Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว เรื่องเล่า

Saturday, December 26, 2009


ครูได้ไปอ่านเรื่อง “โต๊ะแห่งความสุข” จากหนังสือพิมพ์ “ไทยโพสต์” ของคุณเปลว สีเงิน อ่านแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว เหมาะสำหรับทุกๆคนที่ยังต้องต่อสู้เพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ในสังคมในยามนี้ กำลังใจ การใส่ใจ ความเอื้อเฟื้อที่ดูเหมือนจะห่างหายไปจากสังคมของเรา อ่านจากหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวในทีวี จะมีแต่เรื่องที่มุ่งร้ายกัน เอาผลประโยชน์กันเสียส่วนมาก ดูแล้วน่าหดหู่นะคะ ถ้ารู้สึกอย่างนั้นเข้ามาบ้าง ลองอ่านเรื่องนี้ดูซิคะ
โต๊ะแห่งความสุข
เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น
เรื่อง บะหมี่น้ำ หนึ่งชาม
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 19 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528 ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ที่ร้านบะหมี่ ” ฮอกไก ” บนถนนซัปโปโร
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เอง
จึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี
“ร้านฮอกไก” นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น.
คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้ว บนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้ จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ
เถ้าแก่ของร้าน “ฮอกไก” เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน
ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6
ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคน สวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ท ลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ
“เชิญนั่งครับ” เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า
“ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ” เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า
“บะหมี่น้ำหนึ่งชาม” บะหมี่ 1ชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน
เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ย
และสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง
“ทานเถอะครับ” ลูกคนพี่พูด
“แม่ทานหน่อยสิครับ” ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
“ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)” พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
“ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)”
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น
และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ “ฮอกไก”
ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย
และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
22.00 น. กว่า ๆ ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่าและเชย
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง
“ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ”
“ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ”
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า
“บะหมี่น้ำหนึ่งชาม” เถ้าแก่รับคำพลาง
จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง “ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม”
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
“นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย”
สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม
ภรรยาก็พูดขึ้นว่า
“เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ”
ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
“หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ “
“ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว”
“ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ”
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
“ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)” มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00 น. ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา
พอถึง 22.00 น.
พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า
“บะหมี่ชามละสองร้อยเยน” ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า
“บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน” 30 นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย “จองแล้ว”
ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ
22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
“เชิญค่ะ เชิญค่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
“รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ”
“ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง
แล้วรีบเอาป้าย”จองแล้ว”ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
“บะหมี่น้ำสองชาม”
“ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ”
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
“ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก”
“ขอบคุณ ?”
“ทำไมครับ”
“เรื่องป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น
ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน”
“เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ” ผู้เป็นพี่ตอบ
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
“แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว”
“จริง ๆ หรือครับ แม่”
“จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์
ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร
ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก
จึงทำให้วันนี้ สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด”
“ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ”
“ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ”
“ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ “
“แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ
คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง
ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง
คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า
เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ
นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ
ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง”
“จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ”
“หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ
แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย”
“เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย
เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน
แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…”
“ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ
อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก
เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…”
“ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่
แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…”
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง
พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ
“พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า “วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่
ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ “
“จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ”
“ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี
น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ
ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ
อยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน
เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร”
“เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก
แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังจนจบ ถึงได้รู้สึกว่า
ความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริง ๆ “
“หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามเพื่อกินกันสามคนนั้น
ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี
และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ”
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี
จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป
มองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ พร้อมกับกล่าวว่า
“ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)”
และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง พอถึงเวลา 21.00
น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย”โต๊ะจอง”ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย
การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย
ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่
โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา
เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง
และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก
พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า “โต๊ะแห่งความสุข”
ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้
ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว
เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก
กินไปพลางก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน
เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว ในวันนี้พอเลย 21.30 น. ไปแล้ว
เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ
บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก
ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้”โต๊ะจอง”
ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม
พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ ออก ๆ พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม
ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง
ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง
จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น. ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน
สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า “ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ”
เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
“เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ”
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แม้เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ
กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่
ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก “พวกคุณ .. พวกคุณ” เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ
ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูก ก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า
“พวกเราสามคนแม่ลูก ที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ
และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้”
“หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต
ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว”
“วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น
ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า
พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร
และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย”
สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู
พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า
“อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปล่ะ อุตส่าห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ “โต๊ะจอง”
ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ
เร็วเข้า”
ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า
“ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง”
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
“ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม”
หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย
มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน
คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่า “ขอบคุณค่ะ(ครับ)
สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)”ก็เท่านั้นเอง
แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขับได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า —
อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง
ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้
บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจ
ของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้
ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา …เพื่อนพ้องทั้งหลาย …
อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย
หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บ
ไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ
จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก ….
ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น
แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว
มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ
เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น
ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว
ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า
“ใครที่อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว
ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้”
ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว
รู้สึกประทับใจจริง ๆ
จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น
มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ
แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ
และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

รอบรั้ว โรงพยาบาลอุดรธานี

Thursday, October 29, 2009





มีเสียงดังที่หน้าบ้านมากเลยค่ะ ออกไปดูที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เห็นรถของโรงพยาบาลอุดรธานีคันใหญ่จอดอยู่ เป็นรถรับบริจาคเลือดค่ะ เห็นป้ายของธนาคารบอกว่า กิจกรรมงานครบรอบวันสถาปนาธนาคารปีที่ 43 “สุขภาพดี กับ กองทุนทวีสุข” สำนักงาน ธกส.อุดรธานี วันที่ 29 ตุลาคม 2552 หน้าธนาคารมวลหมู่แม่ค้าจากอำเภอต่างๆเอาของมาขายกันมาก ของกิน ของใช้ ซึ่งตามธรรมดาแล้ว วันพฤหัสจะเป็นวันที่จะมีตลาดนัด ธกส. แต่ก็เอาแน่นอนไม่ได้ บางทีก็มี บางทีก็ไม่มีค่ะ

เดินไปข้างหลังธนาคารก็จะเห็นพนักงานธนาคารทำงานกันวุ่น ลูกค้าธนาคารก็เยอะที่มารอกันบริจาคเลือดให้กับโรงพยาบาล ตอนที่เข้าไปก็มีคนรอเข้าคิวบริจาคกันแล้ว เห็นแล้วก็ปลื้มใจค่ะ ที่เรายังมีคนใจบุญกุศล ทำบุญทำทานด้วยการ “ให้” บริจาคเลือดแก่คนที่รอรับอยู่ด้วยความเจ็บปวด เจ็บป่วย บุญนี้ครูว่ามากค่ะ ยิ่งกว่าเงินทองเสียอีก ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

เมื่อวันก่อนพ่อบ้านได้มาส่งคนเจ็บมาจากบ้านผือ อายุ 67 ปี แล้ว ตกบ้านไหล่ทรุดไปข้างหนึ่ง ครั้งแรกส่งไปที่โรงพยาบาลบ้านผือ เอ๊กเรย์ดูแล้ว เหมือนกับว่ากระดูกจะร้าว เลยส่งต่อมาที่โรงพยาบาลอุดรธานี ถือว่าโชคดีมากค่ะ ที่เขาไม่เป็นอะไรมาก เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ยังเจอหมอกระดูกที่โรงพยาบาล คุณหมอยังเด็กอยู่เลยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดชื่อคุณหมอธารทิพย์ ใจดีมากพูดให้กำลังใจตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ครูก็ยังคิดอยู่ว่าหมอบ้านเรายังไม่พออยู่ค่ะ บ้านนอกห่างไกล ไม่ใช่แค่ห่างไกลจากตัวเมือง ยังห่างไกลหมอเสียเหลือเกิน วันนั้นกว่าจะนำคนป่วยมาถึงมือหมอได้ เดินทางนับ 100 กิโลเมตรทีเดียวค่ะ หมอและพยาบาลที่มีอยู่ล้วนต้องทำงานหนักกันทั้งนั้น มองดูแล้วก็ได้แต่ให้กำลังใจกันอย่างเดียว และขอชื่นชมกับความเสียสละของเขาค่ะ

รอบรั้ว วันลอยกระทง


ตอนนี้ครูกำลังสร้างบ้านสวนอยู่ค่ะ เมื่อวานมีเวลาว่างอยู่บ้าง เลยออกไปดูราคาวัสดุก่อสร้าง ก็ได้ยินเสียงเพลงลอยกระทงแว่วๆมา ก็ทำให้คิดย้อนหลังปีก่อนๆ วันลอยกระทงนี่ไม่ว่าลูกหรือหลานล้วนมีกิจกรรมทางโรงเรียน ทำกระทงออกไปขาย ใกล้ๆกับบริเวณที่ลอยกระทง จะเจอเด็กนักเรียนวัยรุ่นรวมกลุ่มกันขายกระทงกัน เป็นที่สนุกสนาน
พ่อบ้านเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของพ่อบ้านได้แต่งงานก็เพราะไปลอยกระทงด้วยกันนี่แหละ ตอนที่กำลังอธิษฐานขออะไรๆก่อนลอยกระทงไป เขาได้เอาเข็มหมุดมัดด้าย แอบเสียบต่อกับกระทงของแฟน ให้ต่อกับกระทงของเขาตอนที่เอากระทงมาวางคู่กันในน้ำ แล้วก็พุ้ยน้ำให้กระทงลอยไป...แล้วก็บอกว่ากระทงยังอยู่คู่กันตลอด ไม่แยกจากกันเลย สื่อให้เห็นว่า เขากับแฟนนั้นเป็นเนื้อคู่แน่แท้ แหม!!! หลอกกันตั้งแต่ต้นเลยนะนี่ แต่เขาก็ได้แต่งงานกัน อยู่ด้วยกันจนบัดนี้
เดือนสิบสองของไทย เป็นเดือนที่คนไทยได้สนุกกันอีกครั้งในการลอยเคราะห์ ลอยบาป ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อแม่พระคงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำ นัมมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก ในวันเพ็ญเราก็จะได้เห็นกระทงในทุกที่ ลอยในแหล่งน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง บางทีมองไปบนท้องฟ้ายังเห็นแสงไฟลอยลิบๆ เขาลอยกระทงอากาศกัน บางปีไม่ได้ออกไป ลอยกันในอ่างเลี้ยงปลา ที่สวยจริงๆคือการลอยกระทงสาย ที่กระทงเรียงตามกันมาตลอดสายแม่น้ำ มองไกลไปสุดสายตา สวยงามประดับแม่น้ำ รู้สึกว่าครั้งหนึ่งเหล่าราชวงศ์ทั่วโลกที่มาร่วมงานฉลองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ต่างก็ตลึงกับความงามนี้ จากกระทงสายของเรา
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องวันลอยกระทงของเรา
เป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่เราได้ใช้น้ำ ตลอดจนถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลลงแม่น้ำ
เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทามหานทีในประเทศอินเดีย
เป็นการลอยทุกข์ ลอยโศก รวมทั้งโรคภัยต่างๆไปกับแม่น้ำ
ชาวไทยภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ตำนานเล่าเอาไว้ว่าสามารถปราบพระยามารได้

รอบรั้ว หมู่มาร


เคยสังเกตบ้างไหมคะ ว่าบางครั้งที่เราจะทำอะไร มักมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรืออะไรสักอย่างมาขัดขวาง ไม่ให้เราทำได้สำเร็จ แล้วเราก็บอกว่า แหม มันช่างมีมารมาขวางเสียจริงๆ ในทางกลับกัน ถ้าเราจะทำอะไรที่มันผิด ก็จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ด้วยเหมือนกัน คือมาขวางไม่ให้เราทำได้สำเร็จ หรืออย่างน้อยก็ทำให้เราได้คิด ว่าสิ่งที่เราจะทำไปนั้น มันไม่ถูกต้อง อย่างนี้เราบอกว่า ผีบ้านผีเรือนเข้ามาขวางหรือเตือน หรือถ้าเกี่ยวกับความเสียหายของชาติแล้วละก็ต้องพูดว่า พระสยามเทวาธิราชเข้าไปขัดขวาง เหตุการณ์แบบนี้เราเห็นบ่อยค่ะ
ทีนี้มารที่ว่ามาตอนต้น ในคติของเรามาเป็นหมู่เลย เรียกว่าหมู่มารค่ะ มารตัวสำคัญ ที่เราต้องต่อสู้กันอย่างจริงจังคือ กิเลสมาร มารนี้มาหาเราอยู่ทุกวี่วัน ไม่เคยหยุด เป็นกระแสของความโลภ โกรธ หลง และเป็นตัวที่จับสรรพสัตว์ทั้งหลายให้วนเวียนในภพ 3 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้เราเอาชนะกิเลสนี้เป็นสำคัญ เมื่อชนะแล้วก็สามารถตัดกระแสกิเลสและบรรลุพระนิพพานได้ ขันธมาร คือ ขันธ์ 5 หรือก็คือ ร่างกายของสัตว์โลกที่เป็นภาระอันหนัก ต้องคอยบำรุง ดูแล รักษา ทำความสะอาด มีความเสื่อมเป็นปกติ ที่เราต้องมานวดขา นวดคอ ไปหาหมอนั่นเพราะขันธมารมาเยี่ยมเราค่ะ อภิสังขารมาร คือ วิบากหรือผลของกรรมที่เราจะต้องก้มหน้าก้มตาชดใช้ ถ้าไปทำผิดพลาด ก่อบาปกรรมขึ้น โดยมีกิเลสมารบีบคั้นให้สรรพสัตว์ไปก่อกรรมขึ้น หรือ ก็คือ กิเลสมารบังคับ บีบคั้นให้สร้างกรรม และต้องมารับผลของวิบากกรรม ซึ่งก็คือ อภิสังขารมาร นี่ถ้าเราเอาชนะกิเลสมารตั้งแต่ต้น มารนี้ก็จะไม่มาเยี่ยมกรายเราได้เลยละค่ะ ทีนี้มารที่ทุกคนกลัว และท่านพุทธทาสบอกนักบอกหนาว่าเตรียมตัวเตรียมใจกันตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าไปกลัวนั่นคือ มัจจุมาร คือ ความตาย ที่ครอบคลุมสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ต้องถอดกายตายลง แล้วไปแสวงหาที่เกิดใหม่ตามกำลังแห่งกรรม ซึ่งก็คือ ผลของอภิสังขารมารนั่นเอง เมื่อเกิดใหม่แล้วก็ปิดบังภพชาติ ไม่ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ความจริงของชีวิต ไม่ให้รู้เรื่องกฎแห่งกรรม แล้วเมื่อมัจจุมารทำให้มนุษย์ตายได้แล้ว ก็เอาไปตรึงไว้ที่อบายภูมิบ้าง สวรรค์และพรหมโลกบ้าง เพื่อให้เสียเวลาในการสร้างบารมีให้ ติดใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นทิพย์ ทำให้ไม่มีความคิดหาทางเลิกเกิด และเทวบุตรมาร คือ มารที่มีตัวตน จริงๆ มีตัวเป็นๆ เช่น มารที่เคยมาทูลให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน หรือ แม้แต่เทวดาบางพวกที่ถูกมิจฉาครอบงำ หรือ ก็คือโดนกิเลสมารบีบคั้นนั้นเองให้มีความคิดผิดเพี้ยนไป แล้วคอยขวางบุคคลอื่นไม่ให้ทำความดี ว่ากันว่าพระยามารนี่เคยต่อสู้กับเจ้าชายสิทธัตถะมาหลายครั้ง เช่นออกมาห้ามไม่ให้ออกบวช ส่งธิดามารสวยๆออกมาขัดขวาง และเมื่อเห็นว่าพระพุทธเจ้าจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ยกมาทั้งกองทัพทีเดียว เพื่อมาขัดขวาง การต่อสู้ของพระยามารกับพระพุทธเจ้านั้นน่าตื่นเต้นค่ะ ถ้าเรามานึกเอาแบบในทางโลก คือการต่อสู้ที่เอาจริงเอาจัง ถึงตาย ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา และผลสุดท้ายพระยามารก็พ่ายแพ้ไป เมื่อพระแม่ธรณีออกมาช่วยพระพุทธเจ้าเอาไว้โดยการบีบมวยผม เพื่อบอกกับพระยามารว่า บัลลังก์ที่พระพุทธเจ้าประทับนั้น เป็นของพระพุทธเจ้าโดยแท้ และน้ำที่ไหลออกมาจากมวยผมนั้น มาจากการหยาดน้ำทุกครั้งที่ พระพุทธองค์ ทรงกระทำความดี ตั้งแต่ครั้นอดีตหลายแสนหมื่นล้านภพชาติ พระยามารตนนั้นคือ พระวสวัตตีมาร หรือพระสหัสพาหุ หรือ พระยามาราธิราช ที่เรียกกันทั่วไปว่า พระยามาร บนสวรรค์เรียกท่านว่า ท้าวมาลัยค่ะ
เราเองก็เอาชนะมารได้เหมือนกันค่ะ นั่งสมาธิทับมารเอาไว้ เดินจงกรมเหยียบมารเอาไว้ไม่ให้ขึ้นมาตีเสมอเรา หายใจเข้าออกรดต้นคอมารเอาไว้ บอกกับมารว่าฉันรู้ทันแกนะ แค่นี้มารมันก็ได้แต่ดูเราอยู่ห่างๆแล้วละค่ะ จะสรุปได้ง่ายๆ ก็คือให้รามี ”สติ”นั่นเองค่ะ

