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้น้ำท่วม หมู่บ้านได้ แต่ว่า ที่ไหนก็มีแต่น้ำป่าไหลหลาก จะไปหาก้อนหินและดินที่ใดมาสร้างทำนบได้เล่า ขณะที่“กุ่น” กำลังกลุ้มใจอยู่นั้น มีเต่าวิเศษตัวหนึ่งคลานขึ้นมาจากน้ำและบอกว่า “บนสวรรค์มีสิ่ง วิเศษชนิดหนึ่งเรียกว่า ซีหรั่ง ถ้าเธอได้ซีหรั่งแล้ว โปรยไปสู่พื้นพิภพ ซีหรั่งก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเนินสูงและตั้งเป็นเขื่อนกั้นน้ำ ” “กุ่น”ฟังแล้วดีใจมาก จึงลาเต่าวิเศษตัวนั้น เดินทางไปภาคตะวันตกที่ไกลแสนไกล

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานานวัน “กุ่น” จึงไปถึงภูเขาคุนหลุนที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกและพบเทพเจ้า เขาอ้อนวอนขอเทพเจ้าประทานซีหรั่งให้ เพื่อนำไปต้านภัยน้ำหลาก ช่วยชีวิตของชาวบ้าน แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ “กุ่น”ห่วงใยทุกข์สุขของชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนจากอุทกภัย จึงถือโอกาสที่องครักษ์ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ ไปขโมยสิ่งวิเศษที่เรียกว่า “ซีหรั่ง” จนสำเร็จ เมื่อ “กุ่น” กลับถึงประเทศตนที่อยู่ทางตะวันออก ก็รีบนำซีหรั่งโปรยในน้ำ อย่างที่เต่าวิเศษตัวนั้นพูด พอโปรยซีหรั่งในน้ำ ซีหรั่งก็เติบโตขึ้นรวดเร็ว น้ำขึ้น1เมตร ซีหรั่งก็โตขึ้น 1 เมตร น้ำขึ้น 10 เมตร ซีหรั่งก็ขึ้น 10 เมตร ไม่นาน น้ำก็ถูกกั้นอยู่นอกเขื่อน ชาวบ้านที่พ้นจากอุทกภัยดีใจมาก ทุกคนรีบทำไร่ไถนา เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยน้ำท่วม

เทพเจ้าทรงทราบเรื่องที่ “กุ่น” ขโมยซีหรั่งไป จึงมีโองการให้ทหารสวรรค์ไปเอาซีหรั่งกลับคืนมา เมื่อซีหรั่งถูกนำไปจากพื้นพิภพแล้ว น้ำป่าไหลหลากจึงทำลายเขื่อน น้ำท่วมไร่นา ชาวบ้านเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก กษัตริย์เหยาทรงกริ้วมาก พระองค์ตรัสว่า “กุ่นรู้จักแต่สร้างทำนบกั้นน้ำอย่างเดียว เจ้าไม่รู้ว่า ถ้าทำนบพังลงแล้ว จะสร้างภัยที่ร้ายแรงกว่า ไปแก้ปัญหาอุทกภัย 9 ปีก็ยังไม่สำเร็จ น่าจะลงโทษประหารชีวิต” กษัตริย์ “เหยา” โปรดให้ขัง “กุ่น” ที่เขาอวี่ซันสามปีและประหารชีวิตเสีย ก่อนถูกลงโทษ กุ่นก็ยังคิดถึงชาวบ้านที่เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม

อีก20ปีต่อมา กษัตริย์เหยาได้โอนราชบัลลังก์ให้ “ซุ่น” กษัตริย์“ซุ่น”ให้“ต้าอวี่”บุตรของกุ่นไปแก้ปัญหาอุทกภัยต่อ เทพเจ้าก็ ประทานซีหรั่งให้ต้าอวี่ ตอนแรก ต้าอวี่ก็ใช้วิธีสร้างทำนบกั้นน้ำเช่นเดียวกับบิดา แต่เมื่อทำนบ สร้างเสร็จแล้ว น้ำที่ถูกกั้นไว้กลับรุนแรงกว่า ทำนบมักจะถูกซัดกระหน่ำจนพังลงมา ทดลองมาหลายครั้ง ต้าอวี่จึงได้รู้ว่า “การแก้ปัญหาอุทกภัย วิธีกั้นอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องควบคู่กับวิธีการระบายน้ำด้วย” ต้าอวี่จึงให้เต่าวิเศษตัวหนึ่งขนซีหรั่ง ตามเขาไป ไปถึงพื้นที่ต่ำ ก็ใช้อิทธิฤทธิ์ของซีหรั่งทำให้ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเป็นเนินสูง พร้อมกันนี้ เขาอาศัยการนำร่อง ของมังกรวิเศษตัวหนึ่ง นำชาวบ้านไปขุดคลองระบายน้ำให้ไหลลงสู่ทะเล

เล่ากันว่า ต้าอวี่ใช้อิทธิฤทธิ์ของตนผ่าภูเขา หลงเหมินเป็นสองส่วน ให้น้ำในแม่น้ำเหลืองไหลจากหน้าผา ไปสู่ข้างล่าง กลายเป็นช่องแคบหลงเหมิน ต้าอวี่ยังผ่าภูเขาที่อยู่ระหว่างทางระบายน้ำให้เป็นหลายส่วน น้ำจึงไหล เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปสู่ทะเลตุงไห่ ทั้งนี้ก็เป็นที่มาของช่องแคบ “ซานเหมิน” นานแสนนานมาแล้ว ช่องแคบหลงเหมินกับช่องแคบซานเหมินล้วนเป็นสถานที่ ที่ขึ้นชื่อลือชาเพราะ น้ำไหลเชี่ยวและมีทัศนียภาพสวยงาม

เรื่องราวเกี่ยวกับต้าอวี่แก้ปัญหาอุทกภัยยังมีมากมายหลายเรื่อง เล่ากันว่า ต้าอวี่แต่งงานได้เพียง 4 วันก็รับคำสั่งไปแก้ปัญหาน้ำท่วม ในช่วงเวลา 13 ปี เขาผ่านหน้าบ้านสามครั้ง แต่ไม่เคยเข้าบ้านเลย ครั้งหนึ่ง ขณะที่เขาผ่านหน้าบ้านนั้น ภรรยาเขาได้คลอด ลูกชายชื่อ ”ฉี่” พอดี แม้ต้าอวี่ได้ยินเสียงร้องไห้ของทารกแล้ว แต่ก็อดกลั้นใจไว้ไม่แวะเข้าบ้านของตนเขาอดทนต่อความยากลำบากและความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นเวลานาน ต้าอวี่จึงประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาอุทกภัย แม่น้ำ สายใหญ่มีทางระบายน้ำ ลำธารสายน้อยสายใหญ่บรรจบกันไหล ไปสู่ทะเล ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เพื่อขอบคุณต้าอวี่ ประชาชนจึงเคารพนับถือต้าอวี่เสมือนหนึ่งกษัตริย์ กษัตริย์ซุ่นก็ทรงยกราชบัลลังก์ให้ต้าอวี่ เนื่องจากเขาได้สร้างคุณ งามความดีในการพิชิตอุทกภัย

ในสังคมสมัยดึกดำบรรพ์ที่กำลังการผลิตค่อนข้างต่ำ ประชาชนร่วมแรงร่วมใจต่อสู้กับน้ำป่าไหลหลาก เทพนิยายก็แสดง ให้เห็นความปรารถนาที่จะพิชิตภัยธรรมชาติของประชาชน “กุ่น”กับ “ต้าอวี่”จึงเป็นวีรบรุษตัวแทนที่แสดงถึงความปรารถนา ของประชาชน ในเทพนิยายดังกล่าวนี้ ประสบการณ์และอุปสรรคต่าง ๆ ในกระบวนการแก้ปัญหาอุทกภัยของ “กุ่น”และ“ต้าอวี่”ก็เป็นประสบการณ์ในการต่อสู้กับภัยน้ำท่วมของตน ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ บรรพบรุษของเราอาศัยภูมิปัญญา และประสบการณ์ของตน สรุปวิธีการจัดการปัญหาอุทกภัยคือ ต้องสร้างทำนบกั้นและขุดคลองระบายน้ำ เทพนิยายเกี่ยวกับ การแก้น้ำท่วมของ “กุ่น”และ “ต้าอวี่”ก็เล่าขานกันมาจนบัดนี้

ภาพ//wikipedia.org
เรื่อง//CRI/ChinaABC

รอบรั้ว บ้านที่ต้องซ่อมแซมและพัฒนา

Wednesday, October 13, 2010

ครูได้ดูหนังเพราะเกิดไปเจอเข้าโดยบังเอิญหลายๆครั้ง จบแล้วก็แล้วไปเป็นส่วนมาก แต่บางเรื่องต้องจำเอาไว้ วันหลังถ้ากลับมาฉายอีกก็จะได้ตั้งใจดู วันนี้มีหนัง 2 เรื่อง ที่ครูดูแล้วแม้จะไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ ก็พอจะมีเรื่องราวให้เอามาคิดได้ เรื่องที่ได้ดูคือ Invictus ที่ดำเนินเรื่องในประเทศอัฟริกาใต้ อีกเรื่องคือ The perfect catch (Fever pitch) เป็นหนังรัก- ตลกของอเมริกัน ทั้งสองเรื่อง เนื้อหาก็ไม่มีอะไรสำคัญมาก หากแต่ว่าเบื้องหลังบางอย่างในเรื่อง ที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนั่นที่สำคัญกว่า

ในเรื่อง Invictus อินวิคตัส ไร้เทียมทาน ชื่อในภาษาไทย เรื่องจะพูดถึงการแข่งรักบี้ซึ่งอัฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพในปี 1995 ในขณะนั้นยังมีการเหยียดผิวอย่างรุนแรงอยู่ แมนเดลลาเอง อยากให้คนในประเทศลืมเรื่องในอดีตกันให้หมด แล้วก็ร่วมกันสร้างประเทศให้เจริญต่อไป เขาจึงสนับสนุน ให้กำลังใจทีมรักบี้ของอัฟริกาใต้ ผู้เล่นส่วนมากเป็นคนผิวขาว ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจอะไรนัก การให้กำลังใจนั้น เป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับทีมตรงข้าม ซึ่งทีมที่สำคัญคือทีม All blacks จากนิวซีแลนด์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งการที่จะปรองดองให้คนอัฟริกาใต้ซึ่งเป็นคนผิวดำส่วนมากเลิกเกลียดชังคนผิวขาว ที่ทำให้เห็นในหนังก็คือ ส่งทีมรักบี้ไปสอนเด็กนักเรียนให้เล่นกีฬานี้ เหมือนกับยื่นมือคนผิวขาวให้คนดำจับมือเอาไว้ กีฬาเป็นเครื่องประสานใจของคนในชาติ เพราะนักกีฬาต้องสู้ให้กับประเทศที่เป็นของทุกคน ไม่ว่าผิวดำหรือขาว ที่สำคัญการให้กำลังใจกับทีมรักบี้ของเมนเดลาก็คือเล่าเรื่องที่ตัวเองติดคุกอยู่ 27 ปี.....อะไร....เป็นแรงขับ อะไร...เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอดทนยืนรอคอยได้ถึงขนาดนั้น เขากล่าวถึงบทกวีชิ้นหนึ่งของชาวอังกฤษที่เขียนโดย William Ernest Henley บทกวีชิ้นนั้นคือ Invictus ซึ่งอันที่จริงน่าจะแปลตามความรู้สึกว่า ไม่ยอมแพ้เสียมากกว่า เพราะเป็นแรงขับเคลื่อนของจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ เป็นบทกวีที่ทำให้แมนเดลลาฮึดสู้

Invictus

Out of the night that covers me,
Black as the pit from pole to pole,
I thank whatever gods may be
For my unconquerable soul.

In the fell clutch of circumstance
I have not winced nor cried aloud.
Under the bludgeonings of chance
My head is bloody, but unbowed.

Beyond this place of wrath and tears
Looms but the Horror of the shade,
And yet the menace of the years
Finds and shall find me unafraid.

It matters not how strait the gate,
How charged with punishments the scroll,
I am the master of my fate:
I am the captain of my soul.

หนังจบลงด้วยดี จะเห็นคนทั้งประเทศดีใจ ไชโยโห่ร้องไปทั่วประเทศเมื่อเห็นทีมของตัวเองชนะ หนังเรื่องนี้สอนเราให้ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ คือความปรองดองของคนในประเทศ การแข่งขันรักบี้ แต่ท้ายสุด ความปรองดองของคนในชาติก็มีให้เห็น ทีมรักบี้ก็คว้าถ้วยชนะเลิศไปครองได้...อยากให้ไปดูนะคะ แล้วเอามาคิด การปรองดองของคนในชาติ คนไทยเราไม่น่าจะรุนแรงเหมือนกับประเทศอัฟริกาใต้ นั่นมันคนละเผ่าพันธุ์ คนของเรานี่เชื้อชาติเดียวกัน ภาษาเดียวกัน ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย คิดให้ได้...ว่าแตกแยกกันเพราะอะไร...ขอแค่คิดอย่างเดียว...ตั้งสติให้ดี อย่าเชื่อใครง่ายๆ ยิ่งนักปลุกระดมแล้ว...ต้องตั้งคำถามในใจของตัวเองให้มาก...กาลามสูตร เรื่องอย่าเพิ่งเชื่อ...ต้องเอามาประกบกับคำที่เข้าหูทุกครั้ง...พวกนี้เก่งเกินคนธรรมดาอยู่แล้วในการโน้มน้าวใจ…

อีกเรื่องหนึ่งคือ The perfect catch เป็นเรื่องของคนที่ชื่นชอบกีฬาที่เป็นทีมของตัวเอง ถ้าจะเทียบกับกีฬาบ้านเราก็คือ ฟุตบอล ที่เรามีสโมสรของจังหวัดทั่วประเทศ อย่างอุดรธานีก็มีทีมของเราอยู่ คืออุดรธานี เอฟซี (ยักษ์แสด) เมื่อก่อนชื่อ อุดรไจแอนท์เสียด้วย ครูเคยเขียนไปครั้งหนึ่งแล้ว เพราะไม่เห็นด้วยที่จะตั้งชื่อไจแอนท์ หรือแม้แต่ยักษ์แสดก็เถอะ เพราะท้าวเวสสุวรรณท่านไม่ใช่เป็นยักษ์ธรรมดา ท่านเป็นท้าวจตุโลกบาล เป็นผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ คนจีนนับถือท่านเป็นไฉ่ซิ่งเอี้ย เป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวยทีเดียว แล้วเรามาเรียกท่านว่ายักษ์แสดเสียเฉยๆ ครูเคยคิดว่าจะเดินไปบอกสักวัน ขอเสนอว่าให้เปลี่ยนเป็นทีม The Guardian แทน ความคิดเห็นก็คือคงอยากจะตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษกัน เพราะดูทีมไหนๆก็เอาแต่ภาษาอังกฤษกันหมด ครูก็คิดว่า ผู้คุ้มครองที่ตรงกับภาษาอังกกฤษก็คือ The guardian ตรงตัวเลย นอกเรื่องไปเยอะแล้ว กลับไปที่หนังเรื่อง The perfect catch กันต่อ เรื่องนี้ กีฬาเป็นชีวิตจิตใจของคนอเมริกันอย่างที่เรานึกไม่ถึง เมืองบอสตันเป็นเมืองหลวงของรัฐแมสซาจูเซตส์ มีทีมเบสบอล เรด ซอคส์ ที่ยืนยงมาตั้งแต่ปี 1901 นั่นก็ฝังรากลึกลงไปไม่รู้ว่ากี่รุ่นแล้ว จะเห็นว่าคนที่เข้าไปชมการแข่งขันนั่นแน่นสนามทุกครั้ง เพราะเขาถือว่านั่นเป็นทีมของเขา เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมทีเดียว และตั้งกันเป็นชนชาติเรด ซอคส์ (ชื่อทีม) เก้าอี้ที่นั่งชมในสนามส่วนหนึ่งก็เป็นเหมือนกับมรดกกันทีเดียว ถ่ายทอดกันมา ทีนี้อะไรในหนังเรื่องนี้ที่สอนให้หันมาดูตัวเราเองบ้าง ความรักค่ะ ความรักอย่างแน่นแฟ้น...ในทีมของตัวเอง...เราได้สร้างความรักในทีมของเราบ้างหรือเปล่า มีใครไปดูทีมของจังหวัดเราบ้าง แน่นสนามบ้างมั๊ย...ทีมเราแข่งชนะแล้ว ได้แห่ทีมให้ชาวเมืองได้ดีใจกันบ้างหรือเปล่า...ครูไม่เคยเห็นเลยนะ ในสนามก็ดูโหรงเหรงเต็มที....แล้วเราจะปลูกความรักในกีฬาของคนในจังหวัดได้อย่างไร...ยาก..ยากมากกกกค่ะ....จุดเริ่มต้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก....เราไม่เห็นการแข่งขันแบบเหย้าเยือนของโรงเรียนต่างๆ (ซึ่งจำเป็นต้องมี) เราไม่ได้เห็นการเอาใจใส่อย่างจริงจังเลย ที่ทำอยู่นี่ ดูเหมือนจะทำเพื่อเงิน เพื่ออาชีพนักฟุตบอล เลยตั้งเป็นสโมสรกันขึ้นมา มีนายทุน มีผู้จัดการทีม หานักกีฬาแบบซื้อๆขายๆกัน ฯลฯ....เอาละนั่นก็เป็นจุดหมายปลายทางที่ใครๆก็อยากจะเห็น แต่ต้นทางล่ะ...หันกลับไปดู ครูว่ามีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีที่มา...เรากลับไปเริ่มต้นได้ค่ะ เริ่มตั้งแต่เด็กๆกันเลย นับหนึ่งกันตั้งแต่วันนี้ แล้วเราก็จะได้พลเมือง...ชาวอุดรธานีที่ใส่ใจต่อทีมกีฬาของเขาเองตามมา...เอาละครูไม่ได้เล่าเรื่องหนังให้ฟัง อยากให้ไปหาดูกันเอง สนุกกว่าครูเล่าให้ฟังแน่ๆ...หนังจบแล้ว ก็หันมาดูตัวเราเองบ้าง เผื่อเห็นมุมมองที่ต่างออกไป และจะได้กลับมาพัฒนากีฬาบ้านเราได้ค่ะ

รอบรั้ว ทางเดินขึ้นวัด

Saturday, September 25, 2010

เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโญ
ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา
เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ
มารสฺเสตํ ปโมหนํ


มีทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่น
ที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งทัศนะ
พวกเธอจงเดินตามทางนี้เถิด
ทางสายนี้พญามารมักเดินหลงเสมอ


This is the only way;
None other is there for the purity of vision.
Do you enter upon this path,
Which is the bewilderment of Mara.

