Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว การศึกษา

Saturday, December 6, 2008


ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น นักการเมืองเขาเข้าไปดูกิจกรรมเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด นับเวลาเป็นปี ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับรู้นโยบายที่ทางรัฐบาลได้ออกมาดำเนินการแล้ว การที่นักการเมืองฝ่ายค้านหรือเสียงข้างน้อยได้เข้าไปสังเกตการณ์นั้น นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การที่จะปรับปรุง พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่านโยบายเก่าที่กำลังดำเนินการ การศึกษาก็เหมือนกัน ในการหาเสียงของประธานาธิบดีโอบามา ท่านเอาใจใส่เรื่องนี้มากทีเดียว สังเกตจากการปราศรัยหลายๆครั้ง การศึกษาจะเป็นเรื่องที่อยู่ในลำดับของความสำคัญในการที่จะปรับปรุงให้ดี ยิ่งขึ้น

พูด ง่ายๆก็คือ การศึกษาของอเมริกันอ่อนด้อยลงมาก ถ้าเราติดตามข่าวในการแข่งขันทางวิชาการ เด็กอเมริกันจะแพ้เด็กทางเอเชีย แพ้จีน แพ้เกาหลี หรือแม้กระทั่งหนังสือคณิตศาสตร์บางรัฐ บางโรงเรียนของอเมริกายังต้องมาเอาของสิงคโปร์ไปใช้สอนอย่างนี้เป็นต้น และจากการที่นักการเมืองเข้าไปเจาะลึกถึงการล้มเหลวของการศึกษาของเขา พบกับความจริงแล้วก็ตกใจหนักเข้าไปอีก ในโรงเรียนมีการแบ่งเกรดทางสังคม การฟุ้งเฟ้อ เหลวแหลกทางจริยธรรม ถ้าเป็นเด็กอเมริกันสีผิวแล้วก็ยิ่งตกต่ำลงไปอีก อย่างเช่นเรียนอยู่เกรด 4 ยังอ่านหนังสือไม่ออกเลย พอๆกับบ้านเรา ที่เด็กเรียน ป. 4 ยังอ่านหนังสือไม่ออกก็มีให้เห็น

กลับ มาบ้านเรา งานด้านการศึกษาถือว่าเป็นงานที่สำคัญและด่วนที่สุดแล้ว...จะทำอะไรก็รีบทำ เสียเถอะ ขอให้ครูได้มีนโยบายที่มันเด่นชัด ที่จะปรับปรุงการศึกษาให้เราได้ก้าวหน้ายิ่งกว่านี้ ตอนนี้เด็กของเราจะอ่อนด้วยลงไปอยู่ระดับต่ำของเอเชียให้เข้าแล้ว การปรับคุณภาพการเรียนการสอน การปรับวิทยฐานะของครูก็ดูจะลักลั่น ไปไม่ถึงไหน ถ้าถามครูทุกๆคนที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการส่งรายงานผลงานทางวิชาการ เพื่อเลื่อนวิทยฐานะนั้น เราดำเนินถูกทางหรือเปล่า ครู เท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ทุ่มชีวิตอยู่กับการสอนเด็กที่แทบล้นห้องเรียน ใครจะคิดว่ามีโรงเรียนที่มีเด็กอยู่ในห้องหน้าสลอนอยู่ 50 คน แค่นี้ ถ้าไปดูผลสัมฤทธิ์ของเด็กแล้ว ประสบการณ์การสอนที่มีมานับสิบๆปีแล้ว จะให้ครูเหล่านั้นมานั่งทำผลงานด้านวิชาการในทำนองเดียวกันกับส่งผลงานเพื่อ ยกระดับให้เท่ากับผู้ช่วยศาสตราจารย์ มันมีเหตุผลพอไหม...มีครูบ่นเรื่องนี้ค่ะ เลยขอบ่นต่อให้ฟัง

