Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว เมืองอุดร หน้าประวัติศาสตร์อีกหนึ่งสมัย

Saturday, August 18, 2007

ที่ตรงนี้ ลูกๆคงจะไม่มีใครเกิดทัน ที่จะได้เห็น ภาพเก่าๆก็แทบหาดูไม่ได้แล้ว...คนเก่าแก่ที่นี่เท่านั้น ถึงจะจำได้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าลูกๆเห็นคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ๆ ลองถามคุณพ่อดูซิคะ ว่าจำที่ตรงนี้ได้มั้ย หรือถ้าคุณปู่คุณย่าอยู่ด้วยก็ถาม ดูซิคะ ว่าตรงนี้ มันอยู่ตรงไหนในอุดรของเราคะ....เอาละ ครูก็ต้องเฉลยแล้วค่ะ..ที่ตรงนี้คือวงเวียนห้าแยกหอนาฬิกา ที่ต่อมาเรียกว่าวงเวียนห้าแยกน้อย แล้วในปัจจุบันคือวงเวียนอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ค่ะ วงเวียนแถวๆนี้ ก็มี ห้าแยกใหญ่ แล้วก็มาที่วงเวียนสี่แยกคอกวัว คุ้นชื่อมั้ยคะกับสี่แยกคอกวัว คงไม่ค่ะเพราะเดี๋ยวนี้เรียกสี่แยกหอนาฬิกา แล้วใกล้ๆนั้นก็มีห้าแยกวุ่นวายอีก วันหลังจะมาพูดแยกเก่าๆ..ชื่อเก่าๆ ที่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อไปหมดแล้ว กลับมาดูที่ถนนอีกที ลูกๆจะสังเกตว่าข้างถนนนั่น มีกอหญ้าริมทางเยอะเลย เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นถนนคอนกรีตไปหมดแล้ว ตรงไหล่ถนนนั่นที่เลยกอหญ้าไปเป็นลำคลองค่ะ ครูจำชื่อไม่ได้แล้วว่าชื่อคลองอะไร วันหลังถ้าเขียนเรื่องนี้จะเอามาบอกค่ะ แต่ถ้าลูกๆสังเกตให้ดีๆ ตรงที่รถเก๋งวิ่งไปนั่น กำลังจะข้ามสะพาน...ใช่แล้วค่ะกำลังข้ามคลอง ที่ยังนึกชื่อไม่ออก แต่เดี๋ยวนี้ทั้งคลองและสะพานไม่มีแล้วค่ะ ผ่านมาหลายปีแล้วที่สร้างถนนใหม่ ได้ถมคลองไป..เลยสะพานไปหน่อย ที่อยู่ฝั่งเดียวกับรถเก๋งนั่น จะมีป้อมตำรวจและทหารอยู่...
ในสมัยนั้นประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น ลาว เวียตนาม เขมร กำลังอยู่ในสงครามแบ่งฝ่ายกันระหว่างระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยกับระบอบคอมมิวนิสต์...ในเมืองอุดรก็เป็นฐานทัพของทหารอเมริกัน อยู่ 3 ที่ คือฐานบินของทหารอากาศ หน่วย 432ndTRW นี่ก็เป็นฐานส่งเครื่องบินรบออกไปต่อสู้ อยู่ที่สนามบินกองบิน 23 ของเรานี่แหละ ซึ่งก็ได้เข้ามาตั้งฐานทัพในปี 2508 เครื่องบินรบที่ขึ้นชื่อมากๆคือ F-4D Phantom ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดโดยอาศัยข้อมูลจากทหารบกที่โนนสูง และจากหน่วยค้นหาข้อมูลจากเวียตนาม เพื่อหาพิกัดที่แน่นอนของข้าศึก
ในฐานนั้นก็ยังมีหน่วยงานหนึ่งเรียกว่าแอร์อเมริกาอีก (Air America) พวกนี้ช่วยฝ่ายทหารลาวรบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ส่วนหนึ่งของหน่วยงานนี้มีหน้าที่ซ่อมเครื่องบินรบ หรือเฮลิคอปเตอร์ มีช่างเทคนิคที่เป็นคนไทยเยอะมาก และถือว่าฝีมือในการซ่อมบำรุงนั้นมีชื่อเสียงมาก ส่วนที่ว่าช่วยทหารลาวรบกับคอมมิวนิสต์ก็รบแบบลับๆ จะไม่เหมือนกับรบกันในเวียตนาม ที่รบแบบเต็มตัว เขาจะทำหน้าที่ส่งเสบียงเช่นข้าวสารอาหารแห้ง กระสุน อาวุธ เข้าลาว สอดแนมถ่ายรูปที่ตั้งของฝ่ายข้าศึก เฮลิคอปเตอร์ของแอร์ อเมริกาจะบินผ่านหลังคาบ้านครูแทบทุกวันค่ะ



อีกหน่วยงานหนึ่งเลยไปที่โนนสูง ก็มีฐานของทหารอเมริกันอีก เป็นทหารบกหน่วยงานค้นหาแหล่งส่งข่าววิทยุของฝ่ายตรงกันข้าม(7thRRFS-7th Radio Research Field Station) แต่นั่นก็เป็นชื่อที่ตั้งสำรองเอาไว้ ชื่อจริงๆก็คือหน่วยสืบหาความลับของศัตรู (ASA -Army Security Agency) ที่ครูเล่าเอาไว้แล้วว่า หน่วยเครื่องบินรบก็อาศัยข้อมูลจากหน่วยนี้นั่นแหละค่ะ ถ้าเราดูหนัง เรื่อง Enemy of the state ก็จะเห็นว่าหน่วยงานนั้นแอบทำงานลับๆตลอด ใครอยู่ตรงไหนก็เข้าแอบฟัง แอบดู สอดแนมตลอดเวลา ค่ายที่อยู่ในอุดรนั้นชื่อค่ายรามสูร (Ramasun) หน่วยงานนี้จะหาพิกัดของข้าศึก มาเทียบกับอีกฝ่ายที่ชื่อคล้ายๆกันในเวียตนาม(8thRRFS) และจากที่อื่นอีก ซึ่งอาจเป็นที่กรุงเทพ (5thRRU- 5th Radio Research Unit) ชื่อจะต่างกันนิดหนึ่งนะคะ แต่รู้สึกว่าการอ่านว่าข้าศึกอยู่ตรงไหนแน่นั่น จะต้องใช้เป็นรูปสามเหลี่ยม เลยโนนสูงไปนิดหนึ่งจะเจอหน่วยทหารอีกหน่วย แต่หน่วยนี้เป็นที่เก็บอาวุธของทหารในสมัยนั้นค่ะ เขาเรียกชื่อตรงนั้นว่า
เป้ปเปอร์ กรายเดอร์ (Pepper grinder)


ยังไม่หมดนะคะ เลยไปที่อำเภอน้ำพอง (ใกล้ๆกับอุดร จังหวัดขอนแก่นค่ะ) ยังมีหน่วยทหารนาวิกโยธินของอเมริกัน(โดยมีทหารเรือบางหน่วย ทหารอากาศบางหน่วยเข้ามาช่วยเหลือ) ที่ย้ายมาจากเวียตนาม มาตั้งฐานรบที่นี่ ถือกันว่าเป็นสนามบินลับค่ะ เพราะอยู่กลางป่าเลย หน่วยนี้หน้าที่หลักคือบินทิ้งระเบิด มีหน่วย MAG 15 (Marine Aircraft Group 15)เป็นกำลังหลัก ทหารหน่วยนี้รบรอบด้านทั้ง ลาว เขมร และเวียตนาม และมาตั้งฐานอยู่ในช่วงสั้นๆ เพราะหลังจากนั้นก็ถอนกำลังออกไป จะเห็นว่าเรามีทหารอยู่มากมาย หลายๆหน่วย ทหารไทยของเราเองก็มีฐานอยู่ที่นี่ด้วย ป้อมตำรวจ/ทหารตรงเชิงสะพานจึงจำเป็นจะต้องมีเอาไว้ เพื่อคอยควบคุมเหล่าทหารที่เกเร เห็นมั้ยคะว่าเมืองอุดรของเราก็มีประวัติอยู่เป็นช่วงๆ ครูถึงอยากเล่าเอาไว้ ไม่อยากให้มันเลือนหายไป