ครูชอบธรรมบทตอนนี้มาก เคยคิดเสมอว่า จะทำเป็นป้าย เขียนธรรมบทบทนี้ไว้ตามทางขึ้นวัด ด้านหน้าบ้านสวนของครู จะทำเป็นภาษาไทย อังกฤษและจีน สำหรับภาษาจีนนั้น ครูใช้ Google Translate แปลไว้แล้ว แต่ก็ไม่ไว้ใจ เลยส่งธรรมบทอันนี้ให้กับพระจีนที่อยู่ไต้หวันที่พ่อบ้านครูรู้จัก และยังติดต่อกันเสมอให้แปลให้ ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ขาลงจากวัดก็น่าจะทำป้ายทำนองนี้ด้วย แต่ให้อยู่ในด้านตรงกันข้ามกับป้ายแรก

วาจานุรกฺขี มนสา สุสํวุโต
กาเยน จ อกุสลํ น กยิรา
เอเต ตโย กมฺมปเถ วิโสธเย
อาราธเย มคฺคํ อิสิปฺปเวทิตํ ฯ

ครูว่าน่าจะสวยแล้ว ซึ่งอันที่จริงทางที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้คือ มรรคมีองค์8 ซึ่งเป็นทางสายหลักที่ท่านทรงแนะเอาไว้ อย่างไรก็ตามในธรรมบท คำที่ทำให้ครูตาเบิกโพลงก็คือคำว่า “ทางสายนี้พญามารมักเดินหลงเสมอ” ทางเข้าวัดของหลวงปู่อยู่หน้าบ้านของครูเอง!!! (อันที่จริงก็ผ่านมาทุกบ้านนั่นแหละ) แต่คนที่เดินทางไปวัดนี้ ถือว่ามาถูกทางแล้ว

ทีนี้มาถึงทางขึ้นวัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม) ที่อ.บ้านผือ จ. อุดรธานี ตอนนี้เป็นถนนคอนกรีตแล้ว ตั้งแต่ปากทางถนนสายหลักถึงประตูวัดเลย จากที่เคยเดินลุยโคลนกันมา ที่ครูเคยเขียนบรรยายถึงความลำบากเอาไว้ มาบัดนี้ไม่ต้องมาแบบผจญภัยอีกต่อไป แต่ว่าในอนาคตก็ต้องคอยดูกันอีก เพราะทุกอย่างช่างไม่เที่ยงแท้แน่นอนเลยจริงๆ เป็นอนิจจัง ที่ครูได้เห็นในตอนนี้ก็มีหลายช่วงที่ยังต้องซ่อมกันอีก ซึ่งก็มีนับ 10 จุด ที่เริ่มเห็นรอยแตก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังดีกว่าที่จะลุยโคลนในหน้าฝน สูดฝุ่นแดงในหน้าร้อน ขอชวนให้ทุกคนมาฟังธรรมของหลวงปู่ทองใบ ที่มีประจำทุกวันเสาร์ที่สองของเดือนกันนะคะ

รอบรั้ว การทหารในอดีต

Friday, September 24, 2010


My ancestors have ruled Japan for 2,000 years. And for all that time we have slept. During my sleep I have dreamed. I dreamed of a unified Japan. Of a country strong and independent and modern... And now we are awake. We have railroads and cannon and Western clothing. But we cannot forget who we are or where we come from.

การดูภาพยนตร์นั้น มันไม่มีวิญญาณของชีวิตสักเท่าไหร่...สู้อ่านหนังสือเอาไม่ได้ ทุกตอนที่อยู่ในหนัง ถ้าเราได้อ่านบทล่วงหน้า จะซาบซึ้งมากกว่า หลายตอนที่มีในภาพยนตร์ ถ้าเราไปอ่านแล้ว การบรรยายอารมณ์เป็นตัวหนังสือนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วย...บรรยากาศของอารมณ์ในขณะนั้น ครูอ่านบางตอนด้วยน้ำตา...ฟังดูอาจเกินเลยไป สำหรับบางคน แต่เรื่องนี้ มันทำให้เรารู้ว่า ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลนั้น เขาสมควรได้รับหรือไม่ ภาพของนายทหารญี่ปุ่นที่สั่งยิงพวกซามูไรอย่างไม่ยั้ง พร้อมกับสีหน้าที่แสดงถึงความเสียใจ ที่ต้องสังหารพวกเดียวกัน เลือดเนื้อเดียวกัน มันเจ็บปวดเหลือเกิน...แต่สิ่งที่เราได้เห็น เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเรา...กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...ที่ฆ่ากันเอง...ยังกับเป็นศัตรูมาแต่ชาติปางไหน กระเหี้ยนกระหือรือเข้าไล่ฆ่ากัน...มันช่างสะท้อนใจเสียจริงๆ...ถ้าจะติก็คงต้องลงไปที่จิตวิญญาณของคนเราเอง ไม่ได้ใส่ใจ ในคำสอนของพระพุทธศาสนา..ทำผิดได้ง่ายเหลือเกิน ไม่มีอะไรมายับยั้งชั่งผิดถูกชั่วดีได้…ครูขอเกริ่นเรื่องดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวไว้แค่นี้

ต่ออีกนิดเรื่องคำดำรัสของพระจักรพรรดิ์ของญี่ปุ่นที่ได้ประกาศในที่ชุมนุมนั้น ซึ่งครูเอามาวางไว้ข้างบนก่อนที่พระองค์จะดำรัส พระองค์ได้ยินคำพูดของนายทหารอเมริกัน ที่บอกว่า ถ้าพระองค์เชื่อว่าเขาเป็นศัตรูต่อพระองค์แล้วละก็ ขอให้ทรงบอก เขาจะฆ่าตัวตายในทันที...เป็นคำพูดของชาวตะวันตก ที่ทำให้พระองค์ถึงกับตลึง เพราะนั่นคือเขาได้ซาบซึ้งในวิถีชีวิตของนักรบซามูไรไปแล้ว...จากที่ทรงคุกเข่ารับดาบซามูไร...ทำให้พระองค์ยืนขึ้นและมีดำรัสเป็นภาษาอังกฤษ ก็ทำให้ทูตอเมริกาต้องแปลกใจ... . But we cannot forget who we are or where we come from. อย่าได้ลืม ว่าเราคือใคร หรือรากเหง้าเรามาจากไหน

ภาพยนตร์เรื่องมหาบุรุษซามูไร เข้ามาฉายในเมืองไทยหลายปีแล้ว เล่าถึงการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่านการปกครองของประเทศญี่ปุ่น จากยุคโตกุกาว่าที่ปกครองโดยยึดกฎซามูไร ไปสู่การปกครองยุคเมจิ ซึ่งยึดหลักแบบตะวันตก พวกซามูไรไม่พอใจ จึง รวมตัวเข้าต่อต้าน ท่ามกลางกระแสการไหลบ่าของวัฒนธรรมตะวันตก ทำให้วิถีชีวิตของซามูไรไร้ความหมาย และกลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ในสังคมไป

ต่อมาตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่นได้ว่าจ้าง ร.อ.นาธาน อัลเกรน (ปี ค.ศ.1876) นายทหารอเมริกันเข้ามาทำหน้าที่ครูฝึกการใช้อาวุธปืน และปราบปรามผู้ก่อการร้าย...ในสมรภูมิที่เขาต้องเจอ คือนักรบซามูไรที่กล้าสู้กับปืนของชาวตะวันตก ครั้งนั้นเขาโดนจับได้ คัทซึโมโตะ หัวหน้านักรบซามูไรจับเขาเป็นเชลย...คนที่ควบคุมดูแลเขา กลายเป็นหญิงหม้าย ทากะ ที่สามีถูกอัลเกรนฆ่าไป การเป็นเชลยของเขาไม่ได้ถูกจองจำ หรือควบคุมด้วยเครื่องพันธนาการอันใด เพียงแค่มีคนจับจ้องอยู่ทุกที่ๆเขาไป เวลาก็ผ่านไป ทำให้เขาได้เรียนรู้ชิวิตที่สมถะ เรียบง่ายและมีวินัย เขาถึงเข้าใจและรู้ซึ้งถึงความหมายของซามูไรที่เป็น “ผู้รับใช้” การเป็นซามูไรที่มีจิตวิญญาณคือทำหน้าที่เพื่อรับใช้คนอื่นโดยเฉพาะองค์พระจักรพรรดิ์

ต่อมาอัลเกรนกับคัทซึโมโตะพร้อมด้วยเหล่าซามูไรได้ไปเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิ์ ซึ่งก็เป็นกับดักของโอมูระ ที่ต้องการกำจัดซามูไรไปให้หมด คัทซึโมโตะถูกควบคุมตัวไว้ แต่อัลเกรนก็ได้ช่วยพาหลบหนีกลับมายังหมู่บ้านได้ แต่กองกำลังของทหารก็ติดตามมาเพื่อปราบให้หมดไป กองกำลังของซามูไรมีเพียง 500 คนที่มีแค่ดาบและธนู ซึ่งทุกคนก็รู้ตัวดี ว่าไม่มีทางสู้ได้ แต่ทุกคนก็พร้อมกันออกไปตาย...เพราะนั่นคือจิตวิญญาณของซามูไร อัลเกรนได้รับเกียรติให้ช่วยเหลือคัทซึโมโตะทำฮาราคีรี และนำดาบซามูไรมาถวายคืนองค์พระจักรพรรดิ์ ครูอยากให้ทุกคนกลับไปดูซ้ำอีกครั้ง และกลับเอาไปคิด

อยากให้อ่านบทประพันธ์เรื่องความกล้าหาญทำนองเดียวกันกับเหล่าซามูไรนี้...แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ผู้แต่งคือ Alfred, Lord Tennyson แต่งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1854 เพียงไม่กี่นาที หลังจากที่ได้รับทราบความสูญเสียของทหารกล้า ไปจำนวนหนึ่งในทั้งหมด 600 นาย ที่พร้อมกันไปสู้ แม้รู้ตัวว่าจะไม่รอดกลับมา ซึ่งเป็นสงครามในคาบสมุทรไครเมีย ที่ต้องต่อสู้กับตุรกีและรัสเซียในปี 1854 – 1856 เนื่องจากทหารรัสเซียเข้ามายึดปืนจากทหารอังกฤษได้ Lord Raglan ก็สั่งให้กองพลน้อยทหารม้าเข้าโจมตี ซึ่งก็คิดผิด พวกทหารก็เข้าบุกทันที และก็สูญเสียเหล่าทหารนั้นไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีเหมือนกัน การสูญเสียครั้งนั้นทำให้อังกฤษต้องเสียที่มั่นแนวหน้าส่วนใหญ่ไป ในการรบครั้งนั้น ถ้าไม่มีบทประพันธ์ชิ้นนี้เอาไว้ ทุกคนคงจะลืมพวกเขาไปแล้ว เพราะอังกฤษได้ยกเอาวีรสตรีขึ้นมายกย่องในการช่วยเหลือเหล่าทหารช่วงสงครามไครเมีย นั่นก็คือ Florence Nightingale

The Charge of the Light Brigade
Alfred, Lord Tennyson

1.
Half a league, half a league,
Half a league onward,
All in the valley of Death
Rode the six hundred.
"Forward, the Light Brigade!
"Charge for the guns!" he said:
Into the valley of Death
Rode the six hundred.
2.
"Forward, the Light Brigade!"
Was there a man dismay'd?
Not tho' the soldier knew
Someone had blunder'd:
Theirs not to make reply,
Theirs not to reason why,
Theirs but to do and die:
Into the valley of Death
Rode the six hundred.
3.
Cannon to right of them,
Cannon to left of them,
Cannon in front of them
Volley'd and thunder'd;
Storm'd at with shot and shell,
Boldly they rode and well,
Into the jaws of Death,
Into the mouth of Hell
Rode the six hundred.
4.
Flash'd all their sabres bare,
Flash'd as they turn'd in air,
Sabring the gunners there,
Charging an army, while
All the world wonder'd:
Plunged in the battery-smoke
Right thro' the line they broke;
Cossack and Russian
Reel'd from the sabre stroke
Shatter'd and sunder'd.
Then they rode back, but not
Not the six hundred.
5.
Cannon to right of them,
Cannon to left of them,
Cannon behind them
Volley'd and thunder'd;
Storm'd at with shot and shell,
While horse and hero fell,
They that had fought so well
Came thro' the jaws of Death
Back from the mouth of Hell,
All that was left of them,
Left of six hundred.
6.
When can their glory fade?
O the wild charge they made!
All the world wondered.
Honor the charge they made,
Honor the Light Brigade,
Noble six hundred.