รอบรั้ว ถนนสายแห่งศรัทธา วัดนาหลวง

Wednesday, July 15, 2009

ก่อนที่จะถึงวันเข้าพรรษาแค่คืนเดียว ทำให้เราเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของชาวพุทธได้ นั่นคือ “ศรัทธา” ความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงวัดที่ตัวเองตั้งใจจะไปร่วมทำบุญ ฟังเทศน์ ฟังธรรม คืนนั้น ฝนตกลงมาทั้งคืน ครูอยู่ที่วัด เพราะต้องไปช่วยวัดทำงาน ส่วนที่รับผิดชอบก็คือจัดจีบผ้าประดับตกแต่งโต๊ะล่วงหน้าก่อนวันงาน ฝนที่ตกลงมาแทบบอกว่าเทลงมา แบบไม่หยุดหย่อน กว่าฝนจะซาลงก็ถึงเช้าพอดี แต่ก็ยังโปรยลงมาเป็นระยะๆ ทำให้ถนนที่เข้าสู่”วัดนาหลวง-อภิญญาเทสิตธรรม” ต.คำด้วง อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี ซึ่งเป็นถนนดินแดง กลายเป็นถนนโคลนแดงไปทันที และเมื่อมีรถยนต์นับพันเคลื่อนเข้ามา ก็ทำให้ถนนนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นบ่อโคลน ช่วงถนนเรียบ และเป็นถนนลื่นไถล ช่วงขึ้นเนิน และคนขับรถจะต้องบังคับรถให้อยู่บนพื้นถนนให้ได้ เพราะพื้นถนนนั่นเป็นพื้นแข็ง อย่างเก่งก็แค่ล้อหมุนฟรี ลื่นอย่างเดียว แต่ถ้ารถเอียงออกนอกถนนไปก็จะไปเจอขอบถนน นี่แหละคือจุดอันตราย ขอบถนน นอกจากจะลื่นแล้ว ดินก็อ่อน ทำให้รถไถลตกคูข้างถนน ตอนนี้แหละที่ทำให้รถติดอยู่กับที่ ไปหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ และในตอนสายๆรถที่เข้าวัดไปก่อน รู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถขึ้นไปถึงวัดได้ ก็ขับออกมา สวนกับรถที่เดินทางเข้าไปสู่วัด ทำให้ต้องหลบหลีกกัน และทำให้รถที่ทั้งเข้า ทั้งออกจากวัด ต้องตกถนนกันนับสิบคัน แต่เรื่องนี้แค่เป็นเรื่องรอง เรื่องสำคัญคือ “ศรัทธา” ที่ทุกคนที่ร่วมกันอยู่บนถนนสายศรัทธานั้น ต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกัน พากันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย หน้าตายิ้มแย้ม ถ้าใครได้เห็นแล้ว ก็จะปลื้มใจที่ทุกคนต่างก็ร่วมกัน “ทำบุญ” ก่อนที่จะถึงวัดเสียอีก

วันนั้นทั้งวัน ถนนที่เข้าสู่วัด กลายเป็นถนนโคลน และเป็นงานของชาวพุทธได้ฉลองศรัทธา ด้วยการทำบุญ “เข็นรถเข้าวัด”กันแทบทั้งวัน จวบจนบ่ายๆรถเข้าวัดก็ซาลง รถที่เข้าไปไม่ได้ ก็ต้องจอดรอญาติธรรมที่เข้าวัดไปได้ โดยวิธีการเดินไป อาศัยรถคันอื่นไป หรือเดินไปครึ่งทางก็จะมีรถมารับไปถึงวัด ซึ่งก็ไม่ใช่ใกล้ๆ นั่นคือเหตุการณ์ในวันเข้าพรรษา และแรงศรัทธาของญาติธรรม จากภาพที่ได้เก็บเอาไว้ ส่วนหนึ่งท่านจะได้เห็นความยากลำบาก ของคนที่นั่น การที่จะต้องสัญจรไปมา ในหมู่บ้านที่ห่างไกล ยากเย็นแค่ไหน งบประมาณเรื่องการขยายเส้นทางให้ได้มาตรฐานนั้น เรายังต้องการอยู่ แต่ว่า งบส่วนที่จะเอามาใช้นั้น ยังต้องเจียดไปในการซ่อมแซมถนน สายที่สำคัญกว่า และน่าเจ็บใจ ที่ถนนสายเหล่านั้น ล้วนแต่ต่ำกว่ามาตรฐานเท่าที่เราควรจะได้รับ น่าเสียดายนะคะ







รอบรั้ว ผู้ก่อการร้ายแบบไทยไทย

Tuesday, July 14, 2009


ช่วงหัวค่ำวันก่อนได้ยินอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มาพูดเรื่องตำรวจของเรากำลังเรียกตัวแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรวม 36 คน ในฐานะ “ผู้ก่อการร้าย” ให้มารายงานตัว แล้วท่านก็เปรียบเทียบให้เห็นว่า ภาพของผู้ก่อการร้าย ที่โลกกำลังตัองการตัวอยู่นั้น มีลักษณะเช่นไร การส่งกองกำลังทหารทั้งกองทัพเข้าไปค้นหา ไปรุกทุกเขตพื้นที่ ที่จะจับตัวให้ได้ แล้วก็เกิดการลอบยิง การฆ่าเกิดขึ้นตลอดเวลา และดูว่า แม้ลงทุนลงแรงไปถึงขนาดนั้น จนป่านนี้ก็ยังจับตัวไม่ได้ เมื่อมาเทียบกับผู้ก่อการร้าย แบบไทยไทย ที่ตำรวจไทยต้องการตัว เพียงแค่ออกหมาย เรียกตัวมา เขาก็พร้อมที่จะเดินเข้าไปหา แล้วก็ยอมพิมพ์ลายนิ้วมือ ก็ให้สงสัยว่า นี่เป็นผู้ก่อการร้ายแบบไหน ซึ่งทุกคนที่บ้านนั่งฟังไปแล้วก็อดหัวเราะไปกับมุกขำขันของอาจารย์เจิมศักดิ์ไม่ได้ ที่เปรียบเทียบให้เห็นภาพได้

ที่จริงเรื่องในทำนองนี้ดูเหมือนจะมีมาตรฐานในการเรียกหาที่ต่างกัน เพราะในขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ หนึ่งในผู้ปราศรัยของพันธมิตรฯ ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในทันที เพื่อเป็นการแสดงสปิริตทางการเมือง รับผิดชอบกับความผิดที่ตามที่ตำรวจกล่าวหาว่า แต่พรรคประชาธิปัตย์ตอบโต้ว่า คนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินให้จำคุก 2 ปี แต่กลับหนีไปโน่นไปนี่ได้ทั่วโลก ได้แสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง ที่สำคัญยังปล่อยให้ลิ่วล้อล่ารายชื่อประชาชนมา 1 ล้านชื่อ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ กดดันสถาบันเบื้องสูง ทั้งๆที่หน่วยราชการที่มีหน้าที่โดยตรงเรื่องนี้ คือกรมราชทัณฑ์ได้ออกมาแถลงแล้ว ว่าไม่สามารถทำได้ เพราะนักโทษยังหนีอยู่เลย ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่วางไว้ คือต้องมาเข้าคุกก่อน แล้วจึงขอพระราชทานอภัยโทษ และต้องยื่นผ่านส่วนราชการ ไม่ใช่เดินไปหน้าประตูวังค่ะ

นี่คือความแตกต่างที่ยังปรากฏให้เห็น ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูกต้อง ส่วนอีกฝ่ายคือผู้ผิดและเป็นผู้ที่ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง ในขณะที่กระบวนการที่นำไปสู่ความถูกต้องกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรจะเป็น นั่นคือกระบวนการยุติธรรม การพิจารณาคดีที่ผู้ก่อการร้ายแบบไทยไทยโดนยิง โดนระเบิด โดนแก๊สน้ำตา ทั้งที่ตายไปนับสิบศพ พิการและบาดเจ็บอีกร่วมพัน ยังหาคำตอบไม่ได้เลย ว่าตายไปฟรีๆ หรือว่าตายไปแบบวีรชน กลุ่มคนที่สู้กับระบบคอรัปชั่น แล้วก็มาโดนข้อหาผู้ก่อการร้าย ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีเงินล้นฟ้า สามารถเข้ามาก่อกวนได้ไม่สิ้นสุด แถมศาลตัดสินแล้วด้วย ว่าหัวหน้า ตัวการใหญ่นั่น มีความผิด ตัดสินจำคุกไปแล้ว และการหนีไปได้นั่นก็เป็นที่คลางแคลงใจ ว่าหนีไปได้อย่างไร ทั้งๆที่คนธรรมดาอย่างเราๆไม่สามารถทำได้แน่ ไม่มีใครทำหน้าที่ และไม่มีใครอาย เพราะแม้แต่ชาวบ้านก็เดาออก ว่าหนีแน่นอน ซึ่งก็ไม่ใช่คนแรก นักการเมืองหนีไปคนแล้วคนเล่า ระบบราชการแบบไทยไทยเรา ปล่อยให้เป็นไป แล้วค่อยมาแก้กันภายหลัง แล้วก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ย้ำอีกครั้งค่ะ ต้นตอเรื่องราวต่างๆที่วุ่นวายและปล่อยให้เราต้องตามแก้อยู่เดี๋ยวนี้ คือ กระบวนการยุติธรรม และตำรวจที่เป็นต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง และต้องขอโทษตำรวจดีๆ ตำรวจน้ำดีที่ยังมี มีแต่ท่านเองเท่านั้นที่จะกอบกู้ภาพลักษณ์ขององค์กร ไม่มีใครหรอกที่จะกู้ชื่อแทนท่านได้นะคะ

รอบรั้ว เพื่อนบ้าน เขาสร้างชาติอย่างไร

Tuesday, June 30, 2009


เมื่อวานได้เขียนเรื่องคอร์รัปชั่นเอาไว้ เพราะเมื่อเห็นข่าวทำนองนี้แล้ว ยังอดใจไม่ไหวที่จะพูด ประเทศของเราน่าจะไปไกลกว่านี้มาก ถ้านักการเมืองและประชาชนของเรา ไม่ร่วมกันฉ้อฉล คดโกงประเทศชาติ เป็นพวกที่เห็นแก่ตัวมากที่สุด ไม่ได้นึกถึงส่วนรวม หรือประเทศชาติเลย การพัฒนาก็ไปไม่ถึงไหน ดูแค่การขนส่งอย่างเดียว การรถไฟไทย ไม่ได้มีความก้าวหน้าอะไรเลย ว่ากันว่า รางมีเท่าไหร่ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้างไว้ มาบัดนี้ก็ยังเท่าเดิม นี่แค่พูดเปรียบเทียบให้เห็น ว่ายังไม่เจริญไปกว่านั้น