Posted by ครูพเยาว์ at 7:12 PM

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า

Thursday, August 16, 2007

๏ ๏ จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า ๏ ๏

จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า......... ขอข้าว ขอแกง

ขอแหวนทองแดง........... ผูกมือน้องข้า

ขอช้าง ขอม้า................ ให้น้องข้าขี่

ขอเก้าอี้..................... ให้น้องข้านั่ง

ขอเตียงตั้ง.................. ให้น้องข้านอน

ขอละคร.................... ให้น้องข้าดู

ขอยายชู.................... เลี้ยงน้องข้าเถิด

ขอยายเกิด.................. เลี้ยงตัวข้าเอง

เมื่อวาน...น้องสาว...ที่ย้ายไปอยู่เมืองกรุง เมล์เข้ามา บอกคิดถึง ถ้าอยู่ด้วยกัน ใกล้ๆกัน ก็จะดีนะ...นี่แหละคือความรักของพี่กับน้องค่ะ...แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไปอย่างนั้น..ได้แต่คิดถึง..ได้แต่คำนึงหา..เพราะต่างคนต่างอยู่ไกลตา..สิ่งที่จะบอกความในใจได้ คือบทท่องจำเก่าๆชิ้นนี้ค่ะ..ว่าพี่ยังรักและห่วงใยน้องๆทุกๆคน ในบทกลอนนี้จะเห็นว่า พี่จะขอสิ่งใดๆให้น้อง มากกว่าที่ขอให้ตนเอง นี่แสดงถึงความรักของพี่ที่มีต่อน้อง แล้วลูกๆ ที่มีน้องก็ควรที่จะดูแลน้อง รักน้องให้มากๆนะคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 7:19 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา ศัพท์พุทธศาสน์

ในชั้นนี้ ศัพท์ทางพุทธศาสน์ที่ควรเรียนรู้มี 2 คำค่ะ ได้แก่ สันโดษ และ ไม่สันโดษ....คำว่า "สันโดษ" นี้ มักมีคนเข้าใจผิดกันว่า พระพุทธศาสนาสอนให้สันโดษ คือ สอนให้คนขี้เกียจ ไม่มีความกระตือรือร้น ขาดความเพียรพยายาม เพราะพอใจในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ เป็นการขัดขวางความเจริญของชาติบ้านเมือง...ซึ่งนับว่าผู้ที่ไม่มีความเข้าใจในคำว่า "สันโดษ" อย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นของชาวพุทธค่ะ ว่าเราควรมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกี่ยวกับคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะนำไปใช้อย่างถูกต้อง อันที่จริง สันโดษหมายถึง ความยินดี ความพอใจ ความยินดีด้วยของตนซึ่งได้มาด้วยเรี่ยวแรงจากความเพียรโดยชอบธรรม มีความยินดีด้วยปัจจัยสี่ตามมีตามได้ มีความรู้จักอิ่มรู้จักพอ...นั่นคือคำว่าสันโดษโดยทั่วๆไป ทีนี้มาดูคำจำกัดความของคำว่าสันโดษและไม่สันโดษอีกครั้งค่ะ

1. สันโดษ (ในสิ่งเสพเสวย) หมายถึง ความรู้จักอิ่ม รู้จักพอ ในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส...ไม่หลงมัวเมา เช่น หลงไหลในสตรีที่มีความงาม ติดรสอร่อยของอาหาร ชอบดมแต่กลิ่นหอม เป็นต้น เพราะฉะนั้นใครๆที่เขียนเข้าไปในเว็บบอร์ด แล้วก็บอกว่า คนนี้สวยที่สุด คนนี้หล่อที่สุด คนนั้นเป็นแฟนคนนี้....นั่นยังไม่ถึงวัยอันควรของลูกๆค่ะ ให้โตกว่านี้ก่อน แล้วค่อยคิด...ตอนนี้คิดเพียงว่าจะเรียนอย่างไร วางแผนการเรียนอย่างไร ต่อไปจะสอบเข้าเรียนอะไร อยากจะวางอนาคตของตัวเองอย่างไร ถามตัวเองว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร..อยากเป็นหมอมั้ยคะ...หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์...อยากเป็นพยาบาล...อยากเป็นตำรวจ,ทหาร นี่คือของจริงที่ต้องเจอค่ะ...
2. ไม่สันโดษ (ในกุศลธรรม) หมายถึง ความไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอในการกระทำความดีต่างๆ เช่น เมื่อรักษาศีล 5 ได้ดีแล้ว ก็ไม่ควรพึงพอใจหรือพอเพียงเท่านั้น แต่ควรฝึกอบรมตนเองด้วยธรรมชั้นสูงต่อๆไป เป็นต้น

ดังนั้น ความสันโดษจึงเป็นคุณธรรมที่ช่วยพัฒนาชาติ สอนให้คนเรามีความพอใจในผลสำเร็จหรือผลที่ควรได้ ตามกำลังความสามารถของตนเอง จึงทำให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

Posted by ครูพเยาว์ at 7:13 PM

รอบรั้ว โรงเรียนในเมืองนอก


ได้ดูหนังเรื่อง "The Ron Clark Story" น่าจะเป็นรอบที่ 3 เข้าไปแล้ว เคเบิลทีวีของช่อง mm1 เอามาให้ดูอยู่เรื่อย เป็นเรื่องที่น่าดูอยู่ค่ะ นักวิจารณ์ฝรั่งเขาให้คะแนนเรื่องนี้ 4 1/2 ดาวทีเดียว เป็นเรื่องของครูคนหนึ่งในอเมริกา ชื่อ Ron Clark ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ก่อตั้งโรงเรียนชื่อ Ron Clark Academy (RCA) ขึ้นมา เขาเป็นครูที่ได้รับการขานชื่อว่า เป็นผู้ให้ความรู้แก่อเมริกา ในปี 2000 แถมกับการตั้งชื่ออีกว่า เป็นครูดิสนีย์(แลนด์)ของชาวอเมริกัน เป็นครูแห่งปีอีก เป็นนักเขียนที่มียอดขายสูงสุดของนิวยอร์คไทมส์ ที่เขียนเรื่อง The Essential 55 หนังสือเล่มนี้พิมพ์แพร่หลายออกไปถึง 25 ประเทศ ได้รับเชิญออกรายการทีวี The Today Show, CNN, และ Oprah ซึ่งแม้แต่ คุณ Winfrey (Oprah) ยังออกปากว่า เป็นบุคคลแห่งปรากฏการณ์ทีเดียว (Phenonenal Man) และเป็นคนแรกด้วยที่ขนานนามให้อย่างนี้ นักเรียนในชั้นเรียนของเขาได้รับเกียรติให้เข้าไปเยี่ยมทำเนียบขาวถึง 3 ครั้ง ด้วยเกียรติประวัติการสอนของเขา เทคนิคการสอนที่แปลกของเขา ก็ได้นำเรื่องเหล่านั้นไปสู่การสร้างเป็นภาพยนตร์ค่ะ

ก่อนจะเล่าเรื่องหนังเรื่องนี้...ขอพูดสักนิดก่อนค่ะ...ว่าเด็กของเราเมื่อไปเทียบกับเด็กอเมริกัน มันต่างกันมาก ในนิสัยใจคอ...พื้นฐานทางครอบครัว...วัฒนธรรมของเขา ต่างกันสิ้นเชิงกับวัฒนธรรมเรา...
ในเรื่องมีอยู่ตอนหนึ่งซึ่งครูจะไม่เล่าในเนื้อเรื่องของหนัง เป็นตอนที่ครูได้เข้าไปบ้านของเด็กนักเรียน ติดตามเด็ก เพราะเด็กคนนี้เป็นเด็กเรียนดี แม้จะเกเร เมื่อครูไปถึงบ้าน แม่ของเด็กไม่อยู่บ้าน แต่ครูก็ขอให้เด็กทำการบ้านสักนิด เพื่อที่จะได้ส่งครู เด็กนักเรียนไม่มีเวลาทำ เพราะต้องรับเลี้ยงเด็กเล็กๆอีก 2-3 คน และถึงเวลาที่เด็กต้องกินอาหาร ครูก็บอกว่า จะทำอาหารให้เอง ให้นักเรียนได้ทำการบ้าน ครูก็เข้าครัวไปปรุงอาหาร แม่ของเด็กนักเรียนที่เพิ่งกลับมาจากทำงานมาเจอครูในห้องครัวเข้า ก็ไม่พอใจ..."เขา ไม่ ต้อง การ เห็น ครู ไป จุ้น จ้าน ที่ บ้าน เขา" ถึงกับไปฟ้องครูใหญ่ที่โรงเรียน นั่นคือระบบของเขานะคะ เขาหาว่าครูดูถูกเขาในการที่เข้าไปปรุงอาหารให้ หาว่าเขาไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดูเด็ก สิทธิและเสรีภาพของเขานั้นมันใหญ่เกินกำลังค่ะ
ใครจะแนะนำใครว่าเลือกผู้แทน ให้เลือกพรรคนี้นะคะ อย่าเลือกพรรคนั้น ก็ไม่ได้ค่ะ อย่าเชียวนะคะ เพราะเขาจะย้อนคืนว่า มองฉันเป็นกระบือหรืออย่างไร ถึงมาบอก ของเรานี่แทบจะจูงไปคูหาเลือกตั้งเลยทีเดียว เอาละค่ะ มาเรื่องหนังดีกว่า