Copied from Poems of Alfred Tennyson,
J. E. Tilton and Company, Boston, 1870

ยาวไปนิดหนึ่ง แต่ช่วงนี้เรากำลังมีปัญหาเรื่องการเมือง ทหาร ตำรวจกันอยู่ การได้ดูหนังฟังเพลง ปลุกใจ ให้เข้าใจในหน้าที่ และเป็นกำลังใจกัน ดูเขาแล้วก็กลับมาดูตัวเรากันบ้างค่ะ

รอบรั้ว การเมือง เรื่องศักดิ์ศรีของประเทศ


ครูตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่เขียนเรื่องการเมือง จะพูดแต่เรื่องประชาธิปไตย ศาสนา ไม่เอาเรื่องหนักๆมาเขียน แต่ปัจจุบันดูท่าจะเลี่ยงไม่ได้ เราทุกคนต้องมีเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการเมืองตลอด ทุกวัน จะมีนักการเมืองทำเรื่องให้เราต้องมาคิดพินิจพิเคราะห์ไม่จบสิ้น ซึ่งล้วนแต่ผลประโยชน์ของนักการเมืองเองทั้งนั้น ดูจะไม่มีใครหวนกลับมาดูว่าประเทศชาติจะได้รับผลของความเสียหายอย่างไร หาช่องที่ตัวเองจะได้กลับสู่อำนาจ ตอดเล็กตอดน้อยก็ทำกันไป ดูๆไปแล้วประชาชน ,ประเทศชาติเป็นของเล่น ที่พวกนักการเมืองจะมาจับให้เดินทางไหน ได้ทั้งนั้น

เมื่อวานที่นายตำรวจใหญ่ยอมประกาศไม่รับตำแหน่ง ครูถือว่าเป็นเรื่องของการแสดงน้ำใจอย่างที่นักการเมืองควรจะเอาเป็นตัวอย่าง เขารู้ตัวว่า ตัวเขาเป็นเหตุของปัญหาของชาวไทยมุสลิมที่จะไปแสวงบุญ เขาก็วางตัวเขาไว้ในที่ๆเราเองหวังเอาไว้ ตรงตามที่คาดเอาไว้ สามัญสำนึกในความรับผิดชอบชั่วดีนั้น มีครบถ้วน เขาจะผิดจริงหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์กันต่อ ถ้าคณะที่รับงานไม่ทำงานแบบที่เคยเป็นมาเหมือนครั้งที่แล้วๆมา ซึ่งครูเชื่อว่ารัฐบาลนี้พยายามทำอย่างสุดกำลังแล้ว แต่เรายังมีนักการเมืองอีกพวกหนึ่งที่พยายามจุดไฟในเมือง หาโยงเรื่องต่างๆเข้าไว้ ไม่ให้เราเดินไปข้างหน้าได้ สร้างปัญหาให้กับประเทศ นักการเมืองเหล่านั้นล้วนแต่คอยจุดประเด็น จุดไฟ ชักศึกเข้าบ้าน ซึ่งหนังสือพิมพ์ต่างๆก็ลงข่าวอยู่เป็นประจำ คำถามที่ว่า นักการเมืองเหล่านั้นเป็นคนไทยหรือเปล่า ก็ชวนให้คิด

มาเมื่อเช้าภาคเอกชนก็ออกมาระบุว่าการส่งออกสินค้าของไทยจะได้ผลกระทบ ความเสียหายที่จะได้รับจากประเทศซาอุดิฯประเทศเดียว 3 แสนกว่าล้าน ผู้ส่งออกไทย 10 ราย มีปัญหาที่รัฐบาลซาอุดิฯไม่ประทับตราผ่านสินค้า บอกต่อไปว่าปัจจุบันนี้เราได้รับทุนจากอาหรับเข้ามาลงทุนในตลาด ซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาล หากมีปัญหาเราจะเสียโอกาส แถมยังต่อไปอีกว่าถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ รับรองว่าพรรคประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ในภาคใต้ ฟังดูแล้วก็น่ากลัว และคงจะลืมไปหน่อยว่า คนภาคใต้นั้นเขามั่นคง รักพวกพ้องเป็นอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ วางฐานเอาไว้มั่นคง คงจะไม่สูญพันธุ์แบบที่ว่า ครูว่า ประชาธิปัตย์ น่าจะแข็งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เพราะความเห็นอกเห็นใจ ที่เรียกว่าคะแนนสงสารจะเทให้ไปเต็มๆ ภาคเอกชนที่ส่งออกเขาก็กลัวไปว่าประเทศซาอุดิฯ ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในโลกมุสลิม มีสมาชิกอยู่ 57 ประเทศ จะรวมกันบอยคอต ไม่ร่วมทำการค้าด้วย...นึกแต่เรื่องเงิน...ไม่ได้นึกนึกถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติเลย ถ้าเทียบกับจิตใจของคนญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ทาบกันไม่ติด พระจักรพรรดิของญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม พร้อมกับความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จะสร้างชาติใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม ให้โลกได้เห็น ได้ยกย่อง พวกที่ไม่ยอมแพ้โดดน้ำฆ่าตัวตาย 300 ศพในทันที นั่นคือความเด็ดเดี่ยวของเขา แล้วเป็นไง...เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นเจริญไม่เป็นรองใคร แล้วเราล่ะ เห็นแก่ศักดิ์ศรีของประเทศหรือเปล่า หรือมองแต่ผลประโยชน์อย่างเดียว

เรื่องที่ภาคเอกชนกลัวเรื่องโลกมุสลิมจะบอยคอต แม้แต่คนที่ทำงานอยู่ในด้านศาสนา ซึ่งก็เป็นอดีตนักการเมืองก็ออกมาพูดเหมือนๆกัน ส่งไม้ต่อเหมือนวิ่งผลัด 4 คูณ 100 รับไม้กันแบบไม่พลาด ไม่ได้เสนอแนะเลยว่าจะทำอย่างไร ออกความเห็นด้านดี ไม่มี เหมือนอยากเห็นประเทศไทยล้มลงต่อหน้า... “ถ้าฉันไม่ได้อย่างที่ฉันต้องการ ก็อย่าหวังว่าจะอยู่กันอย่างสงบ” คำพูดคล้ายๆอย่างนี้รู้สึกเคยได้ยิน หรือเขามีความคิดอย่างนั้นจริงๆ นักการเมืองจากภาคใต้ที่เป็นมุสลิมอีกคนก็ออกมาบอกว่า ให้เร่งสะสางคดีเพชรซาอุฯ และคดีอุ้มฆ่านักการทูตและนักธุรกิจของประเทศซาอุฯ ซึ่งก็ยืดเยื้อมา 20 ปีแล้ว....20 ปี เรามีรัฐบาลผ่านไปแล้วกี่รัฐบาล พรรคไหนๆก็ได้ร่วมอยู่ในเวลา 20 ปีนั้นกันทุกพรรค ก็ในอดีต ไม่เห็นว่าจะก้าวหน้าไปถึงไหน ศาลเองก็ได้ตัดสินไป ตามหลักฐานไปทุกอย่าง ตำรวจชงกาแฟให้ศาล ศาลก็ต้องบอกว่านี่มันกาแฟ ตำรวจชงชาขึ้นไป ไม่ว่าจะผ่านมืออัยการหรือศาลก็ต้องบอกว่า นี่มันคือชา...ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมือง...มันอยู่ที่คนชง คนค้นหาหลักฐาน และหลักฐานตัวนั้นยังมีเหลือให้ดมอยู่หรือไม่ต่างหาก จากนี้เป็นต้นไป เราเองก็ต้องมาตั้งสติกัน ทุกข์ของประเทศซาอุฯ คืออะไร (เพชรซาอุ และคดีอุ้มฆ่าคนของเขา)...เราจะแก้ให้ได้อย่างไร...(ตำรวจได้ค้นหาหลักฐานกันจริงๆหรือไม่...ไม่ใช่แค่บัตรสนเท่ห์) แล้วทุกข์ของเราที่มีต่อซาอุฯ คืออะไร...(การค้า..การศาสนา...ฯลฯ) ซึ่งมันพันกันตลอด แก้ปมทุกข์ให้เขาไม่ได้ เราก็แก้ปมเราไม่ได้เหมือนกัน

ครูจะลืมๆเรื่องนักการเมืองหลายๆคนที่คอยจุดประเด็น จุดไฟว่อนไปทุกที่ค่ะ ไม่ว่าจะไปเดินเรื่องที่เขมร ไปรัสเซีย ไปซาอุฯ แล้วว่าจะไปมาเลเซีย...มันเป็นสะเก็ดไฟไปทั่วแล้วค่ะ

ภาพประกอบ//http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1597409

รอบรั้ว การเมือง เรื่องศาสนา

Wednesday, September 22, 2010


ครูฟังข่าวที่สถานทูตซาอุดิ อเรเบีย ได้ออกมาบอกว่าไม่สามารถออกวีซ่าให้กับไทยมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่เมืองเมกกะให้ทันได้ เพราะเจ้าหน้าที่ลาหยุดพัก ออกวีซ่าให้ไม่ทัน คิดแบบชาวบ้านก็พอจะรู้ทัน ไม่จำเป็นต้องเป็นให้นักการเมืองออกมาพูดแบบนักการเมือง ให้พวกชาวบ้านต้องตีความกันอีก จริงๆแล้ว เราเองก็ต้องเห็นใจประเทศซาอุดิ อเรเบียสักนิด เพราะเราไปสร้างเวร สร้างกรรม กับประเทศเขา คนของเขาไว้มาก ครูไม่อยากเอ่ยชื่อคนไทยที่ไปขโมยเพชรจากพระราชวังของเขา แต่นั่นก็ทำให้เราต้องเสียโอกาสในการส่งคนงานไทยไปขุดทองที่ซาอุฯ สูญเสียเงินไปไม่รู้ว่าจะนับได้หรือเปล่า เพราะไม่เห็นใครออกมาพูด นั่นเราไปผิดศีล 5 ข้อที่ 2 ไปแล้ว กรรมที่ได้รับก็เฉลี่ยไปกันทั้งประเทศ คนอิสานและคนภาคเหนือ ซึ่งเป็นแรงงานส่วนใหญ่ เจ็บมากกว่าใครๆ ยังไม่พอ เรายังมาผิดศีลซ้ำซ้อนอีก ทั้งปาณาฯ ทั้งมุสาฯ ทั้งอทินนาฯ และศีล ฯลฯ อีก ซึ่งก็ยังมีตำรวจต้องรับกรรมอยู่ในคุกอยู่ เรื่องที่หนัก ฆ่านักการทูต 2 ปี 4 ศพ แล้วก็อุ้มฆ่านักธุรกิจของเขาอีก ซึ่งก็โยงมายังตำรวจ (อีกแล้ว!!!!) ตอนนี้ก็ต้องมาแสดงความรับผิดชอบ เพราะตัวเองเป็นตัวต้นเหตุแห่งทุกข์ของชาวไทยมุสลิม ที่ต้องไปแสวงบุญที่เมืองเมกกะ นายตำรวจใหญ่จะผิดหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ตัวของเขาเองรู้อยู่เต็มอก แต่เรื่องก็ยุติไปแล้ว...ไม่ผิดเพราะไม่มีหลักฐาน มีแค่บัตรสนเท่ห์ ซึ่งอุปทูตซาอุฯ เขาคิดไม่เหมือนกับเรา....ก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ครูไม่ทราบว่า เขามีกฎ “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” หรือไม่ ซึ่งปุถุชนธรรมดาย่อมไม่คิดอยู่ในสมองอยู่แล้ว ยิ่งถ้าดูหนังจีนกำลังภายในแล้วละก็ “แก้แค้นรอได้ 10 ปี ไม่สายเกินไป” ก็ต้องรอคอยกันถึงวันนี้ละค่ะ

เรื่องการเมืองโยงมาหาศาสนานี่ เกินความคาดหมายของครู เพราะมันไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักนิด อย่างน้อยก็ให้ความเคารพในคำสอนของศาสดา และให้ความนับถือในสิทธิของการเป็นชาวมุสลิม ไปแสวงบุญโดยไม่มีข้อโต้แย้งอยู่แล้ว จะเป็นรอยด่างในศาสนาหรือไม่ ควรที่ทุกคนเอาไปคิดเป็นการบ้าน ศาสนาควรอยู่ที่ใจ ควรอยู่ที่การปฏิบัติตามคำสอนอย่างครบถ้วน เอาละคำสอนจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ วัตรปฏิบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เป็นหนังประวัติศาสตร์ของอินเดียในยุคฮินดูสถาน ช่วงศตวรรษที่ 16 ยุคที่ราชวงศ์โมกุล ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่นับถืออิสลาม และทำสงครามชนะไปทั่ว ตรงกับสมัยของ จักรพรรดิ จาลาลาดิน โมฮัมหมัด อักบาร์ ชาวอินเดียในสมัยนั้นขนานนามพระองค์ว่า อักบาร์มหาราช (Akbar the Great) ก่อนที่พระองค์ได้รับการขนานนามนั้น พระองค์ได้เสด็จประพาส โดยการปลอมตัวเข้ากับชาวบ้านไปสืบเสาะ เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวเมือง ซึ่งก็เป็นชาวฮินดู ที่พระองค์รับทราบก็คือ การที่ชาวฮินดูจะไปแสวงบุญต้องจ่ายภาษีให้กับทางราชการ ซึ่งชาวฮินดูไม่พอใจ หาว่าพระองค์ไม่เป็นพวกเดียวกัน อีกทั้งพระชายาของพระองค์ที่ตั้งขึ้นเป็นพระจักรพรรดินีนั้น ไม่ยอมกลับเข้าวัง ซึ่งพระนางได้ตั้งข้อแม้ขึ้นว่า พระองค์ต้องชนะใจของพระนางเสียก่อน เมื่อพระจักรพรรดิเข้าไปประชุมเหล่าขุนนาง พระองค์ก็ให้ยกเลิกเก็บภาษีทางด้านศาสนาของชาวฮินดูเสีย โดยไม่ต้องกังวลถึงรายได้ท้องพระคลัง มีที่ปรึกษาของพระองค์คัดค้าน พระองค์ก็บอกกับขุนนางท่านนั้น ให้ไปแสวงบุญที่เมกกะเป็นการถาวรเสียเลย ครูเล่าเท่าที่จำได้ เพราะดูหนังเรื่องนี้มาเป็นเดือนแล้ว จำไม่ค่อยได้ หลังจากที่ยกเลิกภาษีที่ว่านั่นแล้ว ชาวเมืองก็พร้อมกันออกมา (แบบหนังอินเดียขนานแท้...รำกันแบบเถิดเทิงทีเดียว) ถวายพระนามว่า เป็นมหาราช และหนังก็จบแบบสมบูรณ์คือพระจักรพรรดินีก็เสด็จกลับมาประทับ (อยู่) กับพระองค์

จะเห็นว่าแม้ในสมัยโบราณที่ศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องเคารพ บวกกับ ต้องยำเกรง เขาก็ไม่เอาการเมืองเข้ามายุ่ง แม้จะมีเพราะคนที่มีอำนาจมักทำตามอำเภอใจ แต่เพื่อความถูกต้อง เป็นธรรม เรื่องนี้ก็จะได้รับการแก้ไขในที่สุด มาสมัยนี้เราเองก็ต้องคอยดูต่อไป แต่โชคดีของชาวไทยมุสลิม ช่วงที่ครูกำลังเขียนอยู่นี่ ท่านนายพลตำรวจออกมาแถลงไม่รับตำแหน่งแล้ว และพร้อมกันนั้นทางสถานทูตซาอุดิฯ ก็ได้ออกวีซ่าให้แล้วด้วยค่ะ....แถมให้อีกนิด เมืองจาลาลาบัดในอัฟกานิสถาน ตั้งเป็นชื่อเมืองให้เป็นเกียรติแด่ท่านจักรพรรดิจาลาลาดินค่ะ

รอบรั้ว ครอบครัวอบอุ่น

Friday, September 17, 2010


เมื่อวันก่อนครูได้พูดเรื่องการจูงมือเด็กเข้าวัด ยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่งที่เอาลูกมาวัดเป็นประจำ เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กันยายน 2553 ครูได้เจอครอบครัวนี้ มากันทั้งบ้านทีเดียว หลวงปู่ทองใบจะดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อท่านเห็นมาวัดกันทั้งครอบครัวแบบนี้ ท่านมักพูดเสมอว่า “เป็นครอบครัวอบอุ่น” ที่จูงลูกหลานเข้าวัดแบบนี้ ครูเคยยกตัวอย่างศาสนาอื่นที่เขาจูงใจเอาเด็กเข้าโบสถ์ เข้ามัสยิด ซึ่งต้องอาศัยแรงจูงใจทั้งศาสนบุคคล เช่น หลวงพ่อ บราเดอร์ ซิสเตอร์ อิหม่าม มุตตาวา (คนที่คอยเตือนให้เข้ามัสยิด) และแรงจูงใจจากทางบ้าน เช่นคนในครอบครัวเชื่อมั่นในศาสนา หมั่นเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยๆในพระพุทธศาสนา เด็กๆชอบฟังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบนี้แหละค่ะ สอนให้เขาเชื่อมั่นในคำสอนของศาสดาไม่ว่าในศาสนาใด

ครูได้เจอครอบครัวของน้องไดร์ฟและน้องดิสค์ ชื่อฟังดูแล้วแปลกๆไปนิดนะคะ แต่นั่นก็แสดงว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ครอบครัวของน้องเขามีธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ชื่อของน้องเลยออกมาในแนวนี้ น่าสนใจตรงที่ว่า เขาเป็นคนรุ่นใหม่ แต่มั่นคงในศาสนาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะครูจะเห็นมาวัดไม่ขาด ไม่ค่อยเจอกับพ่อบ้านเท่าไหร่นัก นั่นเพราะเขาขึ้นไปฟังธรรมบนศาลา ความจริงอีกอย่าง ผู้ชายที่ไปนั่งฟังพระเทศน์นั่น จะมีแค่ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ หลวงปู่จะประกาศทุกครั้ง เมื่อเทศน์จบ วันนี้มีพระเท่าไหร่ เณร แม่ชี อุบกสก อุบาสิกา และเด็กเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นอุบาสิกาเสีย 70 เปอร์เซนต์ เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง อีกละ ผู้ชาย อุบาสกนี่ล้วนแล้วก็เป็นผู้สูงวัยทั้งนั้น

