Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว ทางเดินขึ้นวัด

Saturday, September 25, 2010

เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโญ
ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา
เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ
มารสฺเสตํ ปโมหนํ


มีทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่น
ที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งทัศนะ
พวกเธอจงเดินตามทางนี้เถิด
ทางสายนี้พญามารมักเดินหลงเสมอ


This is the only way;
None other is there for the purity of vision.
Do you enter upon this path,
Which is the bewilderment of Mara.

ครูชอบธรรมบทตอนนี้มาก เคยคิดเสมอว่า จะทำเป็นป้าย เขียนธรรมบทบทนี้ไว้ตามทางขึ้นวัด ด้านหน้าบ้านสวนของครู จะทำเป็นภาษาไทย อังกฤษและจีน สำหรับภาษาจีนนั้น ครูใช้ Google Translate แปลไว้แล้ว แต่ก็ไม่ไว้ใจ เลยส่งธรรมบทอันนี้ให้กับพระจีนที่อยู่ไต้หวันที่พ่อบ้านครูรู้จัก และยังติดต่อกันเสมอให้แปลให้ ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ขาลงจากวัดก็น่าจะทำป้ายทำนองนี้ด้วย แต่ให้อยู่ในด้านตรงกันข้ามกับป้ายแรก

วาจานุรกฺขี มนสา สุสํวุโต
กาเยน จ อกุสลํ น กยิรา
เอเต ตโย กมฺมปเถ วิโสธเย
อาราธเย มคฺคํ อิสิปฺปเวทิตํ ฯ

ครูว่าน่าจะสวยแล้ว ซึ่งอันที่จริงทางที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้คือ มรรคมีองค์8 ซึ่งเป็นทางสายหลักที่ท่านทรงแนะเอาไว้ อย่างไรก็ตามในธรรมบท คำที่ทำให้ครูตาเบิกโพลงก็คือคำว่า “ทางสายนี้พญามารมักเดินหลงเสมอ” ทางเข้าวัดของหลวงปู่อยู่หน้าบ้านของครูเอง!!! (อันที่จริงก็ผ่านมาทุกบ้านนั่นแหละ) แต่คนที่เดินทางไปวัดนี้ ถือว่ามาถูกทางแล้ว

ทีนี้มาถึงทางขึ้นวัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม) ที่อ.บ้านผือ จ. อุดรธานี ตอนนี้เป็นถนนคอนกรีตแล้ว ตั้งแต่ปากทางถนนสายหลักถึงประตูวัดเลย จากที่เคยเดินลุยโคลนกันมา ที่ครูเคยเขียนบรรยายถึงความลำบากเอาไว้ มาบัดนี้ไม่ต้องมาแบบผจญภัยอีกต่อไป แต่ว่าในอนาคตก็ต้องคอยดูกันอีก เพราะทุกอย่างช่างไม่เที่ยงแท้แน่นอนเลยจริงๆ เป็นอนิจจัง ที่ครูได้เห็นในตอนนี้ก็มีหลายช่วงที่ยังต้องซ่อมกันอีก ซึ่งก็มีนับ 10 จุด ที่เริ่มเห็นรอยแตก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังดีกว่าที่จะลุยโคลนในหน้าฝน สูดฝุ่นแดงในหน้าร้อน ขอชวนให้ทุกคนมาฟังธรรมของหลวงปู่ทองใบ ที่มีประจำทุกวันเสาร์ที่สองของเดือนกันนะคะ

รอบรั้ว การทหารในอดีต

Friday, September 24, 2010


My ancestors have ruled Japan for 2,000 years. And for all that time we have slept. During my sleep I have dreamed. I dreamed of a unified Japan. Of a country strong and independent and modern... And now we are awake. We have railroads and cannon and Western clothing. But we cannot forget who we are or where we come from.

การดูภาพยนตร์นั้น มันไม่มีวิญญาณของชีวิตสักเท่าไหร่...สู้อ่านหนังสือเอาไม่ได้ ทุกตอนที่อยู่ในหนัง ถ้าเราได้อ่านบทล่วงหน้า จะซาบซึ้งมากกว่า หลายตอนที่มีในภาพยนตร์ ถ้าเราไปอ่านแล้ว การบรรยายอารมณ์เป็นตัวหนังสือนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วย...บรรยากาศของอารมณ์ในขณะนั้น ครูอ่านบางตอนด้วยน้ำตา...ฟังดูอาจเกินเลยไป สำหรับบางคน แต่เรื่องนี้ มันทำให้เรารู้ว่า ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลนั้น เขาสมควรได้รับหรือไม่ ภาพของนายทหารญี่ปุ่นที่สั่งยิงพวกซามูไรอย่างไม่ยั้ง พร้อมกับสีหน้าที่แสดงถึงความเสียใจ ที่ต้องสังหารพวกเดียวกัน เลือดเนื้อเดียวกัน มันเจ็บปวดเหลือเกิน...แต่สิ่งที่เราได้เห็น เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเรา...กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...ที่ฆ่ากันเอง...ยังกับเป็นศัตรูมาแต่ชาติปางไหน กระเหี้ยนกระหือรือเข้าไล่ฆ่ากัน...มันช่างสะท้อนใจเสียจริงๆ...ถ้าจะติก็คงต้องลงไปที่จิตวิญญาณของคนเราเอง ไม่ได้ใส่ใจ ในคำสอนของพระพุทธศาสนา..ทำผิดได้ง่ายเหลือเกิน ไม่มีอะไรมายับยั้งชั่งผิดถูกชั่วดีได้…ครูขอเกริ่นเรื่องดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวไว้แค่นี้

ต่ออีกนิดเรื่องคำดำรัสของพระจักรพรรดิ์ของญี่ปุ่นที่ได้ประกาศในที่ชุมนุมนั้น ซึ่งครูเอามาวางไว้ข้างบนก่อนที่พระองค์จะดำรัส พระองค์ได้ยินคำพูดของนายทหารอเมริกัน ที่บอกว่า ถ้าพระองค์เชื่อว่าเขาเป็นศัตรูต่อพระองค์แล้วละก็ ขอให้ทรงบอก เขาจะฆ่าตัวตายในทันที...เป็นคำพูดของชาวตะวันตก ที่ทำให้พระองค์ถึงกับตลึง เพราะนั่นคือเขาได้ซาบซึ้งในวิถีชีวิตของนักรบซามูไรไปแล้ว...จากที่ทรงคุกเข่ารับดาบซามูไร...ทำให้พระองค์ยืนขึ้นและมีดำรัสเป็นภาษาอังกฤษ ก็ทำให้ทูตอเมริกาต้องแปลกใจ... . But we cannot forget who we are or where we come from. อย่าได้ลืม ว่าเราคือใคร หรือรากเหง้าเรามาจากไหน