เป็นเรื่องของครู ที่เข้าไปเมืองนิวยอร์ค เพื่อหางานสอน จนได้เจอกับโรงเรียนหนึ่งที่ครูกำลังออกไปพอดี เลิกสอนกลางคัน เพราะทนรบกับเด็กไม่ได้ ครูคลาร์ค ก็ได้เข้าสอนแทน ซึ่งครูใหญ่เองก็ไม่อยากรับ เพราะเขาเป็นครูผิวขาว เด็กในโรงเรียนนี้ล้วนแต่ผิวดำทั้งนั้น เอาไม่อยู่หรอก แต่ก็ให้สอนเพราะก็กำลังขาดครูอยู่พอดี กะว่า 2-3 วันคงจะออกไปเอง ครูคลาร์คเข้าสอนชั้น ป.6 ที่เป็นห้องเรียนที่แย่ที่สุด ศูนย์รวมของเด็กมีปัญหา เป็นห้องที่คะแนนอยู่ในระดับบ๊วยสุด ครูคลาร์คก็รับปากกับครูใหญ่ว่าจะสอนให้พวกนี้ดีขึ้นให้ได้ ครูคลาร์คก็ได้พยายามสอนอย่างเคร่งครัด แต่ก็แทรกบทสนุกสนานให้เด็กไว้ด้วย พวกเด็กก็พยายามต่อต้าน ไม่เชื่อฟัง ก่อกวนไม่หยุด ถ้าเป็นครูไทยนี่ไม้เรียวคงจะหักกันเป็นโหลแล้ว สมัยครูเป็นนักเรียนนี่ไม้เรียวใช้ได้ผลมากนะคะ จนกระทั่ง วันหนึ่ง ครูคลาร์คของเราก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ถึงกับออกจากห้องกลางคันเหมือนครูคนก่อน พร้อมกับบอกว่า "พวกเธอชนะ" (You win) เมื่อครูพ้นห้องไป เด็กๆก็ไชโยโห่ร้องด้วยความยินดี แต่ครูคลาร์คเมื่อออกไปข้างนอกก็ได้เจอกับเพื่อนครูด้วยกัน และเขาก็ได้รับแรงใจให้กลับมาสู้อีกครั้ง กลับไปสอนใหม่ คราวนี้หาวิธีการสอนให้เข้ากับสิ่งที่เด็กผิวดำชอบ..เพลงแรป..ครูคลาร์คก็ได้เอาบทเรียนมาแต่งเป็นเพลงแรป...เด็กๆชอบ และก็จำเรื่องราวต่างๆได้ ครูคลาร์คก็มีกำลังใจขึ้น เด็กๆก็เห็นคุณค่าของตัวเองว่า..อือ..ฉันก็ทำได้เหมือนกัน สมกับที่ครูบอกว่า ฝันให้ไกล ไปให้ถึง และผลสุดท้ายเด็กในห้องครูคลาร์คก็คว้าคะแนนสูงสุดมาครองแทบทุกวิชา ไม่ใช่แค่ชนะแค่ในโรงเรียนของตัวเอง แต่อยู่ในระดับเขต (District) เลยทีเดียว รูปด้านซ้ายคือครู Ron Clark ตัวจริงค่ะ ส่วนข้างบนนั่นเป็นดาราภาพยนตร์ในเรื่อง ชื่อ Matthew Perry ค่ะ

เข้าไปดูเว็บไซท์ของ Ron Clark Academy ได้ที่นี่ค่ะ http://www.ronclarkacademy.com/ron_clark_academy/meet_the_team.asp

Posted by ครูพเยาว์ at 6:57 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา เรื่องน่ารู้จากพระไตรปิฏก

Wednesday, August 15, 2007


เรื่องน่ารู้จากพระไตรปิฏกในชั้นนี้ เป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเกี่ยวกับเรื่อง ความโกรธของบุคคล 4 จำพวก ซึ่งเปรียบได้กับอสรพิษร้าย 4 ตัว

บุคคลที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมทางจิต เมื่อมีอารมณ์โกรธ จะมีการแสดงออกทางกายและทางอารมณ์ไม่เหมาะสม เพราะขาดสติสัมปชัญญะ เช่น ใบหน้าบูดบึ้ง กิริยามารยาท พูดจาหยาบคาย หงุดหงิด บางครั้งแสดงออกด้วยการอาละวาดทำลายข้าวของ พระพุทธเจ้าจึงเปรียบบุคคลที่มีอารมณ์โกรธเหมือนกับอสรพิษร้าย 4 ตัว

1. อสรพิษที่มีพิษแล่น แต่พิษไม่ร้าย

เหมือนคนที่โกรธง่าย แต่หายเร็ว


2. อสรพิษที่พิษไม่แล่น แต่พิษร้าย

เหมือนคนที่โกรธยาก แต่โกรธนาน


3. อสรพิษที่มีพิษแล่น และมีพิษร้าย

เหมือนคนที่โกรธง่าย และโกรธนาน


4. อสรพิษที่มีพิษไม่แล่น และมีพิษไม่ร้าย

เหมือนคนที่โกรธยาก และโกรธไม่นาน


ดังนั้น เมื่อเรามีอารมณ์โกรธ จึงควรปฏิบัติตามพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า "อักโกเธน ชิเน โกธัง พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ"

Posted by ครูพเยาว์ at 6:47 PM

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า สัตว์ป่าสวยงาม

๏ ๏ สัตว์สวยป่างาม ๏ ๏ จาก - มูลบทบรรพกิจ - ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย)

เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน..........เหมือนอย่างนางเชิญ

พระแสงสำอางข้างเคียง ...............เขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง

เริงร้องซ้องเสียง .......................สำเนียงน่าฟังวังเวง

กลางไพรไก่ขันบรรเลง.................ฟังเสียงเพียงเพลง

ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง.................. ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง

เพียงฆ้องกลองระฆัง.................. แตรสังข์กังสดารขานเสียง

กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง.........พญาลอคลอเคียง

แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง................ ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง

เพลินฟังวังเวง........................ อีเก้งเริงร้องลองเชิง

ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง.................ค่างแข็งแรงเริง

ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง................ ป่าสูงยูงยางช้างโขลง

อึงคะนึงผึงโผง....................... .โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป

ทั้งหมดที่อยู่ในบทท่องจำนั้น ถ้าให้เด็กนักเรียนยกตัวอย่างสัตว์มาให้ดูสัก 10 อย่างนี่เป็นเรื่องง่ายมากทีเดียวค่ะ เพราะในบทท่องจำนั้นยกเอาสวนสัตว์มาไว้ให้เสร็จในตัวเลย และจะเห็นว่า สัตว์บางชนิดนั่น เราแทบไม่ค่อยเห็นแล้วค่ะ ละมั่งเป็นฝูงนั่นคงจะไม่มีให้เห็นแล้ว ค้อนทอง...มันเป็นสัตว์อะไรนะ เสียงร้อง ป๋องเป๋ง แปลกมั้ยคะ ที่คำตอบคือนกชนิดหนึ่งค่ะ ช้างโขลง...มีช้างเป็นโขลง โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป ถ้าให้นึกภาพนะคะ ช้างคงจะเดินกันเป็นแถวๆไป บางตัวก็เดินชิดชนเหมือนกับรถยนต์ที่วิ่งตามกันไป เหมือนโยงต่อกัน

Posted by ครูพเยาว์ at 5:54 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา เรื่องพระไตรปิฏก


พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่มีหลักธรรมคำสอนมากมายที่ควรศึกษาค้นคว้า ในพระไตรปิฏกที่บันทึกหลักคำสอนของพุทธองค์ ก็มีเรื่องที่น่ารู้และชวนศึกษา ซึ่งแฝงไว้ด้วยคติธรรมต่างๆ ที่นักเรียนจะได้ศึกษาเรียนรู้ และเท่าที่ได้เห็นมา ไม่ว่าศาสนาไหนๆในโลกต่างก็มีเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจกันทั้งนั้น ถ้าได้อ่าน เราก็จะเห็นมุมมองของศาสนาเหล่านั้นในด้านต่างๆด้วย บางศาสนาก็เอาเรื่องราวต่างๆมาทำเป็นภาพยนตร์เอามาให้เราได้ดูกัน จะเห็นว่า เรื่องต่างๆล้วนแต่สนุกสนาน น่าตื่นเต้น บางครั้งก็มีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้น ในศาสนาพุทธ ก็มีเรื่องเช่นนี้เช่นเดียวกัน แต่ในขั้นต้นนี้ จะให้ได้รู้เรื่องที่สำคัญๆก่อนเช่น เรื่องพระไตรปิฏก, เรื่องน่ารู้จากพระไตรปิฏก, ศัพท์พุทธศาสน์ และ ศาสนสุภาษิต

1. การแบ่งพระไตรปิฏก....พระไตรปิฏกเป็นคำภีร์ที่บรรจุพระพุทธพจน์ (และเรื่องราวชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา) 3 ชุด หรือประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย 3 หมวด ซึ่งมีดังนี้

.....1. พระวินัยปฺฏก เป็นประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม และการดำเนินกิจการต่างๆของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ แบ่งเป็น 5 คำภีร์ เรียกย่อว่า
"อา ปา ม จุ ป" ซึ่งมาจากชื่อเต็มของ อาทิกัมมิกะ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค ปริวาร

2. พระสุตตันตปิฏก เป็นประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรมเทศนา คำบรรยายธรรมต่างๆ ที่ตรัสให้เหมาะกับบุคคลและโอกาส รวมทั้งบทประพันธ์ เรื่องเล่าและเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา ชาดกก็อยู่ในพุทธพจน์หมวดนี้ด้วย แบ่งเป็น 5 นิกาย เรียกย่อว่า " ที ม สัง อัง ขุ" มาจากชื่อเต็มของ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย

3. พระอภิธรรม เป็นประมวลพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม คือหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ
โดยไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือเหตุการณ์ แบ่งเป็น 7 คำภีร์ เรียกย่อว่า " สัง วิ ธา ปุ ก ย ป " มาจากคำเต็มของ สังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก ปัฏฐาน

พระไตรปิฏกที่พิมพ์ออกมาเป็นภาษาไทย แบ่งออกเป็น 45 เล่ม แบ่งเป็นพระวินัยปิฏก 8 เล่ม,
พระสุตตันตปิฏก 25 เล่ม และ พระอภิธรรมปิฏก 12 เล่ม

Posted by ครูพเยาว์ at 5:17 PM

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า บทดอกสร้อย กาเอ๋ย กาดำ

Monday, August 13, 2007


กาเอ๋ยกาดำ.........................รู้จักรู้จำรักเพื่อน

ได้เหยื่อเผื่อแผ่ไม่แชเชือน..........รีบเตือนพวกพ้องร้องเรียกมา

เกลื่อนกลุ้มรุมล้อมพร้อมพรัก.......น่ารักน้ำใจกระไรหนา

จงเผื่อแผ่แน่ะพ่อหนูจงดูกา.........มันโอบอารีรักดีนักเอย

นี่เป็นบทดอกสร้อยบทหนึ่ง ที่เด็กๆเคยท่องจำกัน ในบทท่องจำนี้ แสดงให้เห็นนิสัยของกาว่าเป็นอย่างไร เราอาจเห็นกาในภาพยนตร์การ์ตูนของฝรั่ง มักมีนิสัยไม่ดี ขี้โกง เอาเปรียบคนอื่น ชอบแกล้งสัตว์ตัวอื่นเป็นประจำ แต่คนไทยของเราไม่ได้มองในมุมนั้น เมือ่เห็นว่ามีอาหาร กามันก็มากลุ้มรุมกันกิน มองเหมือนกับว่าชวนกันมากินอาหาร แบ่งกันกิน แล้วก็นำเอานิสัยนั้นมาสอนเด็ก ให้รู้จักแบ่งปัน อย่าเห็นแก่ตัว นิสัยไม่เห็นแก่ตัวเราก็จะเห็นว่าศาสนาพุทธของเราก็สอนเอาไว้ ให้รู้จักการให้ทาน ที่เรียกกันว่า "ทานมัย" ซึ่งหมายถึงการทำบุญด้วยการให้ ให้คนที่ที่อดอยาก เราสามารถให้ทานได้ 3 ลักษณะ คือ

อามิสทาน...คือ การให้ด้วยวัตถุสิ่งของ

ธรรมทาน...คือ การให้ด้วยคำแนะนำสั่งสอนในเรื่องที่ดี ที่เกิดประโยชน์แก้ผู้ฟัง

อภัยทาน...คือการให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคืองในเรื่องต่างๆ

ลูกๆรู้มั้ยคะ ว่าทานตัวไหนที่ให้ยากที่สุด และเราก็ไม่ต้องเสียอะไรเลย....อภัยทานค่ะ หลายๆคนถ้าโกรธใครสักคน นานค่ะกว่าจะหายโกรธลงไปได้ แต่ถ้าเรารู้จักให้อภัยตั้งแต่ต้น เราก็จะไม่หลงโกรธกัน แล้วก็ไม่ได้เสียอะไรสักอย่าง ...ใช่มั้ยคะ..แค่รู้จักรักษาใจไม่ให้โกรธ และให้อภัยเท่านั้น

Posted by ครูพเยาว์ at 4:03 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

Friday, August 3, 2007


สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่ว่า คน สัตว์ หรือพืช ล้วนต้องการอาหารทั้งสิ้น เพราะอาหารทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น อาหารจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสิ่งมีชีวิต

วันหนึ่งๆ คนเราควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ซึ่งจะทำให้เราได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน

1. "โปรตีน" เป็นสารอาหารที่มีมากในเนื้อสัตว์ต่างๆ นม ไข่ ถั่วชนิดต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ เต้าเจี้ยว นมถั่วเหลือง

สารอาหารโปรตีนมีประโยชน์ดังนี้
......1. ทำหน้าที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระดูก ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต
......2. ช่วยทำให้สมองเจริญเติบโต ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งทำหน้าที่นำสารอาหารไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย
.....3. ช่วยซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ และให้พลังงานแก่ร่างกาย
.....4. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ทำให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย

2. "คาร์โบไฮเดรต" เป็นสารอาหารที่ได้จากพวกแป้ง น้ำตาล เช่น ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวเหนียว เผือก มัน ข้าวโพด ผักหรือผลไม้ที่มีรสหวาน รวมทั้งอาหารแปรรูปต่างๆ ที่ทำมาจากแป้งหรือน้ำตาล เช่น ขนมปัง ขนมครก ก๋วยเตี๋ยว
คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่ช่วยเผาผลาญไขมันทำให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย ทำให้ทุกส่วนทำงานได้ และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

3. "วิตามิน" เป็นสารอาหารที่ได้จากผักและผลไม้ต่างๆ รวมทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ นม ตับ เครื่องในสัตว์

วิตามิน มีหน้าที่ช่วยสร้างความเจริญเติบโต ทำให้ร่างกายทำหน้าที่ได้ตามปกติ และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค วิตามินมีอยู่หลายชนิด และแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วิตามินที่ละลายในน้ำ และวิตามินที่ละลายในน้ำมัน

วิตามินแต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกัน ดังนี้

......วิตามินในชนิดที่ละลายในน้ำมี
1. วิตามิน บี 1 พบใน เนื้อหมู เครื่องในสัตว์ ปลา ข้าวซ้อมมือ ถั่ว ไข่แดง ผักใบเขียว.... มีประโยชน์ทำให้ ร่างกายเจริญเติบโต ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันโรคเหน็บชา...ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา

2. วิตามิน บี 2 พบใน ไข่ นม ตับ ถั่ว และผักใบเขียว....มีประโยชน์ ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก ป้องกันการอักเสบที่ตาและปาก....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้ริมฝีปากแห้ง ลิ้นแตก เจ็บในปาก อาหารไม่ย่อย
ตามัว และโตช้า