ในวันนั้นน้องทั้งสองได้เล่นอยู่ตรงสถานที่ตักบาตร มีเด็กวิ่งเล่นด้วยกัน 5 – 6 คน ห่างจากศาลาฟังธรรมไกลโขอยู่ ก็ถามว่าคุณแม่อยู่ตรงไหน เขาเก่งพอตัวค่ะ บอกว่าอยู่ใกล้ๆนี่แหละ ชี้มือไป ใกล้ๆของเด็ก ทำให้เดินเหงื่อตกเหมือนกัน ปรากฏว่าปูเสื่อนั่งฟังอยู่ด้านนอกศาลาพุทธาวาส (สถานที่ฟังธรรม) ได้ยินพระเทศน์ชัดเจนค่ะ พ่อบ้านของครูก็ฟังอยู่ละแวกนั้นเป็นประจำ ด้านหน้าบ้าง ด้านข้างบ้าง เพราะนั่งพับเพียบไม่ถนัด โรคปวดหลังรุมเร้าเวลานั่งนานๆ ก็ได้คุยกันนิดหน่อย พอจะรู้เรื่องพอเลาๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว ดีใจแล้วที่ได้เจอกับคนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจในพระพุทธศาสนา เราจะต้องมีคนอย่างครอบครัวนี้เยอะๆ ศาสนาเราถึงจะอยู่รอดได้ในบ้านตัวเอง ครูเคยเขียนเอาไว้หลายตอนเกี่ยวกับชาวตะวันตกที่เขาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา ดูๆแล้ว เขาสนใจในเนื้อหาของคำสอนส่วนหนึ่งเป็นอย่างมาก แล้วก็เอาไปปฎิบัติ เช่นการนั่งสมาธิ เขาสนใจในประโยชน์ที่ได้จากการบริหารจิตและเจริญปัญญา สนใจในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง สนใจในการทำงานของสมอง แม้กระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจ จริงๆแล้วเราละเลยที่จะไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ไปหรือยังไงก็ไม่ทราบ...ขอฝากเรื่องนี้ไว้ให้คนรุ่นใหม่เอาไปคิดนะคะ อีกนิดค่ะ...เคยลองสังเกตุดูบ้างมั้ยคะ คนที่นั่งสมาธิ ควบคุมอารมณ์ได้แค่ส่วนหนึ่ง หน้าตาจะผ่องใส มีผิวพรรณดี จนคนที่พบเจอแปลกใจ ดูจะหน้าอ่อนกว่าอายุจริงค่ะ....ลองสังเกตุดูนะคะ

พระพุทธศาสนา การบริหารจิต และเจริญปัญญา (ตอนที่ 1/3 )

Saturday, September 4, 2010

ที่จริงแล้วครูได้เขียนเรื่องการบริหารจิต และเจริญปัญญามา 4-5 ตอนแล้ว ซึ่งจะหาอ่านย้อนหลังได้จากบทความปีก่อนๆ แต่อยากจะเขียน อยากจะพูดอีก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งสองเรื่อง คือทั้งจิต และปัญญา การปลูกฝังเรื่องนี้ครูคิดว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป ในชั้นประถม ก็เหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน....จะถามสอบความรู้แบบนักธรรม ครูว่านั่นจะสุดโต่งจนเกินไป เด็กที่เพิ่งหัดเดิน เดินทีละก้าว ครึ่งก้าว ก็ล้มลงเสียแล้ว คนที่เป็นพ่อแม่ต่างก็หัวเราะด้วยความดีอกดีใจ ตะโกนกันดังลั่น “มาดูนี่...มาดูนี่...ลูกเดินได้แล้ว!!!!” เช่นกัน การเรียนรู้ เรื่องสำคัญในการดำเนินชีวิตของเด็ก ตามแนวทางพุทธ...วิถีพุทธ...การเรียนรู้ที่ละนิด ๆ แต่จำได้แม่น ไม่พลาด เหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน เป็นเรื่องสำคัญ

การปลูกฝังเรื่องนี้ ครูได้เห็นตัวอย่างจากครอบครัวหนึ่งมาหลายปี เขามั่นคงในศาสนามาก มาฟังเทศน์ ฟังธรรมกับวัดเดียวกับที่ครูไปประจำนั่นแหละ “วัดนาหลวง” หรือ “วัดอภิญญาเทสิตธรรม” ที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ภาพที่เห็นประจำก็คือ มีลูกสาวตัวเล็กๆ เล่นกองทราย เก็บก้อนหิน อยู่ข้างๆศาลาฟังธรรม ซึ่งมีชื่อว่า “ศาลาพุทธาวาส” คุณแม่ก็ดูแลลูกอยู่ใกล้ๆ ฟังธรรมไปด้วย ซึ่งอาจจะมีคุณยายไปนั่งฟังเทศน์บนศาลา...จากปี เป็น 2 ปี...3 ปี...มีเด็กเพิ่มมาอีก เป็นเด็กผู้ชาย เหมือนเดิม...เหมือนกับพี่สาว...ทั้งพี่และน้องก็ยังเล่นกองทราย..เก็บก้อนหิน...วิ่งเล่น อยู่ใกล้ๆกับศาลาพุทธาวาส...นี่ผ่านมา 5- 6 ปีแล้ว เด็ก 2 คนนั่นก็ยังมาวัด ไม่เห็นเล่นกองทราย เก็บก้อนหินแบบเดิม แต่แม่จูงมือขึ้นไปบนศาลาวัด เด็กอาจนั่งได้ไม่นาน ก็ต้องลงมาเล่นไล่จับ แต่ภาพที่คนฟังเทศน์จำนวนมาก ที่ฟังกันเงียบๆ อย่างสงบนั่น สอนเด็กไปในตัว...อย่าส่งเสียงดังนะ....นั่นเป็นภาพที่ครูว่า ครอบครัวนั้นได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ในใจลูกทั้งสองคนนั่นแล้ว...เด็กสองคนนั่นเล่นกันเงียบๆ... รับรู้ว่าต้องสงบ อย่าส่งเสียงดัง ...นั่นคือการเริ่มหัดเดินในชีวิตวิถีพุทธแล้วค่ะ


พระพุทธศาสนา การบริหารจิต และเจริญปัญญา (ตอนที่ 2/3 )

ตอนที่แล้ว ครูยกตัวอย่างของครอบครัวที่มาฟังธรรมเป็นประจำ ทั้งครอบครัว สรุปให้เห็นภาพว่า การฝึกนั้น ต้องค่อยเป็น ค่อยไป อย่าหักโหม อย่าใส่อะไรๆ เท่าที่เราอยากให้ใส่ลงในสมองเด็ก นอกจากจะทำให้เด็กเครียดแล้ว พาลเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียนเอาดื้อๆ เพราะศาสนาเป็นนามธรรมเสียเป็นส่วนมาก อย่างที่ตั้งหัวเรื่องเอาไว้...จิต และ ปัญญา...มองอย่างไรก็ไม่เห็นภาพเลย มีอยู่อย่างเดียวคือบังคับให้ท่องจำ ถ้าจำไม่ได้ ก็ทำข้อสอบไม่ได้...พูดอย่างนี้ อาจมีคำถามว่า...แล้วมีวิธีอย่างไรล่ะคุณครู....ซึ่งอันที่จริงแล้ว ครูได้ทำเรื่องนี้เป็นประจำ เหมือนกับเด็กสองคนที่คุณแม่พามาวัด...ให้เขาเล่นๆอยู่ข้างวัดนั่นแหละ...ครูก็ให้เด็กนักเรียนนั่งสมาธิเล่นๆในห้องเรียน ก่อนที่จะเข้าบทเรียน...นั่งสัก 5 นาที...10 นาที พอเรียกสติกลับคืนให้มาอยู่กับตัว แล้วก็เข้าสู่บทเรียน ครูไม่อยากพูดเลยละค่ะว่า เนื้อหาสาระของบทเรียนนั่นเป็นอย่างไร...เดาว่า เราคงอยากให้เด็กของเราเป็นนักธรรมกันทุกคนมั้ง...ทั้งหมดที่พูดมานี่ เพียงแค่อยากบอกว่า ถ้าอยากให้เด็กของเราเป็นชาวพุทธจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำข้อสอบได้ แล้วได้เป็นชาวพุทธเลย...เคยคิดกันบ้างมั้ยคะ...ถ้าเราอยากเห็นว่าเด็กของเราเป็นชาวพุทธ การปฏิบัติที่เอาจริงเอาจัง ปฏิบัติจริง เหมือนกับชาวคริสต์ที่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เรื่องนี้ครูจะเล่าให้ฟังก็ได้ว่าสำคัญอย่างไร ในบ้านนาหลวงนั่น ถึงแม้ว่าเราจะมีวัดพุทธอยู่ 4 – 5 วัดก็เถอะ แต่ก็มีโบสถ์คริสต์อยู่ด้วย วันหนึ่งครูไปให้ช่างไม้ทำชั้นวางหนังสือให้ บ้านช่างไม้อยู่ใกล้กับโบสถ์คริสต์ท้ายหมู่บ้าน วันนั้นมีคนมาสอนร้องเพลงด้วย ซึ่งมาก่อนวันเข้าโบสถ์หนึ่งวัน เป็นวันเสาร์เพื่อสอนเด็กๆที่เป็นลูกหลานชาวคริสต์ในหมู่บ้าน ออกมาเล่นกันนอกโบสถ์บ้าง ดูๆแล้วก็สนุกละสำหรับเด็กๆ เพราะมีวัยรุ่นสาวๆ สังเกตจากการแต่งตัว หน้าตา พอจะรู้ได้ว่ามาจากในเมือง...สอนการละเล่น ร้องเพลง ปรากฎว่าหลานสาวของช่างไม้ อายุน่าจะราวๆ 3 – 4 ขวบ อยากไปเล่นกับเด็กๆพวกนั้นด้วย...ทั้งตาและยายต่างก็บอกว่าไม่ได้..หลานก็ร้องไห้ ตามประสาเด็กที่เอาแต่ใจ...วิ่งออกไป ยายก็ไล่ตามอุ้มกลับมา...เป็นอยู่อย่างนั้นหลายนาที ครูเลยบอกว่าให้แกไปเถอะ...ตัวครูเองก็เคยไปโบสถ์คริสต์เหมือนกันสมัยเด็กๆ...ที่นั่นเขามีของเล่น เพื่อนก็อยู่ในนั้น ขนมก็อยู่ในนั้น...ครูพูดเรื่องนี้เพื่ออยากบอกให้รู้ว่า ในศาสนาพุทธ เราไม่มีที่ว่างให้เด็กๆไปได้เองเลย จะมีที่ว่างก็เฉพาะวันไปทำบุญ เวียนเทียน ที่ต้องตีกลอง บรรเลงดุริยางค์ เดินแถว ถือธงนำหน้า แล้วไปกันที ยกโรงเรียนไป โรงเรียนไหนมีเด็กมาก ครูใหญ่ครูน้อยอาจแอบยิ้มอยู่ในใจในแสนยานุภาพของโรงเรียน...ภาพมันฟ้องอย่างนั้นค่ะ แต่การปลูกฝังการเป็นชาวพุทธไม่ได้ทำเลย...เอาละไหนๆก็พูดถึงนี่แล้ว พูดเรื่องนี้ต่อให้จบ ทีนี้การปฏิบัติของชาวมุสลิมบ้าง อันที่จริงครูไม่อยากเอาศาสนาอื่นมา เปรียบเทียบกันสักเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าไม่พูด เราก็จะไม่เห็นจุดบกพร่องของเรา ศาสนาอิสลามนี่ยึดหลักสำคัญไว้ 3 อย่าง คือหลักการศรัทธา หลักจริยธรรม หลักการปฏิบัติ เท่าที่สังเกตที่เรามองจากคนต่างศาสนา เหมือนว่าเขาจะเน้นเรื่องหลักการปฏิบัติเสียเป็นส่วนใหญ่ เอาจริงเอาจัง เช่นการละหมาด 5 ครั้งต่อวัน ตั้งแต่เช้ามืด เที่ยงวัน ตอนบ่าย ตอนตะวันตกดิน และตอนค่ำ บางทีเพราะคำสอนที่ว่า “การนมัสการหรือละหมาดคือความสัมพันธ์โดยทางลับกับพระเจ้า อันจะนำมาซึ่งศีลธรรมอันดีงาม” จากการที่เด็กๆเห็นการปฏิบัตินี้บ่อยๆ ซึ่งเราไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่าเขาเคร่งครัดจริงๆ ถ้าเราได้อยู่ในหมู่ชาวมุสลิม...นั่นเป็นการจูงใจ จูงเด็กเข้ามัสยิด..นอกจากนั้นการปฏิญาณตนในการเข้านับถือศาสนา และพิธีเข้าสุนัต เป็นเรื่องสำคัญ ของพ่อแม่เลยทีเดียว แบบนี้ครูคิดว่า การปฏิบัตินำหน้าศรัทธา ในเบื้องต้นสำหรับเด็ก....เมื่อเด็กเริ่มเรียนรู้ถึงจะดึงเอาศรัทธาเข้ามาเสริม เมื่อพอมีสติปัญญา ศรัทธาและจริยธรรมถึงจะเข้ามา ซึ่งจะมาเสริมการปฏิบัติให้เข้มแข็งขึ้นไปอีก....ยกตัวอย่างยาวไปนิด...สรุปให้สั้นๆว่า...เน้นปฏิบัติไปก่อน จูงเด็กเข้าวัด...จูงใจก็ได้...เราบกพร่องเรื่องนี้มั้ยคะ...วันที่เราไปวัดฟังธรรมเทศนา ถ้าจะสังเกตดู และเป็นอย่างนี้มาตลอด มีแต่คุณย่า คุณยาย หรือผู้หญิงเสีย 85 เปอร์เซ็นต์ อุบาสกน้อยเสียเหลือเกิน เด็กรุ่นๆแทบจะไม่มีเลยค่ะ....ขออย่าหลอกตัวเองกันต่อไปเลยนะคะ ว่าเราจูงเด็กเข้ามาเป็นพุทธถูกทางแล้ว

พระพุทธศาสนา การบริหารจิต และเจริญปัญญา (ตอนจบ )