เรา มีแนวคิดว่า ถ้าจะปรับปรุงการเรียนการสอนเด็ก ยกระดับของเด็กเราให้มีความรู้มากยิ่งขึ้น ผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น ก็ต้องยกระดับของครูที่มีความรู้อยู่ในเกณฑ์ อยู่ในระดับที่เรียกกันว่า Bench mark หรืออะไรทำนองนี้ ก็พอมีเหตุผลอยู่ แต่ ไม่ใช่ทั้งหมด จำนวนเด็กที่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ครูสามารถเจาะจงเด็กที่มีปัญหาในการเรียนได้อย่างพอเหมาะพอควร และให้ความช่วยเหลือเด็กเหล่านั้นได้ตามกำลัง นั่นก็คือเด็กต้องไม่มาจุกอยู่ในโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง รัฐบาลต้องเข้ามาจัดการ ติดตามตามความเป็นจริงว่าเด็กนักเรียนต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ครูสามารถดูแลได้ ครูคือผู้มาสั่งสอนวิชาการ ไม่ใช่มาดูแลม๊อบ รัฐเองต้องติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง ชาวอเมริกันเขาพูดว่า When it come to education in America, we need to start holding ourselves accountable. คือทุกคนนั้นต้องเอาใจใส่อย่างแท้จริง ไม่ว่ารัฐ โรงเรียน ผู้ปกครอง ศาสนา...ไม่มีใครที่จะบอกว่าไม่ใช่หน้าที่...ไม่ได้ ทุกคนจะต้องเริ่มทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่นผู้ปกครองของเด็กนักเรียน ที่ไม่มีใครสามารถออกนโยบายว่าให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ได้ แต่ผู้ปกครองสามรถทำได้ ถ้ารักจะให้การศึกษาแก่ลูก โดยการ ปิดทีวีไม่ให้ลูกมอมเมาไปกับละครเน่าๆ ตัดเกมส์ต่างๆออกอย่าให้ลูกติดอยู่กับเกมส์เหล่านั้น ช่วยลูกในการอ่านหนังสือ ช่วยให้คำแนะนำในการทำการบ้าน ให้เข้าร่วมประชุมกับโรงเรียน อย่างนี้เป็นต้น

ทีนี้มาถึงเรื่องสำคัญเสียที...ได้ฟังปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน พูดแล้ว ก็น่าจะเป็นทางออกให้ครูได้บ้าง ท่านพูดว่า “ปัญหาของการพัฒนาครูไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ส่วนหนึ่งมาจากการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ครูต้องอิงมาตรฐานหน่วยงานจากหลายองค์กร โดยเฉพาะการประเมินวิทยฐานะที่ผ่านมายังไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานของครู ซึ่งการพัฒนาครูเพื่อให้ได้วิทยาฐานะนั้น จะต้องตอบคำถามให้กับสังคมด้วยว่า เมื่อครูผ่านการประเมินวิทยฐานะนักเรียนมีคุณภาพดีขึ้นหรือไม่ แต่ทุกวันนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามเรื่องดังกล่าวให้กับสังคมได้ ซึ่งเรื่องการพัฒนาครู การประเมินวิทยฐานะ และการเพิ่มคุณภาพการเรียนการสอนจะต้องเชื่อมโยงกันได้” ก็จะคอยดูกันต่อไปว่าในการแก้ปัญหา หลังจากการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครู ที่ได้ระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่ออกมาให้ความเห็นพ้องต้องกันว่า การปฎิรูปการศึกษาตลอด 9 ปีที่ผ่านมายังไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางเอาไว้ การปฏิบัติงานที่ไม่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้การพัฒนาไม่ไปในทิศทางเดียวกัน และจะจัดทำแผนพัฒนาแบบบูรณาการให้ทุกหน่วยเข้ามาช่วยกัน ซึ่งก็จะคอยดูว่า แผนจะออกมาอย่างไรใน 3 เดือนข้างหน้า...ที่ดีก็คือ การยอมรับว่าที่ผ่านมานั้น การพัฒนาครูยังไม่สำเร็จ และถ้าจะให้สำเร็จนั้นต้องทุกคนต้องเข้าร่วมมือกัน....มันช่างเหมือนกับการ ศึกษาของอเมริกาตอนนี้จังค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:51 AM

รอบรั้ว การเมืองใหม่

Tuesday, December 2, 2008


รัฐบาลที่เข้ามาปกครองประเทศในโลกทุนนิยมมีส่วนคล้ายกันไม่มากก็น้อย ในแนวที่จะเข้ามาครอบครองประเทศในระยะยาวแต่การที่จะเข้ามานั้น มีการวางแผนอย่างมีระบบ มีสายงาน มีมือประสานสิบทิศเข้ามาช่วย สังคมต่างประเทศ อย่างสหรัฐอเมริกา เขาว่าของเขาอย่างนี้ค่ะ “systematic takeover of our democracy by high-priced lobbyists.” มือที่ประสานสิบทิศของเราก็คือ lobbyists นั่นแหละค่ะ มีผลประโยชน์ต่างตอบแทนชนิดที่เรียกว่า คุ้มค่า ค่าจ้างทีเดียว ในเมืองไทยของเรา เราจึงเห็นนักการเมืองของเราร่ำรวยอย่างชนิดที่เรียกว่า “ทันตาเห็น” รวยกันอย่างที่เรียกว่า “สามารถเรียกเงินเรียกทอง” แบบเดียวกันกับสังข์ทองเรียกปลาขึ้นมาเลย แถมยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเอาเสียด้วย ระบบเดียวกัน แบบเดียวกัน ที่เมืองนอกเขาก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ “we've seen politicians resigning for taking millions of dollars in bribes.” ของเขาลาออกไปถึงจะเห็นว่ารวยขึ้น ของเรานี่ยังรวยกันไม่พอค่ะ แต่ละคนถึงพยายามทุกวิธีที่จะเข้าไปนั่งในทำเนียบ ที่บอกว่าเห็นแก่ประเทศนั่น อย่าหวังค่ะ ขนาดเขาออกมาไล่กันมืดฟ้ามัวดิน ก็ยังหน้าด้านนั่งอยู่ให้เห็นๆ