3. วิตามิน ซี พบใน ผักสด และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว..... มีประโยชน์ ช่วยป้องกันโรคฟันผุ โรคโลหิตจาง โรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่ายอุจจาระ....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน มีอาการเหงือกบวม

......วิตามินในชนิดที่ละลายในน้ำมันมี

1. วิตามิน เอ พบใน ตับ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง นม เนย ครีม ผัก และผลไม้ต่างๆ....มีประโยชน์ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวและนัยน์ตา.....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต ผมร่วง ผิวหนังแห้งเป็นสะเก็ด เล็บเปราะ ตาฟาง

2. วิตามิน ดี พบใน เนย ตับ ปลาตากแห้ง ไข่แดง กล้วยตาก และแสงแดดอ่อนๆในยามเช้า....มีประโยชน์ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง.....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ ทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน ร่างกายเจริญเติบโตช้า และมีภูมิต้านทานโรคลดน้อยลง

3. วิตามิน อี พบใน ตับวัว เนื้อสัตว์ต่างๆ เนย ข้าวซ้อมมือ กล้วย น้ำมันพืช มันฝรั่ง ถั่ว ข้าวโพด.....
มีประโยชน์ ช่วยควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ให้ทำหน้าที่เป็นปกติ.....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ อาจทำให้เป็นหมันได้

4. วิตามิน เค พบใน ตับ ไข่แดง น้ำมันถั่วเหลือง มะเขือเทศ ผัก....มีประโยชน์ ทำให้เลือดแข็งตัวหรือเลือดจับตัวเป็นก้อนเพื่อห้ามเลือดที่ไหลออกจากบาดแผล....ถ้าขาดสารอาหารพวกนี้ ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เมื่อมีบาดแผลขึ้น

4. "เกลือแร่" เป็นสารอาหารที่ได้จากอาหารประเภทต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ นม ไข่แดง อาหารทะเลทุกชนิด
สารอาหารเกลือแร่ มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เพราะช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ ทำให้เกิดความเจริญเติบโต

เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการที่ควรรู้ มีดังนี้

.....แคลเซียม พบใน นม ไข่แดง ถั่ว ผักใบเขียว หอยนางรม กุ้งแห้ง ปลาตัวเล็กๆ......มีประโยชน์ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันเราให้แข็งแรง ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ ทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน กระดูกเปราะและหักง่าย ฟันผุ

.....ฟอสฟอรัส พบใน นม เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และผัก.....มีประโยชน์ ทำหน้าที่ร่วมกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน.....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะมีอาการคล้ายๆกับการขาดแคลเซียม

.....เหล็ก พบใน เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ตับ หอย มะเขือ และผักใบเขียว ....มีประโยชน์ เป็นส่วนประกอบสำคัญของเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ ทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ทำให้มีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย

......ไอโอดีน พบใน อาหารทะเลทุกชนิด และเกลือทะเล....มีประโยชน์ ควบคุมการเผาผลาญอาหาร ทำให้เกิดพลังงาน....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ ทำให้เป็นโรคคอหอยพอก

......โซเดียม พบใน เกลือ และอาหารที่มีส่วนผสมของเกลือ เช่น น้ำปลา กะปิ และมีอยู่ในนม ไข่.......มีประโยชน์ ช่วยควบคุมความสมดุลของน้ำภายในและภายนอกเซลล์....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ความดันโลหิตต่ำและเป็นตะคริวง่าย

5. "ไขมัน" เป็นสารอาหารที่ได้จากไขมันพืชและสัตว์ เช่น น้ำมันหมู น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะพร้าว ถั่ว งา รำ ข้าวโพด เนย นม
ไขมันช่วยให้ความอบอุ่นและพลังงานแก่ร่างกาย และเป็นตัวละลาย วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และ
วิตามินเค

6. "น้ำ" จัดเป็นสารอาหารหมู่ที่ 6 ที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก ถ้าร่างกายของเราขาดน้ำเป็นเวลานาน เราจะตายในที่สุด
น้ำดื่ม มีผลประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

1. เป็นตัวละลายสารอาหารต่างๆ
2. นำสารอาหารต่างๆ ไปสู่เซลล์และนำออกจากเซลล์
3. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
4. เป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆของร่างกาย
5. ช่วยหล่อลื่นอวัยวะต่างๆ ที่มีการเคลื่อนไหว
6. ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ อุจจาระ และเหงื่อ

ผลของการขาดน้ำ...ถ้าร่างกายขาดน้ำ จะเกิดผลเสีย ดังนี้

1. การขับถ่ายของเสียไม่เป็นไปตามปกติ ของเสียจะถูกขับมาได้น้อย
2. ผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น
3. ทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายทำงานไม่เป็นตามปกติ

เพราะฉนั้น ในแต่ละวัน เราควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้ วันละ 7-8 แก้ว

Posted by ครูพเยาว์ at 5:41 PM

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า บทไหว้ครู ปฐม ก กา

เคยพูดเรื่องนี้ครั้งหนึ่งมาแล้วค่ะ เรื่องครูโบราณ ว่าเป็นอย่างไร ครั้งนี้ก็ยังอยากให้ดู ถึงบทไหว้ครู ที่มีมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไร กับบทไหว้ครูของศิลปินชาวใต้ ที่ยังถือกันอยู่จนทุกวันนี้ และถ้าจะให้ชัดลงไปอีก ถึงความรักนับถือของคนไทยสมัยก่อนกับครูอาจารย์ว่าเป็นอย่างไร ก็ต้องลงไปดูในเรื่องพระอภัยมณีอีกตอน...เมื่อตอนที่สุดสาคร โดนชีเปลือยผลักตกเหว..ในยามที่คับขัน แค่ระลึกถึงโยคีบนเกาะแก้วพิสดาร..แค่ระลึกถึงครูอาจารย์เท่านั้นว่าจะไม่ได้พบหน้าอีกแล้ว.....พลันก็...

บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว
สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา
ประคองพาขึ้นไปจนบนบรรพต
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์......ฯลฯ

จากบทกลอนนี้ ทำให้เราเห็นว่า นั่นคือความรักความห่วงใยต่อศิษย์ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยช่วยกันตลอด ก็ยังตามหาจนเจอ ถ้าศิษย์ตกอยู่ในอันตราย ....และตัวศิษย์เอง คนๆแรกที่คิดถึง เมื่ออยู่ในภาวะคับขัน ก็คือครูค่ะ จริงๆแล้วก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เพียงแต่ไม่อยากให้เราลืมรากของตัวเอง พื้นฐานของความเป็นไทย เพราะเวลาโยงไปถึงคำว่า ผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ...รู้สึกว่ามันจะห่างๆไปนิดนะคะ แล้วจะแก้ความรู้สึกนี้ได้อย่างไร เพราะเวลานึกถึงคำนี้ มันจะชวนคิดถึงเวลาไปซื้อของที่ เซเว่น-อีเลฟเว่นอยู่เรื่อย หรือว่าจะปล่อยมันไป....เอ้า.....อ่านบทไหว้ครูสมัยโบราณได้แล้วค่ะ