วันนี้มาเข้าเรื่องการบริหารจิตและเจริญปัญญา แบบที่ชาวต่างประเทศเขาเห็น ทีนี้ไม่เกี่ยวกับการมองต่างในด้านศาสนาแล้ว..... มีข่าวที่ตีพิมพ์ไปทั่วโลกว่า มีโรงเรียนในประเทศอังกฤษ ได้เอาแบบเรียนการนั่งสมาธิ ไปสอนในโรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าแก่ของประเทศ เป็นโรงเรียนชั้นนำ นั่นคือ โรงเรียน Tonbridge แห่งเมือง Kent หลักสูตร บทเรียนที่เอามาสอนได้มาจากอาจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และเคมบริดจ์ ซึ่งแค่ได้ยินชื่อแล้วก็รู้ถึงกิตติศัพท์ที่สั่งสมมานาน คุณครู Richard Burnett ที่เป็นครูผู้เริ่มโครงการนี้ บอกว่า เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมกันเลยทีเดียว ในการรับรู้ถึงความสงบสำหรับครูและนักเรียน อย่างหนึ่งก็คือ ความสงบ เกี่ยวเนื่องกับพลัง ให้เห็นว่า ความสงบนั้นทำให้เกิดปิติ (savoured) และ อิ่มใจ (enjoyed)
ศาสตราจารย์ Mark Williams ผู้อำนวยการของศูนย์สมาธิของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า โรงเรียนทอนบริดจ์เป็นโรงเรียนแรกที่เข้ามาแนะนำ สอนหลักสูตรการนั่งสมาธิด้วยการปฏิบัติจริง ซึ่งต่างออกไปจากการสอนที่เป็นแค่บทเรียน ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนการนับถือศาสนาไปเป็นชาวพุทธ แต่ผลที่พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ว่าการปฎิบัตินั้นมีประโยชน์ แล้วทำไมเราต้องปฎิเสธ (การนั่งสมาธิ) ด้วยล่ะ”
Andrew McCulloch ผู้บริหารสูงสุดของสมาคมสุขภาพจิต กล่าวว่าการฝึกสมาธิทำให้โอกาสที่จะช่วยให้หลีกเลี่ยงความซึมเศร้าและอาการวิตกจริตไปได้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต
จะเห็นว่านักวิชาการเหล่านั้นเขามองเห็น การปฎิบัติจริง นำไปสู่ผลที่ได้จริง เท่ากับว่า เขาเลือกเอาชิ้นปลามันไปได้ แถมบอกว่านั่นคือวิทยาศาสตร์นะ ก็ไม่ว่ากัน การที่บอกให้รู้ว่าการนั่งสมาธิมีประโยชน์มากมายขนาดนั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา.....ทีนี้ การเรียนของเขาเป็นอย่างไร การเรียนการสอนใช้แค่ 40 นาที ต่อสัปดาห์ และใช้เวลานั้นฝึกการนั่งสมาธิ ในตอนเย็นก่อนที่จะทำการบ้าน
สัปดาห์ที่ 1 - ฝึกจิตให้นิ่ง โดยให้เพ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหมือนกับการฝึกสุนัขให้นิ่ง(Puppy Training : First steps in focusing attention)
สัปดาห์ที่ 2 - เข้าสู่ความสงบ โดยสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในใจ และให้จิตเป็นสมาธิ (Turning Toward Calm : Establishing calm and concentration)
สัปดาห์ที่ 3 - กลับมาที่ความรู้สึกรู้ตัว พิจารณาอารมณ์ และการตระหนักรู้ (Coming to Your Senses : Recognizing rumination and coming home to the body)
สัปดาห์ที่ 4 - อยู่กับปัจจุบันขณะ พัฒนาการรู้ตัวทั่วพร้อม ณ ปัจจุบัน ให้เกิดขึ้นในทุกๆวัน (Being Here Now : Developing present moment awareness in the every day)
สัปดาห์ที่ 5 - ทำอย่างช้าๆ และไปเรื่อยๆ โดยดำเนินกิจกรรมต่างๆในชีวิตอย่างช้าๆ และมีความสุข รวมถึงการเดินด้วย (Slowing and Flowing : Slowing and savouring activities, including walking)
สัปดาห์ที่ 6 - ถอยห่างเพื่อมองดู คือถอยออกจากความคิดที่เกิดขึ้นฉับพลัน แล้วดูความคิดที่เกิดขึ้นนั้น ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล (Stepping Back : Stepping back from thoughts that hijack you)
สัปดาห์ที่ 7 - เต็มใจรับอุปสรรคที่เข้ามา ยอมรับและอยู่กับสภาพอารมณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข (Befriending the Difficult : Allowing, accepting and being with difficult emotions)
สัปดาห์ที่ 8 - ไตร่ตรองเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต และหาวิธีจัดการด้วยตนเอง (Pulling it all Together : Looking back and making it personal)
ถ้าเราอ่านหลักการปฎิบัติอย่างช้าๆ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลยจากการที่เราปฎิบัติกันอยู่ เวลาไปปฎิบัติธรรม ทำไมฝรั่งถึงตื่นเต้นกันนัก เราเองก็ต้องหันมาดูวิธีการสอนกันใหม่ได้แล้วหรือยัง ความหวังเรื่อง “บวร” คือ บ้าน วัด โรงเรียน ดูท่ายังไม่ถึงเป้าหมายใช่มั้ยคะ

รอบรั้ว พระพุทธศาสนา อิทธิบาท 4

Tuesday, August 24, 2010

บางครั้งเราจะเห็นว่า มีงานหลายอย่างที่เราทำไม่เสร็จ อย่างเช่นการบ้าน ซึ่งมีหลายวิชา ส่งทันเวลาบ้าง ไม่ทันบ้าง ไม่ได้ทำเลยก็มี ผลสุดท้ายบางทีก็ลอกเอาของเพื่อนส่งคุณครูไป คงจะไปตรงกับใครสักคนแน่นอนในห้องนี้ ในขณะที่บางคนสามารถส่งงานทุกชิ้น ตามที่คุณครูสั่งเอาไว้ได้ทันเวลา ไม่มีที่ติ....เอาละ อีกซักตัวอย่าง...อยากได้ตุ๊กตาตัวนี้จังเลย...มันสวยเนาะ..ตาโต๊ โต...อืออ...ชุดก็สวย...แต่คุณแม่คงจะไม่ซื้อให้แน่...แล้วจะทำอย่างไรดี?....เรื่องอย่างนี้ที่เป็นปัญหา สามารถแก้ได้หมดทุกอย่าง ถ้าเธออยากทำการบ้านให้เสร็จทันทุกวิชา...ถ้าเธออยากได้ตุ๊กตา...ถ้าเธออยากสอบผ่านชั้นนี้ไป...ถ้าเธออยากเป็นหมอ...เป็นนักดนตรี...หรือจะทำงานสิ่งใดก็ได้ ให้สำเร็จสมประสงค์....ก้มหัวมา ครูจะเสกคาถาให้...เพี้ยง สำเร็จมั้ย....ไม่สำเร็จหรอกค่ะ ที่เห็นคือน้ำลายบนหัวของเธอเท่านั้น แต่ครูมีคาถาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เป็นคาถาของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ชี้แนะเอาไว้แล้ว ถ้าทำตามที่บอกเอาไว้ เธอจะชนะทุกอย่าง คาถานั้นคือ อิทธิบาท 4 นั่นคือ “ขอให้ทุกคนมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แล้วทุกๆอย่างจะเป็นผลสำเร็จ....” พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์เอาไว้ว่า “ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาท 4 ประการนี้ ทำให้มาก ให้ชำนาญดีแล้ว หากผู้นั้นประสงค์ จะดำรงชนมายุอยู่นาน เขาก็จะพึงตั้งอยู่ได้ ถึงกัปป์หนึ่งหรือเกินกว่านั้น” เห็นหรือยังว่าอิทธิบาท 4 นี่สำคัญขนาดไหน ถ้าคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ ก็จะออกมาว่า Four pathways to success แปลว่าทางไปสู่ความสำเร็จ 4 ทาง อิทธิ แปลว่า ความสำเร็จ (Success) บาท แปลว่าหนทาง (path หรือ pathway) อิทธิบาท เลยแปลว่า “ทางสู่ความสำเร็จ”.....แล้วในความขลังนั้นมีอะไรบ้าง

ฉันทะ- ความพอใจ เราต้องสร้างความพอใจ ใฝ่ใจกับสิ่งที่เราจะทำนั้นอยู่เสมอ เมื่อก่อนไม่ชอบคณิตใช่มั้ย เปลี่ยนใหม่ ลองเผชิญหน้ากันดู มันมีดีอะไรบ้าง ทำความเข้าใจกับมัน อยู่กับมันบ่อยๆเข้า แล้วก็จะเข้าใจ โจทย์ตัวนี้ทำไม่ได้ ถามเพื่อน ถามคุณครู ให้คนอื่นเจาะให้ดู แล้วเราก็จะเห็นว่ามันเป็นอย่างไร จากนั้นก็จะแก้โจทย์ได้เอง ยกเว้นคุณครูตั้งโจทย์มาผิด เรื่องตุ๊กตาก็เหมือนกัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตุ๊กตา อยู่ที่คุณแม่ ทำอย่างไรจะให้คุณแม่ใจอ่อนลงมา ปัญหาอยู่ตรงนี้ แก้ได้มั้ย แก้ได้ค่ะ...เชื่อฟังคุณแม่ไว้ก่อน ช่วยงานบ้าน ขยันเรียนให้มากขึ้น คะแนนที่เราทำที่บ้านเพิ่มขึ้นแน่ๆ...คือทำให้คุณแม่พอใจขึ้นมา

วิริยะ – ความเพียร คือขยันเข้าไว้ หมั่นฝึกปรือฝีมือเอาไว้ ดูเด็กที่เล่นเกมส์เป็นตัวอย่างก็ได้ เล่นแพ้มาไม่รู้สักกี่เที่ยว ก็พยายามอยู่นั่นแหละ ตายแล้วตายอีก ถ้าเอาศพมากองในห้องเล่นเกมส์คงจะล้นห้องออกมา แต่เขาก็สู้เล่นจนชนะเกมส์นั้นได้ ขยันจนมีความชำนาญ คณิตก็เหมือนกัน...ครูจะยกคณิตขึ้นมาเรื่อย....เอ้า นั่งสมาธิก็เหมือนกัน...ครั้งแรกอาจปวดเมื่อยขา...แต่พอนานๆมันก็จะหายไปเอง ดูพระที่แก่พรรษานั่งดูซิ เป็นชั่วโมงๆ ไม่เห็นขยับตัวเลย ความชำนาญที่มาจากความเพียร...ตุ๊กตาที่หวังเอาไว้ก็เช่นกัน...เราก็ต้องเพียร ช่วยงานบ้านคุณแม่ ปากหวานๆเข้าไว้...เดี๋ยวคุณแม่ก็อ่อนลงเอง

จิตตะ – ใจจดจ่อในงาน คือ ตั้งจิตให้มั่นว่า เราทำอะไรอยู่ จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น มันไม่เครียดหรอก เพราะเราหวังผลเป็นเลิศอยู่แล้ว อย่าปล่อยใจล่องลอยไปที่อื่น นั่งสมาธิก็เหมือนกัน จิตตะ คือการตั้งสมาธินั่นเอง เป็นการเสริมพลังให้กับ ฉันทะ กับ วิริยะเข้าไปอีก...เห็นมั้ย เริ่มขลังขึ้นไปอีก การนั่งสมาธิ ก็จะนานขึ้น การแก้โจทย์คณิตก็จะแจ่มแจ้งขึ้น เพราะใจไม่วอกแวก มีสมาธิในการแก้โจทย์ได้มากขึ้น...เรื่องตุ๊กตา ก็คงจะไม่ไปไหนแน่นอน เพราะการเอาใจใส่ต่องานของคุณแม่ให้มากขึ้น ไม่ทำจานแตก...แถมยิ้มหวานๆให้มากขึ้น...มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณแม่ก็พร้อมที่จะล้วงกระเป๋าเอาตังค์ให้แล้วละ

วิมังสา – ความไตร่ตรอง คือ การหมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผลและตรวจสอบข้อเสีย หรือหย่อนยานในการทำสิ่งนั้น และคิดค้นวิธีแก้ไขข้อผิดพลาด จนถึงปรับปรุงให้ดีขึ้น เห็นมั้ย จนที่สุดเราก็มาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไม่สำเร็จงานที่ทำเอาไว้เรายังมีเวลาที่แก้ไขได้อีก ปรับปรุงให้ดีขึ้น อย่าลืมว่านี่คือ คาถาของพระพุทธเจ้าที่มีมากว่า 2500 ปีมาแล้ว...ถ้าเธอทำตามนี้ได้ทุกข้อ คณิตศาสตร์ หรือวิชาใดๆ...มันหมูๆไปหมด นั่งสมาธินั่นหรือ...ของเราต้องงดงามแน่นอน ตัวตั้งตรง หลังตรง ตาพริ้มๆ นั่งได้เป็นชั่วโมงทีเดียว...(ครูหวังเอาไว้นะ)...ส่วนตุ๊กตานั่น คุณแม่เตรียมตัวควักตังค์ตั้งแต่ข้อ จิตตะแล้ว...ถึงตอนนี้ถ้ายังไม่ได้ ก็ลองถามอีกทีดู เผื่อว่าอาจต้องรอถึงสิ้นเดือนนะคะ....แต่ครูว่า อย่าเล่นกันมากนักเลย ทั้งเกมส์ทั้งของเล่น เก็บเงินเอาไว้ใช้วันหน้าดีกว่า พวกเธอยังต้องเรียนต่ออีกหลายปี นะคะ เอาบทกลอนไว้อ่านเล่น ต้องขอโทษเจ้าของบทกลอนด้วย เพราะเก็บมานาน จนจำไม่ได้ว่าเอามาจากไหน

ฉ้นทะ-คือ มีใจ ในสิ่งนั้น
รักชอบมัน หัดย้ำ ทำนิสัย
วิริยะ-พากเพียร เรียนด้วยใจ
ขยันไว้ อย่าหน่าย พ่ายตัวตน
จิตตะ-ฝึก ตั้งใจ ให้แม่นมั่น
มุ่งฝ่าฟัน ความลำเค็ญ ให้เห็นผล
วิมังสา-หมั่นตรอง ลองตรวจตน
ว่าตกหล่น พลาดไป ตรงไหนกัน
นี่คือสูตร สำเร็จ ผลเด็ดขาด
ไม่พลั้งพลาด อัปรา ถ้ามุ่งมั่น
พุทธองค์ ตรัสไว้ นัยสำคัญ
เช้าตื่นพลัน ตั้งใจทำ จำไว้เอย

...

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอน 1/5)

Wednesday, August 18, 2010

เรามักที่จะได้คบเพื่อนที่เจออยู่เสมอ เพื่อนข้างบ้าน เพื่อนที่โรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลเป็นต้นมา มีทั้งรักทั้งชัง อยากพบอยากเจอ และไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อถึงก็มี นั่นเป็นเพื่อนของเราทั้งนั้นจะสบอารมณ์หรือไม่ก็ยังต้องเห็นหน้าเห็นตาอยู่เสมอ แต่รู้หรือไม่คะ เรายังมีเพื่อนที่เรามองไม่เห็นตัว ไปไหนๆกับเราทั้งวัน ทั้งปี ตามติดกันอยู่ทุกเวลา แถมยังบอกเราสารพัดให้ทำโน่นทำนี่ ให้ตามใจเขาตลอดเวลา....ไม่น่าเชื่อ...ว่าเราจะทำตามทุกอย่าง หรือแทบทุกอย่างเชียวละ...บางทีเราเองนั่น ที่ต้องขัดใจกับคุณแม่ หรือคุณพ่อ เพราะต้องตามใจเพื่อนที่คอยแอบมากระซิบเราคนนี้....รู้ไหมคะ ว่าเพื่อนที่คอยตามเราตลอดเวลานี้คือใคร...จะบอกให้ เขาชื่อ “นายกิเลส”ค่ะ นายคนนี้มีอยู่ทั่วไป เยอะเสียด้วย เคยรบกับพระพุทธเจ้าของเรามาแล้ว แม้จะแพ้ราบคาบ แต่ก็ยังมีนายกิเลสแบบนี้เดินว่อนอยู่ทั่วโลก บางคนโดนนายกิเลส “จูงจมูก”เสียด้วยซ้ำ...แหม...ไม่น่าดูเลยใช่ไหมคะ นายกิเลสนี่มาหาเราได้หลายรูปแบบ ต่างๆกันไปตามสถานะการณ์ แล้วแต่ว่าเราจะไปเจออะไร...นายกิเลสนี่จะบอกเราทันที ยังกับว่าเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น อย่างเช่น เราไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า ที่นี่นายกิเลสมักชอบไปอยู่แล้ว แค่เราเดินไปไม่นาน เห็นตุ๊กตาหมีวางอยู่...แหม..อืออ..มันสวยจังนะ หรือถ้าไปเห็นรองเท้าเข้าสักคู่ แหม...อูววว์ มันสวยจังนะ...เพือนที่ชื่อนายกิเลสก็เข้ามาทันที นายคนนี้มาในนามชื่อ “โลภะ”....จะเข้ามากระซิบทันที.."อยากได้นะ"
พอนายโลภะบอกแค่นี้แหละค่ะ...เราจะหันไปหาคุณพ่อคุณแม่ทันที.. “แม่ หนูอยากได้ตัวนี้....” จะได้ซื้อหรือไม่ได้นั่นเป็นเรื่องที่ต้องต่อรองกับคุณแม่ต่อไป แต่นายโลภะทำงานเขาสำเร็จแล้ว เอาละค่ะ ครูจบเรื่องนายโลภะเอาไว้แค่นี้

เราเดินไปสักครู่ ไปพบกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน นายคนนี้มักแกล้งเราประจำ สับที่วางรองเท้าเราให้เราเดินหา แอบกระซิบนินทาเรา แถมแอบยิ้มกับคนที่เราชอบๆเสียอีก...นายกิเลสที่มาในชื่อ “โทสะ” ก็เข้ามากระซิบทันที “จัดการเสียซิ”...เราโดนควบคุมโดยนายโทสะเสียแล้ว...แต่..โชคดีที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้คุณพ่อกับคุณแม่เสียใจ นายคนนั้นเกิดเดินพลาดตกบันได...แหม..สะใจ..แต่นั่นถ้าเราคิดอย่างนั้น เท่ากับว่าเราตกอยู่ในความครอบครองของนายโทสะ จนไม่สามารถออกมาจากการควบคุมได้เลย..เรียกว่านายโทสะนี่เข้ามาอยู่กับเราตลอดเวลา ถ้าเป็นไฟก็เรียกกันว่า “ไฟสุมทรวง”กันเลยละ..ไม่มีความสุขหรอกค่ะ เอาละค่ะ วันนี้รู้จักนายกิเลสแค่ 2 ตน ที่มากระซิบข้างหูเรา วันหน้าครูจะมาพูดต่อ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:29 PM