ภาพยนตร์เรื่องมหาบุรุษซามูไร เข้ามาฉายในเมืองไทยหลายปีแล้ว เล่าถึงการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่านการปกครองของประเทศญี่ปุ่น จากยุคโตกุกาว่าที่ปกครองโดยยึดกฎซามูไร ไปสู่การปกครองยุคเมจิ ซึ่งยึดหลักแบบตะวันตก พวกซามูไรไม่พอใจ จึง รวมตัวเข้าต่อต้าน ท่ามกลางกระแสการไหลบ่าของวัฒนธรรมตะวันตก ทำให้วิถีชีวิตของซามูไรไร้ความหมาย และกลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ในสังคมไป

ต่อมาตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่นได้ว่าจ้าง ร.อ.นาธาน อัลเกรน (ปี ค.ศ.1876) นายทหารอเมริกันเข้ามาทำหน้าที่ครูฝึกการใช้อาวุธปืน และปราบปรามผู้ก่อการร้าย...ในสมรภูมิที่เขาต้องเจอ คือนักรบซามูไรที่กล้าสู้กับปืนของชาวตะวันตก ครั้งนั้นเขาโดนจับได้ คัทซึโมโตะ หัวหน้านักรบซามูไรจับเขาเป็นเชลย...คนที่ควบคุมดูแลเขา กลายเป็นหญิงหม้าย ทากะ ที่สามีถูกอัลเกรนฆ่าไป การเป็นเชลยของเขาไม่ได้ถูกจองจำ หรือควบคุมด้วยเครื่องพันธนาการอันใด เพียงแค่มีคนจับจ้องอยู่ทุกที่ๆเขาไป เวลาก็ผ่านไป ทำให้เขาได้เรียนรู้ชิวิตที่สมถะ เรียบง่ายและมีวินัย เขาถึงเข้าใจและรู้ซึ้งถึงความหมายของซามูไรที่เป็น “ผู้รับใช้” การเป็นซามูไรที่มีจิตวิญญาณคือทำหน้าที่เพื่อรับใช้คนอื่นโดยเฉพาะองค์พระจักรพรรดิ์

ต่อมาอัลเกรนกับคัทซึโมโตะพร้อมด้วยเหล่าซามูไรได้ไปเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิ์ ซึ่งก็เป็นกับดักของโอมูระ ที่ต้องการกำจัดซามูไรไปให้หมด คัทซึโมโตะถูกควบคุมตัวไว้ แต่อัลเกรนก็ได้ช่วยพาหลบหนีกลับมายังหมู่บ้านได้ แต่กองกำลังของทหารก็ติดตามมาเพื่อปราบให้หมดไป กองกำลังของซามูไรมีเพียง 500 คนที่มีแค่ดาบและธนู ซึ่งทุกคนก็รู้ตัวดี ว่าไม่มีทางสู้ได้ แต่ทุกคนก็พร้อมกันออกไปตาย...เพราะนั่นคือจิตวิญญาณของซามูไร อัลเกรนได้รับเกียรติให้ช่วยเหลือคัทซึโมโตะทำฮาราคีรี และนำดาบซามูไรมาถวายคืนองค์พระจักรพรรดิ์ ครูอยากให้ทุกคนกลับไปดูซ้ำอีกครั้ง และกลับเอาไปคิด

อยากให้อ่านบทประพันธ์เรื่องความกล้าหาญทำนองเดียวกันกับเหล่าซามูไรนี้...แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ผู้แต่งคือ Alfred, Lord Tennyson แต่งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1854 เพียงไม่กี่นาที หลังจากที่ได้รับทราบความสูญเสียของทหารกล้า ไปจำนวนหนึ่งในทั้งหมด 600 นาย ที่พร้อมกันไปสู้ แม้รู้ตัวว่าจะไม่รอดกลับมา ซึ่งเป็นสงครามในคาบสมุทรไครเมีย ที่ต้องต่อสู้กับตุรกีและรัสเซียในปี 1854 – 1856 เนื่องจากทหารรัสเซียเข้ามายึดปืนจากทหารอังกฤษได้ Lord Raglan ก็สั่งให้กองพลน้อยทหารม้าเข้าโจมตี ซึ่งก็คิดผิด พวกทหารก็เข้าบุกทันที และก็สูญเสียเหล่าทหารนั้นไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีเหมือนกัน การสูญเสียครั้งนั้นทำให้อังกฤษต้องเสียที่มั่นแนวหน้าส่วนใหญ่ไป ในการรบครั้งนั้น ถ้าไม่มีบทประพันธ์ชิ้นนี้เอาไว้ ทุกคนคงจะลืมพวกเขาไปแล้ว เพราะอังกฤษได้ยกเอาวีรสตรีขึ้นมายกย่องในการช่วยเหลือเหล่าทหารช่วงสงครามไครเมีย นั่นก็คือ Florence Nightingale

The Charge of the Light Brigade
Alfred, Lord Tennyson

1.
Half a league, half a league,
Half a league onward,
All in the valley of Death
Rode the six hundred.
"Forward, the Light Brigade!
"Charge for the guns!" he said:
Into the valley of Death
Rode the six hundred.
2.
"Forward, the Light Brigade!"
Was there a man dismay'd?
Not tho' the soldier knew
Someone had blunder'd:
Theirs not to make reply,
Theirs not to reason why,
Theirs but to do and die:
Into the valley of Death
Rode the six hundred.
3.
Cannon to right of them,
Cannon to left of them,
Cannon in front of them
Volley'd and thunder'd;
Storm'd at with shot and shell,
Boldly they rode and well,
Into the jaws of Death,
Into the mouth of Hell
Rode the six hundred.
4.
Flash'd all their sabres bare,
Flash'd as they turn'd in air,
Sabring the gunners there,
Charging an army, while
All the world wonder'd:
Plunged in the battery-smoke
Right thro' the line they broke;
Cossack and Russian
Reel'd from the sabre stroke
Shatter'd and sunder'd.
Then they rode back, but not
Not the six hundred.
5.
Cannon to right of them,
Cannon to left of them,
Cannon behind them
Volley'd and thunder'd;
Storm'd at with shot and shell,
While horse and hero fell,
They that had fought so well
Came thro' the jaws of Death
Back from the mouth of Hell,
All that was left of them,
Left of six hundred.
6.
When can their glory fade?
O the wild charge they made!
All the world wondered.
Honor the charge they made,
Honor the Light Brigade,
Noble six hundred.