๏ ๏ บทไหว้ครู ปฐม ก กา ๏ ๏

• นะโมข้าจะไหว้ วระไตรระตะนา
ใส่ไว้ในเกษา วระบาทะมุนี

• คุณะวระไตร ข้าใส่ไว้ในเกษี
เดชะพระมุนี ขออย่ามีที่โทษา

• ข้าขอยอชุลี ใส่เกษีไหว้บาทา
พระเจ้าผู้กรุณา อยู่เกษาอย่ามีไภย

• ข้าไหว้พระสะธรรม ที่ลึกล้ำคำภีร์ใน
ได้ดูรู้เข้าใจ ขออย่าได้มีโรคา

• ข้าไหว้พระภิกษุ ที่ได้ลุแก่โสดา
ไหว้พระสกิทาคา อะระหาธิบดี

• ข้าไหว้พระบิดา ไหว้บาทาพระชะนะนี
ไหว้พระอาจารีย์ ใส่เกษีไหว้บาทา

• ข้าไหว้พระครูเจ้า ครูผู้เฒ่าใส่เกษา
ให้รู้ที่วิชา ไหว้บาทาที่พระครู

• จะใคร่รู้ที่วิชา ขอเทวามาค้ำชู
ที่ใดข้าไม่รู้ เล่าว่าดูรู้แลนา

• ไชยโยขอเดชะ ชัยชะนะแก่มารา
ระบือให้ลือชา เดชะสามาไชยโย

• ไชยโยขอเดชะ ชัยชนะแก่โลโภ
โทโสแลโมโห อย่าโลเลโจ้เจ้ใจ

• กุมาระกุมารี ตะรุณีย์ที่เยาว์ไว
จะฬ่อพอเข้าใจ ให้รู้จำคำวาที

• ว่าไว้ใน ก กา ก ข ขา อา อิ อี
ว่าไว้ในเท่านี้ ที่พอได้ใน ก กา

• แต่พอให้รู้เล่า ที่ผู้เขลาเยาวะพา
ได้ดูรู้แลนา กุมาราตะรุณี

• จะใคร่ได้รู้ธำม์ ที่ลึกล้ำจำไว้ดี
ได้แน่แต่เท่านี้ ดีจำเอาเบาใจครู

• จะว่าแต่ฬ่อๆ ว่าแต่พอฬ่อใจดู
ว่าไว้ได้พอรู้ ดูว่าเล่าเอาใจใส่

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน

บทอาขยาน บทท่องจำ เรื่องนี้ ครูคิดว่าคนทั่วไป คงจะจำได้ดี ว่าในสมัยก่อน ต้องนั่งท่องก่อนโรงเรียนเลิกเป็นประจำ ไม่ว่าใครค่ะ ถ้าผ่าน ม. 2 มาได้ ก็ต้องผ่านการนั่งท่องไป หิวไปได้ดี และจะจำได้แม่นกว่าเรื่องไหนๆ ถ้ามีใครขึ้นต้นเอาไว้ว่า มัสมั่นแกงแก้วตา ละก็ คนไหนๆก็ต่อได้ทันทีว่า หอมยี่หร่ารสร้อนแรง ชายใดได้กลืน......ไปจนเกือบจะจบล่ะค่ะ

ครูเอาเรื่องนี้มาพูด เพราะเราจะเรียนเรื่องกินดี มีสุข อยากให้ดูอาหารไทยเอาไว้ว่า มีอะไรบ้าง ประโยชน์มากขนาดไหน เพราะอาหารของเรานั้นแพร่หลายไปทั้งยุโรป และอเมริกา เพราะเมื่อเขามาเที่ยวเมืองไทย เขาได้กิน และได้รับรู้ว่า อาหารของไทยนั้น มีประโยชน์ เอาสมุนไพรมาปรุงในอาหาร คนไทยเราเองหลงไปกินอาหารของชาวตะวันตกไป ซึ่งก็ไม่เหมาะกับบ้านเราเลย ของเขานั้น อากาศหนาว เมืองหนาว ต้องมีไขมันมาก เพราะเขาจำเป็นจะต้องมี เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เอาละเดี๋ยวจะยาวไป

กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

• เห่ชมเครื่องคาว

๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ................. นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน...................... เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์................. พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน............. อกให้หวนแสวง ๚

๏ มัสมั่นแกงแก้วตา................ หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง.................. แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด................ วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา...................... ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม........ เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน...................... ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส........... พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง.................. ห่างห่อหวนป่วนใจโหย
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น............... วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย................ ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง................. เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน................... ของสวรรค์เสวยรมย์
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า............ ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม.......... ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ............. รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น...................... เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม..................... แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ................ ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด.................. ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม................... สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์
๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง.............. นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล.................... ยลอยากนิทรคิดแนบนอน
๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า............. รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์..................... ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
๏ รังนกนึ่งน่าซด....................... โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง..................... เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน
๏ ไตปลาเสแสร้งว่า................... ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ................. ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ
๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง............ เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน................. ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚

จากหนังสือ : ประชุมกาพย์เห่เรือ กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร

Posted by ครูพเยาว์ at 5:11 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ กินดี มีสุข









ในเรื่องนี้ เราจะมาพูดถึง การกินอาหารให้ถูกต้องค่ะ ว่าเราควรที่จะเลือกกินอาหารอย่างไร ที่มีประโยชน์ ทำให้เติบโต แข็งแรง ไมใช่กินเข้าไปแล้ว สร้างปัญหาให้เราภายหลัง

ในประเทศที่เจริญแล้ว อย่างประเทศในตะวันตก ปัญหาที่เขาต้องพยายามแก้คือ โรคอ้วน เราจะเห็นบ่อยๆว่า คนในแถบนั้นนอกจากจะมีโครงร่างโตแล้ว ยังอ้วนอีกด้วย และนั่นก็เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ทำให้เสียเงินในการรักษา โดยไม่จำเป็น

ในบ้านเราก็เหมือนกัน จะเห็นว่า เด็กของเรา จะอ้วนขึ้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ถือว่าโรคอ้วนนี้แพร่หลายเข้ามา สาเหตุจากพฤติกรรมการกิน ที่เอาตามตัวอย่างเขา แต่ที่จริงแล้วสาเหตุของโรคอ้วนก็มาจากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจมาจากกรรมพันธุ์ พ่อ แม่อ้วนมาก่อนแล้ว ลูกก็อ้วนตาม รับประทานอาหารมากเกินไป แล้วไม่ได้ออกกำลังกาย ก็ทำให้อ้วนได้ รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อย่างเช่นหมู 3 ชั้น มันหมู ครีม เค้ก อาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ เช่นแฮมเบอร์เกอร์ ก็ทำให้อ้วนได้ ถ้ากินแบบไม่ระวัง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็จะช่วยแก้ปัญหานั้นลงไปได้บ้างค่ะ และที่น่ากลัวอีกอย่างคือ เด็กๆมักตกเป็นเหยื่อของโฆษณา รู้ไม่เท่าทันที่ผู้ใหญ่เอามาหลอกล่อ จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อเช้านี้ การโฆษณาขนมขบเคี้ยวในเมืองไทยมากถึง 42 ครั้งต่อชั่วโมง มากกว่าอเมริกา หรืออังกฤษถึง 4 เท่า โฆษณาถี่มาก จนข้อมูลโฆษณาฝังอยู่ในสมองเด็กเลยทีเดียว เฉพาะค่าน้ำอัดลม ขนม ที่เด็กไทยซื้อไปวันละ 135 ล้านบาท ไม่ว่าครูหรือพ่อแม่ค่ะ ต้องมานั่งคิด ว่าเราจะทำอย่างไร กับการบริโภคอย่างมากมายอย่างนี้ ตอนนี้ครูจะพูดเรื่องนี้เอาไว้ให้เห็นว่า เรากินอะไรไป ใช้เงินอย่างไรไป แล้วผลของมันเป็นอย่างไร แค่เป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น

ในบทเรียนต่อไป จะพูดเรื่อง กินดี มีสุข ว่าควรปฏิบัติอย่างไร จะแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ

ตอนแรก...จะพูดถึงเรื่องสารอาหาร ว่ามีกี่ประเภท แต่ละประเภท มีประโยชน์อย่างไร

ตอนที่สอง...จะพูดถึงเรื่อง การกินอาหาร พูดถึงปริมาณและคุณค่าของอาหาร และพูดถึงพฤติกรรมการกิน

ตอนที่สาม...จะพูดถึงสารเจือปนในอาหาร อย่างเช่น น้ำส้มสายชู ผงชูรส สีผสมอาหาร และอื่นๆอีก

Posted by ครูพเยาว์ at 5:01 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ รักสัตว์ รักษ์สัตว์

Thursday, August 2, 2007


ที่ผ่านๆมา สัตว์ที่อยู่บนโลกนี้ได้สูญพันธุ์ไปหลายชนิด ที่ยังเหลืออยู่นี้ เราต้องช่วยกันดูแลไม่ให้มันหายไปจากโลก เพระสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่า ล้วนมีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมาก แต่ในปัจจุบันสัตว์หลายชนิดมีจำนวนลดน้อยลง ดังนั้น ไม่ใช่แค่ดูแลไม่ให้มันหายไป เราต้องช่วยสงวนรักษาพันธุ์สัตว์ไว้ด้วย

