Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว โรงพยาบาลอุดรธานี

Thursday, October 29, 2009





มีเสียงดังที่หน้าบ้านมากเลยค่ะ ออกไปดูที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เห็นรถของโรงพยาบาลอุดรธานีคันใหญ่จอดอยู่ เป็นรถรับบริจาคเลือดค่ะ เห็นป้ายของธนาคารบอกว่า กิจกรรมงานครบรอบวันสถาปนาธนาคารปีที่ 43 “สุขภาพดี กับ กองทุนทวีสุข” สำนักงาน ธกส.อุดรธานี วันที่ 29 ตุลาคม 2552 หน้าธนาคารมวลหมู่แม่ค้าจากอำเภอต่างๆเอาของมาขายกันมาก ของกิน ของใช้ ซึ่งตามธรรมดาแล้ว วันพฤหัสจะเป็นวันที่จะมีตลาดนัด ธกส. แต่ก็เอาแน่นอนไม่ได้ บางทีก็มี บางทีก็ไม่มีค่ะ

เดินไปข้างหลังธนาคารก็จะเห็นพนักงานธนาคารทำงานกันวุ่น ลูกค้าธนาคารก็เยอะที่มารอกันบริจาคเลือดให้กับโรงพยาบาล ตอนที่เข้าไปก็มีคนรอเข้าคิวบริจาคกันแล้ว เห็นแล้วก็ปลื้มใจค่ะ ที่เรายังมีคนใจบุญกุศล ทำบุญทำทานด้วยการ “ให้” บริจาคเลือดแก่คนที่รอรับอยู่ด้วยความเจ็บปวด เจ็บป่วย บุญนี้ครูว่ามากค่ะ ยิ่งกว่าเงินทองเสียอีก ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

เมื่อวันก่อนพ่อบ้านได้มาส่งคนเจ็บมาจากบ้านผือ อายุ 67 ปี แล้ว ตกบ้านไหล่ทรุดไปข้างหนึ่ง ครั้งแรกส่งไปที่โรงพยาบาลบ้านผือ เอ๊กเรย์ดูแล้ว เหมือนกับว่ากระดูกจะร้าว เลยส่งต่อมาที่โรงพยาบาลอุดรธานี ถือว่าโชคดีมากค่ะ ที่เขาไม่เป็นอะไรมาก เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ยังเจอหมอกระดูกที่โรงพยาบาล คุณหมอยังเด็กอยู่เลยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดชื่อคุณหมอธารทิพย์ ใจดีมากพูดให้กำลังใจตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ครูก็ยังคิดอยู่ว่าหมอบ้านเรายังไม่พออยู่ค่ะ บ้านนอกห่างไกล ไม่ใช่แค่ห่างไกลจากตัวเมือง ยังห่างไกลหมอเสียเหลือเกิน วันนั้นกว่าจะนำคนป่วยมาถึงมือหมอได้ เดินทางนับ 100 กิโลเมตรทีเดียวค่ะ หมอและพยาบาลที่มีอยู่ล้วนต้องทำงานหนักกันทั้งนั้น มองดูแล้วก็ได้แต่ให้กำลังใจกันอย่างเดียว และขอชื่นชมกับความเสียสละของเขาค่ะ