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอน 2/5)

วันนี้เราพบกับเพื่อนที่ชื่อนายกิเลสเพิ่มอีก จะดูว่าพอจะแฉเล่ห์กลของนายกิเลสว่าจะมาไม้ไหนอีก บางทีนะคนเราบางคนรู้ตัวว่าการกระทำบางอย่างนี่มันผิด อย่างเช่นแม่บอกว่า “อย่าเล่นเกมส์มากเกินไปนะลูก เดี๋ยวจะเสียการเรียน” เราเองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าถ้าไม่ใส่ใจในการเรียนแล้ว การเรียนจะตกต่ำ ดีไม่ดีอาจสอบตก ต้องเสียเวลาไปสอบแก้ ต้องไปเรียนซ่อมเสริม ผลร้ายก็พอจะเดาเอาเองได้ หรือรู้อยู่แก่ใจ แต่เรามีเพื่อนไม่ดีที่มากระซิบว่า “ไปเล่นเถอะ ไม่เป็นไร แม่ไม่รู้หรอก” เพื่อนคนนี้ชื่อ “โมหะ”ค่ะ เป็นหน้าหนึ่งของนายกิเลส...เราเองต้องมีสติให้ดีนะคะ นายโมหะนี่น่ากลัวนะคะ แน่นอนว่าการเรียนต้องตกต่ำแน่นอน ถ้าเราตามใจนายคนนี้ไป หรือบางทีเราอาจจะเห็นคนที่ดื่มเหล้า นั่งดื่มกันแล้วส่งเสียงเอะอะ คุยกันเสียงดัง คนที่นั่งดื่มกันอยู่นั่น รู้กันเต็มอกนะ ว่าเหล้านี่มันไม่ดี ทำลายสุขภาพ ผิดศีลเป็นของแถมอีก นอกจากจะมีโรคตับแข็ง และอาจถึงตาย แต่ก็ยังนั่งดื่มกัน นั่นเพราะไม่สามารถควบคุมสติได้ ปล่อยให้นายโมหะเข้ามา แล้วกระซิบบอก “ไม่เป็นไร เพื่อนๆรอกันอยู่ เดี๋ยวจะเสียเพื่อนไปนะ ไปสนุกกันเถอะ”...น่ากลัวนะคะ....เอาละเราจะเลิกพูดเรื่องนายโมหะไว้แค่นี้ก่อน เพราะนายกิเลสอีกหลายๆหน้าจะแวะเวียนมาหาเรา ทีนี้เรามาดูตัวเราเองบ้าง บางทีเราเองนั่นแหละ เป็นตัวเชิญชวนนายกิเลสเข้ามาหา อย่างเช่นเราเห็นเพื่อนใส่ชุดใหม่มา เราหันไปมองแล้ว นึกในใจว่า ไม่เห็นจะสวยเลย...นั่นยังไม่เป็นไร แต่ถ้านึกต่อไปว่า ของเราสวยกว่า...ของเราดีกว่าเสียอีก...นั่นเป็นการเชิญนายกิเลสที่ชื่อ “มานะ”เข้ามาทันที นายมานะจะบอกว่า “ใช่..ของเราสวยกว่าเสียอีก ซื้อชุดนี้มาได้อย่างไร ตาไม่ถึง ไม่ทันสมัยเอาเสียเลย”....นายมานะคนนี้คนละคนกับนายมานะอีกคนนะ ที่จะเป็นคนที่อุตส่าห์บากบั่นทำงาน ที่เราจะได้ยินคนพูดกันว่า มานะบากบั่น อย่าไปสับสนกันนะคะ นายมานะที่เป็นกิเลสนี่ ทำให้เราเป็นคนหลงผิดว่าเราเสมอเขา เราดีกว่าเขา ซึ่งจะทำให้เราทุกข์ใจอยู่คนเดียว แบบเงียบๆ น่าสงสารนะคะถ้าเป็นคนที่ถูกนายมานะเข้าควบคุม เอาละค่ะ วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ครูขอทบทวนสักนิดนะคะว่านายกิเลสที่พูดไปนั่นมี 4 ตนแล้ว และนิสัยของทั้ง 4 ตนนั้นคืออะไร
1.นายโลภะ มีนิสัย อยากได้โน่น อยากได้นี่
2.นายโทสะ เป็นคนชอบคิดประทุษร้าย
3.นายโมหะ เป็นคนหลงผิด ความเขลา
4.นายมานะ เป็นที่มีความถือตัว ว่าจะต้องดีกว่าคนอื่นเสมอ

ไม่มีดีเลยสักคนใช่มั้ยคะ เวลาพวกนี้มาหา ต้องรู้เท่าทันนะคะ อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด เราต้องรู้จักกับกิเลสพวกนี้ พร้อมยิ้มรับเมื่อมาหาเรา และบอกไปว่า “ฉันรู้จักพวกนายนะ ดีแล้วที่มาเป็นเพื่อน ที่ช่วยเดินตาม...อย่างน้อยก็ทำให้ไม่เหงา”....



Posted by ครูพเยาว์ at 8:25 PM

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอน 3/5)

วันนี้จะมาพูดถึงนายกิเลสที่จะมาหาเราอีกรูปแบบหนึ่ง ชื่อ “ทิฎฐิ” น่าแปลกอยู่ที่นายคนนี้มาหาเราในรูปที่ ดีก็ได้ ร้ายก็เป็น...เราเองต้องคิดตัดสินใจเอาตอนที่เราจะทำอะไร อย่างเช่น จะช่วยเหลือเพื่อนตอนที่เขามาร้องขอ ซึ่งเราเองอาจช่วยก็ได้ ไม่ช่วยก็ได้ ถ้าเราช่วยก็เท่ากับว่าเราสร้างกรรมดีเอาไว้ “ทำดีนั่นแหละดี” นายทิฎฐิที่มาในรูปของกิเลสที่ดี หน้าตายิ้มๆมา เขาชื่อ “สัมมาทิฎฐิ”ค่ะ...แต่ถ้าเรากลับคิดว่า..เรื่องอะไรที่ฉันจะไปช่วยเธอ..เธอเองก็ไม่เคยช่วยอะไรฉันเลย นายทิฎฐิอีกคนก็จะเข้ามาเข้าข้างเรา เสริมเข้าไปอีกว่า ...ใช่ ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป อะไรอย่างนี้...นายทิฎฐิคนนั้นชื่อ “มิจฉาทิฎฐิ” มายืนหัวเราะสมน้ำหน้าไปด้วย นายมิจฉาทิฎฐินี่อันตรายมากนะคะ ว่ากันว่าถ้าเราเชื่อนายนี้ และถ้าตายไปจากโลกนี้ ก็ต้องลงนรกแน่นอน และถึงแม้จะยังมีชีวิตอยู่ก็เท่ากับลงนรกไปแล้วด้วย เพราะเขามักชักชวนเราให้หลงผิดไปว่า บุญไม่มี บาปไม่มี ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วก็ไม่ได้ชั่ว กลายว่าเราจะเป็นคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลก แม้ยามเราลำบากก็จะหาใครมาช่วยได้ แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นตอนที่เรายังลังเลใจ...จะเชื่อใครดีน้า....ระหว่างสัมมาทิฎฐิกับมิจฉาทิฎฐิ...เกิดความไม่แน่ใจ...เกิดความสงสัย...เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าถ้าเราทำดีแล้วจะดีมั้ยน้อ...ถ้าไม่ทำแล้วจะดีมั้ยน้อ...ชักไม่แน่ใจขึ้นมา ตอนที่คิดอยู่นี่ นายกิเลสมาในนามของ “วิจิกิจฉา” ก็เข้ามาจับความคิดเราพลิกไป พลิกมา ดีมั้ยน้อ...ดีหรือเปล่าน้อ...น่าจะอย่างนั้นน้อ....น่าจะอย่างนี้น้อ....ถ้าเราเกิดปัญญาขึ้นมา และถ้าคิดได้ว่า ทำดีนั่นแหละดี นายวิจิกิจฉาก็จะหายตัวไปทันที...ครูรู้ว่าอธิบายเรื่องนี้ได้ลำบากมาก แต่ก็เอาเถอะ...พอให้พวกเธอได้เห็นรูปเห็นร่างเบื้องต้นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว การเรียนพระพุทธศาสนานั่น ยิ่งเรียนยิ่งสนุกนะคะ เพราะการอ่าน การทำความเข้าใจ จากนามธรรมให้เป็นรูปธรรมนั่น มันยากที่จะอธิบาย นอกจากจะนั่งฟังพระที่เทศน์เก่งๆ เป็นชั่วโมงได้ วันนี้พอแค่นี้ก่อนค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:23 PM

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอน4/5)

วันนี้จะมาพูดเรื่องของนายกิเลส ที่จะเข้ามาข้องแวะกับเราเพิ่มอีก มักมาหาเราตอนที่เรากำลังหมดกำลังใจ....ทำการบ้านก็ไม่ทัน คณิตก็เยอะ วิทย์ก็แยะ แถมชั่วโมงพละก็ทำให้เหงื่อแตกท่วมตัวมา เสื้อแฉะ ยังต้องมานั่งฟังคุณครูพเยาว์สอนนั่งสมาธิอีก...โอ๊ววว เกิดอาการท้อแท้ ถดถอยในอารมณ์....น่าสงสารนะคะ... แต่รู้มั้ยคะ ตอนที่เกิดอาการอย่างนั้นขึ้นมา จะมีกิเลสตนหนึ่งขึ้นมานั่งบนบ่าเราเลยละ เราจะนั่งก้มห้ว ไหล่ห่อ ตัวงอ หน้าตาไม่ยิ้มแย้ม หน้าจะหมอง ตาจะเศร้า เรียกว่าเกิดความหดหู่ใจ ตัวกิเลสตนนั้นชื่อ “ถีนะ” นายกิเลสตัวนี้จะมาบอกว่าขอขี่คอเธอทีนะ... เขาก็ทำให้เธอหนักอกหนักใจ แต่....ต้องมีแต่อีกละค่ะ...ถ้าเราขยัน พยามยามขึ้นอีก ตั้งตัวให้ตรง เชิดหน้าขึ้น...หนูจะขยันขึ้น ตั้งใจเรียนให้มาก จะทำการบ้านให้เสร็จ ถึงไม่ต้องเอาผ้ามาโพกหัวแบบเด็กญี่ปุ่น ตอนตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง...เธอก็ทำได้ ตอนที่เธอตั้งตัวตรง เชิดหน้า สัญญากับตัวเองว่าจะขยันเพิ่มขึ้นอีกนั่น นายถีนะก็ตกจากบ่าของเธอ...บาดเจ็บจนไม่สามารถขึ้นมานั่งบนเธอได้อีก...แล้วเธอก็จะสำเร็จในการเรียน เธอก็จะยิ้มออก คุณครูก็จะดีใจกับเธอ คุณพ่อคุณแม่ยิ่งจะดีใจ...แต่อย่าเพิ่งดีใจกับความสำเร็จนี้ไปมากนัก เรายังต้องเจอกับกิเลสอีกหลายตัว ที่ทำให้เราเดินสู่จุดเป้าหมายไม่สำเร็จ ในต่างรูปแบบ อย่างเช่นเมื่อเธอทำให้นายถีนะหลุดออกไปแล้ว ก็กลับมาบ้านตั้งใจอย่างเต็มที่ ที่จะทำการบ้าน รื้อหนังสือออกมาทั้งหมด แต่จะเริ่มวิชาไหนดีน้อ....คณิต...วิทย์...แล้วก็คิดต่อ...วันก่อนไปกับคุณแม่...เห็นตุ๊กตาตัวนั้น...มันสวยนะ...อีกตัวที่อยู่ข้างๆมันก็สวย...ดูๆไปสวยกว่าตัวที่เราได้มาเสียอีก...แต่เอ๊.....มีคนแอบมองเราอยู่ด้วย...เป็นใครกันน้อ...ไปแล้วค่ะ...อย่างนี้เขาเรียกว่าความฟุ้งซ่าน เธอกำลังปล่อยให้นายกิเลสที่แอบยิ้มอยู่เข้ามาหาเธอแล้ว...ตอนที่เธอคิดว่าเป็น ใครกันน้อนั่นแหละ นายกิเลสที่ชื่อ “อุทธัจจะ” เข้ามานั่งในความคิดเธอแล้ว และจะพาเธอไปทุกที่...ผลสุดท้าย การบ้านก็ไม่เสร็จ มัวแต่ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเอง เป็นใครกันน้อ...อยู่นั่น คนที่จะมาช่วยเธอได้ตอนนี้รู้มั้ยว่าใคร....สติค่ะ...ตบมือดังๆ ไล่นายอุทธัจจะออกไปจากความคิด นายคนนี้ก็หายไปแล้ว เขากลัวเสียงดัง เขามักเล่นทีเผลอกับเรา และจะทำอย่างนี้ตลอด เข้ามาหา พอตกใจแล้วหนี ถ้าจะให้หายไปเลยเราก็ทำได้...ทำอย่างไรหรือ...สมาธิค่ะ...นายอุทธัจจะจะแพ้สมาธิอย่างราบคาบ...ถ้าเธอตั้งใจเรียน ทำการบ้าน เอาสมาธิเข้ามาช่วย ใจจดจ่อกับบทเรียน ครูรับรองได้เลยค่ะว่า นายอุทธัจจะ จะไม่เดินเฉียดเข้ามาใกล้เลย...

Posted by ครูพเยาว์ at 8:16 PM

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอนจบ)

ครูได้พูดถึงกิเลสให้ฟังมา 8 ตัวแล้ว จะสรุปหน่อยว่ามีอะไรบ้าง
1)โลภะ ความยินดีพอใจในโลกียอารมณ์ต่างๆ
2) โทสะ ความโกรธ ความไม่พอใจ
3) โมหะ ความหลง ความโง่
4) มานะ ความเย่อหยิ่ง ถือตัว
5) ทิฏฐิ ความเห็นผิด
6) วิจิกิจฉา ความสงสัยลังเลใจในสิ่งที่ควรเชื่อ
7) ถีนะ ความหดหู่
8) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน

ทีนี้จะมาพูดเพิ่มอีก 2 ตัว การยกตัวอย่างจะเปลี่ยนไป เพราะพวกเธอยังเด็ก กิเลสพวกนี้ยังจะไม่กระโดดเข้ามาหาพวกเธอ ครูอยากให้ย้อนหลังไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา ความวุ่นวายในทางการเมือง ความเสียหายที่เกิดขึ้น การไล่ล่า การทำร้าย ยิงกัน เผาบ้านเผาเมืองกัน แม้ในบ้านเรา อุดรธานี ก็โดนเผาไปด้วย ทั้งศาลากลางสำนักงานเทศบาล คนที่ทำการอย่างนั้นได้ ก็เกิดจากกิเลสหลายๆตัวเข้ามารวมกัน บังคับให้ทำไป เอาตัวอย่างแรกไปก่อน เผาศาลากลาง ซึ่งเป็นที่ทำงานของข้าราชการ อาคารเก่าแก่ ควรที่จะอนุรักษ์เอาไว้ คนเหล่านี้ยังกล้าเผา การเผานั้นเป็นการทำชั่ว ทำลายทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ซึ่งก็เป็นของเราทุกคน เงินทองที่ใช้ในการก่อสร้างขึ้นมา ก็มาจากภาษี ที่เอาจากพวกเรานั่นแหละ ตัวกิเลสอะไรที่เข้าครอบงำจิตใจของคนเหล่านั้นได้ มันมาสองตัวเลยละค่ะ ตัวแรกชื่อ “อริกะ” ใครโดนนายนี้เข้าครอบงำแล้วละก้อ จะไม่มีความละอายในการกระทำบาป ทำชั่ว ไม่ละอายต่อทุจริต ในใจพวกนั้น ในขณะนั้นคือเผาอย่างเดียว ตัวกิเลสอื่นๆที่ครอบงำอยู่ ไม่ว่า โทสะ โมหะ ต่างก็ร้องใชโย สะใจอยู่อื้ออึง พวกนี้ในที่สุดก็โดนครอบงำด้วยตัวกิเลสอีกตัวที่ชื่อ “อโนตัปปะ” กิเลสตัวนี้จะทำให้เร่าร้อน ไม่เกรงกลัวผลในการกระทำบาป ทำชั่ว ไม่สะดุ้งกลัวต่อทุจริต” ไม่กลัวอะไรเลย จนในที่สุด ตำรวจก็มาไล่จับได้ แก้ตัวกันต่างๆนาๆ ซึ่งก็สายไปเสียแล้ว ครบแล้วนะคะ กิเลส 10