สัตว์ในโลกนี้มีมากมาย สัตว์แต่ละชนิดอาศัยอยู่ในแหล่งที่แตกต่างกัน สัตว์บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำ สัตว์บางชนิดอาศัยอยู่บนบก สัตว์บางชนิดอาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ สัตว์เหล่านี้เมื่อเกิดและมีชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำอย่างอิสระตามธรรมชาติ เราจัดเป็น "สัตว์ป่า" ส่วนสัตว์บ้านหรือสัตว์ป่าที่คนนำมาเลี้ยงไว้จนเชื่อง เราจัดเป็น "สัตว์เลี้ยง" ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงต่างมีประโยชน์ต่อคนเราอย่างมากมาย อย่างเช่น

1. ด้านการเกษตร เราเอาสัตว์มาใช้แรงงาน ใช้เป็นพาหนะ ได้ประโยชน์จากแมลงที่ผสมเกสรดอกไม้
เป็นต้น

2. ด้านการแพทย์ เราเอามาใช้ในการศึกษา ใช้ผลิตวัคซีน ใช้เป็นสัตว์ทดลอง เป็นต้น

3. ด้านการอุปโภคบริโภค เราเอามาใช้เป็นอาหาร เอาหนัง ขนสัตว์ มาทำเครื่องนุ่งห่ม ใช้ทำเครื่องใช้
เป็นต้น

ดังนั้น เราจึงต้องช่วยกันอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ต่างๆ โดยปลูกจิตสำนึกของคนในชุมชน ให้เห็นความสำคัญของป่าไม้ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ รวมทั้งช่วยกันอนุรักษ์สัตว์ในท้องถิ่น ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้

1. ไม่ล่าสัตว์ในฤดูที่สัตว์ผสมพันธุ์หรือวางไข่

2. ไม่ใช้ระเบิด ไฟฟ้า ยาเบื่อ หรืออวนที่มีตาถี่ ในการจับสัตว์น้ำ

3. ไม่ทำอันตรายสัตว์ที่เหลือน้อยหรือเกือบสูญพันธุ์

4. ไม่ตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์

5. ไม่ทิ้งเศษขยะมูลฝอยลงในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ

6. ไม่รังแกสัตว์เพื่อความสนุกสนาน

7. ไม่จับสัตว์ป่ามาเลี้ยงไว้ดูเล่น

Posted by ครูพเยาว์ at 6:46 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา การทำจิตให้บริสุทธิ

ในการดำเนินชีวิตของเรา จะต้องประสบกับสิ่งที่เราพึงพอใจ และไม่พึงพอใจ ดังนั้น เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงพอใจ จึงต้องใช้คุณธรรม"ขันติ"เป็นเครื่องระงับ เช่น อดทนต่อความเจ็บป่วยทางกาย อดทนต่อสภาพอากาศ อดทนต่อความไม่พึงพอใจต่างๆ อดทนต่อสิ่งยั่วยวน

เมื่อเราละเว้นความชั่ว ทำแต่ความดีแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งตามพุทธโอวาท 3 ได้แก่ "การทำจิตให้บริสุทธิ" ซึ่งเป็นการฝึกจิตเพื่อให้เกิดปัญญาให้รู้แจ้งในสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง

ร่างกายของคนเราประกอบด้วย 2 ส่วน คือ กาย และจิต การที่จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เราต้องรู้จักดูแลรักษาสุขภาพให้ถูกวิธี เช่น กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ส่วนจิตของเรา ก็ต้องรู้จักดูแลให้ดีเช่นเดียวกัน วิธีดูแลจิต ตามหลักพระพุทธศาสนา เรียกว่า "การบริหารจิตและเจริญปัญญา" ซึ่งต่างกับการบริหารกาย เพราะการบริหารกายต้องให้ร่างกายเคลื่อนไหว เพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แข็งแรง ส่วนการบริหารจิต จะต้องควบคุมจิตให้ตั้งมั่น หรือจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกิดสมาธิ คือไม่ให้จิตคิดวิ่งไปโน่นไปนี่ ให้อยู่กับที่ อยู่กับเราตลอดเวลา

เมื่อจิตมีสมาธิ จะทำให้เกิดพลังและเกิดปัญญาหยั่งรู้ ทำให้จิตบริสุทธิ์ สะอาด สงบ

ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า การฝึกอบรมทางจิต สำคัญที่สุด ที่จะทำให้ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง โดยมีการฝึกอบรมทางกายเป็นพื้นฐาน เกื้อกูลให้เกิดการฝึกอบรมทางจิตได้ง่ายขึ้น

Posted by ครูพเยาว์ at 6:42 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา ความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่มีคุณประโยชน์แก่ชาวโลก ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติมีความสุข และสังคมสงบสุข ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย พึงมีความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้


1. ศึกษาหาความรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม การศึกษาทางโลกจะช่วยในการประกอบอาชีพที่สุจริต ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข ส่วนความรู้ทางธรรม เป็นความรู้ที่จะทำให้สามารถดำเนินชีวิตไปในแนวทางที่ถูกต้อง ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ให้กระทำความชั่ว และยังช่วยให้เป็นคนมีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น

2. ปฏิบัติตามหลักธรรมและพิธีกรรมทางศาสนา การเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องมีความรู้ เกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนเท่านั้น แต่จะต้องปฏิบัติตน ตามหลักธรรมคำสอนได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสงบสุข ส่วนการปฏิบัติตนตามพิธีกรรมทางศาสนานั้น จะช่วยส่งเสริมให้จิตใจของผู้ปฏิบัติ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา และมีแนวทางในการปฏิบัติ โดยเข้าใจจุดมุ่งหมายของพิธีกรรมต่างๆ อย่างถ่องแท้ การปฏิบัติตามพิธีกรรมดังกล่าว จึงช่วยเสริมให้สามารถปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนได้ง่ายขึ้น

3. เผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อให้ผู้อื่นรู้และเข้าใจหลักคำสอนของศาสนาให้ถูกต้อง แต่ก่อนจะเป็นผู้ที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ พุทธศาสนิกชนผู้นั้นจะต้องปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกที่ดีเสียก่อน ผลจากการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีจะทำให้จิตใจสงบ หน้าตาแจ่มใส ใครพบเห็นก็สรรเสริญยกย่อง และทำให้ผู้อื่นชื่นชมว่า การที่เป็นคนดีนั้น เป็นผลมาจากการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีนั่นเอง ก็เท่ากับเป็นการเผยแผ่คุณความดีของพระพุทธศาสนา ให้แผ่กระจายออกไป

4. ปกป้องพระศาสนา กระทำได้โดยการรักษาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคง ซึ่งสามารถทำได้โดยมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างจริงใจ ปฏิบัติตามคำสอนอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด โดยพยายามให้คนทั่วไปเข้าใจ และทราบว่า แก่นแท้ของศาสนาอยู่ตรงไหน

Posted by ครูพเยาว์ at 6:38 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา มงคล 38



มงคล ตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมที่นำมาซึ่งความสุข ความเจริญ ทั้งหมดมี 38 ประการ แต่ในชั้นนี้จะศึกษาเพียง 3 ประการ มีดังนี้


1. ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน (พาหุสัจจัญจ) เป็นมงคลที่ 7 หมายถึง ตั้งใจเล่าเรียนศึกษาให้มาก เพื่อให้มีความรู้กว้างขวาง ใส่ใจสดับตรับฟัง ค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ ซึ่งการใฝ่รู้ใฝ่เรียนนี้ ควรศึกษาหาความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป เพื่อจะได้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี

2. การงานไม่อากูล (อนากุลา จ กัมมันตา) เป็นมงคลที่ 14 หมายถึง การทำงานให้เสร็จไป โดยไม่คั่งค้างสะสมอยู่ ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียต่างๆตามมา

เหตุที่คนเราปล่อยให้งานคั่งค้างอยู่ พระพุทธองค์สรุปได้ว่ามาจากเหตุ 4 ข้อ ดังนี้

....ความเบื่อหน่าย

....ความเกียจคร้าน

....ความทอดธุระ

....ความโง่เขลา

ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยใช้หลักอิทธิบาท 4

3. มีความอดทน (ขันตี จ) เป็นมงคลที่ 27 หมายถึงความอดทน อดกลั้น ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง ที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้กิจการงานทุกอย่าง ประสบความสำเร็จลงได้ เพราะไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด ถ้าปราศจากความอดทนแล้ว ก็ยากที่จะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:34 PM

