Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว ถนนสายแห่งศรัทธา วัดนาหลวง

Wednesday, July 15, 2009

ก่อนที่จะถึงวันเข้าพรรษาแค่คืนเดียว ทำให้เราเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของชาวพุทธได้ นั่นคือ “ศรัทธา” ความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงวัดที่ตัวเองตั้งใจจะไปร่วมทำบุญ ฟังเทศน์ ฟังธรรม คืนนั้น ฝนตกลงมาทั้งคืน ครูอยู่ที่วัด เพราะต้องไปช่วยวัดทำงาน ส่วนที่รับผิดชอบก็คือจัดจีบผ้าประดับตกแต่งโต๊ะล่วงหน้าก่อนวันงาน ฝนที่ตกลงมาแทบบอกว่าเทลงมา แบบไม่หยุดหย่อน กว่าฝนจะซาลงก็ถึงเช้าพอดี แต่ก็ยังโปรยลงมาเป็นระยะๆ ทำให้ถนนที่เข้าสู่”วัดนาหลวง-อภิญญาเทสิตธรรม” ต.คำด้วง อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี ซึ่งเป็นถนนดินแดง กลายเป็นถนนโคลนแดงไปทันที และเมื่อมีรถยนต์นับพันเคลื่อนเข้ามา ก็ทำให้ถนนนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นบ่อโคลน ช่วงถนนเรียบ และเป็นถนนลื่นไถล ช่วงขึ้นเนิน และคนขับรถจะต้องบังคับรถให้อยู่บนพื้นถนนให้ได้ เพราะพื้นถนนนั่นเป็นพื้นแข็ง อย่างเก่งก็แค่ล้อหมุนฟรี ลื่นอย่างเดียว แต่ถ้ารถเอียงออกนอกถนนไปก็จะไปเจอขอบถนน นี่แหละคือจุดอันตราย ขอบถนน นอกจากจะลื่นแล้ว ดินก็อ่อน ทำให้รถไถลตกคูข้างถนน ตอนนี้แหละที่ทำให้รถติดอยู่กับที่ ไปหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ และในตอนสายๆรถที่เข้าวัดไปก่อน รู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถขึ้นไปถึงวัดได้ ก็ขับออกมา สวนกับรถที่เดินทางเข้าไปสู่วัด ทำให้ต้องหลบหลีกกัน และทำให้รถที่ทั้งเข้า ทั้งออกจากวัด ต้องตกถนนกันนับสิบคัน แต่เรื่องนี้แค่เป็นเรื่องรอง เรื่องสำคัญคือ “ศรัทธา” ที่ทุกคนที่ร่วมกันอยู่บนถนนสายศรัทธานั้น ต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกัน พากันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย หน้าตายิ้มแย้ม ถ้าใครได้เห็นแล้ว ก็จะปลื้มใจที่ทุกคนต่างก็ร่วมกัน “ทำบุญ” ก่อนที่จะถึงวัดเสียอีก

วันนั้นทั้งวัน ถนนที่เข้าสู่วัด กลายเป็นถนนโคลน และเป็นงานของชาวพุทธได้ฉลองศรัทธา ด้วยการทำบุญ “เข็นรถเข้าวัด”กันแทบทั้งวัน จวบจนบ่ายๆรถเข้าวัดก็ซาลง รถที่เข้าไปไม่ได้ ก็ต้องจอดรอญาติธรรมที่เข้าวัดไปได้ โดยวิธีการเดินไป อาศัยรถคันอื่นไป หรือเดินไปครึ่งทางก็จะมีรถมารับไปถึงวัด ซึ่งก็ไม่ใช่ใกล้ๆ นั่นคือเหตุการณ์ในวันเข้าพรรษา และแรงศรัทธาของญาติธรรม จากภาพที่ได้เก็บเอาไว้ ส่วนหนึ่งท่านจะได้เห็นความยากลำบาก ของคนที่นั่น การที่จะต้องสัญจรไปมา ในหมู่บ้านที่ห่างไกล ยากเย็นแค่ไหน งบประมาณเรื่องการขยายเส้นทางให้ได้มาตรฐานนั้น เรายังต้องการอยู่ แต่ว่า งบส่วนที่จะเอามาใช้นั้น ยังต้องเจียดไปในการซ่อมแซมถนน สายที่สำคัญกว่า และน่าเจ็บใจ ที่ถนนสายเหล่านั้น ล้วนแต่ต่ำกว่ามาตรฐานเท่าที่เราควรจะได้รับ น่าเสียดายนะคะ