นี่ถ้าเราขยายทางรถไฟทางภาคใต้ ฝั่งอันดามันให้เพิ่มอีกสาย ขนานไปกับฝั่งอ่าวไทย ครูว่าเศรษฐกิจของเราน่าจะไปไกลกว่านี้อีก นักท่องเที่ยวที่ยังแบกเป้ไปเป็นกลุ่มๆ ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน ประเทศอื่นแถบนี้ยังคิดขยายกิจการ เพิ่มเป็นรถไฟความเร็วสูง อย่างเวียดนาม ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นสงครามมาเพียงไม่กี่สิบปี กว่าจะตั้งตัวหลังสงครามได้ก็นับสิบปีแล้ว มาบัดนี้ คิดก้าวหน้ากว่าไทยเสียอีก เราเองมัวหลงอยู่กับวังวนแย่งอำนาจของนักการเมือง นักโกงเมือง เป็นเบี้ยให้นักการเมืองหลอกใช้ ประเทศเราก็ไปไม่ถึงไหน สามัญสำนึกเรื่องความก้าวหน้าของประเทศชาติไม่เกิด เพราะมัวหลงลมปากของนักการเมือง ที่มีสัญญาสารพัดจะมอบให้

เรื่องนี้หยุดแค่นี้เอาไว้ก่อน มาต่อเรื่องคอร์รัปชั่นอีกสักตอน เมื่อวานได้พูดเอาไว้ว่าทำไมสิงคโปร์เขาถึงรักษาบ้านเมืองของเขาให้ปลอดเรื่องคอร์รัปชั่นเอาไว้ได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนโน้น สิงคโปร์ก็มีเรื่องแบบนี้ไม่ได้น้อยหน้าใครเลย จากบทความของ BOI บางตอน เขียนเอาไว้ว่า

“เมื่อนายลีกวนยูเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง โดยได้ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ อย่างเข้มงวด ทำให้สถานการณ์ปรับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ประการแรก ผู้นำประเทศ รวมถึงคณะรัฐมนตรี ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่คอร์รัปชั่นเสียเอง มิฉะนั้น ข้าราชการและประชาชนทั่วไปจะหัวเราะเยาะและไม่เชื่อถือกับมาตรการปราบปรามคอร์รัปชั่น โดยเขาเคยกล่าวปราศรัยเมื่อปี 2522 ว่าประเทศสิงคโปร์จะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อบรรดารัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงต้องไม่คอร์รัปชั่น ทั้งนี้ จากรัฐบาลที่ดำเนินการอย่างจริงจัง ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือ และกระตือรือร้นในการส่งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายคอร์รัปชั่นให้แก่รัฐบาล

นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้เคยกล่าวให้ทัศนะเปรียบเทียบกับไทยและสิงคโปร์ในประเด็นนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2544 ว่ากรณีของประเทศไทย “ผมแปลกใจที่ไม่มีการตรวจสอบบ้านของคนใหญ่คนโตที่หรูหรา มีที่หลายสิบไร่ มีที่จอดรถได้ 18 - 20 คัน ซึ่งมองไม่ออกเลยว่ามีมาได้อย่างไร ไปได้เงินทองมากมายมาจากไหน ... สังคมของสิงคโปร์ที่พ้นภาวะคอรัปชั่นได้เพราะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคนไม่กิน รวมถึงข้าราชการด้วย เขาใช้วิธีกำจัดออกไป”

ประการที่สอง มอบอำนาจอย่างเต็มที่ให้แก่หน่วยงาน Corrupt Practices Investigation Bureau (CPIB) ซึ่งขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี มีอำนาจที่จะสอบสวนการกระทำผิดอย่างจริงจัง สามารถเรียกบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ปากคำ ไม่ว่าบุคคลนั้นๆ จะมีตำแหน่งใหญ่โตเพียงใดก็ตาม และดำเนินการสอบสวนอย่างรวดเร็ว ไม่ดำเนินการสอบสวนแบบชักช้า หรือแบบลูบหน้าปะจมูกเป็นมวยล้มต้มคนดู

อนึ่ง นอกจากดำเนินคดีภายหลังคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานแห่งนี้ยังมีอำนาจในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาคอร์รัปชั่นที่ต้นเหตุ ตามกฎหมายป้องกันคอร์รัปชั่น Prevention of Corruption Act (POCA) กล่าวคือ หน่วยราชการบางแห่ง เช่น หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง หน่วยงานศุลกากร กรมสรรพากร หน่วยงานตำรวจจราจร ฯลฯ เดิมมีปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นอย่างมาก และสาเหตุของปัญหาอยู่ที่ขั้นตอนและระบบการทำงาน

ดังนั้น หน่วยงาน CPIB ได้เข้าไปตรวจสอบกระบวนการทำงาน รวมถึงตรวจสอบระยะเวลาการอนุมัติอนุญาตต่างๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานเสียใหม่ให้มีโอกาสเกิดคอร์รัปชั่นลดลง นับว่าเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้ปัญหาคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นที่ต้นเหตุอย่างได้ผล

ประการที่สาม ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยกำหนดว่าการที่ข้าราชการที่ร่ำรวยผิดปกติ หรือมิฉะนั้น ก็มีวิถีชีวิตใช้จ่ายเงินจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้รับแล้ว เป็นต้นว่า มีเงินเดือนเพียงแค่นิดเดียว ไม่ได้เกิดมาร่ำรวย แต่กลับขับรถยนต์หรูหราราคาแพงมาทำงาน อาศัยอยู่ในบ้านราคาหลายสิบล้านบาท ถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นๆ ประพฤติมิชอบในการปฏิบัติราชการ พนักงานสอบสวนไม่ต้องไปหาหลักฐานใบเสร็จให้เหนื่อยยาก ดังนั้น เว้นแต่ข้าราชการคนนั้นๆ สามารถอธิบายถึงแหล่งที่มาของเงินดังกล่าวแล้ว จะถูกดำเนินคดี ส่วนบรรดาทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกริบเป็นของทางราชการด้วย

ประการที่สี่ กำหนดโทษระดับสูง โดยกฎหมายกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท รวมถึงต้องจ่ายค่าปรับเท่ากับเงินสินบนที่ได้รับ ยิ่งไปกว่านั้น หากคอร์รัปชั่นเกี่ยวข้องกับสัญญาของรัฐบาลหรือเป็นสมาชิกรัฐสภาแล้ว โทษจำคุกเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 7 ปี

ประการที่ห้า ขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการให้พอเพียงต่อการดำรงชีพและอยู่ระดับใกล้เคียงกับเงินเดือนในภาคเอกชน เนื่องจากข้าราชการบางคนนั้น แม้จะมีทัศนคติที่ดีไม่ต้องการคอร์รัปชั่น แต่อาจจะถูกสถานการณ์บีบบังคับ

ประการที่หก รณรงค์ประชาชนให้ตระหนักว่าคอร์รัปชั่นเป็นเชื้อโรคร้ายที่บั่นทอนการพัฒนาประเทศผ่านสื่อต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในอดีตว่ากระทบต่อประเทศสิงคโปร์มากน้อยเพียงใด หน่วยงาน CPIB ได้เปิดพิพิธภัณฑ์คอร์รัปชั่นขึ้นที่สำนักงานใหญ่เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เยี่ยมชม โดยกำหนดลูกค้าเป้าหมายเป็นเด็กนักเรียนสิงคโปร์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ของประเทศ ที่เกิดภายหลังรัฐบาลปราบปรามคอร์รัปชั่นแล้ว ส่วนใหญ่จึงไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านคอร์รัปชั่นมาก่อน ต้องมาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ว่าในอดีตคอร์รัปชั่นเป็นไปอย่างไร รวมถึงลูกค้าเป้าหมายเป็นบรรดาข้าราชการต่างประเทศที่เดินทางมาดูงานเพื่อต้องการเรียนรู้ถึงเคล็ดลับความสำเร็จในการปราบปรามคอร์รัปชั่นของสิงคโปร์ด้วย

พิพิธภัณฑ์ได้แสดงคดีดังคดีเด่นให้ประชาชนได้รับทราบ โดยเฉพาะ “เกียรติประวัติ” บุคคลสำคัญหลายคน เป็นต้นว่า คดีที่นาย Teh Cheang Wan ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาประเทศ ซึ่งได้ฆ่าตัวตายเมื่อปี 2529 ขณะอยู่ระหว่างถูกสอบสวนคดีคอร์รัปชั่นโดยหน่วยงาน CPIB รวมถึงนิทรรศการเกี่ยวกับคดีของนาย Wee Toon Boon อดีตรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ที่ถูกพิพากษาว่ากระทำผิดในด้านคอร์รัปชั่นเมื่อปี 2518 ซึ่งถูกพิพากษาให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน ซึ่งต่อมาเขาอุทธรณ์ จึงได้ลดโทษจำคุกลงเหลือ 3 ปี”

เรื่องนี้ครูต้องพูดกันบ่อยๆ เพราะหวังเอาไว้ว่า เด็กนักเรียนรุ่นใหม่ของเรา จะได้รับทราบถึงโทษภัยของการคดโกง ว่าได้บั่นทอนศักยภาพของประเทศไปอย่างไร เงินภาษีที่เราได้จ่ายลงไปนั้น จะต้องกลับมาพัฒนาประเทศ คืนมาสู่สังคม ไม่ใช่ไปตกอยู่ในมือของนักการเมืองและพวกพ้องของเขา

ขอบคุณเจ้าของบทความค่ะ คุณยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ ในหัวข้อเรื่อง ทำไมสิงคโปร์แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นผลสำเร็จ? และเว็บไซท์ www.boi.go.th

รอบรั้ว เมืองไทย ร่วมกันโกงชาติ

Monday, June 29, 2009


เมื่อวานกลับมาจากสวน เมื่อมาถึงก็ได้ฟังข่าว ที่พูดถึงประเด็นที่สำคัญ คือการคอร์รัปชั่นของนักการเมือง ว่าคนไทยมีความคิดเห็นอย่างไร เนื้อข่าวลงรายละเอียดว่า สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องชีวิตที่พอเพียงกับความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนและประเด็นสำคัญอื่นๆของประเทศในขณะนี้ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัดของประเทศ จำนวน 1,228 ครัวเรือน พบว่าประชาชนร้อยละ 73.9 เห็นด้วยว่าการใช้ชีวิตพอเพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และประชาชนส่วนใหญ่พยายามรักษาสิ่งของเครื่องใช้ให้คงสภาพใช้งานได้ยาวนาน และมุ่งทำงานให้พออยู่พอกินและมีเงินเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ทั้งนี้ ในการสำรวจความเห็นกรณีการทุจริตคอร์รัปชั่นมีประชาชนถึงร้อยละ 84.5 มองว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ และส่วนใหญ่ร้อยละ 51.2 ยังยอมรับได้ที่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น โดยคิดว่าทุกรัฐบาลมีการทุจริตคอร์รัปชั่นถ้าทุจริตแล้วทำให้ประเทศรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดีก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้

ที่น่าตกใจก็คือ มีคนเห็นด้วยกับการทุจริตถึงร้อยละ 84.5 มองเป็นเรื่องธรรมดาเสียอีก และถ้าการทุจริตนั้นถ้าตัวเองได้รับผลประโยชน์ด้วย นี่พูดกันแบบง่ายๆเลย ก็เห็นด้วยกับการทุจริตนั้นถึง 51.2 เปอร์เซ็นต์ เกินครึ่งของคนที่สำรวจมา!!!! นี่มันอะไรกัน!!!!! เดี๋ยวนี้สังคมของเราก้าวไปสู่ยุคโจรครองเมืองแล้วหรืออย่างไร หลังจากที่มีนักการเมืองที่ฉ้อฉลเข้าไปสู่แหล่งเงินแหล่งทอง โกงเอาสมบัติชาติออกมา แล้วมาแจกจ่ายส่วนหนึ่งให้ ก็มีประชาชนออกมาเห็นด้วยกับการกระทำนั้น ทำให้มีข้อสงสัยเบื้องต้นขึ้นมาในใจทันที ข้อแรก ศาสนาของเราที่พร่ำสอนกันอยู่ สอนศาสนิกกันแบบไหน ทำไมจึงตาลปัตรกลับหน้ากลับหลังได้ถึงเพียงนี้ ข้อที่สอง โรงเรียนของเรา สอนกันแบบไหน คุณธรรมจริยธรรมถึงหายไปได้ถึงเพียงนี้ และภูมิความรู้การศึกษาของคนไทยมีเท่าไหร่กันแน่ หลังจากปฏิรูปกันมาเป็นเวลานาน

การสำรวจนี้มันสอดคล้องจากรายงานการศึกษาล่าสุดของสถาบัน Political and Economic Risk Consultancy (PERC) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายน 2552 โดยสำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจระดับผู้บริหารทั้งของบริษัทในท้องถิ่นและบริษัทต่างชาติประมาณ 1,750 คน โดยจัดอันดับคอร์รัปชัน 16 ประเทศ จำแนกเป็น 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศภายนอกภูมิภาคอีก 2 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา

ผลการสำรวจพบว่าอินโดนีเซียครองแชมป์อันดับ 1 โดยได้รับคะแนน 8.32 ส่วนประเทศไทยได้รับตำแหน่งรองแชมป์ คือ 7.63 คะแนน ในเอเชียนี่ การโกงเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด เราอยู่ในลำดับที่ไม่น่าแปลกใจสักนิด จากสายตาของชาวต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นการเสริมได้เลย ว่าผลสำรวจของเอแบค ถูกต้อง!!!!! เรารับได้กับการโกงทุกรูปแบบ และรับได้แบบหน้าชื่นตาบาน และให้ดูทุกประเทศได้เลยว่ามีประเทศไหนบ้างที่มีการโกงกันแบบเราบ้าง และอยากให้เปรียบเทียบว่า ประเทศที่ไม่มีการโกงเกิดขึ้น เขาเจริญไปแบบไหน เชิญอ่านค่ะ

กัมพูชาอันดับ 3 ได้รับ 7.25 คะแนน อินเดียอันดับ 4 ได้รับ 7.21 คะแนน และเวียดนามอันดับ 5 ได้รับ 7.11 คะแนน สำหรับอันดับ 6 ถึงอันดับที่ 12 เรียงตามลำดับ คือ ฟิลิปปินส์ 7.0 คะแนน มาเลเซีย 6.70 คะแนน ไต้หวัน 6.47 คะแนน จีน 6.16 คะแนน มาเก๊า 5.84 คะแนน เกาหลีใต้ 4.64 คะแนน และญี่ปุ่น 3.99 คะแนน ส่วนประเทศที่ครองอันดับบ๊วย ซึ่งแสดงว่ามีความใสสะอาดระดับสูงสุด คือ สิงคโปร์ 1.01 คะแนน สำหรับรองบ๊วยอันดับ 2 – 4 คือ ฮ่องกง 1.89 คะแนน ออสเตรเลีย 2.40 คะแนน และสหรัฐฯ 2.89 คะแนน