Copied from Poems of Alfred Tennyson,
J. E. Tilton and Company, Boston, 1870

ยาวไปนิดหนึ่ง แต่ช่วงนี้เรากำลังมีปัญหาเรื่องการเมือง ทหาร ตำรวจกันอยู่ การได้ดูหนังฟังเพลง ปลุกใจ ให้เข้าใจในหน้าที่ และเป็นกำลังใจกัน ดูเขาแล้วก็กลับมาดูตัวเรากันบ้างค่ะ

รอบรั้ว การเมือง เรื่องศักดิ์ศรีของประเทศ


ครูตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่เขียนเรื่องการเมือง จะพูดแต่เรื่องประชาธิปไตย ศาสนา ไม่เอาเรื่องหนักๆมาเขียน แต่ปัจจุบันดูท่าจะเลี่ยงไม่ได้ เราทุกคนต้องมีเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการเมืองตลอด ทุกวัน จะมีนักการเมืองทำเรื่องให้เราต้องมาคิดพินิจพิเคราะห์ไม่จบสิ้น ซึ่งล้วนแต่ผลประโยชน์ของนักการเมืองเองทั้งนั้น ดูจะไม่มีใครหวนกลับมาดูว่าประเทศชาติจะได้รับผลของความเสียหายอย่างไร หาช่องที่ตัวเองจะได้กลับสู่อำนาจ ตอดเล็กตอดน้อยก็ทำกันไป ดูๆไปแล้วประชาชน ,ประเทศชาติเป็นของเล่น ที่พวกนักการเมืองจะมาจับให้เดินทางไหน ได้ทั้งนั้น

เมื่อวานที่นายตำรวจใหญ่ยอมประกาศไม่รับตำแหน่ง ครูถือว่าเป็นเรื่องของการแสดงน้ำใจอย่างที่นักการเมืองควรจะเอาเป็นตัวอย่าง เขารู้ตัวว่า ตัวเขาเป็นเหตุของปัญหาของชาวไทยมุสลิมที่จะไปแสวงบุญ เขาก็วางตัวเขาไว้ในที่ๆเราเองหวังเอาไว้ ตรงตามที่คาดเอาไว้ สามัญสำนึกในความรับผิดชอบชั่วดีนั้น มีครบถ้วน เขาจะผิดจริงหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์กันต่อ ถ้าคณะที่รับงานไม่ทำงานแบบที่เคยเป็นมาเหมือนครั้งที่แล้วๆมา ซึ่งครูเชื่อว่ารัฐบาลนี้พยายามทำอย่างสุดกำลังแล้ว แต่เรายังมีนักการเมืองอีกพวกหนึ่งที่พยายามจุดไฟในเมือง หาโยงเรื่องต่างๆเข้าไว้ ไม่ให้เราเดินไปข้างหน้าได้ สร้างปัญหาให้กับประเทศ นักการเมืองเหล่านั้นล้วนแต่คอยจุดประเด็น จุดไฟ ชักศึกเข้าบ้าน ซึ่งหนังสือพิมพ์ต่างๆก็ลงข่าวอยู่เป็นประจำ คำถามที่ว่า นักการเมืองเหล่านั้นเป็นคนไทยหรือเปล่า ก็ชวนให้คิด

มาเมื่อเช้าภาคเอกชนก็ออกมาระบุว่าการส่งออกสินค้าของไทยจะได้ผลกระทบ ความเสียหายที่จะได้รับจากประเทศซาอุดิฯประเทศเดียว 3 แสนกว่าล้าน ผู้ส่งออกไทย 10 ราย มีปัญหาที่รัฐบาลซาอุดิฯไม่ประทับตราผ่านสินค้า บอกต่อไปว่าปัจจุบันนี้เราได้รับทุนจากอาหรับเข้ามาลงทุนในตลาด ซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาล หากมีปัญหาเราจะเสียโอกาส แถมยังต่อไปอีกว่าถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ รับรองว่าพรรคประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ในภาคใต้ ฟังดูแล้วก็น่ากลัว และคงจะลืมไปหน่อยว่า คนภาคใต้นั้นเขามั่นคง รักพวกพ้องเป็นอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ วางฐานเอาไว้มั่นคง คงจะไม่สูญพันธุ์แบบที่ว่า ครูว่า ประชาธิปัตย์ น่าจะแข็งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เพราะความเห็นอกเห็นใจ ที่เรียกว่าคะแนนสงสารจะเทให้ไปเต็มๆ ภาคเอกชนที่ส่งออกเขาก็กลัวไปว่าประเทศซาอุดิฯ ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในโลกมุสลิม มีสมาชิกอยู่ 57 ประเทศ จะรวมกันบอยคอต ไม่ร่วมทำการค้าด้วย...นึกแต่เรื่องเงิน...ไม่ได้นึกนึกถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติเลย ถ้าเทียบกับจิตใจของคนญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ทาบกันไม่ติด พระจักรพรรดิของญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม พร้อมกับความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จะสร้างชาติใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม ให้โลกได้เห็น ได้ยกย่อง พวกที่ไม่ยอมแพ้โดดน้ำฆ่าตัวตาย 300 ศพในทันที นั่นคือความเด็ดเดี่ยวของเขา แล้วเป็นไง...เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นเจริญไม่เป็นรองใคร แล้วเราล่ะ เห็นแก่ศักดิ์ศรีของประเทศหรือเปล่า หรือมองแต่ผลประโยชน์อย่างเดียว

