Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว เพื่อนบ้าน เขาสร้างชาติอย่างไร

Tuesday, June 30, 2009


เมื่อวานได้เขียนเรื่องคอร์รัปชั่นเอาไว้ เพราะเมื่อเห็นข่าวทำนองนี้แล้ว ยังอดใจไม่ไหวที่จะพูด ประเทศของเราน่าจะไปไกลกว่านี้มาก ถ้านักการเมืองและประชาชนของเรา ไม่ร่วมกันฉ้อฉล คดโกงประเทศชาติ เป็นพวกที่เห็นแก่ตัวมากที่สุด ไม่ได้นึกถึงส่วนรวม หรือประเทศชาติเลย การพัฒนาก็ไปไม่ถึงไหน ดูแค่การขนส่งอย่างเดียว การรถไฟไทย ไม่ได้มีความก้าวหน้าอะไรเลย ว่ากันว่า รางมีเท่าไหร่ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้างไว้ มาบัดนี้ก็ยังเท่าเดิม นี่แค่พูดเปรียบเทียบให้เห็น ว่ายังไม่เจริญไปกว่านั้น

นี่ถ้าเราขยายทางรถไฟทางภาคใต้ ฝั่งอันดามันให้เพิ่มอีกสาย ขนานไปกับฝั่งอ่าวไทย ครูว่าเศรษฐกิจของเราน่าจะไปไกลกว่านี้อีก นักท่องเที่ยวที่ยังแบกเป้ไปเป็นกลุ่มๆ ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน ประเทศอื่นแถบนี้ยังคิดขยายกิจการ เพิ่มเป็นรถไฟความเร็วสูง อย่างเวียดนาม ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นสงครามมาเพียงไม่กี่สิบปี กว่าจะตั้งตัวหลังสงครามได้ก็นับสิบปีแล้ว มาบัดนี้ คิดก้าวหน้ากว่าไทยเสียอีก เราเองมัวหลงอยู่กับวังวนแย่งอำนาจของนักการเมือง นักโกงเมือง เป็นเบี้ยให้นักการเมืองหลอกใช้ ประเทศเราก็ไปไม่ถึงไหน สามัญสำนึกเรื่องความก้าวหน้าของประเทศชาติไม่เกิด เพราะมัวหลงลมปากของนักการเมือง ที่มีสัญญาสารพัดจะมอบให้

เรื่องนี้หยุดแค่นี้เอาไว้ก่อน มาต่อเรื่องคอร์รัปชั่นอีกสักตอน เมื่อวานได้พูดเอาไว้ว่าทำไมสิงคโปร์เขาถึงรักษาบ้านเมืองของเขาให้ปลอดเรื่องคอร์รัปชั่นเอาไว้ได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนโน้น สิงคโปร์ก็มีเรื่องแบบนี้ไม่ได้น้อยหน้าใครเลย จากบทความของ BOI บางตอน เขียนเอาไว้ว่า

“เมื่อนายลีกวนยูเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง โดยได้ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ อย่างเข้มงวด ทำให้สถานการณ์ปรับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ประการแรก ผู้นำประเทศ รวมถึงคณะรัฐมนตรี ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่คอร์รัปชั่นเสียเอง มิฉะนั้น ข้าราชการและประชาชนทั่วไปจะหัวเราะเยาะและไม่เชื่อถือกับมาตรการปราบปรามคอร์รัปชั่น โดยเขาเคยกล่าวปราศรัยเมื่อปี 2522 ว่าประเทศสิงคโปร์จะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อบรรดารัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงต้องไม่คอร์รัปชั่น ทั้งนี้ จากรัฐบาลที่ดำเนินการอย่างจริงจัง ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือ และกระตือรือร้นในการส่งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายคอร์รัปชั่นให้แก่รัฐบาล

นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้เคยกล่าวให้ทัศนะเปรียบเทียบกับไทยและสิงคโปร์ในประเด็นนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2544 ว่ากรณีของประเทศไทย “ผมแปลกใจที่ไม่มีการตรวจสอบบ้านของคนใหญ่คนโตที่หรูหรา มีที่หลายสิบไร่ มีที่จอดรถได้ 18 - 20 คัน ซึ่งมองไม่ออกเลยว่ามีมาได้อย่างไร ไปได้เงินทองมากมายมาจากไหน ... สังคมของสิงคโปร์ที่พ้นภาวะคอรัปชั่นได้เพราะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคนไม่กิน รวมถึงข้าราชการด้วย เขาใช้วิธีกำจัดออกไป”

ประการที่สอง มอบอำนาจอย่างเต็มที่ให้แก่หน่วยงาน Corrupt Practices Investigation Bureau (CPIB) ซึ่งขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี มีอำนาจที่จะสอบสวนการกระทำผิดอย่างจริงจัง สามารถเรียกบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ปากคำ ไม่ว่าบุคคลนั้นๆ จะมีตำแหน่งใหญ่โตเพียงใดก็ตาม และดำเนินการสอบสวนอย่างรวดเร็ว ไม่ดำเนินการสอบสวนแบบชักช้า หรือแบบลูบหน้าปะจมูกเป็นมวยล้มต้มคนดู