การที่จะจับนักการเมืองขี้โกงบ้านเรานั้นแสนยาก แต่เมื่อไม่นานมานี้ในสหรัฐอเมริกา เขาจับได้ค่ะ นั่นก็คือ the head of the White House procurement office arrested. นั่นมันบ้านเขา...บ้านเราอย่าหวังว่าจะได้เห็น และนอกจากนั้นมันยังมีตัวละครเพิ่มให้เราเห็นอีกในการที่จะเข้ากลุ้มรุมกันทำร้ายประเทศ คดโกงกันเป็นพวกๆ ข่าวลับๆ คนที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า หน้าที่สูงๆอย่างนี้ ทำงานที่ดีกว่าคนทั่วๆไป ไม่มีความเดือดร้อนอะไรในชีวิตแล้ว ทำไมยังไปอยู่ในกลุ่มของนักการเมืองที่คดโกงประเทศได้ แสดงว่าพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเพิ่มขึ้นทุกที เมืองนอกก็เช่นเดียวกัน มีคนพูดว่า “We've seen the number of registered lobbyists in Washington double since George Bush came into office.” นั่นคือสังคมทุนนิยมเต็มตัว ที่เราได้รับมาชนิดที่เรียกว่าลอกแบบกันไม่มีผิดเพี้ยน

ผลประโยชน์ที่ทำเงินหลักมากที่สุดของนักการเมือง นักธุรกิจ(การเมือง)คือพลังงาน บ้านเรา นักการเมืองถึงอยากให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไร แปรรูปไปเป็นบริษัทมหาชน นั่นก็เพื่อที่จะเข้ามาเกาะกุมถังเงินของประเทศ ตอนนี้มันก็เป็นอย่างนั้น เมืองนอก ในอเมริกาก็เช่นเดียวกัน ของเขาว่าอย่างนี้ “When big oil companies are invited into the White House for secret energy meetings, it's no wonder they end up with billions in tax breaks while Americans still struggle to fill up their gas tanks and heat their homes.” มันก็ทำนองเดียวกัน คนที่รวยขึ้นก็อยู่ในแวดวงของนักการเมือง นักธุรกิจการเมือง ชาวบ้านอย่างเราๆ ก็ดิ้นรนหาเงินมาเติมใส่กระเป๋านักการเมืองให้โป่งขึ้น นี่ถ้านักการเมืองสามารถทำให้การไฟฟ้าเป็นบริษัทมหาชนได้ ชาวบ้านคงนอนตาไม่หลับแน่ เพราะหลังจากนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรๆมันก็ขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้า สายส่งไฟฟ้า ถ้าเผื่อว่ามันตกอยู่ในมือนักธุรกิจแล้วละก็...ลำบากกันถ้วนหน้ากันละ


ทุกวันนี้ เราก็ควรที่จะช่วยกันพัฒนา ปรับปรุงประเทศของเรา ไม่ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้ การที่เราจะดูแล เลือกผู้แทนเข้ามาบริหารประเทศ เราต้องช่วยกัน คัดเลือกคนดีๆ ประวัติดีๆ ไม่มีธุรกิจที่มันจะทับซ้อนกับผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชน จากเรื่องราวต่างๆที่ฉาวโฉ่ ไม่ว่าในเรื่องการคดโกง ขาดจริยธรรม ศีลธรรม เราก็ไม่ควรที่จะให้เข้ามาปกครองประเทศ ที่เมืองนอกโน้น เขาก็ “เอาเรื่อง” ในเรื่องนี้เหมือนกัน เขาพูดกันว่า “We're here today to answer that call because let's face it - for the last few years, the people running Washington simply haven't. And while only some are to blame for the corruption that has plagued this city, all are responsible for fixing it. That's why we're asking Republicans to put an end to the pay-to-play schemes and join us in passing the Honest Leadership and Open Government Act” ไม่ต้องบอกก็เดาได้นะคะว่าเป็นคำพูดของใคร...ทั้งหมดนั้นเป็นคำพูดของประธานีธิบดีคนใหม่ ของสหรัฐค่ะ คุณบารัค โอบาม่า ผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ ผู้ที่เข้ามาให้คนทั้งประเทศมีความหวังมากขึ้น...ส่วนของเรา...ขอแค่ ให้การศึกษาแก่คนในชาติ ให้รู้ทันคนก็น่าจะกล้อมแกล้มไปได้แล้วละค่ะ


ข้อมูลบางส่วน: TOPIC: Ethics & Lobbying ReformJanuary 18, 2006Honest Leadership and Open GovernmentPodcast ของ ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า

Posted by ครูพเยาว์ at 7:24 PM