เรื่องที่ภาคเอกชนกลัวเรื่องโลกมุสลิมจะบอยคอต แม้แต่คนที่ทำงานอยู่ในด้านศาสนา ซึ่งก็เป็นอดีตนักการเมืองก็ออกมาพูดเหมือนๆกัน ส่งไม้ต่อเหมือนวิ่งผลัด 4 คูณ 100 รับไม้กันแบบไม่พลาด ไม่ได้เสนอแนะเลยว่าจะทำอย่างไร ออกความเห็นด้านดี ไม่มี เหมือนอยากเห็นประเทศไทยล้มลงต่อหน้า... “ถ้าฉันไม่ได้อย่างที่ฉันต้องการ ก็อย่าหวังว่าจะอยู่กันอย่างสงบ” คำพูดคล้ายๆอย่างนี้รู้สึกเคยได้ยิน หรือเขามีความคิดอย่างนั้นจริงๆ นักการเมืองจากภาคใต้ที่เป็นมุสลิมอีกคนก็ออกมาบอกว่า ให้เร่งสะสางคดีเพชรซาอุฯ และคดีอุ้มฆ่านักการทูตและนักธุรกิจของประเทศซาอุฯ ซึ่งก็ยืดเยื้อมา 20 ปีแล้ว....20 ปี เรามีรัฐบาลผ่านไปแล้วกี่รัฐบาล พรรคไหนๆก็ได้ร่วมอยู่ในเวลา 20 ปีนั้นกันทุกพรรค ก็ในอดีต ไม่เห็นว่าจะก้าวหน้าไปถึงไหน ศาลเองก็ได้ตัดสินไป ตามหลักฐานไปทุกอย่าง ตำรวจชงกาแฟให้ศาล ศาลก็ต้องบอกว่านี่มันกาแฟ ตำรวจชงชาขึ้นไป ไม่ว่าจะผ่านมืออัยการหรือศาลก็ต้องบอกว่า นี่มันคือชา...ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมือง...มันอยู่ที่คนชง คนค้นหาหลักฐาน และหลักฐานตัวนั้นยังมีเหลือให้ดมอยู่หรือไม่ต่างหาก จากนี้เป็นต้นไป เราเองก็ต้องมาตั้งสติกัน ทุกข์ของประเทศซาอุฯ คืออะไร (เพชรซาอุ และคดีอุ้มฆ่าคนของเขา)...เราจะแก้ให้ได้อย่างไร...(ตำรวจได้ค้นหาหลักฐานกันจริงๆหรือไม่...ไม่ใช่แค่บัตรสนเท่ห์) แล้วทุกข์ของเราที่มีต่อซาอุฯ คืออะไร...(การค้า..การศาสนา...ฯลฯ) ซึ่งมันพันกันตลอด แก้ปมทุกข์ให้เขาไม่ได้ เราก็แก้ปมเราไม่ได้เหมือนกัน

ครูจะลืมๆเรื่องนักการเมืองหลายๆคนที่คอยจุดประเด็น จุดไฟว่อนไปทุกที่ค่ะ ไม่ว่าจะไปเดินเรื่องที่เขมร ไปรัสเซีย ไปซาอุฯ แล้วว่าจะไปมาเลเซีย...มันเป็นสะเก็ดไฟไปทั่วแล้วค่ะ

ภาพประกอบ//http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1597409

รอบรั้ว การเมือง เรื่องศาสนา

Wednesday, September 22, 2010


ครูฟังข่าวที่สถานทูตซาอุดิ อเรเบีย ได้ออกมาบอกว่าไม่สามารถออกวีซ่าให้กับไทยมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่เมืองเมกกะให้ทันได้ เพราะเจ้าหน้าที่ลาหยุดพัก ออกวีซ่าให้ไม่ทัน คิดแบบชาวบ้านก็พอจะรู้ทัน ไม่จำเป็นต้องเป็นให้นักการเมืองออกมาพูดแบบนักการเมือง ให้พวกชาวบ้านต้องตีความกันอีก จริงๆแล้ว เราเองก็ต้องเห็นใจประเทศซาอุดิ อเรเบียสักนิด เพราะเราไปสร้างเวร สร้างกรรม กับประเทศเขา คนของเขาไว้มาก ครูไม่อยากเอ่ยชื่อคนไทยที่ไปขโมยเพชรจากพระราชวังของเขา แต่นั่นก็ทำให้เราต้องเสียโอกาสในการส่งคนงานไทยไปขุดทองที่ซาอุฯ สูญเสียเงินไปไม่รู้ว่าจะนับได้หรือเปล่า เพราะไม่เห็นใครออกมาพูด นั่นเราไปผิดศีล 5 ข้อที่ 2 ไปแล้ว กรรมที่ได้รับก็เฉลี่ยไปกันทั้งประเทศ คนอิสานและคนภาคเหนือ ซึ่งเป็นแรงงานส่วนใหญ่ เจ็บมากกว่าใครๆ ยังไม่พอ เรายังมาผิดศีลซ้ำซ้อนอีก ทั้งปาณาฯ ทั้งมุสาฯ ทั้งอทินนาฯ และศีล ฯลฯ อีก ซึ่งก็ยังมีตำรวจต้องรับกรรมอยู่ในคุกอยู่ เรื่องที่หนัก ฆ่านักการทูต 2 ปี 4 ศพ แล้วก็อุ้มฆ่านักธุรกิจของเขาอีก ซึ่งก็โยงมายังตำรวจ (อีกแล้ว!!!!) ตอนนี้ก็ต้องมาแสดงความรับผิดชอบ เพราะตัวเองเป็นตัวต้นเหตุแห่งทุกข์ของชาวไทยมุสลิม ที่ต้องไปแสวงบุญที่เมืองเมกกะ นายตำรวจใหญ่จะผิดหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ตัวของเขาเองรู้อยู่เต็มอก แต่เรื่องก็ยุติไปแล้ว...ไม่ผิดเพราะไม่มีหลักฐาน มีแค่บัตรสนเท่ห์ ซึ่งอุปทูตซาอุฯ เขาคิดไม่เหมือนกับเรา....ก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ครูไม่ทราบว่า เขามีกฎ “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” หรือไม่ ซึ่งปุถุชนธรรมดาย่อมไม่คิดอยู่ในสมองอยู่แล้ว ยิ่งถ้าดูหนังจีนกำลังภายในแล้วละก็ “แก้แค้นรอได้ 10 ปี ไม่สายเกินไป” ก็ต้องรอคอยกันถึงวันนี้ละค่ะ