อนึ่ง นอกจากดำเนินคดีภายหลังคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานแห่งนี้ยังมีอำนาจในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาคอร์รัปชั่นที่ต้นเหตุ ตามกฎหมายป้องกันคอร์รัปชั่น Prevention of Corruption Act (POCA) กล่าวคือ หน่วยราชการบางแห่ง เช่น หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง หน่วยงานศุลกากร กรมสรรพากร หน่วยงานตำรวจจราจร ฯลฯ เดิมมีปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นอย่างมาก และสาเหตุของปัญหาอยู่ที่ขั้นตอนและระบบการทำงาน

ดังนั้น หน่วยงาน CPIB ได้เข้าไปตรวจสอบกระบวนการทำงาน รวมถึงตรวจสอบระยะเวลาการอนุมัติอนุญาตต่างๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานเสียใหม่ให้มีโอกาสเกิดคอร์รัปชั่นลดลง นับว่าเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้ปัญหาคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นที่ต้นเหตุอย่างได้ผล

ประการที่สาม ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยกำหนดว่าการที่ข้าราชการที่ร่ำรวยผิดปกติ หรือมิฉะนั้น ก็มีวิถีชีวิตใช้จ่ายเงินจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้รับแล้ว เป็นต้นว่า มีเงินเดือนเพียงแค่นิดเดียว ไม่ได้เกิดมาร่ำรวย แต่กลับขับรถยนต์หรูหราราคาแพงมาทำงาน อาศัยอยู่ในบ้านราคาหลายสิบล้านบาท ถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นๆ ประพฤติมิชอบในการปฏิบัติราชการ พนักงานสอบสวนไม่ต้องไปหาหลักฐานใบเสร็จให้เหนื่อยยาก ดังนั้น เว้นแต่ข้าราชการคนนั้นๆ สามารถอธิบายถึงแหล่งที่มาของเงินดังกล่าวแล้ว จะถูกดำเนินคดี ส่วนบรรดาทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกริบเป็นของทางราชการด้วย

ประการที่สี่ กำหนดโทษระดับสูง โดยกฎหมายกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท รวมถึงต้องจ่ายค่าปรับเท่ากับเงินสินบนที่ได้รับ ยิ่งไปกว่านั้น หากคอร์รัปชั่นเกี่ยวข้องกับสัญญาของรัฐบาลหรือเป็นสมาชิกรัฐสภาแล้ว โทษจำคุกเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 7 ปี

ประการที่ห้า ขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการให้พอเพียงต่อการดำรงชีพและอยู่ระดับใกล้เคียงกับเงินเดือนในภาคเอกชน เนื่องจากข้าราชการบางคนนั้น แม้จะมีทัศนคติที่ดีไม่ต้องการคอร์รัปชั่น แต่อาจจะถูกสถานการณ์บีบบังคับ

ประการที่หก รณรงค์ประชาชนให้ตระหนักว่าคอร์รัปชั่นเป็นเชื้อโรคร้ายที่บั่นทอนการพัฒนาประเทศผ่านสื่อต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในอดีตว่ากระทบต่อประเทศสิงคโปร์มากน้อยเพียงใด หน่วยงาน CPIB ได้เปิดพิพิธภัณฑ์คอร์รัปชั่นขึ้นที่สำนักงานใหญ่เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เยี่ยมชม โดยกำหนดลูกค้าเป้าหมายเป็นเด็กนักเรียนสิงคโปร์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ของประเทศ ที่เกิดภายหลังรัฐบาลปราบปรามคอร์รัปชั่นแล้ว ส่วนใหญ่จึงไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านคอร์รัปชั่นมาก่อน ต้องมาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ว่าในอดีตคอร์รัปชั่นเป็นไปอย่างไร รวมถึงลูกค้าเป้าหมายเป็นบรรดาข้าราชการต่างประเทศที่เดินทางมาดูงานเพื่อต้องการเรียนรู้ถึงเคล็ดลับความสำเร็จในการปราบปรามคอร์รัปชั่นของสิงคโปร์ด้วย

พิพิธภัณฑ์ได้แสดงคดีดังคดีเด่นให้ประชาชนได้รับทราบ โดยเฉพาะ “เกียรติประวัติ” บุคคลสำคัญหลายคน เป็นต้นว่า คดีที่นาย Teh Cheang Wan ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาประเทศ ซึ่งได้ฆ่าตัวตายเมื่อปี 2529 ขณะอยู่ระหว่างถูกสอบสวนคดีคอร์รัปชั่นโดยหน่วยงาน CPIB รวมถึงนิทรรศการเกี่ยวกับคดีของนาย Wee Toon Boon อดีตรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ที่ถูกพิพากษาว่ากระทำผิดในด้านคอร์รัปชั่นเมื่อปี 2518 ซึ่งถูกพิพากษาให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน ซึ่งต่อมาเขาอุทธรณ์ จึงได้ลดโทษจำคุกลงเหลือ 3 ปี”

เรื่องนี้ครูต้องพูดกันบ่อยๆ เพราะหวังเอาไว้ว่า เด็กนักเรียนรุ่นใหม่ของเรา จะได้รับทราบถึงโทษภัยของการคดโกง ว่าได้บั่นทอนศักยภาพของประเทศไปอย่างไร เงินภาษีที่เราได้จ่ายลงไปนั้น จะต้องกลับมาพัฒนาประเทศ คืนมาสู่สังคม ไม่ใช่ไปตกอยู่ในมือของนักการเมืองและพวกพ้องของเขา

ขอบคุณเจ้าของบทความค่ะ คุณยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ ในหัวข้อเรื่อง ทำไมสิงคโปร์แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นผลสำเร็จ? และเว็บไซท์ www.boi.go.th