ทั้งหมดนี้ เราแทบไม่ได้ยินข่าวเรื่องการคอร์รัปชั่นเลยก็คือ สิงคโปร์ มีแค่ครั้งเดียวก็คือการซื้อกิจการของอดีตนายกทักษิณแล้วทำให้บริษัทของสิงคโปร์ขาดทุนไปเป็นจำนวนมาก แล้วก็ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของบริษัท นั่นก็คือบริษัทเทมาเซคของรัฐบาลสิงคโปร์ แต่นั่นก็มีเบื้องหลังเบื้องลึกอะไรอีก และอีก 2- 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ถ้าเราได้ยินว่าถ้าเกิดนักการเมืองเขาโกง เขาจะลาออกทันที และบางครั้ง “อับอาย ขายหน้า เสียเกียรติภูมิ ทำให้ตระกูลด่างพร้อย” เลย ฆ่าตัวตาย ได้ยินบ่อยใช่มั๊ยคะ และถ้าไม่ถึงขั้นนั้น ไปสู่ศาล ผลสุดท้าย ก็เข้าคุก บางคนถึงตายในคุก มีมาแล้วทั้งนั้น นั่งไงคะ เขาถึงรักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้ และเจริญก้าวหน้าจนอยู่แถวหน้าของประเทศที่เจริญแล้ว

อยากยกตัวอย่างของเราให้ดูซักตัวอย่างค่ะ ถนนบ้านเราที่สร้างเสร็จใหม่ๆ ใช้ไปเถอะ ไม่ถึง 6 เดือน รับประกันได้เลยค่ะ เป็นหลุมเป็นบ่อให้เห็นจะจะได้เลย ครูนี่เดินทางไปต่างอำเภอบ่อย เห็นเป็นประจำ นี่คือผลงานของนักการเมือง ข้าราชการของเราร่วมกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง พ่อค้า ร่วมกันค่ะ ร่วมกันโกงประเทศไทย

ยอมรับค่ะ ว่าเขียนเรื่องนี้ด้วยความเสียใจ เสียใจกับอนาคตของประเทศ เสียใจกับลูกหลานว่าจะอยู่กันอย่างไรกับคนรอบข้างที่พร้อมจะโกงกันทุกวินาที!!!!
ภาพจากอินเทอร์เนต

รอบรั้ว ประวัติศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่

Thursday, June 25, 2009

เมื่อคืนครูได้ดูภาพยนตร์ที่นำออกมาฉายทางเคเบิลทีวี อยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เคยดูจนจบมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว นี่เป็นการดูซ้ำของบางช่วงตอนที่ใกล้จะจบ ก็สนุกไปกับเรื่องราวที่อิงประวัติศาสตร์ ศาสนา ที่มีหลักฐานให้เราค้นหาได้ หนังเรื่อง Kingdom of Heaven เป็นเรื่องราวที่รบพุ่งกันในกรุงเยรุซาเล็ม ตะวันออกกลาง ระหว่างชาวคริสต์และชาวอิสลาม หรือมุสลิม และดำเนินการต่อสู้กันมาอย่างนี้เป็นศตวรรษ ที่ดูเหมือนจะยังไม่จบสิ้น
ตอนท้ายสุดในตอนจบ ชาวมุสลิมสามารถควบคุมการต่อสู้ไว้ได้ ได้เปรียบทุกด้าน มีทหารมากกว่าเป็นจำนวนมาก แม้ชาวคริสต์มีจำนวนน้อยกว่ารวมทั้งมีทั้งผู้หญิง เด็กและคนชราอยู่ในเมือง แต่พวกนักสู้ก็ได้ต่อสู้จนสุดความสามารถ จนซาลาดินแม่ทัพของมุสลิมต้องเจรจาด้วย และจบลงด้วยการให้คริสเตียนออกจากเมืองไป โดยจะไม่ทำร้ายใคร ตอนที่ออกจากเมืองก็จากไปโดยไม่มีคำกล่าวเยาะเย้ย ถากถาง ต่างก็ยิ้มแย้ม ถ้อยทีถ้อยอาศัย นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ และอยู่ในเรื่องของศาสนา การยึดพื้นที่ของศาสนจักร เรื่องอย่างนี้แม้ในประเทศของเรา ครูก็คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเกิดขึ้น ในสมัยที่เรายังรบพุ่งกันอยู่กับพม่า น่าจะสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ต่อสู้กันจนสุดความสามารถ ยังเอาชนะกันไม่ได้ ก็ขอดูตัวแม่ทัพ พักรบกัน ทหารทั้งสองฝ่ายก็สามารถเดินเข้าหากัน พูดคุยกันได้ นั่นคือเรื่องของอาณาจักร เขตแดนของประเทศในแถบนี้


ในยุโรปก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกัน เมื่อต่อสู้ก็ต้องต่อสู้กันไป เมื่อพักรบก็เข้าไปมาหาสู่กันได้ นั่นคือเรื่องการเมือง การเศรษฐกิจ การขยายเขตพื้นที่ทางการค้า และการปกครองของเขา
ทีนี้มาย้อนดูเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเรา การเมือง การสงครามในอดีตในประวัติศาสตร์เกิดเหตุการณ์อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม การแก่งแย่ง แสวงหาอำนาจ ทรัพย์สมบัติยังคงมีอยู่เหมือนเดิม แต่มาในรูปที่ใหม่กว่า ไม่ได้ยกกองทัพมาเต็มรูปแบบเหมือนในสมัยก่อน แต่มาในรูปการแสวงหาในหน่วยงานต่างๆ ความคิดที่จะปฏิวัติ ความคิดที่จะขับไล่ผู้มีอำนาจการปกครอง ยังคงดำเนินอยู่ทุกวัน อาวุธที่ใช้คือเงิน ใครมีเงินทองมาก คนนั้นได้เปรียบในการยึดพื้นที่ ในการทำสงคราม ส่วนเบื้องหลังการได้ทรัพย์สินเงินทองนั้น ได้มาอย่างไร ไม่มีใครสนใจ จะโกง จะเลี่ยงภาษี จะใช้แบบแก้กฎหมายให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ แบบที่เขาพูดกันว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ก็ทำกันเข้าไป เงินส่วนหนึ่งไหลออกมาซื้อเสียง ซื้อใจประชาชน ซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งซื้ออำนาจ เงินสามารถซื้ออะไรได้หมด เราจึงเห็นคนจำนวนมากออกมาเดินบนท้องถนน ใส่เสื้อสีต่างๆเหมือนกับแบ่งฝ่ายกันเต็มตัว ทำสงครามเป็นตัวแทนเจ้าของเงิน เป็นตัวแทนความเชื่อในเรื่องการเมือง ฯลฯ ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นการขยายอำนาจเขตการปกครองของนักการเมือง ที่ยังต้องแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรส่วนรวมของเรา พวกนี้หารายได้จากเงินภาษีที่ต้องเอามาบำรุงประเทศ ลองอ่านดูจากหน้าหนังสือพิมพ์ ทำไมต้องเสนอโครงการโน้น โครงการรี้ด้วยจำนวนเงินมหาศาล เขาทำเพื่อประชาชนจริงๆหรือ
อยากทบทวนอีกครั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเราเดี๋ยวนี้ เหมือนกับในหนังไม่มีผิด ทหารในรูปของชาวบ้านที่เดินออกมาสู้รบกัน แม้ไม่ถึงกับตายเลือดนองท้องช้างเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ได้แสดงออกมาให้เห็นว่า มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าคนที่มีอำนาจ นักการเมือง ไม่ลดราวาศอกกัน เหมือนคนในสมัยโบราณ เดี๋ยวนี้จะมีคนพูดเรื่องการศึกษามากขึ้น ข่าวสารที่ถูกต้อง ครบด้านมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดถึงด้านศีลธรรม จริยธรรมกันซักเท่าไหร่ ครูคิดว่า ถ้าเราเอาเรื่องศีลธรรม จริยธรรมนำหน้า เรื่องเลวร้ายอย่างที่เราเห็น ทั้งบนท้องถนนหรือในรัฐสภา คงจะเกิดขึ้นยากค่ะ

รอบรั้ว โรงเรียน ต้นกล้าที่แข็งแรง

Friday, June 19, 2009

ครูเองออกต่างอำเภอบ่อยอยู่ บางทีไปวัด เพราะต้องช่วยงานทางด้านศาสนาบ้าง บางทีก็เข้าสวน เพราะพ่อบ้านของครูชอบงานเกษตร ครอบครัวครูปลูกยางพารากันค่ะ การที่ออกไปตอนวันหยุดราชการ หรือวันสำคัญทางศาสนาหรือของวัดนั้น ก็ได้เห็นว่าช่วงนี้ย่างเข้าหน้าฝน ชาวนาเริ่มไถ เริ่มหว่าน ปักดำต้นกล้าแล้ว บางที่น้ำก็สมบูรณ์ กล้าก็งาม บางที่น้ำน้อย ถ้าฝนขาดช่วง ไม่ตกลงมาทันการ กล้าเหล่านั้นก็คงจะแห้งตายคานา น่าเสียดายนะคะ ที่เรายังต้องรอฟ้า รอฝน ไม่พัฒนาระบบชลประทานให้เข้ารูปเข้ารอย ชาวนาจะได้ไม่เสี่ยงต่อการลงแรงลงทุนในการปักดำลงไป


เมื่อกลับมาที่โรงเรียน ปีนี้ครูมีลูกศิษย์ในชั้นนี้อยู่ 45 คน นับว่าเป็นต้นกล้าของครูที่จะต้อง ประคับประคองดูแล ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้วิชา ความรู้ เพราะเป็นต้นกล้าที่ยังไม่โตเต็มที่ เท่าที่เพิ่งได้พบหน้ากัน ดูคร่าวๆ เป็นเด็กดีกันทุกคนค่ะ อย่างน้อยครูก็หวังไว้อย่างนั้นนะคะ เมื่อเราต้องมาอยู่ด้วยกัน ก็ต้องดูแลกัน รับผิดชอบงานต่างๆด้วยกัน ช่วยเหลือกัน งานต่างๆถึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ดีค่ะ

การเรียนในช่วงนี้ ไม่ถือว่ามีปัญหาอะไรอีกต่อไป ถ้าเปรียบเหมือนปลูกข้าว ก็ให้เห็นว่า มีน้ำสมบูรณ์ดีแล้ว เพราะงบประมาณในด้านการศึกษา เราได้มีอย่างพร้อมเพรียง เหลืออยู่ก็เพียงแค่ ต้นกล้านั้น จะได้รับปุ๋ย รับวิชาที่ครูหว่านลงไปนั้นได้เต็มที่หรือเปล่า ถ้าได้รับเต็มที่ลูกๆก็จะได้เติบโตผ่านไปอีกหนึ่งปี ปลายปีก็คงจะเห็นว่า กล้าต้นไหนโต กล้าต้นไหนแคระแกร็น แน่นอนว่าในระหว่างที่ครูดูแลอยู่นั้น ต้องเอาใจใส่ จ้ำจี้จ้ำไชให้ลูกๆเอาใจใส่ในการเรียน การที่ลงไปถึงจุดนั้นได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คนไหนเอาใจใส่ในการเรียน ในการดูดซับเอาวิชาจากครูไป ดังนั้นการที่มาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันตั้งแต่ต้น เพื่อให้รู้ว่าที่ครูจะต้องดูแลถึงขนาดนั้น เพราะว่า ก็เพื่อให้ลูกๆได้ผ่านการเรียนชั้นนี้ไปอย่างเต็มความสามารถ และจะได้ภาคภูมิใจในการเรียน


ดูรูปเพื่อนๆกันนะคะว่าปีนี้ เรามีใครกันบ้าง และจงอย่าลืมกัน เพื่อนเราทุกคนสำคัญทั้งนั้น ไม่ว่าใคร มีภาษิตอยู่บทหนึ่งค่ะว่า “นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน บินขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้” เพราะฉะนั้นเราต้องมีเพื่อนเอาไว้มากๆ ไว้คอยดูแลกัน ช่วยเหลือกันตลอดไปนะคะ