เรื่องการเมืองโยงมาหาศาสนานี่ เกินความคาดหมายของครู เพราะมันไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักนิด อย่างน้อยก็ให้ความเคารพในคำสอนของศาสดา และให้ความนับถือในสิทธิของการเป็นชาวมุสลิม ไปแสวงบุญโดยไม่มีข้อโต้แย้งอยู่แล้ว จะเป็นรอยด่างในศาสนาหรือไม่ ควรที่ทุกคนเอาไปคิดเป็นการบ้าน ศาสนาควรอยู่ที่ใจ ควรอยู่ที่การปฏิบัติตามคำสอนอย่างครบถ้วน เอาละคำสอนจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ วัตรปฏิบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เป็นหนังประวัติศาสตร์ของอินเดียในยุคฮินดูสถาน ช่วงศตวรรษที่ 16 ยุคที่ราชวงศ์โมกุล ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่นับถืออิสลาม และทำสงครามชนะไปทั่ว ตรงกับสมัยของ จักรพรรดิ จาลาลาดิน โมฮัมหมัด อักบาร์ ชาวอินเดียในสมัยนั้นขนานนามพระองค์ว่า อักบาร์มหาราช (Akbar the Great) ก่อนที่พระองค์ได้รับการขนานนามนั้น พระองค์ได้เสด็จประพาส โดยการปลอมตัวเข้ากับชาวบ้านไปสืบเสาะ เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวเมือง ซึ่งก็เป็นชาวฮินดู ที่พระองค์รับทราบก็คือ การที่ชาวฮินดูจะไปแสวงบุญต้องจ่ายภาษีให้กับทางราชการ ซึ่งชาวฮินดูไม่พอใจ หาว่าพระองค์ไม่เป็นพวกเดียวกัน อีกทั้งพระชายาของพระองค์ที่ตั้งขึ้นเป็นพระจักรพรรดินีนั้น ไม่ยอมกลับเข้าวัง ซึ่งพระนางได้ตั้งข้อแม้ขึ้นว่า พระองค์ต้องชนะใจของพระนางเสียก่อน เมื่อพระจักรพรรดิเข้าไปประชุมเหล่าขุนนาง พระองค์ก็ให้ยกเลิกเก็บภาษีทางด้านศาสนาของชาวฮินดูเสีย โดยไม่ต้องกังวลถึงรายได้ท้องพระคลัง มีที่ปรึกษาของพระองค์คัดค้าน พระองค์ก็บอกกับขุนนางท่านนั้น ให้ไปแสวงบุญที่เมกกะเป็นการถาวรเสียเลย ครูเล่าเท่าที่จำได้ เพราะดูหนังเรื่องนี้มาเป็นเดือนแล้ว จำไม่ค่อยได้ หลังจากที่ยกเลิกภาษีที่ว่านั่นแล้ว ชาวเมืองก็พร้อมกันออกมา (แบบหนังอินเดียขนานแท้...รำกันแบบเถิดเทิงทีเดียว) ถวายพระนามว่า เป็นมหาราช และหนังก็จบแบบสมบูรณ์คือพระจักรพรรดินีก็เสด็จกลับมาประทับ (อยู่) กับพระองค์

จะเห็นว่าแม้ในสมัยโบราณที่ศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องเคารพ บวกกับ ต้องยำเกรง เขาก็ไม่เอาการเมืองเข้ามายุ่ง แม้จะมีเพราะคนที่มีอำนาจมักทำตามอำเภอใจ แต่เพื่อความถูกต้อง เป็นธรรม เรื่องนี้ก็จะได้รับการแก้ไขในที่สุด มาสมัยนี้เราเองก็ต้องคอยดูต่อไป แต่โชคดีของชาวไทยมุสลิม ช่วงที่ครูกำลังเขียนอยู่นี่ ท่านนายพลตำรวจออกมาแถลงไม่รับตำแหน่งแล้ว และพร้อมกันนั้นทางสถานทูตซาอุดิฯ ก็ได้ออกวีซ่าให้แล้วด้วยค่ะ....แถมให้อีกนิด เมืองจาลาลาบัดในอัฟกานิสถาน ตั้งเป็นชื่อเมืองให้เป็นเกียรติแด่ท่านจักรพรรดิจาลาลาดินค่ะ

รอบรั้ว ครอบครัวอบอุ่น

Friday, September 17, 2010


เมื่อวันก่อนครูได้พูดเรื่องการจูงมือเด็กเข้าวัด ยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่งที่เอาลูกมาวัดเป็นประจำ เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กันยายน 2553 ครูได้เจอครอบครัวนี้ มากันทั้งบ้านทีเดียว หลวงปู่ทองใบจะดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อท่านเห็นมาวัดกันทั้งครอบครัวแบบนี้ ท่านมักพูดเสมอว่า “เป็นครอบครัวอบอุ่น” ที่จูงลูกหลานเข้าวัดแบบนี้ ครูเคยยกตัวอย่างศาสนาอื่นที่เขาจูงใจเอาเด็กเข้าโบสถ์ เข้ามัสยิด ซึ่งต้องอาศัยแรงจูงใจทั้งศาสนบุคคล เช่น หลวงพ่อ บราเดอร์ ซิสเตอร์ อิหม่าม มุตตาวา (คนที่คอยเตือนให้เข้ามัสยิด) และแรงจูงใจจากทางบ้าน เช่นคนในครอบครัวเชื่อมั่นในศาสนา หมั่นเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยๆในพระพุทธศาสนา เด็กๆชอบฟังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบนี้แหละค่ะ สอนให้เขาเชื่อมั่นในคำสอนของศาสดาไม่ว่าในศาสนาใด

ครูได้เจอครอบครัวของน้องไดร์ฟและน้องดิสค์ ชื่อฟังดูแล้วแปลกๆไปนิดนะคะ แต่นั่นก็แสดงว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ครอบครัวของน้องเขามีธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ชื่อของน้องเลยออกมาในแนวนี้ น่าสนใจตรงที่ว่า เขาเป็นคนรุ่นใหม่ แต่มั่นคงในศาสนาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะครูจะเห็นมาวัดไม่ขาด ไม่ค่อยเจอกับพ่อบ้านเท่าไหร่นัก นั่นเพราะเขาขึ้นไปฟังธรรมบนศาลา ความจริงอีกอย่าง ผู้ชายที่ไปนั่งฟังพระเทศน์นั่น จะมีแค่ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ หลวงปู่จะประกาศทุกครั้ง เมื่อเทศน์จบ วันนี้มีพระเท่าไหร่ เณร แม่ชี อุบกสก อุบาสิกา และเด็กเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นอุบาสิกาเสีย 70 เปอร์เซนต์ เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง อีกละ ผู้ชาย อุบาสกนี่ล้วนแล้วก็เป็นผู้สูงวัยทั้งนั้น