รอบรั้ว เมืองไทย ร่วมกันโกงชาติ

Monday, June 29, 2009


เมื่อวานกลับมาจากสวน เมื่อมาถึงก็ได้ฟังข่าว ที่พูดถึงประเด็นที่สำคัญ คือการคอร์รัปชั่นของนักการเมือง ว่าคนไทยมีความคิดเห็นอย่างไร เนื้อข่าวลงรายละเอียดว่า สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องชีวิตที่พอเพียงกับความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนและประเด็นสำคัญอื่นๆของประเทศในขณะนี้ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัดของประเทศ จำนวน 1,228 ครัวเรือน พบว่าประชาชนร้อยละ 73.9 เห็นด้วยว่าการใช้ชีวิตพอเพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และประชาชนส่วนใหญ่พยายามรักษาสิ่งของเครื่องใช้ให้คงสภาพใช้งานได้ยาวนาน และมุ่งทำงานให้พออยู่พอกินและมีเงินเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ทั้งนี้ ในการสำรวจความเห็นกรณีการทุจริตคอร์รัปชั่นมีประชาชนถึงร้อยละ 84.5 มองว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ และส่วนใหญ่ร้อยละ 51.2 ยังยอมรับได้ที่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น โดยคิดว่าทุกรัฐบาลมีการทุจริตคอร์รัปชั่นถ้าทุจริตแล้วทำให้ประเทศรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดีก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้

ที่น่าตกใจก็คือ มีคนเห็นด้วยกับการทุจริตถึงร้อยละ 84.5 มองเป็นเรื่องธรรมดาเสียอีก และถ้าการทุจริตนั้นถ้าตัวเองได้รับผลประโยชน์ด้วย นี่พูดกันแบบง่ายๆเลย ก็เห็นด้วยกับการทุจริตนั้นถึง 51.2 เปอร์เซ็นต์ เกินครึ่งของคนที่สำรวจมา!!!! นี่มันอะไรกัน!!!!! เดี๋ยวนี้สังคมของเราก้าวไปสู่ยุคโจรครองเมืองแล้วหรืออย่างไร หลังจากที่มีนักการเมืองที่ฉ้อฉลเข้าไปสู่แหล่งเงินแหล่งทอง โกงเอาสมบัติชาติออกมา แล้วมาแจกจ่ายส่วนหนึ่งให้ ก็มีประชาชนออกมาเห็นด้วยกับการกระทำนั้น ทำให้มีข้อสงสัยเบื้องต้นขึ้นมาในใจทันที ข้อแรก ศาสนาของเราที่พร่ำสอนกันอยู่ สอนศาสนิกกันแบบไหน ทำไมจึงตาลปัตรกลับหน้ากลับหลังได้ถึงเพียงนี้ ข้อที่สอง โรงเรียนของเรา สอนกันแบบไหน คุณธรรมจริยธรรมถึงหายไปได้ถึงเพียงนี้ และภูมิความรู้การศึกษาของคนไทยมีเท่าไหร่กันแน่ หลังจากปฏิรูปกันมาเป็นเวลานาน

การสำรวจนี้มันสอดคล้องจากรายงานการศึกษาล่าสุดของสถาบัน Political and Economic Risk Consultancy (PERC) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายน 2552 โดยสำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจระดับผู้บริหารทั้งของบริษัทในท้องถิ่นและบริษัทต่างชาติประมาณ 1,750 คน โดยจัดอันดับคอร์รัปชัน 16 ประเทศ จำแนกเป็น 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศภายนอกภูมิภาคอีก 2 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา

ผลการสำรวจพบว่าอินโดนีเซียครองแชมป์อันดับ 1 โดยได้รับคะแนน 8.32 ส่วนประเทศไทยได้รับตำแหน่งรองแชมป์ คือ 7.63 คะแนน ในเอเชียนี่ การโกงเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด เราอยู่ในลำดับที่ไม่น่าแปลกใจสักนิด จากสายตาของชาวต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นการเสริมได้เลย ว่าผลสำรวจของเอแบค ถูกต้อง!!!!! เรารับได้กับการโกงทุกรูปแบบ และรับได้แบบหน้าชื่นตาบาน และให้ดูทุกประเทศได้เลยว่ามีประเทศไหนบ้างที่มีการโกงกันแบบเราบ้าง และอยากให้เปรียบเทียบว่า ประเทศที่ไม่มีการโกงเกิดขึ้น เขาเจริญไปแบบไหน เชิญอ่านค่ะ

กัมพูชาอันดับ 3 ได้รับ 7.25 คะแนน อินเดียอันดับ 4 ได้รับ 7.21 คะแนน และเวียดนามอันดับ 5 ได้รับ 7.11 คะแนน สำหรับอันดับ 6 ถึงอันดับที่ 12 เรียงตามลำดับ คือ ฟิลิปปินส์ 7.0 คะแนน มาเลเซีย 6.70 คะแนน ไต้หวัน 6.47 คะแนน จีน 6.16 คะแนน มาเก๊า 5.84 คะแนน เกาหลีใต้ 4.64 คะแนน และญี่ปุ่น 3.99 คะแนน ส่วนประเทศที่ครองอันดับบ๊วย ซึ่งแสดงว่ามีความใสสะอาดระดับสูงสุด คือ สิงคโปร์ 1.01 คะแนน สำหรับรองบ๊วยอันดับ 2 – 4 คือ ฮ่องกง 1.89 คะแนน ออสเตรเลีย 2.40 คะแนน และสหรัฐฯ 2.89 คะแนน