รอบรั้ว โรงเรียน วันไหว้ครู

Wednesday, June 17, 2009


พิธีวันไหว้ครูปีนี้ก็เหมือนๆกับทุกๆปีที่ผ่านมา ซึ่งความจริงแล้วในสายตาของคนต่างชาติ ต่างภาษาที่เขามองดูเราอยู่เหมือนกัน เขาอัศจรรย์ใจในพิธีกรรมนี้ ที่หาไม่ได้ในบ้านเมืองเขา ครูเองก็เคยพูดเอาไว้หลายครั้งแล้ว ถึงความสำคัญของครู....ครูก็คือครู...ครูที่ประสิทธิประสาทวิชาให้แก่ลูกศิษย์... “ลูกศิษย์” ค่ะ ไม่ใช่แค่ศิษย์ และไม่ใช่แน่ กับความหมายของตะวันตกที่พยายามใช้คำว่า “ผู้ให้บริการ- ครู” “ผู้รับบริการ – นักเรียน” และครูเองก็ไม่เห็นด้วยมาตลอด
เราอยู่ในคนละสังคมกัน วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แล้วเราก็พยายามอย่างมาก ที่จะแหวกเข้าไปหาวัฒนธรรมตะวันตกนั้น ทั้งๆที่ของเราเองนั่น ถือว่าแน่นแฟ้น กระชับเกลียวความสัมพันธ์กันมากกว่า เป็นลูกศิษย์และครู ข้อเขียนเรื่องครูโบราณ และอีกหลายๆเรื่องในทำนองนี้ เป็นข้อเขียนของครูเมื่อปีที่แล้ว ที่ลูกๆสามารถเข้าไปอ่านได้ ว่าคนไทยเรานี่นับถือครู นับเป็นรองจากพระคุณของศาสนา และพระคุณของพ่อแม่ คนที่ถัดมาก็คือครู วัฒนธรรมของเราให้ความสำคัญเอาไว้ มาก มากกว่าเทวดาอารักษ์เสียอีก ซึ่งเราจะเห็นได้ในบทไหว้ครู ปฐม ก กา
ทีนี้ ที่ครูพูดเมื่อตอนต้นว่าฝรั่งต่างชาติ ครูต่างวัฒนธรรม เมื่อมาสอนในเมืองไทย เขาได้เห็นวัฒนธรรมของเราเข้า เขาคิดอย่างไร ส่วนมากเราอาจไม่เคยอ่านผ่านตา แต่ครูได้มีโอกาสอ่านผลงานของครูอเมริกัน ที่มาสอนที่โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา ติดตามข้อเขียนเขามาเป็นปี เพราะชอบลักษณะการเขียนของครูคนนี้ ตั้งแต่เขาเขียนเรื่องไปเที่ยวอ่าวมาหยา ประทับใจที่เขาเขียนได้จนเราสามารถมองเห็นภาพได้ เว็บไซท์ที่เขาเขียนไว้คือ “bchinab ผมเป็นคนอเมริกัน” เข้าไปค้นใน google ก็จะเจอค่ะ แต่ตอนนี้เว็บนี้เขาเลิกเขียนแล้ว เขาเขียนในเว็บใหม่ คือ http://bluenomadic.blogspot.com/2009/06/wai-kru-2009.html ซึ่งเขาจะบรรยายความรู้สึกช่วงไหว้ครูในขณะนั้นของเขาเอาไว้เล็กน้อย แต่นั่นก็แสดงถึงความรู้สึก เห็นถึงความสำคัญของครูชาวไทย ที่ตะวันตกเองไม่เคยรับรู้อย่างเป็นรูปธรรม เหมือนอย่างที่เขาได้พบกับตัวเอง และถ้าครูนับไม่ผิด ครูฝรั่งทั้ง 8 คนนั่น ประทับใจอย่างไม่มีวันลืมได้ เพราะอาการที่แสดงออกทางสีหน้า ที่เปี่ยมไปด้วยความสุขนั้น ฉายออกมาให้เห็นทั้ง รอยยิ้มและดวงตาที่มองลูกศิษย์ ครูเองดูแล้วก็ปลื้มใจค่ะ
ครูอาจเป็นคนหัวโบราณในเรื่องนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ปรับตัวให้เป็น “ครูพันธุ์ใหม่” ไม่ได้ บ้านเราพยายามมากในการเลียนแบบการศึกษาของตะวันตก อบรมกับทุกปี เรื่องนั้น เรื่องนี้ ด้วยวิธีที่ต่างชาติคิดสร้างออกมา เอาละ...ทั่วโลกเขาใช้กัน เลียนแบบกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า จะทิ้งของดีที่เรามีอยู่ทั้งหมด ครูไม่ได้หวังว่า ลูกศิษย์จะเข้ามากราบเช้า กราบเย็น ไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่มารยาทไทยที่เห็นว่าดีสำหรับเรา ยังต้องคงอยู่ เพราะฉะนั้น การที่ครูเคร่งครัดในเรื่องนี้ เพราะว่านี่คือวัฒนธรรมของเรา ความเป็นไทย แสดงออกถึงความเป็นไทย มันน่ารักค่ะ นี่เรื่องหนึ่ง และในเรื่องการพัฒนาการศึกษาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การที่ครูได้สร้างเว็บไซท์นี้ขึ้นมา ก็เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอน การอบรมลูกศิษย์ขึ้นมาเพิ่มอีกทางหนึ่ง นี่ก็เป็นการพัฒนาการศึกษาเหมือนกัน เห็นไหมคะ ครูหัวโบราณอย่างครูนี่ ก็สามารถเดินกับคนรุ่นใหม่ได้ค่ะ
ในวันไหว้ครูปีนี้ ขอให้ลูกๆทุกคนจงขยันเรียนนะคะ เป็นเด็กดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ครูอาจารย์และจงประสบความสำเร็จในการเรียนกันทุกคนค่ะ

อ้างอิงและอยากให้อ่านด้วย: http://bluenomadic.blogspot.com/2009/06/wai-kru-2009.html

รอบรั้ว การศึกษา การเรียนการสอนผ่านเว็บ กับการเรียนการสอนยุคใหม่

Tuesday, June 9, 2009

ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ อะไรๆก็ยังดูขลุกขลักไม่เข้าที่เข้าทาง งานเยอะค่ะ งานเขียนของครูก็ลดน้อยลง เพราะมัวยุ่งอยู่กับงานที่โรงเรียน และยังต้องช่วยงานด้านพระศาสนาเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังมีเวลาอ่านหนังสืออยู่บ้าง ไปเจอข้อเขียนชิ้นนี้เข้าค่ะ จากเว็บไซท์ของผู้จัดการ เห็นว่าน่าสนใจดี เลยเอามาให้อ่านดู เป็นการช่วยเผยแพร่ให้อีกคนหนึ่งด้วยค่ะ

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ต เข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกของเทคโนโลยีสารสนเทศการใช้อินเทอร์เน็ตจะช่วยให้วิถีชีวิตของคนปัจจุบันทันสมัย ทันเหตุการณ์ เพราะอินเทอร์เน็ตจะเสนอข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยอีกทั้งเป็นแหล่งสารสนเทศสำหรับทุกวงการที่สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ทั้งนี้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้สำรวจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม 2544 ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ ร้อยละ 52 อยู่ในกรุงเทพมหานคร เป็นเพศชายร้อยละ 48.8 และเพศหญิงร้อยละ 51.2 ในจำนวนนี้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีและพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อรับส่ง E-Mail ค้นหาข้อมูล ติดตามข่าวสารและสนทนา โดยสรุปว่า การใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยแพร่หลายมากขึ้นเพราะค่าใช้จ่ายถูกลง และมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่มากขึ้น

ด้วยเหตุนี้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลสารสนเทศจากทั่วโลกเข้าด้วยกันเสมือนดั่งขุมทรัพย์ข้อมูลข่าวสารที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่ได้จำกัดเฉพาะในวงธุรกิจเท่านั้น ในวงการศึกษาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการศึกษาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อการติดต่อสื่อสาร อภิปราย ถกเถียงแลกเปลี่ยน และสอบถามข้อมูลข่าวสารความคิดเห็นทั้งกับผู้สนใจศึกษาในสื่อเรื่องเดียวกันหรือกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ

ทั้งนี้การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาในต่างประเทศ จากการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสหรัฐอเมริกา (Department of Education) โดย National Center for Education Statistics (NCES) ได้ทำการสำรวจการใช้เทคโนโลยีในโรงเรียนของรัฐในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 และได้ข้อสรุปในปี ค.ศ.2000 พบว่าร้อยละ 98 ของโรงเรียนได้มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และร้อยละ 77 ของห้องเรียนได้มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังพบว่าร้อยละ 39 ของครูที่ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เพื่อจัดทำหลักสูตรการสอน จะเห็นได้ว่าอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นสื่อการศึกษาของโลกยุคใหม่ ช่วยเปิดโลกกว้างให้แก่ผู้เรียนและเป็นแหล่งรวบรวมขุมทรัพย์ทางปัญญาอย่างมากมายมหาศาล ในลักษณะที่สื่อประเภทอื่นไม่สามารถกระทำได้ ผู้เรียนจะมีความสะดวกต่อการค้นหาข้อมูลไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใดก็สามารถเข้าไปใช้เครือข่ายได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในลักษณะที่เรียนร่วมกันหรือเรียนต่างห้องกันหรือแม้กระทั่งต่างสถาบันกัน ก็สามารถแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่องได้ตลอดเวลาทั้งระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างผู้เรียนเอง เครือข่ายคอมพิวเตอร์จะเป็นตัวเชื่อมให้ผู้เรียนเข้าถึงผู้ให้คำปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง อีกทั้งยังเอื้อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนทั้งเวลาจริงหรือต่างเวลากัน ทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่ต้องมีการประสานงานกัน (Collaborative environment) ผู้เรียนสามารถควบคุมจังหวะการเรียนได้ด้วยตนเองทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมยืดหยุ่นแก่ผู้เรียน

จากกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ ระยะ พ.ศ.2544-2553 ประเทศไทย ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา (E-education) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีโดยมุ่งเน้นการสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรศึกษาที่มีประสิทธิภาพ เอื้อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสารสนเทศเนื้อหาและความรู้ ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จึงเป็นเครื่องมือที่มีพลานุภาพสูงในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการศึกษาและส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งในระบบ นอกระบบ และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย โดยการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเรียนการสอน โดยเฉพาะการเรียนรู้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตมีต้นทุนในการจัดการศึกษาที่ต่ำกว่าการศึกษาในชั้นเรียน

ทั้งนี้หากเปรียบเทียบต้นทุนทั้งหมด (Total cost)การจัดการเรียนรู้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการเรียนรู้ในชั้นเรียนถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลาและทุกคน (anywhere anytime anyone) และไม่ว่าจะทำการศึกษา ณ สถานที่ใด การเรียนรู้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตจะยังคงมีเนื้อหาเหมือนกันและมีคุณภาพที่เท่าเทียมกัน และยังสามารถวัดผลของการเรียนรู้ได้ดีกว่า ทำให้ผู้เรียนมีเสรีภาพในการเลือกเนื้อหาสาระของการเรียนรู้โดยไม่ถูกจำกัดอยู่ภายใต้กรอบของหลักสูตร ผู้เรียนสามารถกำหนดเส้นทางการเรียนรู้ของตนเองได้ (Self-pace learning) ตามความสนใจและความถนัดของผู้เรียน การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับหรือเป็นโปรแกรมแบบเส้นตรง แต่ผู้เรียนสามารถข้ามขั้นตอนที่ตนเองคิดว่าไม่จำเป็นหรือเรียงลำดับการเรียนรู้ของตนเองได้ตามต้องการ

แต่ในสภาพปัจจุบัน การจัดการเรียนการสอนถูกจำกัดเฉพาะในห้องเรียนและอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของผู้สอน ซึ่งผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล มีความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์และการมองโลกแตกต่างกันออกไป รวมถึงรูปแบบการจัดชั้นเรียนในปัจจุบันไม่สามารถที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ การเรียนการสอนไม่ควรยึดติดกับวิธีเดิม ในขณะที่สิ่งใหม่หรือสิ่งที่กำลังพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย ทั้งในด้านงบประมาณในการลงทุนจัดทำ ข้อจำกัดในด้านเวลาและสถานที่การใช้งานและขาดความยืดหยุ่นของเนื้อหาบทเรียน ทำให้การนำมาใช้ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร ถึงแม้โรงเรียนส่วนใหญ่สนใจและต้องการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาในการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก

ดังนั้น การนำประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตในใช้ในการพัฒนาบทเรียน จึงเป็นการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนที่ประยุกต์คุณลักษณะของอินเทอร์เน็ต โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ในเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) มาเป็นสื่อกลางเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิง เอกสารประกอบการเรียน บทเรียนสำเร็จรูป หรือแม้กระทั่งหลักสูตรวิชา เนื่องจากเวิลด์ไวด์เว็บเป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตที่มีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายและหลายรูปแบบ ทั้งตัวอักษร ภาพนิ่ง การเคลื่อนไหวหรือเสียง โดยอาศัยคุณลักษณะของการเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) ทั้งในรูปแบบของข้อความหลายมิติ (Hypertext) หรือสื่อหลายมิติ (Hypermedia) เพื่อเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน เป็นการนำประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการค้นคว้าข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเองและสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก นั่นคือมิใช่การสอนที่เป็นการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้สอนเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลายและเกิดขึ้นได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา โดยใช้เทคโนโลยีและสื่อสารสารสนเทศต่างๆให้เป็นประโยชน์ ซึ่งสื่อต่างๆ เหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ ทั้งนี้เพราะข้อมูลบนเว็บมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) ทำให้เนื้อหาการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าแบบเดิม และเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญและเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้ทันสมัยได้อย่างสะดวกสบาย

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บจึงเหมาะสมกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนที่สนับสนุนให้ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ และผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทั้งระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างผู้เรียนเอง
ขอขอบคุณข้อมูล จากคุณ วรัท พฤกษากุลนันท์
http://www.moe.go.th
http://www.edtechno.com/th และเว็บไซท์ของผู้จัดการ www.manager.co.th

Posted by ครูพเยาว์ at 9:30 AM

รอบรั้ว โรงเรียนบ้านนาหลวง

Monday, May 25, 2009


ครูได้เห็นโรงเรียนบ้านนาหลวง ที่ตำบลคำด้วง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เพราะครั้งหนึ่งได้นำเด็กนักเรียนจากโรงเรียนอนุบาลอุดรธานีไปปฎิบัติธรรมที่วัดนาหลวง ซึ่งก็ห่างจากตัวเมืองไป 100 กิโลเมตรทีเดียว ถนนที่เข้าไปก็ยังเป็นถนนลูกรังช่วงที่จะเข้าไปถึงวัด ตกประมาณ 12 กิโลเมตรได้ ช่วงนี้ถนนดีขึ้นมากค่ะ เพราะในแต่ละปี มีนักเรียนและหน่วยราชการเข้าไปปฎิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก และไม่เคยว่างเว้นทั้งปี ยกเว้นช่วงเข้าพรรษา ที่ทางวัดหยุดกิจกรรม เพราะต้องให้พระ-เณร ปฎิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่

โรงเรียนบ้านนาหลวง เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก สอนถึงชั้นประถมปีที่ 6 เด็กนักเรียนประมาณร้อยกว่าคน ปีนี้ฟังมาว่าประมาณ 107 คน...เด็กน้อยๆอย่างนี้ น่าจะสนุกในการสอนดีนะคะ เมื่อนำมาเทียบกับโรงเรียนที่ครูสอนแล้ว ละก็ ตกประมาณ 2 ห้องกว่าๆ ปีนี้ชั้นเรียนของครูมีเด็ก 45 คน

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ครูได้มีโอกาสเข้าไปเห็นโรงเรียน เพราะพ่อบ้านของครูได้เข้ามาช่วยหลวงปู่ทองใบ (ปภสฺสโร)ในการแจกพันธุ์ยางพาราให้กับชาวบ้าน ซึ่งทางโรงเรียนก็ได้รับพันธุ์ยางไปปลูกด้วย เพราะมีความคิดเห็นร่วมกันว่า ถ้าโรงเรียนมีพื้นที่ว่าง ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ก็ให้ปลูกยางพารา ผลผลิต ผลประโยชน์ที่ได้ก็จะเป็นค่าอาหารกลางวันของเด็กนักเรียน โดยให้ชาวบ้านผู้ปกครอง ครู ภารโรงและเด็กๆช่วยกันดูแลต้นยาง นี่...ครูคาดว่าน่าจะเป็นโรงเรียนแรกทีเดียวในอิสานที่มีสวนยาง โรงเรียนอื่นอาจมีไม้ยืนต้น ที่ครูผ่านๆไป มักจะเป็นอย่างนั้น แต่โรงเรียนนี้มียางพาราเป็นต้นทุนค่าอาหารกลางวันของเด็กในรุ่นที่จะถึงอีก 3-4 ปีข้างหน้า