“หมายเหตุ” ครูอยากจะหมายเหตุเอาไว้ เรื่องกิเลส 10 ที่เขียนไปนั้น อาจไม่ตรงนักสำหรับตัวอย่างที่พูดออกไป แต่นั่นก็พอที่จะให้เด็กชั้นประถมพอจะเห็นรูปร่างอย่างเลาๆ จึงขอทำความเข้าใจไว้สำหรับท่านผู้รู้ นักศึกษา

Posted by ครูพเยาว์ at 8:02 PM

รอบรั้ว บ้านแห่งความเหลื่อมล้ำ

Friday, July 2, 2010



ครูมีโอกาสได้ไปชนบทบ่อยๆ ไปวัดที่อยู่ห่างไกล ไปในที่ๆความเจริญยังไปไม่ถึง จึงได้เห็นความแตกต่างของสังคมอย่างชัดเจน ความรุ่มรวย ฟุ้งเฟ้อของคนเมือง ความแร้นแค้นของคนบ้านนอก...มันช่างต่างกันยังกับอยู่คนละประเทศ และเรายังคงต้องอยู่กันแบบนี้อีกนาน....ไม่น่าแปลกใจที่เดี๋ยวนี้ เราจะพูดถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งแท้จริงแล้ว คงจะไม่ใช่เพียงแค่นั้น ความเหลื่อมล้ำกันในด้านการศึกษา, ในด้านจริยธรรม-คุณธรรม, ด้านสาธารณูปโภค และ ฯลฯ ล้วนแต่จะทำให้เรายิ่งแตกต่างกันออกไป

ครูอยากจะพูดถึงเรื่องการศึกษา เพราะได้ไปเจอโรงเรียนขนาดเล็ก ที่อยู่ในถิ่นกันดาร แร้นแค้นไปเสียทุกอย่าง ถึงแม้ว่าทางรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณไปให้แล้ว ก็ยังไม่พออยู่ดี เพราะที่นั่นยังขาดสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพมาก ของแพงอย่างชนิดที่นึกกันไม่ถึง เพราะการขนส่งมันลำบาก ถนนหนทางไม่สะดวก ร้านค้าที่มีก็ต้องบวกค่าน้ำมันกับค่าซ่อมรถยนต์รวมเข้าไปกับค่าสินค้าไปด้วย โชคดีที่ไม่บอกว่าบวกค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเติมเข้าไปอีก เพราะขายแบบไม่มีใบเสร็จ เหตุที่คนที่นั่นอยู่กันอย่างปากกัดตีนถีบอย่างนั้น ทำให้การที่จะมาคิดถึงการศึกษาของลูกๆจึงหดหายไป เด็กที่จบประถมปีที่ 6 ออกมา 16 คน จึงมีโอกาสเรียนต่อแค่ 8 คน ครูลองสอบถามดูว่าทำไมไม่เรียนต่อกัน เหตุผลของคำตอบที่สำคัญคือไม่มีเงิน ไม่มีค่ารถ เพราะต้องออกไปเรียนในอำเภอ ค่าอาหาร ค่าชุดนักเรียน ซึ่งทั้งๆที่รัฐบาลออกให้แล้ว ชาวบ้านก็ยังบอกว่าไม่พอ สรุปออกมาว่า ให้ออกจากโรงเรียนแล้วมาช่วยทำงานหาเงิน ฟังแล้วเหนื่อยใจแทนอนาคตของประเทศไทยจริงๆ นี่คือจุดๆเดียว หมู่บ้านเดียวที่มีประชากรไม่ถึง 300 ครอบครัว และไม่มีใครใส่ใจหรือเหลียวไปมองปัญหานี้ หมู่บ้านแบบนี้ ข้นแค้นอย่างนี้ ครูว่ายังมีอีกมากในเมืองไทย และตราบใด ที่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องไม่เข้าไปสอดส่องดู หรือเอาใจใส่อย่างแท้จริง อนาคตของเมืองไทยคงจะประคองตัวไปแบบนี้ตราบนานเท่านาน

ปัญหาที่ครูพูดออกมาใช่ว่าจะเป็นความผิดของใครๆ แต่เป็นความโชคร้ายของเด็กๆ ที่เกิดมาอยู่ในที่อย่างนั้น สังคมแบบนั้น ค่านิยมแบบนั้น ครูได้เข้าไปดูสินค้าในร้านค้าซึ่งมีอยู่ไม่กี่ร้าน สินค้าหลักที่ขายเป็นหลักคือ เหล้าขาว เบียร์ บุหรี่ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ขายดี.....นั่นคือเหตุผลอย่างหนึ่งของการบั่นทอนค่าเล่าเรียนของเด็ก ผู้ปกครองซึ่งเป็นคนหารายได้เข้าครอบครัว ตกอยู่ในอบายมุข สิ่งเสพติดอย่างนี้เสียแล้ว จะมีอะไรเหลือไว้ให้กับอนาคตของลูกๆ....ครูก็ได้แต่ปลงอนิจจังค่ะ แต่ที่สำคัญคือเรามีหมู่บ้านแบบนี้อีกซักเท่าไหร่ในเมืองไทย

ภาพ// http://movie.mediathai.net/detailShow.php?mid=1185

รอบรั้ว บ้านเมือง ยามยักษ์ย่างเยือน

Friday, May 21, 2010






เมื่อวานซืน (19-5-53) เกิดเหตุเภทภัยมาถึงเมืองอุดรธานี สถานที่ราชการต่างๆโดนเผาจากพวกที่คลั่งแค้นใจ ไม่ได้ดั่งใจ หลังจากที่ลงทุนลงแรงประท้วงมาเป็นเวลานาน และตอนสุดท้ายก็ทำท่าว่าจะไปไม่รอด....ป้ายที่เขียนมาว่า “เราต้องการประชาธิปไตย” ก็กลายเป็นคบเพลิงเข้าไปจุดไฟเผาทุกอย่างที่ขวางหน้าให้เป็นจุลไป...ถามว่า แล้วประเทศไทยได้อะไรขึ้นมา...ไม่มีคำตอบค่ะ

ครูพูดถึงยักษ์...ยามยักษ์ย่างเยือน...อะไรคือยักษ์ในความหมายอันนี้...นายทุนค่ะ...เป็นนายทุนใหญ่ จะทำอะไรก็ต้องใหญ่ๆแบบยักษ์นั่นแหละ....เมื่อยักษ์มาเป็นนักการเมือง หรือเมื่อนายทุนมาเป็นนักการเมือง เรื่องมันจึงเกิด เพราะเขาไม่สามารถทำอะไรเล็กๆได้ เป็นปากเป็นเสียงให้เราไม่ได้หรอกค่ะ อย่าไปคิดคาดหวัง...เขาทำเพื่อตัวของเขาเองทั้งนั้น ตอนหาเสียงนั่นแหละที่เขาพูดว่า เขาทำงานให้ประชาชน ที่แท้เขาทำเพื่อตัวเอง เพื่องบประมาณแผ่นดิน เงินก้อนมาศาลนั้นมันเป็นอาหารของนักการเมือง....นักการเมืองที่เราเลือกเข้าไปนั่นแหละ เราเองต้องยอมรับความจริง นักการเมืองที่เอาเงินมาให้ 500-1000 บาท เพื่อแลกกับคะแนนเสียง เราเคยถามกันไหม ว่าเงินที่เอามาให้นั้น “ท่านได้จากใดมา”....ก็คงไม่ต้องหวังว่าเขาจะตอบ “เราโกงกินมา จึ่งให้” เพราะเราไม่สนใจ ไม่คิด บ้านนี้เมืองนี้จึงมีนักกินเมืองเข้าสภาไปมากมาย....เพราะการไม่มีศีลธรรมในเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสนับสนุนโจร ยักษ์ นักกินเมืองเข้าปกครอง...คนส่วนหนึ่งก็เปรียบเหมือน ผีบ้าน ผีเรือนที่สนับสนุนยักษ์ให้เข้ามาครองเมือง....ผลที่ได้ เห็นกันจะๆ คือเมื่อยักษ์ไม่พอใจขึ้นมา บ้านเมืองก็พินาศ จังหวัดต่างๆที่เขามีผีบ้าน ผีเรือนก็เริ่มทำตามนายยักษ์สั่ง...ในยามนี้เราจะเห็นด้ำ....ที่เราเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เคยพูดไว้ “ผีซ้ำ ด้ำพลอย”...นักการเมืองในคาถาของยักษ์ก็จะเข้ามาเป็นด้ำ เป็นผู้นำผีร้ายในทันที....เผาบ้าน..เผาเรือน

ครูเข้าไปดูที่เทศบาลนครอุดรธานี เห็นซากปรักหักพังแล้วก็หดหู่ใจ มันเป็นทรัพย์สินของเรา ทุกบาททุกสตางค์ที่รวบรวมกันมาจากทุกคน แล้วช่วยก่อสร้างกันขึ้น โดนทำลายไปชั่ววันเดียว จากผีบ้าน ผีเรือนที่แค่สิงอาศัยอยู่ ศาลากลางจังหวัด ครูไม่ได้เข้าไปดู เพราะเห็นทหารเอารั้วลวดหนามมากั้นไว้ทุกทิศทุกทาง คิดว่าคงจะเสียหายมากกว่าเทศบาลแน่ๆ...ฟังจากชาวบ้าน ครูและพนักงานเทศบาลที่รวมกลุ่มกันพูดคุยกัน ได้ยินว่าพวกนั้นจะไปเผาโรงเรียนอุดรพิทยาด้วย เท็จจริงอย่างไรไม่รู้ เพราะแค่ได้ยินก็สลดใจแล้วค่ะ รอบๆอาคารเทศบาลจะเห็นคนรุ่นใหม่ๆของเราเข้ามาดูแล ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ของเทศบาล เทศกิจ ตำรวจ ทหาร ดูแล้วแต่ละคนยังเป็นเด็กรุ่นใหม่ทั้งนั้น ก็ได้แต่ฝากเอาไว้ ...ฝากบ้าน ฝากเมืองด้วยค่ะ

เรื่องที่เกิดขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นในอุดรธานีและจังหวัดอื่นๆ เป็นแค่เศษเสี้ยวของความเสียหายที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ ที่นั่น ความขัดแย้งได้พรากเอาชีวิตของผู้คนไปมากมาย จนบัดนี้ครูก็ยังไม่สรุปตัวเลขลงได้ เพราะมันจะมีมาอีก เพราะเหตุการณ์ยังไม่จบ จำนวนคนบาดเจ็บก็เยอะ ทั้งประชาชน ทหาร ตำรวจ ....ถามว่าเพราะเหตุใด...รักประชาธิปไตย?....ประชาธิปไตยคืออะไร ซึ่งที่จริงคือประชาธิปไตยของใครกันแน่....มีใครที่แอบอ้างเป็นเจ้าของประชาธิปไตย..เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ต้องราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาเมืองอย่างนั้นหรือ...นั่นคือประชาธิปไตย?

รอบรั้ว โรงเรียนคาทอลิกและวัดพุทธ

Thursday, May 6, 2010





เมื่อวานได้ขึ้นไปตักบาตรที่วัดนาหลวง และจะกลับบ้านหลังจากที่ไปอยู่ในสวนมาหลายวัน ช่วงนั้นมีเด็กนักเรียนร่วมพันคน เข้าไปอบรมคุณธรรมจริยธรรมที่วัด เป็นนักเรียนจากวิทยาลัยอาชีวะอุดรธานีส่วนหนึ่ง และจากโรงเรียนเซนต์เมรี่อุดรธานีส่วนหนึ่ง ครูเองปลื้มใจและตื้นตันใจที่เห็นนักเรียนโรงเรียนคาทอลิกเข้ามาอบรมจริยธรรม ได้เจอกับซิสเตอร์ที่ควบคุมนักเรียนมาด้วย ได้พูดคุยกับท่าน ที่ปลื้มใจเพราะท่านไม่ได้ตะขิดตะขวงใจในการที่จะคิดว่านี่คือวัดพุทธในขณะที่ท่านสวมชุดของแม่ชีของคาทอลิก ท่านทำหน้าที่คือนำเด็กนักเรียน (ชาวพุทธ) มาอบรมในวัดที่อยู่แสนห่างไกลจากตัวเมือง หนทางก็แสนจะลำบาก ผ่านทั้งถนนลาดยางที่ต้องหลบหลุมบ่อ ถนนดินแดงที่ถ้าเป็นหน้าร้อนก็ดมฝุ่นมาตลอดสาย กว่าจะผ่านได้ก็หัวแดงกันเป็นแถว ถ้าหน้าฝนก็ยิ่งแล้วใหญ่ ถนนเป็นโคลนกว่าจะผ่านแต่ละเนินเขาไปได้ บางทีก็ต้องลงจากรถ ช่วยกันดันให้รถขึ้นเนินให้ได้ ตอนนี้แม้ว่าทางจังหวัดจะเข้ามาสร้างถนนคอนกรีตช่วงขึ้นวัดให้แล้ว แต่ช่วงทางที่เข้าไปจากถนนใหญ่ก็ยังเป็นถนนดินแดงอยู่ค่ะ ครูได้เจอกับนักเรียนของโรงเรียนนี้กำลังกุลีกุจอขนสาด เสื่อไปปูตรงที่ตักบาตรพระ แต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใสค่ะ เห็นแล้วปลื้มใจ เดินมาเป็นกลุ่มๆ คุยกันตามประสาเด็กวัยรุ่น น่ารักดีค่ะ ครูว่าถ้าโรงเรียนทั่วๆไปพานักเรียนมาอบรมอย่างนี้บ้างน่าจะดี ดีกว่าอบรมในโรงเรียน หรืออบรมที่วัดในตัวเมือง ที่ครูคิดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ทำอย่างนั้นตลอดไป ทำได้ แต่...ถ้าเราเอาเด็กมายังสถานที่อย่างวัดนาหลวง...เด็กจะได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ความยากลำบาก ทำให้เกิดความอดทน เห็นว่าในที่ห่างไกลและกันดารนั้น ยังมีคนที่อาศัยอยู่ อยู่อย่างลำบาก จะได้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้บ้าง จะได้เห็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ตอนที่ครูเดินขึ้นบันไดวัด ได้เจอกับนักศึกษาของวิทยาลัยอาชีวะที่กำลังกวาดใบไม้ ทำความสะอาดบันไดอยู่ มีอยู่กลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ตรงบันได ดูฝูงกระรอกที่วิ่งไล่กัน ไต่ขึ้นลงต้นไม้อยู่ใกล้ๆกับเด็กๆกลุ่มนั้น มีอยู่คนหนึ่ง ที่ถามครูว่า “คุณยายคะ กระรอก กับกระแตต่างกันอย่างไรคะ” เด็กๆในตัวเมืองเห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปเสียหมด แถมยังสงสัยถึงอีกอย่างที่ตัวเองไม่เห็นเสียอีก ครูก็ตอบไปว่า กระรอกตัวจะใหญ่กว่า ขนฟู หางเป็นพวง กระแตตัวจะเล็กกว่า ตรงหลังจะมีขนลายเป็นทางสีน้ำตาล (เหมือนลูกหมูป่า) แล้วการอบรมเด็กในโรงเรียน หรือในวัดที่ใกล้กับโรงเรียน ผลมันต่างกับที่อบรมในวัดที่ห่างบ้าน (และหนทางลำบาก)หรือเปล่า จริงๆแล้วเนื้อของการอบรมที่ไหนๆมันก็เหมือนๆกัน แต่บรรยากาศมันต่างกัน สิ่งที่แตกต่างกันนี้ได้เพิ่มความจูงใจในการเรียนรู้ สร้างความเข้มแข็ง การอยู่กัน การรู้จักหน้าที่และ มีจิตสาธารณะ ช่วยในการอบรมมากขึ้น อย่างน้อย เด็กจะคิดถึงพ่อถึงแม่มากที่สุด ที่ครูได้เจอและได้คุยมา เขาจะรักพ่อรักแม่มากขึ้น บางคนเคยเห็นพ่อดื่มเหล้า สูบบุหรี่ บอกว่าถ้าได้กลับไป จะบอกให้พ่อเลิกให้หมด ในอบายมุข สิ่งเสพติดเหล่านั้น คำสอนของพระอาจารย์บวกกับความคิดถึงบ้าน มันสร้างแรงจูงใจ พลังใจอย่างที่เราคิดไม่ถึงให้กับเด็กๆค่ะ ถ้าเราเอาเด็กอบรมที่โรงเรียน พอค่ำหน่อยเดี๋ยวพ่อก็แวะมาเยี่ยม เดี๋ยวแม่ก็เอาขนมมาให้ ตกลงก็เหมือนกับอยู่ที่บ้านนั่นแหละ ไม่มีแรงจูงใจอะไรมาเสริมให้เด็กเลยค่ะ