ทั้งหมดนี้ เราแทบไม่ได้ยินข่าวเรื่องการคอร์รัปชั่นเลยก็คือ สิงคโปร์ มีแค่ครั้งเดียวก็คือการซื้อกิจการของอดีตนายกทักษิณแล้วทำให้บริษัทของสิงคโปร์ขาดทุนไปเป็นจำนวนมาก แล้วก็ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของบริษัท นั่นก็คือบริษัทเทมาเซคของรัฐบาลสิงคโปร์ แต่นั่นก็มีเบื้องหลังเบื้องลึกอะไรอีก และอีก 2- 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ถ้าเราได้ยินว่าถ้าเกิดนักการเมืองเขาโกง เขาจะลาออกทันที และบางครั้ง “อับอาย ขายหน้า เสียเกียรติภูมิ ทำให้ตระกูลด่างพร้อย” เลย ฆ่าตัวตาย ได้ยินบ่อยใช่มั๊ยคะ และถ้าไม่ถึงขั้นนั้น ไปสู่ศาล ผลสุดท้าย ก็เข้าคุก บางคนถึงตายในคุก มีมาแล้วทั้งนั้น นั่งไงคะ เขาถึงรักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้ และเจริญก้าวหน้าจนอยู่แถวหน้าของประเทศที่เจริญแล้ว

อยากยกตัวอย่างของเราให้ดูซักตัวอย่างค่ะ ถนนบ้านเราที่สร้างเสร็จใหม่ๆ ใช้ไปเถอะ ไม่ถึง 6 เดือน รับประกันได้เลยค่ะ เป็นหลุมเป็นบ่อให้เห็นจะจะได้เลย ครูนี่เดินทางไปต่างอำเภอบ่อย เห็นเป็นประจำ นี่คือผลงานของนักการเมือง ข้าราชการของเราร่วมกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง พ่อค้า ร่วมกันค่ะ ร่วมกันโกงประเทศไทย

ยอมรับค่ะ ว่าเขียนเรื่องนี้ด้วยความเสียใจ เสียใจกับอนาคตของประเทศ เสียใจกับลูกหลานว่าจะอยู่กันอย่างไรกับคนรอบข้างที่พร้อมจะโกงกันทุกวินาที!!!!
ภาพจากอินเทอร์เนต

รอบรั้ว ประวัติศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่

Thursday, June 25, 2009

เมื่อคืนครูได้ดูภาพยนตร์ที่นำออกมาฉายทางเคเบิลทีวี อยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เคยดูจนจบมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว นี่เป็นการดูซ้ำของบางช่วงตอนที่ใกล้จะจบ ก็สนุกไปกับเรื่องราวที่อิงประวัติศาสตร์ ศาสนา ที่มีหลักฐานให้เราค้นหาได้ หนังเรื่อง Kingdom of Heaven เป็นเรื่องราวที่รบพุ่งกันในกรุงเยรุซาเล็ม ตะวันออกกลาง ระหว่างชาวคริสต์และชาวอิสลาม หรือมุสลิม และดำเนินการต่อสู้กันมาอย่างนี้เป็นศตวรรษ ที่ดูเหมือนจะยังไม่จบสิ้น
ตอนท้ายสุดในตอนจบ ชาวมุสลิมสามารถควบคุมการต่อสู้ไว้ได้ ได้เปรียบทุกด้าน มีทหารมากกว่าเป็นจำนวนมาก แม้ชาวคริสต์มีจำนวนน้อยกว่ารวมทั้งมีทั้งผู้หญิง เด็กและคนชราอยู่ในเมือง แต่พวกนักสู้ก็ได้ต่อสู้จนสุดความสามารถ จนซาลาดินแม่ทัพของมุสลิมต้องเจรจาด้วย และจบลงด้วยการให้คริสเตียนออกจากเมืองไป โดยจะไม่ทำร้ายใคร ตอนที่ออกจากเมืองก็จากไปโดยไม่มีคำกล่าวเยาะเย้ย ถากถาง ต่างก็ยิ้มแย้ม ถ้อยทีถ้อยอาศัย นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ และอยู่ในเรื่องของศาสนา การยึดพื้นที่ของศาสนจักร เรื่องอย่างนี้แม้ในประเทศของเรา ครูก็คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเกิดขึ้น ในสมัยที่เรายังรบพุ่งกันอยู่กับพม่า น่าจะสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ต่อสู้กันจนสุดความสามารถ ยังเอาชนะกันไม่ได้ ก็ขอดูตัวแม่ทัพ พักรบกัน ทหารทั้งสองฝ่ายก็สามารถเดินเข้าหากัน พูดคุยกันได้ นั่นคือเรื่องของอาณาจักร เขตแดนของประเทศในแถบนี้