ที่ครูเขียนเรื่องโรงเรียนนี้ และเล่าพื้นหลังให้ฟังเล็กน้อย โดยไม่ลงรายละเอียด เพราะมีรายชื่ออีกมากที่ต้องเอ่ยถึง ครูมีเอกสารเรื่องนี้อยู่ ถ้ามีโอกาสจะขอบคุณทุกๆคนที่ได้ร่วมมือกันช่วยเหลือเด็กๆที่อยู่ห่างไกลนี้ ....เมื่อไม่กี่วันมานี้ พ่อบ้านได้พูดคุยให้ฟังถึงฝรั่งชาวเยอรมัน ที่ได้ช่วยเหลือครูและครอบครัวที่รถยนต์เกิดเสียกลางทาง ฝรั่งคนนี้คือ คุณ Horst Dammer และภรรยา คือคุณเพียร (Phian Dammer) ได้มีความคิดว่า อยากให้เด็กที่นี่ได้เรียนภาษาอังกฤษให้มากขึ้น ซึ่งเขาก็ได้คัดหาโปรแกรมสอนภาษาอังกฤษให้ และบริจาคคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนด้วย ต่อไปก็ปรึกษากันแล้วว่าจะบริจาคให้กับศูนย์เด็กเล็กอีก...นอกจากนี้เขายังคิดเสนอตัวเข้ามาสอนให้กับเด็กด้วย อาทิตย์ละครั้ง หวังก็แค่ให้เด็กๆได้คุ้นเคยกับชาวตะวันตก จะได้ไม่อายที่จะพูดคุยด้วย ฟังแล้วก็เกิดความปลื้มใจค่ะ ที่ชาวต่างชาติเขาเห็นความสำคัญของการศึกษา...จะได้เข้าไปสอนหรือไม่ ก็ต้องขอบคุณเขาก่อนค่ะในความหวังดี

ครูอยากให้คนไทยเห็นคุณค่าของการศึกษาให้มากกว่านี้ ถ้าคนของเรามีคุณภาพ มีการศึกษาสูงๆ ไม่ออกโรงเรียนกลางคัน อย่างที่ครูได้เห็น เด็กแถวไกลๆออกไป มักออกมาทำงานก่อนวัยอันควร บางทีก็ต้องลงไปคุยกับผู้ปกครอง ขอร้องให้เขาส่งลูกเรียนหนังสือให้ได้ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็ได้ให้นโยบายที่ครูเองก็อยากเห็น อยากให้เป็น อยากให้สำเร็จ เราจะได้พลเมืองที่เป็นพละกำลังของชาติอย่างแท้จริง

รอบรั้ว วัดนาหลวง อานิสงส์สร้างพระประธาน

Monday, May 4, 2009

ตามธรรมดาแล้วคนเราชาวพุทธชอบที่จะสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาบูชา ขนาดก็แตกต่างกัน แล้วแต่จะศรัทธา แล้วอะไรเป็นสิ่งจูงใจ ที่ทำให้เราได้ร่วมมือกันสร้างอย่างไม่หยุดหย่อน บางทีเราเดินทางไปในที่ไกลๆ จะเห็นรถบรรทุกขนาดเล็ก ขนเอาพระพุทธรูปที่คลุมด้วยผ้าเหลืองปลิวลมไสวไป นั่นอาจมีญาติโยมนั่งคอย รอที่จะถวายให้กับวัดใดวัดหนึ่งอยู่แล้ว รอที่จะให้ท่านไปเป็นพระประธานที่จะกราบไหว้บูชา นั่นไง...เป็นสิ่งจูงใจอันดับแรก อยากเข้าไปกราบไหว้ อยากอธิษฐานอะไรๆในใจ อยากสบายใจ อยากปลดปล่อยความทุกข์ใจ พอได้กราบลงไปแล้ว ก็อดที่จะมองไปที่พระพักตร์ไม่ได้...เราจึงได้เห็นพระประธานที่มีความอิ่มเอิบ เมตตา...เคยคิดอย่างนี้บ้างหรือเปล่าคะ ตอนที่เรากำลังสบายใจนั่นแหละค่ะ คนที่ร่วมมือกันสร้างพระองค์นั้น ได้ผลบุญ ได้อานิสงส์ และผลบุญอันนั้นก็จะเกิดกับคนสร้างไปชั่วนาตาปี ยิ่งคนได้เข้ามากราบไหว้มาก...ผลบุญก็จะเกิดขึ้นมากตามจำนวนคนและเวลา ขณะที่เขียนอยู่นี่ ครูเองก็กำลังจะไปร่วมทำบุญสร้างพระอยู่เหมือนกัน...จึงเขียนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องพูดถึงหลักวิชาการกันละค่ะ ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างพระคืออะไร...เอาแค่มีคนมากราบไหว้ ได้สบายใจ แค่นี้ก็เป็นบุญแล้วละค่ะ
ทีนี้ก็ถือโอกาสบอกบุญไปด้วย...เพราะว่าตอนนี้วัดนาหลวง(อภิญญาเทสิตธรรม) โดยมีพระเดชพระคุณพระภาวนาวิสุทธาจารย์ (หลวงพ่อทองใบ ปภัสฺสโร) ประธานสงฆ์วัดนาหลวง หลังจากได้มีโครงการก่อสร้างอาคารอริยภูมิพระมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตเพื่อนิพพาน ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินก่อสร้างอยู่ และก็ต้องมีพระประธานด้วย จึงจะจัดให้มีงานเททองหล่อพระประธาน "หลวงพ่อทองตัน" จำนวน 2 องค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 29 นิ้ว และ 35 นิ้ว ทำพิธีเททองหล่อพระในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 12.00 น. ณ มณฑลพิธีวัดนาหลวง ต. คำด้วง อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี ในระหว่างวันที่ 5-7 มิถุนายนจะมีพิธีบวชเนกขัมมะ นุ่งขาวห่มขาว ถือศีล 8 ฟังพระธรรมเทศนาจากพระภาวนาวิสุทธาจารย์ จึงขอเชิญท่านสาธุชนผู้เจริญมาร่วมงานบุญในวันนั้นด้วย ส่วนจะทำบุญหรือจะสอบถามอะไรเพิ่มเติม ให้โทร.ไปที่ 081-9580505, 081-9742412 ค่ะ

รอบรั้ว การศึกษา รุ่นพี่รุ่นน้อง ความผูกพัน

Tuesday, March 3, 2009

เมื่อเช้านั่งฟังรายการข่าวยามเช้าจากช่อง ASTV ของคุณปอง อัญชะลี ไพรีรัก และคุณสุชาติ ชวางกูล
ที่จัดร่วมเข้าคู่กัน ได้พูดถึงเรื่องเพลง "สายทิพย์" ที่ครูเองเคยฟัง และก็ชอบมาก เป็นเพลงที่ "หวาน-เย็น-เศร้าสร้อย" แต่ไม่รู้ถึงเบื้องหลังของเพลงนั้นว่า มีความเป็นมาอย่างไร พอได้รู้เข้าก็แปลกใจ และยิ่งจับเนื้อร้องมาพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ก็ให้เข้าใจถึงความรู้สึกลึกๆของเด็กน้อย...ในยามที่ต้องจากเพื่อนไป...ที่แปลกกว่านั้นอีกก็คือ...เป็นผลงานที่มาจากเด็กหญิงรุ่นน้องอายุแค่ 12 ปี กับรุ่นพี่ที่อายุ 16 ปี อยากให้อ่านจากข้อเขียนของอาจารย์ชัยอนันท์ สมุทวนิช เพราะท่านเป็นคนร่วมสมัยกับผู้แต่ง และก็ได้ร่วมประพันธ์เนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้ด้วยค่ะ

"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คือประมาณ พ.ศ. 2490 เด็กหญิงคนหนึ่งอายุ 12 ปี ได้แต่งทำนองเพลงๆ หนึ่งภายในเวลาเพียง 2-3 นาที เธอเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ขณะที่แต่งเพลงเธอเรียนอยู่ชั้นมัธยม 2 เพลงนี้เธอมอบให้รุ่นพี่ซึ่งคอยเอาใจใส่ให้ความรักดูแลเธอในฐานะรุ่นน้อง โรงเรียนประจำวัฒนาวิทยาลัยมาโดยตลอด

เด็กหญิงสายสุรี วัชรเกียรติ ต่อมาคือ ดร.สายสุรี จุติกุล อดีตรัฐมนตรีหญิง และผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิสตรีและเด็ก ส่วนรุ่นพี่ซึ่งเมื่อ พ.ศ. 2490 อายุ 16 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยม 8 คือ แพทย์หญิงปานทิพย์ (โลจายะ) วิริยะพานิช น้องสาวของคุณชื่นสุข (โลจายะ) เก่งระดมยิง และเป็นพี่สาวของนายแพทย์สมชาติ โลจายะ หมอหัวใจมือหนึ่งซึ่งล่วงลับไปแล้ว แพทย์หญิงปานทิพย์ เป็นหมอเด็กจบจากศิริราชแล้วไปศึกษาต่อที่เพนซิลเวเนีย

อาจารย์สายสุรี บอกว่า โรงเรียนวัฒนาฯ มีธรรมเนียมจับคู่ให้รุ่นพี่ดูแลรุ่นน้อง ภรรยาผมเองเคยเล่าว่า รุ่นพี่ที่ดูแลให้ความเอ็นดูถักเปียให้ด้วย

ปี 2490 เป็นปีที่ปานทิพย์ โลจายะ จบการศึกษา เป็นการจากกัน ในงานคริสมาสต์ปีนั้น เด็กหญิงสายสุรี เล่นเปียโน เด็กหญิงปานทิพย์เป็นผู้แต่งเนื้อเพลง และขับร้อง

นักเรียนวัฒนาฯ รุ่นกระโน้น ฟังเพลงด้วยความซาบซึ้ง เวลานั้นยังไม่มีชื่อเพลง ต่อมานักเรียนรุ่นหลังๆ เลยนำเอาชื่อของสายสุรี และปานทิพย์มารวมกัน แล้วเรียกเพลงนี้ว่า “สายทิพย์”

เพลง “สายทิพย์” ร้องกันในวงแคบๆ ในหมู่นักเรียนวัฒนาฯ ต่อมาคุณแมนรัตน์ ศรีกรานนท์ นำมาเสริมทำนองทำให้คนเริ่มรู้จักเพลง และนำเอาเพลงนี้ไปเป็นบทเรียนสำหรับกีตาร์และเปียโน

เนื้อร้องเพลง “สายทิพย์” มีบางส่วนที่ผิดเพี้ยนไป เช่น คำว่า เผลอมักเปลี่ยนเป็น “เพ้อ” เท่าที่ผมจำได้ เพลงนี้มีเนื้อที่เรียบง่าย แต่ลึกซึ้งจึงเป็นที่นิยมของคน และแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เป็นการแพร่กระจายแบบปากต่อปาก เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจ เพราะมีน้อยคนซึ่งรู้ที่มาของเพลงๆ นี้ ส่วนเนื้อเพลงที่นำมาไว้ ณ ที่นี้คือ เนื้อร้องที่ถูกต้อง เพราะท่านผู้แต่งรับรองแล้ว

อาจารย์ ดร.สายบุรี ทำประโยชน์ให้แก่สังคมมามาก แต่ผลงานที่นำความสุขใจมาให้แก่คนจำนวนมากที่สุด กลับเป็นผลงานที่เธอทำเมื่ออายุเพียง 12 ปี น่าทึ่งเสียนี่กระไร

สายทิพย์
แสงดาวสวยพราวดูเด่น เพ่งเห็นเหมือนตาของเธอ (เดี๋ยวนี้ร้องเป็น เล็งเห็นเหมือนตา.....)
เฝ้าเผลอหัวใจละเมอ รำพัน (เดี๋ยวนี้ร้องเป็น เฝ้าเพ้อ....)
แสงเดือนเหมือนเตือนใจเศร้า โอ้เรารักเร้าดวงใจ (เดี๋ยวนี้ร้องเป็น ....รักร้าวฤทัย)
คอยไปเหมือนตัวแสนไกล รักมั่น (เดี๋ยวนี้ร้องเป็น....เพ้อไปถึงตัว.....)
จากเธอไปแล้วใจหาย ดวงใจยังคิดถึงสายสัมพันธ์
รักมั่นมิวาย คลายจาง
ขอเดือนช่วยเตือนใจมั่น ใฝ่ฝันถึงเธอทุกวัน
มองจันทร์นึกความสัมพันธ์ ครั้งก่อน

ต่อมาอีกหลายสิบปี ประมาณปี 2509 นักเรียนไทยสองคนกับชาวนิวซีแลนด์ คือ Mrs.Baker ผู้มีความรักในวัฒนธรรมไทย เรียนภาษาไทย และหัดร้องเพลงไทย ได้ฟังเพลง “สายทิพย์” และเกิดแรงบันดาลใจ จึงช่วยกันกับเด็กนักเรียนไทยอีกสองคนแปลเพลง “สายทิพย์” เป็นภาษาอังกฤษ ดังนี้

Starlight that Shine so Bright,
Remind me of your eyes,
My heart is full of signs, my love.
Moonlight on my tears fall,
My face, I cannot hide,
Return Soon to my side, my love
You are gone I’m all alone
But Still dreams linger on,
You always be the one, I love
May the stars remember me,
To you each night and day,
Whilst you ’re so far away, my love.