รอบรั้ว ผู้ก่อการร้ายแบบไทยไทย

Tuesday, July 14, 2009


ช่วงหัวค่ำวันก่อนได้ยินอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มาพูดเรื่องตำรวจของเรากำลังเรียกตัวแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรวม 36 คน ในฐานะ “ผู้ก่อการร้าย” ให้มารายงานตัว แล้วท่านก็เปรียบเทียบให้เห็นว่า ภาพของผู้ก่อการร้าย ที่โลกกำลังตัองการตัวอยู่นั้น มีลักษณะเช่นไร การส่งกองกำลังทหารทั้งกองทัพเข้าไปค้นหา ไปรุกทุกเขตพื้นที่ ที่จะจับตัวให้ได้ แล้วก็เกิดการลอบยิง การฆ่าเกิดขึ้นตลอดเวลา และดูว่า แม้ลงทุนลงแรงไปถึงขนาดนั้น จนป่านนี้ก็ยังจับตัวไม่ได้ เมื่อมาเทียบกับผู้ก่อการร้าย แบบไทยไทย ที่ตำรวจไทยต้องการตัว เพียงแค่ออกหมาย เรียกตัวมา เขาก็พร้อมที่จะเดินเข้าไปหา แล้วก็ยอมพิมพ์ลายนิ้วมือ ก็ให้สงสัยว่า นี่เป็นผู้ก่อการร้ายแบบไหน ซึ่งทุกคนที่บ้านนั่งฟังไปแล้วก็อดหัวเราะไปกับมุกขำขันของอาจารย์เจิมศักดิ์ไม่ได้ ที่เปรียบเทียบให้เห็นภาพได้

ที่จริงเรื่องในทำนองนี้ดูเหมือนจะมีมาตรฐานในการเรียกหาที่ต่างกัน เพราะในขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ หนึ่งในผู้ปราศรัยของพันธมิตรฯ ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในทันที เพื่อเป็นการแสดงสปิริตทางการเมือง รับผิดชอบกับความผิดที่ตามที่ตำรวจกล่าวหาว่า แต่พรรคประชาธิปัตย์ตอบโต้ว่า คนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินให้จำคุก 2 ปี แต่กลับหนีไปโน่นไปนี่ได้ทั่วโลก ได้แสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง ที่สำคัญยังปล่อยให้ลิ่วล้อล่ารายชื่อประชาชนมา 1 ล้านชื่อ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ กดดันสถาบันเบื้องสูง ทั้งๆที่หน่วยราชการที่มีหน้าที่โดยตรงเรื่องนี้ คือกรมราชทัณฑ์ได้ออกมาแถลงแล้ว ว่าไม่สามารถทำได้ เพราะนักโทษยังหนีอยู่เลย ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่วางไว้ คือต้องมาเข้าคุกก่อน แล้วจึงขอพระราชทานอภัยโทษ และต้องยื่นผ่านส่วนราชการ ไม่ใช่เดินไปหน้าประตูวังค่ะ

นี่คือความแตกต่างที่ยังปรากฏให้เห็น ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูกต้อง ส่วนอีกฝ่ายคือผู้ผิดและเป็นผู้ที่ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง ในขณะที่กระบวนการที่นำไปสู่ความถูกต้องกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรจะเป็น นั่นคือกระบวนการยุติธรรม การพิจารณาคดีที่ผู้ก่อการร้ายแบบไทยไทยโดนยิง โดนระเบิด โดนแก๊สน้ำตา ทั้งที่ตายไปนับสิบศพ พิการและบาดเจ็บอีกร่วมพัน ยังหาคำตอบไม่ได้เลย ว่าตายไปฟรีๆ หรือว่าตายไปแบบวีรชน กลุ่มคนที่สู้กับระบบคอรัปชั่น แล้วก็มาโดนข้อหาผู้ก่อการร้าย ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีเงินล้นฟ้า สามารถเข้ามาก่อกวนได้ไม่สิ้นสุด แถมศาลตัดสินแล้วด้วย ว่าหัวหน้า ตัวการใหญ่นั่น มีความผิด ตัดสินจำคุกไปแล้ว และการหนีไปได้นั่นก็เป็นที่คลางแคลงใจ ว่าหนีไปได้อย่างไร ทั้งๆที่คนธรรมดาอย่างเราๆไม่สามารถทำได้แน่ ไม่มีใครทำหน้าที่ และไม่มีใครอาย เพราะแม้แต่ชาวบ้านก็เดาออก ว่าหนีแน่นอน ซึ่งก็ไม่ใช่คนแรก นักการเมืองหนีไปคนแล้วคนเล่า ระบบราชการแบบไทยไทยเรา ปล่อยให้เป็นไป แล้วค่อยมาแก้กันภายหลัง แล้วก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ย้ำอีกครั้งค่ะ ต้นตอเรื่องราวต่างๆที่วุ่นวายและปล่อยให้เราต้องตามแก้อยู่เดี๋ยวนี้ คือ กระบวนการยุติธรรม และตำรวจที่เป็นต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง และต้องขอโทษตำรวจดีๆ ตำรวจน้ำดีที่ยังมี มีแต่ท่านเองเท่านั้นที่จะกอบกู้ภาพลักษณ์ขององค์กร ไม่มีใครหรอกที่จะกู้ชื่อแทนท่านได้นะคะ