ในยุโรปก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกัน เมื่อต่อสู้ก็ต้องต่อสู้กันไป เมื่อพักรบก็เข้าไปมาหาสู่กันได้ นั่นคือเรื่องการเมือง การเศรษฐกิจ การขยายเขตพื้นที่ทางการค้า และการปกครองของเขา
ทีนี้มาย้อนดูเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเรา การเมือง การสงครามในอดีตในประวัติศาสตร์เกิดเหตุการณ์อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม การแก่งแย่ง แสวงหาอำนาจ ทรัพย์สมบัติยังคงมีอยู่เหมือนเดิม แต่มาในรูปที่ใหม่กว่า ไม่ได้ยกกองทัพมาเต็มรูปแบบเหมือนในสมัยก่อน แต่มาในรูปการแสวงหาในหน่วยงานต่างๆ ความคิดที่จะปฏิวัติ ความคิดที่จะขับไล่ผู้มีอำนาจการปกครอง ยังคงดำเนินอยู่ทุกวัน อาวุธที่ใช้คือเงิน ใครมีเงินทองมาก คนนั้นได้เปรียบในการยึดพื้นที่ ในการทำสงคราม ส่วนเบื้องหลังการได้ทรัพย์สินเงินทองนั้น ได้มาอย่างไร ไม่มีใครสนใจ จะโกง จะเลี่ยงภาษี จะใช้แบบแก้กฎหมายให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ แบบที่เขาพูดกันว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ก็ทำกันเข้าไป เงินส่วนหนึ่งไหลออกมาซื้อเสียง ซื้อใจประชาชน ซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งซื้ออำนาจ เงินสามารถซื้ออะไรได้หมด เราจึงเห็นคนจำนวนมากออกมาเดินบนท้องถนน ใส่เสื้อสีต่างๆเหมือนกับแบ่งฝ่ายกันเต็มตัว ทำสงครามเป็นตัวแทนเจ้าของเงิน เป็นตัวแทนความเชื่อในเรื่องการเมือง ฯลฯ ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นการขยายอำนาจเขตการปกครองของนักการเมือง ที่ยังต้องแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรส่วนรวมของเรา พวกนี้หารายได้จากเงินภาษีที่ต้องเอามาบำรุงประเทศ ลองอ่านดูจากหน้าหนังสือพิมพ์ ทำไมต้องเสนอโครงการโน้น โครงการรี้ด้วยจำนวนเงินมหาศาล เขาทำเพื่อประชาชนจริงๆหรือ
อยากทบทวนอีกครั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเราเดี๋ยวนี้ เหมือนกับในหนังไม่มีผิด ทหารในรูปของชาวบ้านที่เดินออกมาสู้รบกัน แม้ไม่ถึงกับตายเลือดนองท้องช้างเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ได้แสดงออกมาให้เห็นว่า มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าคนที่มีอำนาจ นักการเมือง ไม่ลดราวาศอกกัน เหมือนคนในสมัยโบราณ เดี๋ยวนี้จะมีคนพูดเรื่องการศึกษามากขึ้น ข่าวสารที่ถูกต้อง ครบด้านมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดถึงด้านศีลธรรม จริยธรรมกันซักเท่าไหร่ ครูคิดว่า ถ้าเราเอาเรื่องศีลธรรม จริยธรรมนำหน้า เรื่องเลวร้ายอย่างที่เราเห็น ทั้งบนท้องถนนหรือในรัฐสภา คงจะเกิดขึ้นยากค่ะ

รอบรั้ว โรงเรียน ต้นกล้าที่แข็งแรง

Friday, June 19, 2009

ครูเองออกต่างอำเภอบ่อยอยู่ บางทีไปวัด เพราะต้องช่วยงานทางด้านศาสนาบ้าง บางทีก็เข้าสวน เพราะพ่อบ้านของครูชอบงานเกษตร ครอบครัวครูปลูกยางพารากันค่ะ การที่ออกไปตอนวันหยุดราชการ หรือวันสำคัญทางศาสนาหรือของวัดนั้น ก็ได้เห็นว่าช่วงนี้ย่างเข้าหน้าฝน ชาวนาเริ่มไถ เริ่มหว่าน ปักดำต้นกล้าแล้ว บางที่น้ำก็สมบูรณ์ กล้าก็งาม บางที่น้ำน้อย ถ้าฝนขาดช่วง ไม่ตกลงมาทันการ กล้าเหล่านั้นก็คงจะแห้งตายคานา น่าเสียดายนะคะ ที่เรายังต้องรอฟ้า รอฝน ไม่พัฒนาระบบชลประทานให้เข้ารูปเข้ารอย ชาวนาจะได้ไม่เสี่ยงต่อการลงแรงลงทุนในการปักดำลงไป


เมื่อกลับมาที่โรงเรียน ปีนี้ครูมีลูกศิษย์ในชั้นนี้อยู่ 45 คน นับว่าเป็นต้นกล้าของครูที่จะต้อง ประคับประคองดูแล ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้วิชา ความรู้ เพราะเป็นต้นกล้าที่ยังไม่โตเต็มที่ เท่าที่เพิ่งได้พบหน้ากัน ดูคร่าวๆ เป็นเด็กดีกันทุกคนค่ะ อย่างน้อยครูก็หวังไว้อย่างนั้นนะคะ เมื่อเราต้องมาอยู่ด้วยกัน ก็ต้องดูแลกัน รับผิดชอบงานต่างๆด้วยกัน ช่วยเหลือกัน งานต่างๆถึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ดีค่ะ