ในวันนั้นน้องทั้งสองได้เล่นอยู่ตรงสถานที่ตักบาตร มีเด็กวิ่งเล่นด้วยกัน 5 – 6 คน ห่างจากศาลาฟังธรรมไกลโขอยู่ ก็ถามว่าคุณแม่อยู่ตรงไหน เขาเก่งพอตัวค่ะ บอกว่าอยู่ใกล้ๆนี่แหละ ชี้มือไป ใกล้ๆของเด็ก ทำให้เดินเหงื่อตกเหมือนกัน ปรากฏว่าปูเสื่อนั่งฟังอยู่ด้านนอกศาลาพุทธาวาส (สถานที่ฟังธรรม) ได้ยินพระเทศน์ชัดเจนค่ะ พ่อบ้านของครูก็ฟังอยู่ละแวกนั้นเป็นประจำ ด้านหน้าบ้าง ด้านข้างบ้าง เพราะนั่งพับเพียบไม่ถนัด โรคปวดหลังรุมเร้าเวลานั่งนานๆ ก็ได้คุยกันนิดหน่อย พอจะรู้เรื่องพอเลาๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว ดีใจแล้วที่ได้เจอกับคนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจในพระพุทธศาสนา เราจะต้องมีคนอย่างครอบครัวนี้เยอะๆ ศาสนาเราถึงจะอยู่รอดได้ในบ้านตัวเอง ครูเคยเขียนเอาไว้หลายตอนเกี่ยวกับชาวตะวันตกที่เขาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา ดูๆแล้ว เขาสนใจในเนื้อหาของคำสอนส่วนหนึ่งเป็นอย่างมาก แล้วก็เอาไปปฎิบัติ เช่นการนั่งสมาธิ เขาสนใจในประโยชน์ที่ได้จากการบริหารจิตและเจริญปัญญา สนใจในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง สนใจในการทำงานของสมอง แม้กระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจ จริงๆแล้วเราละเลยที่จะไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ไปหรือยังไงก็ไม่ทราบ...ขอฝากเรื่องนี้ไว้ให้คนรุ่นใหม่เอาไปคิดนะคะ อีกนิดค่ะ...เคยลองสังเกตุดูบ้างมั้ยคะ คนที่นั่งสมาธิ ควบคุมอารมณ์ได้แค่ส่วนหนึ่ง หน้าตาจะผ่องใส มีผิวพรรณดี จนคนที่พบเจอแปลกใจ ดูจะหน้าอ่อนกว่าอายุจริงค่ะ....ลองสังเกตุดูนะคะ

พระพุทธศาสนา การบริหารจิต และเจริญปัญญา (ตอนที่ 1/3 )

Saturday, September 4, 2010

ที่จริงแล้วครูได้เขียนเรื่องการบริหารจิต และเจริญปัญญามา 4-5 ตอนแล้ว ซึ่งจะหาอ่านย้อนหลังได้จากบทความปีก่อนๆ แต่อยากจะเขียน อยากจะพูดอีก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งสองเรื่อง คือทั้งจิต และปัญญา การปลูกฝังเรื่องนี้ครูคิดว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป ในชั้นประถม ก็เหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน....จะถามสอบความรู้แบบนักธรรม ครูว่านั่นจะสุดโต่งจนเกินไป เด็กที่เพิ่งหัดเดิน เดินทีละก้าว ครึ่งก้าว ก็ล้มลงเสียแล้ว คนที่เป็นพ่อแม่ต่างก็หัวเราะด้วยความดีอกดีใจ ตะโกนกันดังลั่น “มาดูนี่...มาดูนี่...ลูกเดินได้แล้ว!!!!” เช่นกัน การเรียนรู้ เรื่องสำคัญในการดำเนินชีวิตของเด็ก ตามแนวทางพุทธ...วิถีพุทธ...การเรียนรู้ที่ละนิด ๆ แต่จำได้แม่น ไม่พลาด เหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน เป็นเรื่องสำคัญ

การปลูกฝังเรื่องนี้ ครูได้เห็นตัวอย่างจากครอบครัวหนึ่งมาหลายปี เขามั่นคงในศาสนามาก มาฟังเทศน์ ฟังธรรมกับวัดเดียวกับที่ครูไปประจำนั่นแหละ “วัดนาหลวง” หรือ “วัดอภิญญาเทสิตธรรม” ที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ภาพที่เห็นประจำก็คือ มีลูกสาวตัวเล็กๆ เล่นกองทราย เก็บก้อนหิน อยู่ข้างๆศาลาฟังธรรม ซึ่งมีชื่อว่า “ศาลาพุทธาวาส” คุณแม่ก็ดูแลลูกอยู่ใกล้ๆ ฟังธรรมไปด้วย ซึ่งอาจจะมีคุณยายไปนั่งฟังเทศน์บนศาลา...จากปี เป็น 2 ปี...3 ปี...มีเด็กเพิ่มมาอีก เป็นเด็กผู้ชาย เหมือนเดิม...เหมือนกับพี่สาว...ทั้งพี่และน้องก็ยังเล่นกองทราย..เก็บก้อนหิน...วิ่งเล่น อยู่ใกล้ๆกับศาลาพุทธาวาส...นี่ผ่านมา 5- 6 ปีแล้ว เด็ก 2 คนนั่นก็ยังมาวัด ไม่เห็นเล่นกองทราย เก็บก้อนหินแบบเดิม แต่แม่จูงมือขึ้นไปบนศาลาวัด เด็กอาจนั่งได้ไม่นาน ก็ต้องลงมาเล่นไล่จับ แต่ภาพที่คนฟังเทศน์จำนวนมาก ที่ฟังกันเงียบๆ อย่างสงบนั่น สอนเด็กไปในตัว...อย่าส่งเสียงดังนะ....นั่นเป็นภาพที่ครูว่า ครอบครัวนั้นได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ในใจลูกทั้งสองคนนั่นแล้ว...เด็กสองคนนั่นเล่นกันเงียบๆ... รับรู้ว่าต้องสงบ อย่าส่งเสียงดัง ...นั่นคือการเริ่มหัดเดินในชีวิตวิถีพุทธแล้วค่ะ


พระพุทธศาสนา การบริหารจิต และเจริญปัญญา (ตอนที่ 2/3 )