รอบรั้ว วันลอยกระทง


ตอนนี้ครูกำลังสร้างบ้านสวนอยู่ค่ะ เมื่อวานมีเวลาว่างอยู่บ้าง เลยออกไปดูราคาวัสดุก่อสร้าง ก็ได้ยินเสียงเพลงลอยกระทงแว่วๆมา ก็ทำให้คิดย้อนหลังปีก่อนๆ วันลอยกระทงนี่ไม่ว่าลูกหรือหลานล้วนมีกิจกรรมทางโรงเรียน ทำกระทงออกไปขาย ใกล้ๆกับบริเวณที่ลอยกระทง จะเจอเด็กนักเรียนวัยรุ่นรวมกลุ่มกันขายกระทงกัน เป็นที่สนุกสนาน
พ่อบ้านเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของพ่อบ้านได้แต่งงานก็เพราะไปลอยกระทงด้วยกันนี่แหละ ตอนที่กำลังอธิษฐานขออะไรๆก่อนลอยกระทงไป เขาได้เอาเข็มหมุดมัดด้าย แอบเสียบต่อกับกระทงของแฟน ให้ต่อกับกระทงของเขาตอนที่เอากระทงมาวางคู่กันในน้ำ แล้วก็พุ้ยน้ำให้กระทงลอยไป...แล้วก็บอกว่ากระทงยังอยู่คู่กันตลอด ไม่แยกจากกันเลย สื่อให้เห็นว่า เขากับแฟนนั้นเป็นเนื้อคู่แน่แท้ แหม!!! หลอกกันตั้งแต่ต้นเลยนะนี่ แต่เขาก็ได้แต่งงานกัน อยู่ด้วยกันจนบัดนี้
เดือนสิบสองของไทย เป็นเดือนที่คนไทยได้สนุกกันอีกครั้งในการลอยเคราะห์ ลอยบาป ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อแม่พระคงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำ นัมมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก ในวันเพ็ญเราก็จะได้เห็นกระทงในทุกที่ ลอยในแหล่งน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง บางทีมองไปบนท้องฟ้ายังเห็นแสงไฟลอยลิบๆ เขาลอยกระทงอากาศกัน บางปีไม่ได้ออกไป ลอยกันในอ่างเลี้ยงปลา ที่สวยจริงๆคือการลอยกระทงสาย ที่กระทงเรียงตามกันมาตลอดสายแม่น้ำ มองไกลไปสุดสายตา สวยงามประดับแม่น้ำ รู้สึกว่าครั้งหนึ่งเหล่าราชวงศ์ทั่วโลกที่มาร่วมงานฉลองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ต่างก็ตลึงกับความงามนี้ จากกระทงสายของเรา
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องวันลอยกระทงของเรา
เป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่เราได้ใช้น้ำ ตลอดจนถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลลงแม่น้ำ
เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทามหานทีในประเทศอินเดีย
เป็นการลอยทุกข์ ลอยโศก รวมทั้งโรคภัยต่างๆไปกับแม่น้ำ
ชาวไทยภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ตำนานเล่าเอาไว้ว่าสามารถปราบพระยามารได้