การเรียนในช่วงนี้ ไม่ถือว่ามีปัญหาอะไรอีกต่อไป ถ้าเปรียบเหมือนปลูกข้าว ก็ให้เห็นว่า มีน้ำสมบูรณ์ดีแล้ว เพราะงบประมาณในด้านการศึกษา เราได้มีอย่างพร้อมเพรียง เหลืออยู่ก็เพียงแค่ ต้นกล้านั้น จะได้รับปุ๋ย รับวิชาที่ครูหว่านลงไปนั้นได้เต็มที่หรือเปล่า ถ้าได้รับเต็มที่ลูกๆก็จะได้เติบโตผ่านไปอีกหนึ่งปี ปลายปีก็คงจะเห็นว่า กล้าต้นไหนโต กล้าต้นไหนแคระแกร็น แน่นอนว่าในระหว่างที่ครูดูแลอยู่นั้น ต้องเอาใจใส่ จ้ำจี้จ้ำไชให้ลูกๆเอาใจใส่ในการเรียน การที่ลงไปถึงจุดนั้นได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คนไหนเอาใจใส่ในการเรียน ในการดูดซับเอาวิชาจากครูไป ดังนั้นการที่มาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันตั้งแต่ต้น เพื่อให้รู้ว่าที่ครูจะต้องดูแลถึงขนาดนั้น เพราะว่า ก็เพื่อให้ลูกๆได้ผ่านการเรียนชั้นนี้ไปอย่างเต็มความสามารถ และจะได้ภาคภูมิใจในการเรียน


ดูรูปเพื่อนๆกันนะคะว่าปีนี้ เรามีใครกันบ้าง และจงอย่าลืมกัน เพื่อนเราทุกคนสำคัญทั้งนั้น ไม่ว่าใคร มีภาษิตอยู่บทหนึ่งค่ะว่า “นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน บินขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้” เพราะฉะนั้นเราต้องมีเพื่อนเอาไว้มากๆ ไว้คอยดูแลกัน ช่วยเหลือกันตลอดไปนะคะ

รอบรั้ว โรงเรียน วันไหว้ครู

Wednesday, June 17, 2009


พิธีวันไหว้ครูปีนี้ก็เหมือนๆกับทุกๆปีที่ผ่านมา ซึ่งความจริงแล้วในสายตาของคนต่างชาติ ต่างภาษาที่เขามองดูเราอยู่เหมือนกัน เขาอัศจรรย์ใจในพิธีกรรมนี้ ที่หาไม่ได้ในบ้านเมืองเขา ครูเองก็เคยพูดเอาไว้หลายครั้งแล้ว ถึงความสำคัญของครู....ครูก็คือครู...ครูที่ประสิทธิประสาทวิชาให้แก่ลูกศิษย์... “ลูกศิษย์” ค่ะ ไม่ใช่แค่ศิษย์ และไม่ใช่แน่ กับความหมายของตะวันตกที่พยายามใช้คำว่า “ผู้ให้บริการ- ครู” “ผู้รับบริการ – นักเรียน” และครูเองก็ไม่เห็นด้วยมาตลอด
เราอยู่ในคนละสังคมกัน วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แล้วเราก็พยายามอย่างมาก ที่จะแหวกเข้าไปหาวัฒนธรรมตะวันตกนั้น ทั้งๆที่ของเราเองนั่น ถือว่าแน่นแฟ้น กระชับเกลียวความสัมพันธ์กันมากกว่า เป็นลูกศิษย์และครู ข้อเขียนเรื่องครูโบราณ และอีกหลายๆเรื่องในทำนองนี้ เป็นข้อเขียนของครูเมื่อปีที่แล้ว ที่ลูกๆสามารถเข้าไปอ่านได้ ว่าคนไทยเรานี่นับถือครู นับเป็นรองจากพระคุณของศาสนา และพระคุณของพ่อแม่ คนที่ถัดมาก็คือครู วัฒนธรรมของเราให้ความสำคัญเอาไว้ มาก มากกว่าเทวดาอารักษ์เสียอีก ซึ่งเราจะเห็นได้ในบทไหว้ครู ปฐม ก กา
ทีนี้ ที่ครูพูดเมื่อตอนต้นว่าฝรั่งต่างชาติ ครูต่างวัฒนธรรม เมื่อมาสอนในเมืองไทย เขาได้เห็นวัฒนธรรมของเราเข้า เขาคิดอย่างไร ส่วนมากเราอาจไม่เคยอ่านผ่านตา แต่ครูได้มีโอกาสอ่านผลงานของครูอเมริกัน ที่มาสอนที่โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา ติดตามข้อเขียนเขามาเป็นปี เพราะชอบลักษณะการเขียนของครูคนนี้ ตั้งแต่เขาเขียนเรื่องไปเที่ยวอ่าวมาหยา ประทับใจที่เขาเขียนได้จนเราสามารถมองเห็นภาพได้ เว็บไซท์ที่เขาเขียนไว้คือ “bchinab ผมเป็นคนอเมริกัน” เข้าไปค้นใน google ก็จะเจอค่ะ แต่ตอนนี้เว็บนี้เขาเลิกเขียนแล้ว เขาเขียนในเว็บใหม่ คือ http://bluenomadic.blogspot.com/2009/06/wai-kru-2009.html ซึ่งเขาจะบรรยายความรู้สึกช่วงไหว้ครูในขณะนั้นของเขาเอาไว้เล็กน้อย แต่นั่นก็แสดงถึงความรู้สึก เห็นถึงความสำคัญของครูชาวไทย ที่ตะวันตกเองไม่เคยรับรู้อย่างเป็นรูปธรรม เหมือนอย่างที่เขาได้พบกับตัวเอง และถ้าครูนับไม่ผิด ครูฝรั่งทั้ง 8 คนนั่น ประทับใจอย่างไม่มีวันลืมได้ เพราะอาการที่แสดงออกทางสีหน้า ที่เปี่ยมไปด้วยความสุขนั้น ฉายออกมาให้เห็นทั้ง รอยยิ้มและดวงตาที่มองลูกศิษย์ ครูเองดูแล้วก็ปลื้มใจค่ะ
ครูอาจเป็นคนหัวโบราณในเรื่องนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ปรับตัวให้เป็น “ครูพันธุ์ใหม่” ไม่ได้ บ้านเราพยายามมากในการเลียนแบบการศึกษาของตะวันตก อบรมกับทุกปี เรื่องนั้น เรื่องนี้ ด้วยวิธีที่ต่างชาติคิดสร้างออกมา เอาละ...ทั่วโลกเขาใช้กัน เลียนแบบกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า จะทิ้งของดีที่เรามีอยู่ทั้งหมด ครูไม่ได้หวังว่า ลูกศิษย์จะเข้ามากราบเช้า กราบเย็น ไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่มารยาทไทยที่เห็นว่าดีสำหรับเรา ยังต้องคงอยู่ เพราะฉะนั้น การที่ครูเคร่งครัดในเรื่องนี้ เพราะว่านี่คือวัฒนธรรมของเรา ความเป็นไทย แสดงออกถึงความเป็นไทย มันน่ารักค่ะ นี่เรื่องหนึ่ง และในเรื่องการพัฒนาการศึกษาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การที่ครูได้สร้างเว็บไซท์นี้ขึ้นมา ก็เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอน การอบรมลูกศิษย์ขึ้นมาเพิ่มอีกทางหนึ่ง นี่ก็เป็นการพัฒนาการศึกษาเหมือนกัน เห็นไหมคะ ครูหัวโบราณอย่างครูนี่ ก็สามารถเดินกับคนรุ่นใหม่ได้ค่ะ
ในวันไหว้ครูปีนี้ ขอให้ลูกๆทุกคนจงขยันเรียนนะคะ เป็นเด็กดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ครูอาจารย์และจงประสบความสำเร็จในการเรียนกันทุกคนค่ะ