เพลง “สายทิพย์” ภาคอังกฤษนี้ไม่เป็นที่แพร่หลายเท่ากับเพลงไทย แต่นักเรียนนิวซีแลนด์กลุ่มเล็กๆ ชอบร้องเพลงไทยแล้วสลับด้วยเนื้อภาษาอังกฤษ

เพลง “สายทิพย์” เป็นตำนานและเป็นตัวอย่างของความคิดสร้างสรรค์ และการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ

เวลานี้อาจารย์สายสุรี อายุ 74 ปี คุณหมอปานทิพย์ อายุ 78 ปี ทั้งสองท่านเป็นผู้นำให้คนนับล้านคนได้มีความสุขกับเพลงที่ท่านได้ร่วมกัน ประพันธ์ขึ้น ถ้าจะนับอายุของเพลงนี้ก็ได้ 62 ปีแล้ว

ขอให้ทั้งสองท่านมีอายุยืนๆ มีสุขภาพดีนะคะ

จากเด็กนักเรียนเก่านิวซีแลนด์ ผู้ร่วมแปลเพลง “สายทิพย์” เป็นภาษาอังกฤษ และขับร้องเพลงนี้เป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก เมื่อ 40 ปีมาแล้ว"

ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในสมัยก่อนเขาจะมีประเพณีจับคู่รุ่นพี่ให้ดูแลรุ่นน้อง จากเรื่องที่เล่ามา ความผูกพันนั้นมีมากจริงๆ เพราะต้องอยู่ร่วมกัน เรียนร่วมโรงเรียนกัน ดูแลกัน....การที่ต้องดูแลกันนี่แหละ ที่สร้างความรักต่อไปอย่างไม่ขาดสาย จากรุ่นสู่อีกรุ่น ไม่รู้จบ เดี๋ยวนี้ก็ยังคงมีอยู่ตามมหาวิทยาลัย ที่รุ่นพี่ดูแลรุ่นน้อง แต่จะผูกพันจริงๆหรือไม่...เท่าที่สังเกตดู...เหมือนจะด้อยลงไปเยอะ เคยถามดูจากนักศึกษา เหมือนๆกับเป็นแค่เป็นกระบวนการของระเบียบ...พี่รหัส น้องรหัส พี่ภาค น้องภาค...พาไปเลี้ยงอาหารกันบ้าง ตามที่ตัวเองเคยรับรู้มา...จบคอร์สแล้วก็จบเลย....หาความผูกพันทางใจไม่ได้ น่าเสียดายประเพณีที่ดีๆอย่างนี้นะคะ และที่เป็นข่าวทุกปี...รับน้องกันถึงตาย...




ขอบคุณเวบผู้จัดการและคุณชัยอนันต์ สมุทวานิช ที่เล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังเบื้องลึกทั้งหมดค่ะ
Via : สายทิพย์

รอบรั้ว บุญกุศล มวลหมู่ญาติธรรม

Monday, March 2, 2009

เมื่อวานได้กลับบ้าน หลังจากที่ได้ไปช่วยงานวัดที่หลวงพ่อได้กำหนดพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างตึกอริยภูมิมา 3-4 วัน ตอนกลับนี่มีปัญหาเรื่องรถยนต์ ซึ่งเป็นรถที่เก่ามากแล้ว แต่ก็พยายามซ่อมให้พอใช้ได้ ก็ไม่ดีนัก เพราะช่างที่ซ่อมก็เดาอาการไม่ออก แล้วอาการของรถก็แสดงออกมาอย่างแรงตอนกลับบ้านพอดี ซึ่งกว่าจะเสร็จงาน ช่วยเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก็ทุ่มหนึ่งพอดี มืดแล้วค่ะ และจะต้องเดินทางอีก 100 กิโลเมตรถึงจะเข้าบ้านได้

ออกมาจากวัดไม่นาน ไฟหน้ารถเริ่มหรี่ลง แตรที่ลองกดดูเสียงก็ออกเพี้ยนๆจากที่เคยได้ยิน เลยบ้านนาหลวงไปไม่ไกลนักไฟหน้าปิดสนิท เลยตีรถแอบข้างทาง เดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน เพราะคิดว่าอย่างไรๆก็คงจะเป็นแบตเตอรี่หมดไฟ มันคงไม่เก็บไฟ เพราะมันเก่าเกิน 1 ปีแล้ว ก็ไปหาอาจารย์โรงเรียนบ้านนาหลวง ขอยืมแบตเตอรี่ที่ใช้กับรถปิคอัพของอาจารย์ไปก่อน จะคืนให้ในวันถัดไป อาจารย์ก็ใจดี ให้ยืมค่ะ และขอร้องชาวบ้านที่เปิดร้านขายของ ขายอาหารที่อยู่ในหมู่บ้าน เขาก็กุลีกุจอออกไปช่วย ถอดแบตและขนใส่รถเขาไปส่งให้ แต่กลายเป็นว่าแบตของรถปิคอัพใหญ่กว่ารถเก๋งไปเกือบ 2 นิ้ว ใส่ไม่ได้ ใจก็คิดว่าคงจะกลับไปนอนที่วัดต่ออีกสักคืน ถึงตอนนี้ปรากฏว่ามีรถของมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ที่นำนักศึกษาไปช่วยงานวัดเหมือนกันผ่านมาพอดี มาจอดถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อคนขับรถของมหาวิทยาลัยทราบอาการ ก็บอกว่า น่าจะเป็นที่ฟิวส์นะ ถึงตอนนี้ก็ค่ำมากแล้วเลยขอให้รับลูกชายคนเล็กและอาจารย์โรงเรียนอุดรพิทยาที่มาช่วยงานเช่นกันกลับไปกับรถของมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ลองเปลี่ยนฟิวส์ที่มองเห็นว่ามีกี่ตัว แล้วก็ติดเครื่องรถดู ได้ค่ะ....ไฟสว่างขึ้นมาอีก เลยคิดว่าจะขับตามหลังไป แต่เรื่องไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ ไปได้แค่ 10 กิโลเมตรจากจุดเดิม ไฟดับวูบลงไปอีก คราวนี้ไกลจากหมู่บ้านแล้ว รีบขับรถแอบข้างทาง ใจแป้วค่ะ

หลังจากนั้นไม่นานก็มีรถของญาติธรรมจากเมืองไกลผ่านมา 2 คัน เขามาจากฉะเชิงเทรา มาช่วยงานวัดของหลวงพ่อเหมือนกัน เดินออกไปโบกมือขอความช่วยเหลือ เขาจอดทันทีค่ะ....หาไม่ได้อีกแล้ว ที่จะเจอคนมีน้ำใจอย่างนี้ กลางป่าที่ห่างไกลจากเมืองหรือหมู่บ้าน เขาก็ลงมาดู ออกความเห็นต่างๆนาๆถึงอาการของรถ ผลออกมาว่าอย่างไรก็ต้องลากรถไปให้ถึงทางถนนลาดยาง หรือหมู่บ้านข้างหน้า แต่รถทั้งสองคันก็ไม่มีสลิงดึง มีเพียงแต่เชือกเส้นเล็กที่ดูแล้วก็มองไม่เห็นว่าจะดึงได้อย่างไร มันขาดแน่ๆ ตอนนี้ก็ต้องหาทางออกใหม่ เลยขอร้องให้เขากลับไปส่งที่บ้านนาหลวง ไปบ้านฝรั่งชาวเยอรมันที่มีภรรยาคนไทย มาปลูกยางพาราอยู่ในพื้นที่ เป็นฝรั่งที่เคยช่วยเหลือเอาไว้ครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาขับรถตกคูถนนมาหลายเดือนแล้ว และภายหลังก็คุ้นเคยกันดี แวะเวียนไปคุยด้วย เขาก็บอกว่าให้ไปหาเขาถ้ามีปัญหา บางทีเวลาขึ้นไปวัด เขาและภรรยาก็ฝากผักไปทำบุญที่วัดด้วย ญาติธรรมจากฉะเชิงเทราก็ช่วยเหลือพาไปส่งถึงที่ ซึ่งความจริงแล้วถ้าช้ากว่านี้สัก 5- 10 นาทีก็จะไม่เจอใครเลยที่บ้าน เพราะเขามีนัดไปรับประทานอาหารนอกบ้านกับเพื่อนของเขา ถือว่าโชคดีค่ะ เพราะพอเจอเขาเข้า เขาก็รีบเชิญพวกเรา ซึ่งก็มีพ่อบ้าน และลูกชายคนโตเข้าบ้าน ญาติธรรมจากฉะเชิงเทราก็ลาจากกันตอนนั้น ซึ่งพวกเขาต้องขับรถอีก 8 ชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน

เรื่องนี้ยาวค่ะ แต่จำเป็นต้องเล่าให้ครบทุกตอน....จากนั้นฝรั่งและพ่อบ้านก็ออกไปดูรถด้วยกัน ถอดแบตเตอรี่กลับมา เพื่อจะเอาแบตมาชาร์จไฟให้เต็ม ซึ่งมารู้เอาว่าแบตเตอรี่ยังดีอยู่ เพียงแต่ว่าไฟอ่อน ตอนเอาแบตเตอรี่ชาร์จเชอร์มาต่อ เกิดควันคลุ้งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมา มีปัญหาอีกแล้ว พ่อบ้านและฝรั่งก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อ แล้วก็ออกมาว่ามันน่าจะเป็นขั้วแบตเตอรี่ไม่ดี แล้วก็ชวนกันเอากระดาษทรายขัดขั้วแบตเตอรี่ แล้วก็พกเอาอลูมินั่มฟอล์ยออกไปเสริมขั้วแบตด้วย ที่นี้ไปพร้อมกันหมดทั้งครอบครัว ช่วยกันดันรถ ต่อสายเคเบิลเพื่อช่วยสตาร์ต ผลออกมาก็ยิ้มกันทุกคน ที่แท้คือขั้วแบตไม่ดีนี่เอง คืนนั้นเลยต้องนอนพักที่บ้านของฝรั่ง ที่เขามีห้องรับรองเอาไว้ ตื่นเช้าขึ้นมา ตีห้าครึ่งลองติดเครื่องรถดู ปรากฎว่าไม่มีปัญหา เลยขอบคุณเขาที่ได้ช่วยเหลือและเขาก็รับปากว่าจะขับตามหลังไป เพราะเขาต้องไปงานแต่งงานของลูกสาวที่อีกอำเภอหนึ่งด้วย

ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ เพราะอยากจะบันทึกเรื่องนี้เอาไว้ ไว้ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ ไว้ให้เราทุกคนได้เห็นถึงการมีน้ำใจของญาติธรรม พุทธศาสนิก ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทองใบ ปภัสโรภิกขุ แห่งบ้านนาหลวง ที่ทุกคนล้วนมีน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือคนที่ตกที่นั่งลำบาก และอยากบอกทุกคนว่าขอให้ทำดีกันอย่างนี้ตลอดไป ขอขอบคุณและขออนุโมทนากับบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายที่ได้มาช่วยงานของหลวงพ่อ สำหรับดิฉันแล้ว ตอนนี้ก็เท่ากับว่าผลบุญที่ได้ทำมาได้แสดงให้เห็นว่าไม่เสียหลายค่ะ

ขอขอบคุณ อาจารย์เศวตร์ ขันตีกลม แห่งโรงเรียนบ้านนาหลวงที่ให้ยืมแบตเตอรี่ ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ แต่ก็ให้แสงสว่างในใจแล้วค่ะ ขอขอบคุณ คุณฉลอม ชาวดร ที่ได้ช่วยเอาแบตไปส่ง ช่วยเข็นรถ ดันให้พ้นทาง ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎ และพนักงานขับรถที่จอดรถช่วย ที่รับลูกชายคนเล็ก และอาจารย์อิสราจากโรงเรียนอุดรพิทยากลับ ขอขอบคุณญาติธรรมจากฉะเชิงเทราทุกท่าน ที่หาน้ำใจอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบชื่อท่านเพราะมันฉุกละหุกกันเต็มที หวังว่าจะหาท่านให้เจอตอนท่านกลับมาทำบุญร่วมกันอีก ขอขอบคุณ Mr. Horst Dammer และภรรยา คุณเพียร (Phian Dammer) ที่ได้ขับรถกลับไปกลับมาถึง 2 รอบ เพื่อที่จะเอารถออกจากกลางป่าให้ได้ และขับตามมาเป็นเพื่อนคอยดูแลถ้ามีปัญหาให้ ขอขอบคุณ

รอบรั้ว วัดนาหลวง พระมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตและนิพพาน

Wednesday, February 18, 2009


หลายคนที่สนใจในคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา เมื่อพูดถึงวัดที่พูดได้ว่าบุกเบิกสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเอาจริงเอาจัง ที่จังหวัดอุดรธานี ต้องนึกถึงวัดนาหลวง หรือวัดอภิญญาเทสิตธรรม หรืออีกชื่อหนึ่ง วัดภูย่าอู่ ทั้ง 3 ชื่อนี้เป็นวัดเดียวกัน ตามแต่ใครสะดวกจะเรียกว่าชื่อวัดอะไร หรือบางคนเรียกไปว่าวัดหลวงพ่อทองใบไปเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะวัดนี้ ตั้งอยู่บนภูเขา ที่เรียกว่าภูย่าอู่ อยู่ในหมู่บ้านนาหลวง หลวงพ่อ หรือหลวงปู่ทองใบ ท่านจะสอนในเรื่องธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อความรู้จริง อันได้แก่โพธิปักขิยธรรม 37 ชื่อเลยออกมาเป็นวัดอภิญญาเทสิตธรรมด้วยอีกชื่อหนึ่ง เห็นมั๊ยคะ แม้แต่ชื่อวัดก็เป็นเรื่องราวมาเล่าได้แล้ว

มาวันนี้ หลวงพ่อได้มีความประสงค์ที่จะสร้างวัดของท่านให้เป็น "มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตและนิพพาน" อันสืบเนื่องมาจาก ผู้คนจากทุกสารทิศได้เข้ามาศึกษา ฟังธรรมะท่าน มากขึ้นๆทุกวัน การอบรมเหล่าพุทธศาสนิกทุกหมู่เหล่า รวมทั้งพระ-เณร ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น สถานที่จึงคับแคบลงถนัดตา