รอบรั้ว หมู่มาร


เคยสังเกตบ้างไหมคะ ว่าบางครั้งที่เราจะทำอะไร มักมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรืออะไรสักอย่างมาขัดขวาง ไม่ให้เราทำได้สำเร็จ แล้วเราก็บอกว่า แหม มันช่างมีมารมาขวางเสียจริงๆ ในทางกลับกัน ถ้าเราจะทำอะไรที่มันผิด ก็จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ด้วยเหมือนกัน คือมาขวางไม่ให้เราทำได้สำเร็จ หรืออย่างน้อยก็ทำให้เราได้คิด ว่าสิ่งที่เราจะทำไปนั้น มันไม่ถูกต้อง อย่างนี้เราบอกว่า ผีบ้านผีเรือนเข้ามาขวางหรือเตือน หรือถ้าเกี่ยวกับความเสียหายของชาติแล้วละก็ต้องพูดว่า พระสยามเทวาธิราชเข้าไปขัดขวาง เหตุการณ์แบบนี้เราเห็นบ่อยค่ะ
ทีนี้มารที่ว่ามาตอนต้น ในคติของเรามาเป็นหมู่เลย เรียกว่าหมู่มารค่ะ มารตัวสำคัญ ที่เราต้องต่อสู้กันอย่างจริงจังคือ กิเลสมาร มารนี้มาหาเราอยู่ทุกวี่วัน ไม่เคยหยุด เป็นกระแสของความโลภ โกรธ หลง และเป็นตัวที่จับสรรพสัตว์ทั้งหลายให้วนเวียนในภพ 3 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้เราเอาชนะกิเลสนี้เป็นสำคัญ เมื่อชนะแล้วก็สามารถตัดกระแสกิเลสและบรรลุพระนิพพานได้ ขันธมาร คือ ขันธ์ 5 หรือก็คือ ร่างกายของสัตว์โลกที่เป็นภาระอันหนัก ต้องคอยบำรุง ดูแล รักษา ทำความสะอาด มีความเสื่อมเป็นปกติ ที่เราต้องมานวดขา นวดคอ ไปหาหมอนั่นเพราะขันธมารมาเยี่ยมเราค่ะ อภิสังขารมาร คือ วิบากหรือผลของกรรมที่เราจะต้องก้มหน้าก้มตาชดใช้ ถ้าไปทำผิดพลาด ก่อบาปกรรมขึ้น โดยมีกิเลสมารบีบคั้นให้สรรพสัตว์ไปก่อกรรมขึ้น หรือ ก็คือ กิเลสมารบังคับ บีบคั้นให้สร้างกรรม และต้องมารับผลของวิบากกรรม ซึ่งก็คือ อภิสังขารมาร นี่ถ้าเราเอาชนะกิเลสมารตั้งแต่ต้น มารนี้ก็จะไม่มาเยี่ยมกรายเราได้เลยละค่ะ ทีนี้มารที่ทุกคนกลัว และท่านพุทธทาสบอกนักบอกหนาว่าเตรียมตัวเตรียมใจกันตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าไปกลัวนั่นคือ มัจจุมาร คือ ความตาย ที่ครอบคลุมสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ต้องถอดกายตายลง แล้วไปแสวงหาที่เกิดใหม่ตามกำลังแห่งกรรม ซึ่งก็คือ ผลของอภิสังขารมารนั่นเอง เมื่อเกิดใหม่แล้วก็ปิดบังภพชาติ ไม่ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ความจริงของชีวิต ไม่ให้รู้เรื่องกฎแห่งกรรม แล้วเมื่อมัจจุมารทำให้มนุษย์ตายได้แล้ว ก็เอาไปตรึงไว้ที่อบายภูมิบ้าง สวรรค์และพรหมโลกบ้าง เพื่อให้เสียเวลาในการสร้างบารมีให้ ติดใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นทิพย์ ทำให้ไม่มีความคิดหาทางเลิกเกิด และเทวบุตรมาร คือ มารที่มีตัวตน จริงๆ มีตัวเป็นๆ เช่น มารที่เคยมาทูลให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน หรือ แม้แต่เทวดาบางพวกที่ถูกมิจฉาครอบงำ หรือ ก็คือโดนกิเลสมารบีบคั้นนั้นเองให้มีความคิดผิดเพี้ยนไป แล้วคอยขวางบุคคลอื่นไม่ให้ทำความดี ว่ากันว่าพระยามารนี่เคยต่อสู้กับเจ้าชายสิทธัตถะมาหลายครั้ง เช่นออกมาห้ามไม่ให้ออกบวช ส่งธิดามารสวยๆออกมาขัดขวาง และเมื่อเห็นว่าพระพุทธเจ้าจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ยกมาทั้งกองทัพทีเดียว เพื่อมาขัดขวาง การต่อสู้ของพระยามารกับพระพุทธเจ้านั้นน่าตื่นเต้นค่ะ ถ้าเรามานึกเอาแบบในทางโลก คือการต่อสู้ที่เอาจริงเอาจัง ถึงตาย ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา และผลสุดท้ายพระยามารก็พ่ายแพ้ไป เมื่อพระแม่ธรณีออกมาช่วยพระพุทธเจ้าเอาไว้โดยการบีบมวยผม เพื่อบอกกับพระยามารว่า บัลลังก์ที่พระพุทธเจ้าประทับนั้น เป็นของพระพุทธเจ้าโดยแท้ และน้ำที่ไหลออกมาจากมวยผมนั้น มาจากการหยาดน้ำทุกครั้งที่ พระพุทธองค์ ทรงกระทำความดี ตั้งแต่ครั้นอดีตหลายแสนหมื่นล้านภพชาติ พระยามารตนนั้นคือ พระวสวัตตีมาร หรือพระสหัสพาหุ หรือ พระยามาราธิราช ที่เรียกกันทั่วไปว่า พระยามาร บนสวรรค์เรียกท่านว่า ท้าวมาลัยค่ะ
เราเองก็เอาชนะมารได้เหมือนกันค่ะ นั่งสมาธิทับมารเอาไว้ เดินจงกรมเหยียบมารเอาไว้ไม่ให้ขึ้นมาตีเสมอเรา หายใจเข้าออกรดต้นคอมารเอาไว้ บอกกับมารว่าฉันรู้ทันแกนะ แค่นี้มารมันก็ได้แต่ดูเราอยู่ห่างๆแล้วละค่ะ จะสรุปได้ง่ายๆ ก็คือให้รามี ”สติ”นั่นเองค่ะ