รอบรั้ว บ้านเมือง ตื่นเถิดชาวไทย

Friday, April 16, 2010


ทำไมคนไทยแตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆคะ มันไม่ใช่เรื่องการขายชาติ ทรยศต่อประเทศชาติ เปิดประตูให้ศัตรูต่างชาติหรืออะไรทำนองนั้น แต่เรามุ่งฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆ ของนักการเมือง ซึ่งโน้มน้าว เป่าหู ชวนเชื่อกัน 24 ชั่วโมง โดยนักปลุกระดม ซึ่งใครก็ตามที่ไม่มีสติ ไม่มีหิริโอตัปปะ และมีอคติ 4 ก็พร้อมที่จะเชื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้ง จะทำอย่างไรดีค่ะ คงจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อเพิ่มพูนจิตสำนึกของนักการเมือง ให้เห็นประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง แล้วประโยชน์ตนก็จะตามมา หรือจะปล่อยไปตามกฎธรรมชาติ กฎอิทัปปัจจยตา ซึ่งฟังดูแล้วน่าจะยากอยู่นะคะ นักการเมืองมักมาด้วยผลประโยชน์ทั้งนั้น ดูซิคะ นักการเมืองคนไหนบ้างที่ไม่รวย บ้านแต่ละหลัง ประตูแต่ละบาน ไม่รู้ว่าจะอวดความมั่งมีกันถึงไหน มีบางคนอาจรวยมาก่อน โฆษณาล่วงหน้าด้วยว่า “รวยแล้วไม่โกง” ผลสุดท้ายก็ “โกง”อยู่ดี และนี่ก็คือผลที่จะตามมา เมื่อรวยก็ย่อมมีบริวาร รวยมากมีบริวารมาก ทีนี้ก็คุมสติไม่อยู่แล้ว ถ้าเป็นหนังจีนกำลังภายในก็ต้องบอกว่า “มารเข้าสิง”แล้วละค่ะ ซึ่งจริงๆแล้วก็คือความ “โลภ”เข้าสิง มีเงิน มีบริวาร มีอำนาจ เมื่อรวม 3 สิ่งนี้เข้าด้วยกันก็สามารถที่จะทำอะไรๆได้....อีกละค่ะ ถ้าเป็นหนังจีนกำลังภายใน ก็อยากเป็นเจ้ายุทธจักร เป็นแค่จอมยุทธนั้นไม่พอ บ้านเราเดี๋ยวนี้ก็ตกอยู่ในเรื่องนี้ มีคนอยากเป็นเจ้ายุทธจักร แล้วก็ส่งบริวารมาป่วนประเทศ

ครูเคยคิดว่าแล้วเราจะก้าวพ้นเรื่องเหล่านี้ไปได้อย่างไร เคยสำคัญผิดว่าการศึกษาจะช่วยได้ ถ้าเราให้การศึกษาอย่างเต็มที่ ให้คนของเรารู้เท่าเทียม เท่าทันกันหมด เรื่องร้ายๆจะหายไป เราจะเจริญเหมือนๆสิงคโปร์ ครูเคยคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าตอนนี้ชักไม่แน่ใจ เพราะคนที่มีความรู้ระดับปริญญาตรีตั้งมากมาย ยกตัวอย่างก็ได้ เพื่อนๆของครูเอง ในร้อยกว่าคน ...90 เปอร์เซ็นต์ อยู่ฝั่งที่จะเอาผลประโยชน์อันน้อยนิดของนักการเมือง การศึกษาช่วยไม่ได้เลย แล้วอะไรล่ะที่มามาช่วยได้...สติค่ะ มีสติที่จะช่วยยั้งคิด อะไรผิด อะไรถูก หิริ ความละอายต่อตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีกัน เพราะถ้ามี ป่านนี้บ้านเมืองก็คงจะสงบไปแล้ว...ครูได้แต่มอง แล้วก็ภาวนาในใจ...ตื่นเถิดชาวไทย...อย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง.......

รอบรั้ว บ้านเมืองในวันสงกรานต์

Wednesday, April 14, 2010


เมื่อวานเป็นวันสงกรานต์ หลังจากที่ครูและเหล่าญาติๆที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ไปทำบุญให้คุณยายแล้ว ก็ขึ้นไปสรงน้ำหลวงพ่อทองใบที่วัดนาหลวง น้องสาวของครูก็ขึ้นไปด้วย เพราะน้องเขาอยากขึ้นไปฟังธรรม และตั้งใจอย่างยิ่งที่จะ “เดินขึ้นวัด” ถ้าใครที่ไม่แข็งแรง ก็เหนื่อยละค่ะ เดินขึ้นบันไดสองร้อยกว่าขั้น กว่าจะถึงยอดภูเขา หายใจหอบแฮ่กที่เดียว ตลอดรายทางที่ขึ้นวัด จะมีป้ายเขียนธรรมะ เตือนใจตลอดทาง แต่ที่มากที่สุดก็คือ “อย่าโกรธ” หลวงพ่อจะสอนให้เราประคองจิตตลอดเวลา อย่าโกรธ และอย่าอะไรๆอีกหลายอย่าง

เหตุการณ์ทางการเมืองของเรา ช่วงสงกรานต์มีหลายเรื่องที่ชวนให้เราโกรธ หดหู่ใจ เสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น คนเจ็บ คนตาย เกิดขึ้นมาอีกทั้งๆที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นอีก แต่เราก็ไม่สามารถประคองประเทศให้รอดพ้นมาได้ คนที่ต้องการอำนาจมันมีมาก พยายามกันทุกวิถีทางที่จะเอาอำนาจนั้นมาเป็นของตัวเอง คนที่ล้มตายก็มีแต่คนตัวเล็กตัวน้อย ที่กลายเป็นเหยื่อของคนที่มีความโลภ โลภในอำนาจ โลภในทรัพย์สินเงินทอง ครูว่าเขาเป็นแค่เบี้ยในตาหมากรุก ผลักให้เดินทางไหนก็ผลักไปได้ ให้ไปตายก็ได้ เพราะเบี้ยมันไม่มีค่า สามารถที่จะเดินไปชนกับขุน กับโคนได้ แม้รู้ว่าต้องให้ไปตาย คนที่เดินหมากเกมนี้ก็ต้องเสียสละค่ะ.....แต่นี่ชีวิตคน....น่าเสียใจนะคะ สงกรานต์ปีนี้ต้องมาหดหู่ใจอีก....ครูเองก็ไม่ได้เล่นสงกรานต์ค่ะปีนี้...อยากอยู่สงบๆกับครอบครัวมากกว่า

“ถามว่าโกรธหรือไม่ บอกได้เลยว่า ไม่โกรธ ไม่แค้น แต่เสียใจ อยากจะบอกกับทุกฝ่ายว่า ให้มองถึงอนาคตของชาติบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เมื่อทุกคนเห็นประโยชน์แต่ของตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่คิดถึงประโยชน์ของชาติ ชาติบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร หากไม่มีคนเสียสละเพื่อชาติ อย่างพี่เปาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ อยากขอร้องว่า อย่าอ้างทำเพื่อประชาธิปไตย หรือประเทศชาติมาเป็นข้ออ้าง จะทำให้เกิดความเสียหายของบ้านเมือง เราทั้งสองตกกันว่า ไม่อยากมีลูกและอายุทั้งคู่ก็มากแล้ว อีกทั้งพี่เปาพูดเสมอว่า อยากจะเอาเวลาทั้งหมดทำงานให้แผ่นดิน” นี่คือคำกล่าวของ นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ พล.ร.2 รอ. นายทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายผู้ชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา

ที่ครูต้องยกเอาคำพูดของคุณนิชา ธุวธรรม ขึ้นมาเขียนด้วย เพราะถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยมาวัดที่ครูไปฟังธรรมบ่อยๆ แต่คำพูดของท่านนั้นถือว่าเป็นพุทธศาสนิกอย่างเต็มภาคภูมิ “ไม่โกรธ ไม่แค้น” คำพูดทุกคำที่ออกมาจากปาก ย่อมกลั่นมาจากจิตใจของท่านอย่างแท้จริงแล้ว ครูก็ได้แต่เสียดาย เสียดายคนที่มีความรู้ ความสามารถ ที่มาจบชิวิตลงด้วยมือของใครก็ไม่รู้ ไม่อยากพูดเลยว่าเขาจะเป็นชาวพุทธ หรือคนไทยด้วยกัน เพราะใจของคนเหล่านั้นล้วนมืดมน หลงอยู่ในอบายภูมิ ดูในทีวีซิคะ ฟังเสียงเขาที่เขาพูดกันบนเวที คำพูดเหล่านั้นมันบ่งบอกถึงจิตใจของเขาทุกอย่างเลยค่ะ ศีลข้อแรก ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั่น แทบไม่มีความหมายอะไร ไม่สะทกสะท้านอะไร ชวนกันไปฆ่า ไปทำบาป ไปสร้างกรรมได้ทุกเวลา เพื่อนครูหลายๆคนอาจไม่เห็นด้วยกับครูในเรื่องนี้ อาจเพราะเขาอาจมองต่างมุม ครูมีแค่มุมเดียว คือมุมศีลธรรม มองทุกๆคน ทุกๆด้านแล้วเอาศีลเอาธรรมมาเปรียบเทียบ ว่าที่คนเหล่านั้นทำไป ถูกต้อง มีศีลมีธรรมหรือไม่ เท่านั้นเอง

อยากให้ฟังเพลงสักเพลงค่ะ เป็นเพลงที่สอนเราได้เป็นอย่างดี เป็นเพลงที่ร้องโดย อ้น ธวัชชัย ชูเหมือน เพลง “ปล่อย”

ใครจะชิงใครจะชังมันก็ช่างหัวเขา แค่ตัวเรารู้เราช่างเค้าประไร
ใครจะชักใครจะแช่งใครจะแกล้งใครจะหยัน ก็ให้ช่างหัวมันก็ให้ปล่อยเค้าไป
ใครจะชมใครจะเชิดว่าประเสริฐเลิศหรู ตัวเรารู้เราอยู่ปล่อยเค้าชมไป
ใครจะรักใครจะเกลียดใครจะเสียด ใครจะสีก็เรารู้ตัวดีปล่อยเค้าทำไป..

เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย เอาอะไรมากมายในความอนัตตา
โลภไปทำไมช่วงชิงแข่งขัน สุดท้ายเหมือนกันต้องไปป่าช้า
จะเอาอะไรแค่รักโลภโกรธหลง ไม่มีความมั่นคงบนกิเลสตัณหา
เกิดแก่เจ็บตายใยจะไปยึดมั่น สรรพสังขารล้วนอนิจจา
ปล่อยวางมันเสีย ทุกโขติณณา...

ใครจะเมินใครจะมองใยจะต้องไหวหวั่น ใครจะใส่ร้ายกันใยจะต้องสนใจ
ใครจะดีใครจะเลวมันก็เรื่องของเขา ใครจะนินทาเราใยจะต้องทุกข์ใจ
ใครจะล้อใครจะด่าใยจะต้องว่าตอบ ใครไม่สนใครไม่ชอบใยจะต้องใส่ใจ
ใครจะคิดใส่ความใยจะต้องวุ่นจิต หากตัวเราไม่ผิดจะไปคิดทำไม...

เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย ประดุจดังต้นไม้ล้มทับโลกา
หมดลมเมื่อไรหาประโยชน์ใดเล่า ล้วนต้องถูกเผาหามไปป่าช้า
ชีวิตยังมีสร้างความดีไว้เถิด ได้ไม่เสียชาติเกิด ได้ไม่ต้องอายหมา
อันว่าความตายคือสัจธรรมความเที่ยง สิ้นสรรพสำเนียงเน่าเหม็นขึ้นมา
จะเอาอะไร...จะเอาอะไรกันนักหนา...

นั่นแหละค่ะ จะเอาอะไรกันนักหนา......ขอให้ธรรมะอยู่ในใจตลอดเวลา และขอให้มีความสุขตลอดไปนะคะ

รอบรั้ว บ้านนายกอภิสิทธิ์

Wednesday, March 17, 2010


ครูไม่ได้เขียนเรื่องอะไรมาหลายเดือน ทิ้งไปนาน นี่ถ้าเราทิ้งบ้านไปนานขนาดนี้ ปลวกคงจะดีใจละค่ะ วันนี้พอมีเวลาก็เลยมาเคาะพื้นบ้านหน่อย ที่จริงแล้วที่ไม่ได้เขียนมานานขนาดนี้ เพราะงานยุ่งมากค่ะ ทั้งที่โรงเรียนเอง แถมพ่อบ้านไปสร้างบ้านสวน เผื่อจะได้ไปอยู่ยามเกษียณ เป็นการเพิ่มงานเข้ามาอีก บ้านตอนนี้ก็ใกล้จะเสร็จแล้วละค่ะ

วันนี้ได้นั่งดูทีวี ดูข่าวพี่น้องเสื้อแดงเอาเลือดไปเทที่บ้านของท่านนายก ดูเลือดที่นองพื้นแล้วสะท้อนใจค่ะ นี่มันไม่ใช่ลักษณะของคนไทยที่เรารู้จักมาก่อน โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยเปลี่ยนไป ดูแววตาของคนที่มา ฟังคำพูดแล้ว ครูว่าเรานี่เหมือนคนไม่มีศาสนาเข้าทุกวัน ขาดเมตตา ขาดความรัก ไม่ว่ารักคนไทยด้วยกัน หรือรักชาติ ศาสนา เพราะทุกอย่างที่แสดงออกมาล้วนตั้งใจที่จะทำลายห้ำหั่นกัน

บ้านท่านนายก มีใครบ้างคะ คงจะอยู่กัน 4 คน พ่อ แม่ และลูกตัวเล็กๆ 2 คน เมื่อเทียบกับคนที่ไปนับร้อยนับพันคน ที่หน้าตาดูแล้ว (จากทีวี) ล้วนแต่ไม่เป็นมิตร น้ำเสียงที่ฟังแล้ว สำหรับเด็กๆ ใจคงจะตุ้มๆต่อมๆ และคงจะจดจำภาพและเสียงนั้นไปตลอดชีวิต จิตใจเขาจะเป็นอย่างไร คงไม่มีใครนึกถึง เพราะทุกคนล้วนแต่นึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง กิจกรรมของตัวเอง หรือผลประโยชน์และอำนาจที่ตัวเองอยากได้ อย่างนั้นแหละค่ะ คงไม่มีใครนึกถึงเรื่องความรู้สึกของเด็กๆตัวเล็กๆ

อยากบอกท่านนายกอภิสิทธิ์ค่ะ อย่าโกรธคนพวกนั้นเลย ครูเองถึงอยู่ไกล ก็เหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพราะนั่งติดจอทีวีอยู่ในนาทีที่เขาเทเลือดอยู่ มันบอกไม่ถูกค่ะ ว่ารู้สึกอย่างไร มันปนเปไปหมด สมเพช เวทนา ได้แต่ผะอืดผะอมเพราะต้องฝืนใจพอสมควรที่จะมองเลือดละเลงทาเททั่วพื้นมากขนาดนั้น ที่ครูยกคำพูดว่า “อย่าโกรธ” ขึ้นมา เพราะครูไปวัดบ่อยๆ ทางขึ้นวัดที่ครูไปนี่ จะมีป้ายไว้ตลอดเลยค่ะ “อย่าโกรธ” ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่ใช่มีแค่ป้ายเดียว ทำให้เราเดินไป คิดไปด้วย ทำไมหลวงพ่อถึงลงทุนเตือนกันขนาดนั้น พอนานๆเข้า ก็เข้าใจค่ะ ถ้าเราไม่โกรธใครเป็น เราเองนั่นแหละที่จะเป็นสุข เพราะใจเราไม่ได้หวั่นไหวอะไร เมื่อมีอะไรๆมากระทบใจเรา คนที่ทำต่างหาก ที่ตกอยู่ในกองทุกข์

ภาพจากอินเทอร์เน็ต

Posted by ครูพเยาว์ at 3:00 PM