ตอนที่แล้ว ครูยกตัวอย่างของครอบครัวที่มาฟังธรรมเป็นประจำ ทั้งครอบครัว สรุปให้เห็นภาพว่า การฝึกนั้น ต้องค่อยเป็น ค่อยไป อย่าหักโหม อย่าใส่อะไรๆ เท่าที่เราอยากให้ใส่ลงในสมองเด็ก นอกจากจะทำให้เด็กเครียดแล้ว พาลเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียนเอาดื้อๆ เพราะศาสนาเป็นนามธรรมเสียเป็นส่วนมาก อย่างที่ตั้งหัวเรื่องเอาไว้...จิต และ ปัญญา...มองอย่างไรก็ไม่เห็นภาพเลย มีอยู่อย่างเดียวคือบังคับให้ท่องจำ ถ้าจำไม่ได้ ก็ทำข้อสอบไม่ได้...พูดอย่างนี้ อาจมีคำถามว่า...แล้วมีวิธีอย่างไรล่ะคุณครู....ซึ่งอันที่จริงแล้ว ครูได้ทำเรื่องนี้เป็นประจำ เหมือนกับเด็กสองคนที่คุณแม่พามาวัด...ให้เขาเล่นๆอยู่ข้างวัดนั่นแหละ...ครูก็ให้เด็กนักเรียนนั่งสมาธิเล่นๆในห้องเรียน ก่อนที่จะเข้าบทเรียน...นั่งสัก 5 นาที...10 นาที พอเรียกสติกลับคืนให้มาอยู่กับตัว แล้วก็เข้าสู่บทเรียน ครูไม่อยากพูดเลยละค่ะว่า เนื้อหาสาระของบทเรียนนั่นเป็นอย่างไร...เดาว่า เราคงอยากให้เด็กของเราเป็นนักธรรมกันทุกคนมั้ง...ทั้งหมดที่พูดมานี่ เพียงแค่อยากบอกว่า ถ้าอยากให้เด็กของเราเป็นชาวพุทธจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำข้อสอบได้ แล้วได้เป็นชาวพุทธเลย...เคยคิดกันบ้างมั้ยคะ...ถ้าเราอยากเห็นว่าเด็กของเราเป็นชาวพุทธ การปฏิบัติที่เอาจริงเอาจัง ปฏิบัติจริง เหมือนกับชาวคริสต์ที่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เรื่องนี้ครูจะเล่าให้ฟังก็ได้ว่าสำคัญอย่างไร ในบ้านนาหลวงนั่น ถึงแม้ว่าเราจะมีวัดพุทธอยู่ 4 – 5 วัดก็เถอะ แต่ก็มีโบสถ์คริสต์อยู่ด้วย วันหนึ่งครูไปให้ช่างไม้ทำชั้นวางหนังสือให้ บ้านช่างไม้อยู่ใกล้กับโบสถ์คริสต์ท้ายหมู่บ้าน วันนั้นมีคนมาสอนร้องเพลงด้วย ซึ่งมาก่อนวันเข้าโบสถ์หนึ่งวัน เป็นวันเสาร์เพื่อสอนเด็กๆที่เป็นลูกหลานชาวคริสต์ในหมู่บ้าน ออกมาเล่นกันนอกโบสถ์บ้าง ดูๆแล้วก็สนุกละสำหรับเด็กๆ เพราะมีวัยรุ่นสาวๆ สังเกตจากการแต่งตัว หน้าตา พอจะรู้ได้ว่ามาจากในเมือง...สอนการละเล่น ร้องเพลง ปรากฎว่าหลานสาวของช่างไม้ อายุน่าจะราวๆ 3 – 4 ขวบ อยากไปเล่นกับเด็กๆพวกนั้นด้วย...ทั้งตาและยายต่างก็บอกว่าไม่ได้..หลานก็ร้องไห้ ตามประสาเด็กที่เอาแต่ใจ...วิ่งออกไป ยายก็ไล่ตามอุ้มกลับมา...เป็นอยู่อย่างนั้นหลายนาที ครูเลยบอกว่าให้แกไปเถอะ...ตัวครูเองก็เคยไปโบสถ์คริสต์เหมือนกันสมัยเด็กๆ...ที่นั่นเขามีของเล่น เพื่อนก็อยู่ในนั้น ขนมก็อยู่ในนั้น...ครูพูดเรื่องนี้เพื่ออยากบอกให้รู้ว่า ในศาสนาพุทธ เราไม่มีที่ว่างให้เด็กๆไปได้เองเลย จะมีที่ว่างก็เฉพาะวันไปทำบุญ เวียนเทียน ที่ต้องตีกลอง บรรเลงดุริยางค์ เดินแถว ถือธงนำหน้า แล้วไปกันที ยกโรงเรียนไป โรงเรียนไหนมีเด็กมาก ครูใหญ่ครูน้อยอาจแอบยิ้มอยู่ในใจในแสนยานุภาพของโรงเรียน...ภาพมันฟ้องอย่างนั้นค่ะ แต่การปลูกฝังการเป็นชาวพุทธไม่ได้ทำเลย...เอาละไหนๆก็พูดถึงนี่แล้ว พูดเรื่องนี้ต่อให้จบ ทีนี้การปฏิบัติของชาวมุสลิมบ้าง อันที่จริงครูไม่อยากเอาศาสนาอื่นมา เปรียบเทียบกันสักเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าไม่พูด เราก็จะไม่เห็นจุดบกพร่องของเรา ศาสนาอิสลามนี่ยึดหลักสำคัญไว้ 3 อย่าง คือหลักการศรัทธา หลักจริยธรรม หลักการปฏิบัติ เท่าที่สังเกตที่เรามองจากคนต่างศาสนา เหมือนว่าเขาจะเน้นเรื่องหลักการปฏิบัติเสียเป็นส่วนใหญ่ เอาจริงเอาจัง เช่นการละหมาด 5 ครั้งต่อวัน ตั้งแต่เช้ามืด เที่ยงวัน ตอนบ่าย ตอนตะวันตกดิน และตอนค่ำ บางทีเพราะคำสอนที่ว่า “การนมัสการหรือละหมาดคือความสัมพันธ์โดยทางลับกับพระเจ้า อันจะนำมาซึ่งศีลธรรมอันดีงาม” จากการที่เด็กๆเห็นการปฏิบัตินี้บ่อยๆ ซึ่งเราไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่าเขาเคร่งครัดจริงๆ ถ้าเราได้อยู่ในหมู่ชาวมุสลิม...นั่นเป็นการจูงใจ จูงเด็กเข้ามัสยิด..นอกจากนั้นการปฏิญาณตนในการเข้านับถือศาสนา และพิธีเข้าสุนัต เป็นเรื่องสำคัญ ของพ่อแม่เลยทีเดียว แบบนี้ครูคิดว่า การปฏิบัตินำหน้าศรัทธา ในเบื้องต้นสำหรับเด็ก....เมื่อเด็กเริ่มเรียนรู้ถึงจะดึงเอาศรัทธาเข้ามาเสริม เมื่อพอมีสติปัญญา ศรัทธาและจริยธรรมถึงจะเข้ามา ซึ่งจะมาเสริมการปฏิบัติให้เข้มแข็งขึ้นไปอีก....ยกตัวอย่างยาวไปนิด...สรุปให้สั้นๆว่า...เน้นปฏิบัติไปก่อน จูงเด็กเข้าวัด...จูงใจก็ได้...เราบกพร่องเรื่องนี้มั้ยคะ...วันที่เราไปวัดฟังธรรมเทศนา ถ้าจะสังเกตดู และเป็นอย่างนี้มาตลอด มีแต่คุณย่า คุณยาย หรือผู้หญิงเสีย 85 เปอร์เซ็นต์ อุบาสกน้อยเสียเหลือเกิน เด็กรุ่นๆแทบจะไม่มีเลยค่ะ....ขออย่าหลอกตัวเองกันต่อไปเลยนะคะ ว่าเราจูงเด็กเข้ามาเป็นพุทธถูกทางแล้ว