ตามใบประกาศของทางวัด ได้เขียนเอาไว้ว่า "มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตและนิพพาน เป็นการเปิดทาง วางหลัก วิธีการ งานพุทธ ยุทธศาสตร์ ปราชญ์อริยะเป็นแผนงานของพระเดชพระคุณพระภาวนาวิสุทธาจารย์ (หลวงพ่อทองใบ ปภัสสโร) เพื่อชี้ทางสะอาด สว่าง สงบ แก่สัตว์โลกทั้งหลายให้เดินไปอย่างถูกต้องตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตและนิพพาน เป็นงานที่พระเดชพระคุณท่านได้กำหนดพิธีวางศิลาฤกษ์ ก่อสร้างตึกสามชั้น โดยใช้ชื่อว่า "บ้านอริยภูมิ" ในวันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธุ์ 2552 เวลาเที่ยงตรง ท่านอาจารย์ท่านตั้งชื่อได้อย่างมีความหมายมาก สำหรับผู้ที่ไปฟังธรรมจากท่าน เหมือนกับไปสู่บ้านซึ่งเป็นบ้านของผู้มีธรรม ผู้ที่หลุดพ้นจากโลกของผู้มีกรรม ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกที่ยังแก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น ชิงรวย ชิงกันสร้างเวรหากรรมมาใส่ตัว การได้มานั่งอยู่ใน "บ้านอริยภูมิ" ตามความเห็นของครูนะ เท่ากับได้ตระหนักดีแล้วว่าข้างนอกนั้นล้วนแต่มีความทุกข์ ได้นั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ ก็จะได้สดับตรับฟังหนทางที่หลวงพ่ออธิบายว่าเราต้องเดินอย่างไร ถึงจะพ้นจากกองทุกข์เหล่านั้นได้ บ้านนี้จึงเป็นบ้านที่เราทั้งหมด ควรสร้างเอาไว้ เผื่อให้ผู้อื่นที่ผ่านมาได้อาศัย ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์ไปด้วย นับว่าเป็นบุญกุศลเป็นอย่างยิ่งค่ะ

บ้านอีกหลังหนึ่งที่หลวงพ่อได้สร้างไปแล้ว ตอนที่ครูไปดูก็จวนจะเสร็จแล้วเต็มที อีกไม่เกินอาทิตย์ก็คงจะเสร็จเรียบร้อยค่ะ เป็นตึกสองชั้น เป็นบ้านแจกภัตรชื่อ "บ้านอปัสเสนธรรม" ครูยังไม่เห็นว่ามีชื่อเขียนไว้ตรงไหนค่ะ ได้ยินแต่คนพูดกัน ว่าใช้ชื่อนี้ และก็ได้ถกกันกับพระอาจารย์ธงชัยซึ่งเป็นพระอาจารย์สอน อบรมอยู่ที่วัดด้วย ว่าชื่อนี้ถูกต้องหรือเปล่า ก็พอฟังได้ว่า ถ้าไปค้นกันในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ได้ตรงกันแล้วละก็ คงจะถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ เลยอยากให้ดูความหมายของอปัสเสนธรรมค่ะ ว่ามีความหมายอย่างไร


[202] อปัสเสนะ หรือ อปัสเสนธรรม 4 (ธรรมดุจพนักพิง, ธรรมเป็นที่อิงหรือพึ่งอาศัย - virtues to lean on; states which a monk should rely on)


1. สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ (ของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วเสพ ได้แก่ สิ่งของมีปัจจัย 4 คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช เป็นต้นก็ดี บุคคลและธรรมเป็นต้นก็ดี ที่จำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ พึงพิจารณาแล้วจึงใช้สอยและเสวนาให้เป็นประโยชน์ - The monk deliberately follows or makes use of one thing.)

2. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ (ของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วอดกลั้น ได้แก่ อนิฏฐารมณ์ต่างๆ มีหนาว ร้อน และทุกขเวทนาเป็นต้น พึงรู้จักพิจารณาอดกลั้น - The monk deliberately endures one thing)

3. สงฺขาเยกํ ปริวชฺเชติ (ของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วเว้นเสีย ได้แก่ สิ่งที่เป็นโทษก่ออันตรายแก่ร่างกายก็ตาม จิตใจก็ตาม เช่น ช้างร้าย คนพาล การพนัน สุราเมรัย เป็นต้น พึงรู้จักพิจารณาหลีกเว้นเสีย - The monk deliberately avoids one thing.)

4. สงฺขาเยกํ ปฏิวิโนเทติ (ของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วบรรเทาเสีย ได้แก่ สิ่งที่เป็นโทษก่ออันตรายเกิดขึ้นแล้ว เช่น อกุศลวิตก มีกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก เป็นต้น และความชั่วร้ายทั้งหลาย พึงรู้จักพิจารณาแก้ไข บำบัดหรือขจัดให้สิ้นไป - The monk deliberately suppresses or expels one thing.)

อปัสเสน 4 นี้ เรียกอีกอย่างว่า อุปนิสัย 4 (ธรรมเป็นที่พึ่งพิง หรือธรรมช่วยอุดหนุน - supports; supporting states) เมื่อรู้จักพิจารณาปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องด้วยปัญญาตามหลักอปัสเสนหรืออุปนิสัย 4 อย่างนี้ ย่อมเป็นเหตุให้อกุศลที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมสิ้นไป และกุศลที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็เจริญยิ่งขึ้นไป

ภิกษุผู้พร้อมด้วยธรรม 4 ประการนี้ ดำรงอยู่ในธรรม 5 คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ท่านเรียกว่า นิสสยสัมบัน (ผู้ถึงพร้อมด้วยที่พึ่งอาศัย - fully reliant).

จาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรมพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


ท้ายนี้ขอเชิญร่วมงานมหากุศล มหาทานบารมี พิธีวางศิลาฤกษ์ มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตและนิพพาน และทอดผ้าป่าสามัคคี หากท่านสนใจจะสร้างมหากุศลทานบารมี แต่ไม่สะดวกไปร่วมงานสามารถโอนเงินเข้าบัญชีได้ที่

ธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านผือ อุดรธานี ชื่อบัญชี กองทุนพระมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตและนิพพาน วัดนาหลวง เลขที่ 431-1-12308-6

รอบรั้ว พระพุทธศาสนา เด็กกับศาสนา

Thursday, February 5, 2009


ก่อนที่จะถึงวันมาฆบูชา ซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ "เอแบคโพล" ได้เปิดผลวิจัยเรื่อง "ความตั้งใจทำความดีของเด็กและเยาวชนไทยในโอกาสวันมาฆบูชา" กรณีศึกษาเด็กและเยาวชนไทย อายุ 12- 24 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 2,120 คน พบว่า เด็กร้อยละ 44.5 สามารถระบุได้ว่า วันมาฆบูชาปีนี้ ตรงกับวันจันทร์ ที่ 9 กุมภาพันธ์ แต่ ร้อยละ 55.5 ไม่ทราบ เมื่อจำแนกกลุ่มตัวอย่างตามเพศ พบว่าเด็กผู้หญิง รับทราบว่าวันมาฆบูชาปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ มากกว่าเด็กผู้ชาย คือ ร้อยละ 51.5 ต่อ ร้อยละ 36.2

นอกจากนี้ ที่สำคัญก็คือ เด็กส่วนใหญ่ ร้อยละ 63.0 ไม่ทราบว่าหลักธรรมคำสอนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในวันมาฆบูชาคือหลักธรรมอะไร

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่พวกเราควรที่จะเอาใจใส่ โรงเรียนซึ่งเป็นแหล่งให้ความรู้ ควรเตรียมล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ พูดเกี่ยวกับเรื่องวันมาฆบูชา บอร์ดต่างๆในโรงเรียนทุกมุม ควรที่จะแสดงผลงานของเด็ก เกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา ครูก็ต้องคอยให้ความรู้เท่าที่โอกาสอำนวย เช่นหน้าแถวเสาธงตอนเช้า โฮมรูม ก่อนที่จะเข้าสู่การเรียนการสอน เราไม่สามารถรอหน่วยราชการอื่นๆได้ หรือหน่วยงานอื่นที่มองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะเท่าที่เห็นในจอทีวี แทบไม่มีทีวีช่องใดเลย ที่มีเทปออกมาพูดถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา ถ้าจะมีก็เป็นเคเบิลทีวี หรือทีวีดาวเทียม ที่ออกอากาศให้ทุกๆชั่วโมง หรือแทบทุกเบรคของรายการ นั่นก็ช่วยเตือนได้แค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งคนดูยังมีน้อย

การที่เราให้ความสำคัญในวันนี้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะอย่างน้อย ในวันนี้ อบายต่างๆได้ลดจำนวนลงไปเป็นอย่างมาก การเล่นการพนัน ดื่มสุรา เสพยาเสพติด ก็ได้ลดลง เพราะบางทีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆนั้น ทำให้คนรู้สึกอยากทำดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยสักวันก็ยังรู้สึกดี แต่นั่นก็ยังไม่พอ โรงเรียนต้องทำงานให้หนักขึ้นอีก เพื่อดึงเด็กของเราให้เข้าถึงความสำคัญของคำสั่งสอนของพระศาสดาให้ได้

Posted by ครูพเยาว์ at 11:15 AM

รอบรั้ว พระพุทธศาสนา วันมาฆบูชา

Sunday, February 1, 2009


อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันมาฆะบูชาแล้ว ซึ่งทุกๆปีในวันนี้ พวกเราก็จะได้ไปทำบุญกันที่วัด ไหว้พระ ตักบาตร เวียนเทียนเพื่อรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่ได้มาช่วยส่องสว่างให้กับทางเดินชีวิตของเรา ในเมืองไทย วันนี้ยังคงเป็นประเพณีปฏิบัติที่ดูเหมือนจะคลายความสำคัญลง แม้ว่าเราจะมีกฏระเบียบที่เข้ามาควบคุม เช่น สถานที่บันเทิงยามราตรี ต้องหยุดบริการในวันนี้ ห้ามขายสุรา แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่กฏหมายที่ทางบ้านเมืองออกมาบังคับใช้ ไม่ได้เกิดจากสามัญสำนึกของความเป็น "ชาวพุทธ" ที่มาจากใจจริงๆ ในบางประเทศที่เขายังเหนียวแน่น อย่างเช่นศรีลังกา จะเป็นงานที่สำคัญอย่างจริง เป็นชีวิตจิตใจของชาวพุทธที่ออกมาร่วมใจกันปฏิบัติบูชากันในวันนี้ ได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชาวพุทธเราในเมืองไทย จะหันมาให้ความสำคัญ และปฏิบัติบูชากันอย่างจริงจัง ด้วยศรัทธา เชื่อมั่นในคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา

อยากให้เด็กๆได้เรียนรู้และจดจำประวัติความเป็นมาของวันมาฆบูชา ว่าเริ่มกันอย่างไร ตรงไหน สำคัญอย่างไรที่เราชาวพุทธควรจดจำ อ่านดูกันค่ะ

วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๓ หรือประมาณราวเดือนกุมภาพันธ์ แต่หากเป็นปีอธิกมาส (ปีที่มีเดือน ๘ สองหน) วันมาฆบูชาจะเลื่อนไปเป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือน ๔ หรือประมาณเดือนมีนาคม
วันมาฆบูชา ย่อมาจากคำว่า "มาฆปุรณมีบูชา" แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๓ ถือเป็น "วันจาตุรงคสันนิบาต" แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ ๔ ซึ่งเป็นเหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้นพร้อมกันในสมัยพุทธกาล คือ
๑. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสถานที่ต่างๆ เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูปเหล่านี้ ล้วนเป็นพระอรหันต์ และได้รับการบวชจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
๓. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ต่างมาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยมิได้มีการนัดหมาย
๔. วันที่มาประชุม ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันเพ็ญกลางเดือน ๓) เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมเทศนา อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาติโมกข์

โอวาทปาติโมกข์ คือ ข้อธรรมย่ออันเป็นหลักหรือหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ๓ ประการ ได้แก่
๑. ไม่ทำความชั่วทั้งปวง เว้นจากความชั่วด้วยกาย วาจา ใจ
๒. ทำความดีให้ถึงพร้อม ด้วยกาย วาจา ใจ
๓. ทำจิตใจให้หมดจดบริสุทธิ์ผ่องใส

การปลงมายุสังขาร
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้และสั่งสอนพระธรรมมาเป็นระยะเวลา ๔๕ ปี พระองค์ทรงปลงมายุสังขาร คือ ตั้งพระทัยว่า "ต่อแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน เราจักเสด็จดับขันธปรินิพพาน" การปลงอายุสังขาร ตรงกับวันมาฆบูชาในปีที่พระพุทธองค์มีพระชนมายุ ๘๐ พระชันษา
ด้วยเหตุนี้ ในวันมาฆบูชา ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า รวม ๒ ประการ คือ เป็นวันที่แสดงโอวาทปาติโมกข์ และ เป็นวันปลงอายุสังขาร

ประวัติการประกอบพิธีมาฆบูชา
ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเรื่องราวเกี่ยวกับการประกอบราชกุศลมาฆบูชาไว้ดังนี้
การมาฆบูชานี้ แต่เดิมก็ไม่ได้เคยทำมา พึ่งเกิดขึ้นเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตามแบบโบราณบัณฑิตนิยมไว้ว่า วันมาฆบุรณมีพระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์ เป็นวันที่พระอรหันต์พุทธสาวก ๑,๒๕๐ ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์สี่ประการ เรียกว่าจาตุรงคสันนิบาต พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์ เป็นการประชุมใหญ่และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์จึงได้ถือเอาเหตุนั้นกอบการสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ พระองค์นั้น ให้เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสและสังเวช
การพระราชกุศลนั้น เวลาเช้าพระสงฆ์วัดบวรนิเวศน์และวัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำเสด็จออกทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเหมือนอย่างที่วัดแล้ว จึงได้สวดมนต์ต่อไปมีสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วย สวดมนต์จบทรงจุดเมียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีประโคมด้วยอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงได้มีเทศนาโอวาทปาติโมกข์กัณฑ์ ๑ เป็นเทศนาทั้งภาษามคธและภาษาสยาม เครื่องกัณฑ์จีวรเนื้อดีผืนหนึ่ง เงิน ๓ ตำลึงและขนมต่างๆ เทศน์จบพระสงฆ์ซึ่งสวดมนต์รับสัพพีทั้ง ๓๐ รูป
การมาฆบูชานี้เป็นดือนสามบ้าง เดือนสี่บ้าง ตามวิธีปักษคณนาฝ่ายธรรมยุติกนิกาย แต่คงอยู่ในดือนสามโดยมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทุกปีมิได้ขาด แต่ในแผ่นดินปัจจุบันนี้ (หมายถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จออกบ้างไม่ได้ออกบ้าง เพราะมักจะเป็นเวลาประสบกับที่เสด็จประพาสหัวเมืองบ่อยๆ ถ้าถูดคราวเส็จพระราชดำเนินไปประพาสบางประอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็ทรงทำมาฆบูชาในสถานที่นั้นๆ ขึ้นอีกส่วนหนึ่งต่างหากนอกจากในพระบรมมหาราชวังฯ

Posted by ครูพเยาว์ at 10:08 AM