Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี วันอำลา

Monday, March 17, 2008



จบชั้นประถม................วันนี้ มานะและมานีทั้งหลาย จบชั้นประถมจากโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ก่อนอื่นก็ต้องแสดงความยินดีกับทุกๆคน ที่จะได้ย่างก้าวไปสู่อนาคต สู่ความฝันที่จะต้องทำให้สำเร็จ หลายคนก็ได้สมัครเรียนต่อที่โรงเรียนที่อยู่ละแวกเดิม อนาคตก็แค่จะเดินผ่านหน้าโรงเรียน แล้วก็หันมามองน้องๆที่ยังอยู่ในรั้วโรงเรียน ถ้ามีโอกาส ก็ไม่ควรจะลืมถิ่นเก่านะคะ ที่ครูสังเกตรุ่นพี่ๆที่จบออกไป หลายคนก็ยังแวะเวียนมาประจำ ซื้อของขบเคี้ยวหน้าโรงเรียนเดิม ซื้อของเล่นที่ยังวางขายให้น้องๆตัวเล็กๆ ครูเองก็ยังนึกขำไม่ได้ เรียนมัธยมแล้ว ยังไม่โตกันสักที แต่ก็ช่างเถอะ ขอให้เธอทั้งหลายเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนก็เท่ากับว่าไม่เสียแรง ที่คุณครูทั้งหลายได้ช่วยกัน “อบ”ให้เธอหอมหวนไปด้วยความดี ความงามและความรู้ “รม”ให้เธอเรียนรู้ ให้รอดพ้นจากเหล่าสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามาแผ้วพานเธอ

ครูเอง ยังจะเฝ้ามองเธอทั้งหลาย อยากเห็นว่าเธอโตขึ้นแล้ว จะมีอนาคตเป็นอย่างไร...ดีใจค่ะ ที่ได้เจอในที่ต่างๆ แม้จะจำได้ไม่แม่น เพราะเธอโตขึ้นจนผิดหูผิดตา...ขอบใจ ที่บางคนกำลังเรียนแพทย์ เมื่อเจอครู ก็มีความหวังดี พูดว่า คุณครูอย่าเพิ่งป่วยนะคะ รอให้หนูเรียนจบก่อน หนูจะมารักษาคุณครู...แค่นี้ก็ตื้นตันใจแล้วค่ะ

ก็ขอให้เธอทั้งหลายจงประสบกับความสมหวังในการเข้าเรียนในโรงเรียนที่ประสงค์ และสำเร็จในการเรียน จงเป็นเด็กดี อย่าเอาชื่อของโรงเรียนไปทำในทางที่เสียหาย จงตั้งใจเรียนให้มากขึ้น เพราะยิ่งชั้นสูงขึ้น ก็ยิ่งจะต้องพยายามให้มากขึ้น คบเพื่อนก็ต้องระวัง ต้องรู้จักแยกแยะ ว่าคนไหนมีนิสัยเป็นอย่างไร อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ แค่นี้เธอก็จะไม่ตกอยู่ในภาวะตกต่ำแล้วค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 3:23 PM

รอบรั้ว หนังอิงประวัติศาสตร์

Thursday, March 13, 2008


ตามธรรมดาแล้ว ครูไม่ค่อยได้ดูหนังซีรี่ย์ที่ฉายตามช่องฟรีทีวีเท่าไหร่นัก ไม่ชอบหนังที่ไร้สาระ แต่ไม่นานมานี้ ได้มาดูหนังซีรี่ย์ของเกาหลีบ้าง นั่นเพราะคนคุยกันมาก อย่างโน้นอย่างนี้ อย่างเช่น ที่ผ่านไปไม่นานนัก แดจังกึม จูมง ก็ได้ดูบ้าง นั่นหนังก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว ถึงจะนั่งดู แต่มาอีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูตั้งแต่ต้น จนจบคือ อิมซังอ๊ก เรื่องนี้น่าสนใจ

ที่ครูสนใจและนั่งดูก็เพราะ เป็นเรื่องของพ่อค้าที่มีคุณธรรม ในหนังมีหลายตอน ที่สอนการทำการค้า ไม่ให้เอาเปรียบลูกค้า ไม่รังแกลูกค้า ไม่รังแกพ่อค้าด้วยกัน อย่างเช่นพวกทุนใหญ่ ไม่ไปรังแกพ่อค้าทุนน้อย ใครไปทำเข้า ก็เข้ากับคำพูดที่ว่า เหมือนแย่งขนมเด็ก ซึ่งก็มาจากตอนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ดูไปดูมา มันก็ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ปัจจุบันของเรา มีพ่อค้าที่หนีภาษี มีเจ้านายที่คอรัปชั่น หรือ กินสินบาทคาดสินบน ที่ว่าคาดสินบนก็ดูออกจริงๆว่า เจ้านายนั่นคาดเอาไว้ว่าจะได้สินบนจากพ่อค้า บางคนยอมขายตัวเป็นลูกน้องของนายทุนใหญ่ไปก็มี หรือว่าเหตุการณ์อย่างนี้มีทั่วไปทุกที่ และตั้งแต่ยุคโบราณมาจนถึงยุคนี้ แต่พ่อค้าที่มีคุณธรรม อย่าง อิมซังอ๊ก ก็ไม่พยายามที่จะเลี่ยงภาษี ซึ่งครั้งหนึ่ง เงินภาษีที่ได้จากกลุ่มการค้าของเขาคนเดียว เท่ากับภาษีครึ่งหนึ่งของทั้งอาณาจักรโชซอน เขาไม่ยอมให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ แม้จะยิ่งใหญ่ มีอำนาจขนาดไหน ซึ่งก็ทำให้เขาไม่ได้รับความยุติธรรมในด้านการค้าจากทางราชการ