พระพุทธศาสนา การบริหารจิต และเจริญปัญญา (ตอนจบ )


วันนี้มาเข้าเรื่องการบริหารจิตและเจริญปัญญา แบบที่ชาวต่างประเทศเขาเห็น ทีนี้ไม่เกี่ยวกับการมองต่างในด้านศาสนาแล้ว..... มีข่าวที่ตีพิมพ์ไปทั่วโลกว่า มีโรงเรียนในประเทศอังกฤษ ได้เอาแบบเรียนการนั่งสมาธิ ไปสอนในโรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าแก่ของประเทศ เป็นโรงเรียนชั้นนำ นั่นคือ โรงเรียน Tonbridge แห่งเมือง Kent หลักสูตร บทเรียนที่เอามาสอนได้มาจากอาจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และเคมบริดจ์ ซึ่งแค่ได้ยินชื่อแล้วก็รู้ถึงกิตติศัพท์ที่สั่งสมมานาน คุณครู Richard Burnett ที่เป็นครูผู้เริ่มโครงการนี้ บอกว่า เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมกันเลยทีเดียว ในการรับรู้ถึงความสงบสำหรับครูและนักเรียน อย่างหนึ่งก็คือ ความสงบ เกี่ยวเนื่องกับพลัง ให้เห็นว่า ความสงบนั้นทำให้เกิดปิติ (savoured) และ อิ่มใจ (enjoyed)
ศาสตราจารย์ Mark Williams ผู้อำนวยการของศูนย์สมาธิของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า โรงเรียนทอนบริดจ์เป็นโรงเรียนแรกที่เข้ามาแนะนำ สอนหลักสูตรการนั่งสมาธิด้วยการปฏิบัติจริง ซึ่งต่างออกไปจากการสอนที่เป็นแค่บทเรียน ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนการนับถือศาสนาไปเป็นชาวพุทธ แต่ผลที่พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ว่าการปฎิบัตินั้นมีประโยชน์ แล้วทำไมเราต้องปฎิเสธ (การนั่งสมาธิ) ด้วยล่ะ”
Andrew McCulloch ผู้บริหารสูงสุดของสมาคมสุขภาพจิต กล่าวว่าการฝึกสมาธิทำให้โอกาสที่จะช่วยให้หลีกเลี่ยงความซึมเศร้าและอาการวิตกจริตไปได้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต
จะเห็นว่านักวิชาการเหล่านั้นเขามองเห็น การปฎิบัติจริง นำไปสู่ผลที่ได้จริง เท่ากับว่า เขาเลือกเอาชิ้นปลามันไปได้ แถมบอกว่านั่นคือวิทยาศาสตร์นะ ก็ไม่ว่ากัน การที่บอกให้รู้ว่าการนั่งสมาธิมีประโยชน์มากมายขนาดนั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา.....ทีนี้ การเรียนของเขาเป็นอย่างไร การเรียนการสอนใช้แค่ 40 นาที ต่อสัปดาห์ และใช้เวลานั้นฝึกการนั่งสมาธิ ในตอนเย็นก่อนที่จะทำการบ้าน
สัปดาห์ที่ 1 - ฝึกจิตให้นิ่ง โดยให้เพ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหมือนกับการฝึกสุนัขให้นิ่ง(Puppy Training : First steps in focusing attention)
สัปดาห์ที่ 2 - เข้าสู่ความสงบ โดยสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในใจ และให้จิตเป็นสมาธิ (Turning Toward Calm : Establishing calm and concentration)
สัปดาห์ที่ 3 - กลับมาที่ความรู้สึกรู้ตัว พิจารณาอารมณ์ และการตระหนักรู้ (Coming to Your Senses : Recognizing rumination and coming home to the body)
สัปดาห์ที่ 4 - อยู่กับปัจจุบันขณะ พัฒนาการรู้ตัวทั่วพร้อม ณ ปัจจุบัน ให้เกิดขึ้นในทุกๆวัน (Being Here Now : Developing present moment awareness in the every day)
สัปดาห์ที่ 5 - ทำอย่างช้าๆ และไปเรื่อยๆ โดยดำเนินกิจกรรมต่างๆในชีวิตอย่างช้าๆ และมีความสุข รวมถึงการเดินด้วย (Slowing and Flowing : Slowing and savouring activities, including walking)
สัปดาห์ที่ 6 - ถอยห่างเพื่อมองดู คือถอยออกจากความคิดที่เกิดขึ้นฉับพลัน แล้วดูความคิดที่เกิดขึ้นนั้น ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล (Stepping Back : Stepping back from thoughts that hijack you)
สัปดาห์ที่ 7 - เต็มใจรับอุปสรรคที่เข้ามา ยอมรับและอยู่กับสภาพอารมณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข (Befriending the Difficult : Allowing, accepting and being with difficult emotions)
สัปดาห์ที่ 8 - ไตร่ตรองเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต และหาวิธีจัดการด้วยตนเอง (Pulling it all Together : Looking back and making it personal)
ถ้าเราอ่านหลักการปฎิบัติอย่างช้าๆ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลยจากการที่เราปฎิบัติกันอยู่ เวลาไปปฎิบัติธรรม ทำไมฝรั่งถึงตื่นเต้นกันนัก เราเองก็ต้องหันมาดูวิธีการสอนกันใหม่ได้แล้วหรือยัง ความหวังเรื่อง “บวร” คือ บ้าน วัด โรงเรียน ดูท่ายังไม่ถึงเป้าหมายใช่มั้ยคะ