อ้างอิงและอยากให้อ่านด้วย: http://bluenomadic.blogspot.com/2009/06/wai-kru-2009.html

รอบรั้ว การศึกษา การเรียนการสอนผ่านเว็บ กับการเรียนการสอนยุคใหม่

Tuesday, June 9, 2009

ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ อะไรๆก็ยังดูขลุกขลักไม่เข้าที่เข้าทาง งานเยอะค่ะ งานเขียนของครูก็ลดน้อยลง เพราะมัวยุ่งอยู่กับงานที่โรงเรียน และยังต้องช่วยงานด้านพระศาสนาเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังมีเวลาอ่านหนังสืออยู่บ้าง ไปเจอข้อเขียนชิ้นนี้เข้าค่ะ จากเว็บไซท์ของผู้จัดการ เห็นว่าน่าสนใจดี เลยเอามาให้อ่านดู เป็นการช่วยเผยแพร่ให้อีกคนหนึ่งด้วยค่ะ

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ต เข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกของเทคโนโลยีสารสนเทศการใช้อินเทอร์เน็ตจะช่วยให้วิถีชีวิตของคนปัจจุบันทันสมัย ทันเหตุการณ์ เพราะอินเทอร์เน็ตจะเสนอข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยอีกทั้งเป็นแหล่งสารสนเทศสำหรับทุกวงการที่สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ทั้งนี้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้สำรวจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม 2544 ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ ร้อยละ 52 อยู่ในกรุงเทพมหานคร เป็นเพศชายร้อยละ 48.8 และเพศหญิงร้อยละ 51.2 ในจำนวนนี้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีและพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อรับส่ง E-Mail ค้นหาข้อมูล ติดตามข่าวสารและสนทนา โดยสรุปว่า การใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยแพร่หลายมากขึ้นเพราะค่าใช้จ่ายถูกลง และมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่มากขึ้น

ด้วยเหตุนี้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลสารสนเทศจากทั่วโลกเข้าด้วยกันเสมือนดั่งขุมทรัพย์ข้อมูลข่าวสารที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่ได้จำกัดเฉพาะในวงธุรกิจเท่านั้น ในวงการศึกษาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการศึกษาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อการติดต่อสื่อสาร อภิปราย ถกเถียงแลกเปลี่ยน และสอบถามข้อมูลข่าวสารความคิดเห็นทั้งกับผู้สนใจศึกษาในสื่อเรื่องเดียวกันหรือกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ

ทั้งนี้การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาในต่างประเทศ จากการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสหรัฐอเมริกา (Department of Education) โดย National Center for Education Statistics (NCES) ได้ทำการสำรวจการใช้เทคโนโลยีในโรงเรียนของรัฐในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 และได้ข้อสรุปในปี ค.ศ.2000 พบว่าร้อยละ 98 ของโรงเรียนได้มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และร้อยละ 77 ของห้องเรียนได้มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังพบว่าร้อยละ 39 ของครูที่ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เพื่อจัดทำหลักสูตรการสอน จะเห็นได้ว่าอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นสื่อการศึกษาของโลกยุคใหม่ ช่วยเปิดโลกกว้างให้แก่ผู้เรียนและเป็นแหล่งรวบรวมขุมทรัพย์ทางปัญญาอย่างมากมายมหาศาล ในลักษณะที่สื่อประเภทอื่นไม่สามารถกระทำได้ ผู้เรียนจะมีความสะดวกต่อการค้นหาข้อมูลไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใดก็สามารถเข้าไปใช้เครือข่ายได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในลักษณะที่เรียนร่วมกันหรือเรียนต่างห้องกันหรือแม้กระทั่งต่างสถาบันกัน ก็สามารถแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่องได้ตลอดเวลาทั้งระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างผู้เรียนเอง เครือข่ายคอมพิวเตอร์จะเป็นตัวเชื่อมให้ผู้เรียนเข้าถึงผู้ให้คำปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง อีกทั้งยังเอื้อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนทั้งเวลาจริงหรือต่างเวลากัน ทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่ต้องมีการประสานงานกัน (Collaborative environment) ผู้เรียนสามารถควบคุมจังหวะการเรียนได้ด้วยตนเองทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมยืดหยุ่นแก่ผู้เรียน

จากกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ ระยะ พ.ศ.2544-2553 ประเทศไทย ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา (E-education) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีโดยมุ่งเน้นการสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรศึกษาที่มีประสิทธิภาพ เอื้อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสารสนเทศเนื้อหาและความรู้ ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จึงเป็นเครื่องมือที่มีพลานุภาพสูงในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการศึกษาและส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งในระบบ นอกระบบ และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย โดยการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเรียนการสอน โดยเฉพาะการเรียนรู้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตมีต้นทุนในการจัดการศึกษาที่ต่ำกว่าการศึกษาในชั้นเรียน

ทั้งนี้หากเปรียบเทียบต้นทุนทั้งหมด (Total cost)การจัดการเรียนรู้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการเรียนรู้ในชั้นเรียนถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลาและทุกคน (anywhere anytime anyone) และไม่ว่าจะทำการศึกษา ณ สถานที่ใด การเรียนรู้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตจะยังคงมีเนื้อหาเหมือนกันและมีคุณภาพที่เท่าเทียมกัน และยังสามารถวัดผลของการเรียนรู้ได้ดีกว่า ทำให้ผู้เรียนมีเสรีภาพในการเลือกเนื้อหาสาระของการเรียนรู้โดยไม่ถูกจำกัดอยู่ภายใต้กรอบของหลักสูตร ผู้เรียนสามารถกำหนดเส้นทางการเรียนรู้ของตนเองได้ (Self-pace learning) ตามความสนใจและความถนัดของผู้เรียน การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับหรือเป็นโปรแกรมแบบเส้นตรง แต่ผู้เรียนสามารถข้ามขั้นตอนที่ตนเองคิดว่าไม่จำเป็นหรือเรียงลำดับการเรียนรู้ของตนเองได้ตามต้องการ

แต่ในสภาพปัจจุบัน การจัดการเรียนการสอนถูกจำกัดเฉพาะในห้องเรียนและอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของผู้สอน ซึ่งผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล มีความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์และการมองโลกแตกต่างกันออกไป รวมถึงรูปแบบการจัดชั้นเรียนในปัจจุบันไม่สามารถที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ การเรียนการสอนไม่ควรยึดติดกับวิธีเดิม ในขณะที่สิ่งใหม่หรือสิ่งที่กำลังพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย ทั้งในด้านงบประมาณในการลงทุนจัดทำ ข้อจำกัดในด้านเวลาและสถานที่การใช้งานและขาดความยืดหยุ่นของเนื้อหาบทเรียน ทำให้การนำมาใช้ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร ถึงแม้โรงเรียนส่วนใหญ่สนใจและต้องการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาในการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก

ดังนั้น การนำประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตในใช้ในการพัฒนาบทเรียน จึงเป็นการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนที่ประยุกต์คุณลักษณะของอินเทอร์เน็ต โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ในเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) มาเป็นสื่อกลางเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิง เอกสารประกอบการเรียน บทเรียนสำเร็จรูป หรือแม้กระทั่งหลักสูตรวิชา เนื่องจากเวิลด์ไวด์เว็บเป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตที่มีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายและหลายรูปแบบ ทั้งตัวอักษร ภาพนิ่ง การเคลื่อนไหวหรือเสียง โดยอาศัยคุณลักษณะของการเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) ทั้งในรูปแบบของข้อความหลายมิติ (Hypertext) หรือสื่อหลายมิติ (Hypermedia) เพื่อเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน เป็นการนำประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการค้นคว้าข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเองและสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก นั่นคือมิใช่การสอนที่เป็นการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้สอนเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลายและเกิดขึ้นได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา โดยใช้เทคโนโลยีและสื่อสารสารสนเทศต่างๆให้เป็นประโยชน์ ซึ่งสื่อต่างๆ เหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ ทั้งนี้เพราะข้อมูลบนเว็บมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) ทำให้เนื้อหาการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าแบบเดิม และเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญและเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้ทันสมัยได้อย่างสะดวกสบาย

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บจึงเหมาะสมกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนที่สนับสนุนให้ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ และผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทั้งระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างผู้เรียนเอง
ขอขอบคุณข้อมูล จากคุณ วรัท พฤกษากุลนันท์
http://www.moe.go.th
http://www.edtechno.com/th และเว็บไซท์ของผู้จัดการ www.manager.co.th

Posted by ครูพเยาว์ at 9:30 AM