ครูดูจนจบแล้ว ทั้ง 50 ตอน ที่ฉายในเมืองไทยยังไม่จบ แต่ไปดูจากเว็บไซท์ของจีน ฟังไม่ค่อยออกหรอก เพราะพากย์เป็นภาษาจีนล้วนๆ แต่ก็เดาออกว่ามันหมายความว่าอย่างไร

ทีนี้ เรามาพูดเรื่องนี้กัน ถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ว่าหนังซีรี่ย์อิงประวิติศาสตร์ของเกาหลีเป็นอย่างไร ดูแล้วรู้สึกอย่างไร ครูว่า หนังอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของคนในสมัยก่อนๆ ไม่ว่าในการปกครอง การกดขี่ของระบบขุนนาง ที่มีต่อราษฎร ที่เรียกกันในหนังว่าไพร่ การที่จะหาจุดยืนในสังคม ใช่ว่าจะอยู่รอดปลอดภัย หลายๆครั้งต้องหนีจากภยันตรายจากขุนนาง เหตุผลแค่ เป็นที่น่าสงสัย ว่าจะกระด้างกระเดื่อง การสอบสวน ก็ล้วนแต่ทารุณทั้งนั้น มันน่ากลัว... ที่น่ายกย่องก็คือ ระเบียบ ประเพณี วัฒนธรรม ที่ยังเอามาให้เราดู ว่าคนในสมัยโน้น เขาถือประเพณีเอาไว้ มั่นคง คำพูด คำสอนต่างๆ ที่เอาออกมาให้เราฟังล้วนแต่สอนใจ ภาษิตต่างๆที่เราได้ยินกัน ล้วนแต่มาจากคนรุ่นก่อนทั้งนั้น เราจะได้ยินคำคมๆเหล่านั้นจากหนังเกาหลี ของไทย ครูยังไม่เคยได้ยินสักคำ เห็นแต่ที่พูดกัน คือ การแก่งแย่ง ตบตีกัน ...เป็นซะอย่างนั้น

อยากเห็นหนังของไทย เอาอย่างดีๆอย่างเขาบ้าง ครูว่า ตั้งแต่ดูหนังเกาหลีแนวประวัติศาสตร์มาแค่ 3 เรื่อง จะวาดแผนที่โบราณของเกาหลีได้แล้ว เขาสอนประวัติศาสตร์ให้คนดูไปในตัว ขณะที่เขียนเรื่องนี้อยู่นี่ ภาพอาณาจักรโชซอนโบราณ มันผุดขึ้นอยู่ในความคิด ตรงไหนเป็นเมืองแพกเจ พูยอ ชิลลา น่าคิดนะคะ เราไม่ได้สร้างหนังแนวประวัติศาสตร์ให้เรา ได้ชื่นชมกับการต่อสู้เพื่อบ้านเมืองของบรรพบุรุษของเรามากนัก เท่าที่เห็น ถึงมีก็มีฉากที่เด็กๆจะต้องปิดตาดูเสียอีก ในขณะที่เกาหลีสร้างเป็นตัวอย่างที่ให้เราดู ไม่ได้มีฉากรักให้เห็น ซึ่งตัวผู้แสดงเขาสามารถบอกได้จากสายตา ว่ารัก ว่าชัง ว่าชื่นชม ว่าเสียใจ ว่าผูกเจ็บ ว่าแค้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากออกมาสักคำ เขาแสดงได้ค่ะ ส่วนของเราแสดงออกมาหมด ทั้งกริยาท่าทาง เสียงที่ตะโกนออกมา รวมทั้งตบให้ดูเป็นตัวอย่างให้เด็กดู เรียกว่าครบเครื่องปัญญาอ่อน

เดือนนี้ครบ 100 ปี ที่เราเสียหัวเมืองภาคใต้ส่วนหนึ่ง ให้แก่ อังกฤษ-มาเลเซียค่ะ เมืองเหล่านั้นคือ กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรีและปะลิส เราสูญเสียไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2451...ที่มาย้ำเตือนให้ฟังก็เพียงแต่จะบอกว่า อย่าได้คิดแตกแยกกันเองภายในประเทศ คิดกันให้ดีๆนะคะ เราเสียดินแดนครั้งก่อนๆนั่น เพราะเราสู้เขาไม่ได้เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ เรื่องกำลังการต่อสู้ แต่ก็มี ที่เราเสียดินแดนเพราะเราแตกแยกกันเอง เปิดประตูเมืองให้ศัตรูเข้ามา..ฉนั้น ดูหนังดูละครอิงประวัติศาสตร์ ของเกาหลีเหล่านั้นแล้ว ก็ย้อนมาดูเราบ้าง ประวัติศาสตร์มีไว้ให้เราจำ และเป็นบทเรียนค่ะ