รอบรั้ว เรื่องเก่าๆ ท่องบทอาขยาน

Wednesday, August 1, 2007

ในการศึกษาสมัยใหม่ มองถึงการท่องจำเหมือนกับว่า เราสอนเด็กให้เป็นนกแก้วนกขุนทอง ถึงกับมีการโฆษณาออกทีวีอยู่ช่วงหนึ่ง เอาเด็กมาสวมหัวโขนเป็นหัวนกแก้ว นกขุนทองออกมาท่องจำให้คนดู ทำนองว่า นี่คือการเดินพลาดในวงการการศึกษาของไทย ว่าเรายังล้าหลังค่ะ....มองๆดูในครั้งนั้นก็ขำ ว่าช่างเอามาเปรียบเทียบ

แต่พอนานๆไป ถ้าเรามานึกย้อนหลัง ว่าทำไมคนในสมัยเก่าก่อนของเรา เป็นคน "เจ้าบทเจ้ากลอน" จะพูดจะจาอะไร ก็เอาคำพูดที่คล้องจองสละสลวยออกมาใช้ได้...น่าฟังค่ะ เดี๋ยวนี้ยังมีให้เราได้ยินหรือเปล่า

การที่เราจะฝึกเด็กของเราให้รู้จักการออกเสียงให้ถูกต้อง โดยการท่องมันก็ไม่น่าผิดใช่มั้ยคะ ทุกอย่างถ้าจะให้ดี มันต้องฝึกฝน เด็กตัวเล็กๆ ก็ต้องฝึกลิ้น ดัดลิ้น พูดให้ถูกต้อง ตัว ร, ล อีกทั้งตัวกล้ำในภาษาไทย ต้องฝึกทั้งนั้น เราไม่ได้ท่องจำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ บางอย่างต้องทำความเข้าใจ อย่างนั้นก็ไม่มีข้อโต้แย้งค่ะ แต่บางอย่างมันต้องฝึก เราก็สมควรที่จะคงเอาไว้ อย่างเช่น ท่องบทอาขยานในภาษาไทย ไม่ว่าเรื่องอะไร อย่างเช่นการใช้ สระ ไ_ ,สระ ใ_ อย่างนี้เป็นต้น ทุกคำที่ท่องออกไปนั้นมันทั้งให้ความรู้ที่ต้องติดตัวไป คำพูดที่คล้องจอง สละสลวยเหล่านั้น ก็เอาออกมาพูดได้อย่างไม่ขัดเขิน เพราะเคยท่องมาจนคล่องปากแล้ว

อยากให้ดูบทอาขยาน บทท่องจำจากหนังสือวรรณคดี ลำนำ หรือจากดรุณศึกษา เล่ม 3 ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นบทอาขยานที่เคยให้นักเรียนท่องจำกัน ว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้างค่ะ

วิชาเหมือนสินค้า ...... กาพย์ยานี 11

วิชาเหมือนสินค้า..............อันมีค่าอยู่เมืองไกล

ต้องยากลำบากไป...........จึงจะได้สินค้ามา

จงตั้งเอากายเจ้า..............เป็นสำเภาอันโสภา

ความเพียรเป็นโยธา.........แขนซ้าย-ขวา เป็นเสาใบ

นิ้วเป็นสายระยาง.............สองเท้าต่างสมอใหญ่

ปากเป็นนายงานไป..........อัชฌาสัยเป็นเสบียง

สติ เป็นหางเสือ................ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง

ถือไว้อย่าให้เอียง.............ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคา

ปัญญา คือกล้องแก้ว........ส่องดูแถวแนวหินผา

เจ้าจงเอาหูตา...................เป็นล้าต้าฟังดูลม

ขี้เกียจ คือปลาร้าย............จะทำลายให้เรือจม

เอาใจเป็นปืนคม................ยิงระดมให้จมไป

จึงจะได้สินค้ามา...............คือวิชาอันพิศมัย

จงหมั่นมั่นหมายใจ............อย่าได้คร้านการวิชา
ฟังดูเป็นยังไงบ้างคะ พูดแค่เรื่องเดียว เปรียบเทียบแค่ว่าวิชาเหมือนกับสินค้า แต่ในนั้นสอดแทรกเรื่องอื่นๆไว้ตั้งเยอะ ไม่ว่าเรื่องส่วนประกอบของเรือ หรืออื่นๆอีก อยากให้ดูคำศัพท์ที่เอามาใช้ แม้ว่าบางคำเราเองยังไม่ได้ใช้แล้ว แต่ก็ยังแสดงถึงรากของคำเหล่านั้นว่ามาอย่างไร มาจากไหน อย่างเช่นกล้องแก้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นกล้องส่องทางไกล นี่คงสมัยอยุธยา คำว่า ล้าต้า คือ คนถือบัญชีเรือสำเภา, ผู้ดูแลบัญชีใหญ่ ทำให้เรารู้ลึกลงไปอีกว่า ในสมัยก่อนโน้น ราชสำนักอยุธยาใช้ประโยชน์จากความสามารถในการแล่นเรือสำเภาของชาวจีน โดยเรือสำเภาหลวงนั้น ผู้ที่ประจำตำแหน่งต่างๆ รวมทั้งลูกเรือนั้น ล้วนเป็นชาวจีน และมีศักดินาเป็นขุนนางระดับล่างด้วย ต้องค้นลงลึกลงไปอีกว่ามีอีกหลายตำแหน่ง เช่น จุ่นจู๊ (นายสำเภา) ศักดินา 400, ต้นหน (ผู้ดูทาง) ศักดินา 200, ล้าต้า (ผู้ดูแลบัญชีใหญ่) ศักดินา 100, ไต้กง (นายท้าย) ศักดินา 80, อาปั๋น (กระโดงกลาง) ศักดินา 50, เอียวก๋ง (บูชาพระ) ศักดินา 30, เท่าเต้ง (ว่าสมอ) ศักดินา 30

จะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ ก็แล้วแต่ค่ะ แต่อยากบอกว่า ไม่มีสิ่งไหนที่ดีไปหมดทุกอย่าง หรือเลวไปหมดทุกอย่าง อย่างเช่น ค่าเงินบาทที่แข็งอยู่เดี๋ยวนี้ คนส่วนหนึ่งอาจว่าไม่ดี แต่อีกส่วนหนึ่งก็ว่านี่ดีแล้ว ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ มีสองด้าน เพียงแค่ เราจะปรับอย่างไรให้มันลงตัว เหมาะกับเรา

Posted by ครูพเยาว์ at 9:54 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา อิทธิบาท 4


อิทธิบาท 4 หมายถึง ทางแห่งความสำเร็จ มี 4 ประการ

1. ฉันทะ ความพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบหรือพอใจรักใคร่ในงานที่ตนทำ หรือในสิ่งที่จะศึกษาเล่าเรียน ดังนั้น เราจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่จะทำ หรือเรื่องที่เราจะต้องศึกษาก่อนว่า จะทำให้เราได้รับประโยชน์อะไรบ้าง เช่น การตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ทำให้เรามีความรู้ดี ไม่โง่เขลา เป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่ ครูอาจารย์ เป็นต้น ฉันทะ จึงเป็นหลักธรรมข้อแรกในการทำงานต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดหลักธรรมอีก 3 ข้อตามมา

2. วิริยะ ความขยันหมั่นเพียร เมื่อเรามีความพอใจในงานที่จะทำ หรือสิ่งที่เราจะศึกษาแล้ว ก็จะทำให้เกิดความขยันในการจะทำสิ่งนั้น เมื่อครูอาจารย์ให้งานอะไรมา ก็จะทำจนสำเร็จ

3. จิตตะ ความเอาใจใส่ หนทางไปสู่ความสำเร็จอีกประการหนึ่ง คือ ความเอาใจใส่ในการทำงาน การศึกษา มีจิตใจจดจ่อต่องานที่ทำหรือสิ่งที่เรียน ซึ่งจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความพอใจ และมีความขยันหมั่นเพียร

4. วิมังสา การพิจารณาไตร่ตรอง คือ การใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองงานที่ทำว่า ยังมีอะไรบกพร่องที่ต้องแก้ไข หรือควรเพิ่มเติมอะไร ซึ่งจะทำให้งานนั้นดีขึ้น เพราะเมื่อเรามีความรักในงานที่ทำ รวมทั้งทำอย่างพากเพียร เอาใจใส่ ย่อมต้องการให้งานที่เสร็จนั้น ออกมาเป็นที่น่าพอใจ จึงต้องพิจารณางานที่ทำว่า ดีแล้วหรือยัง มีสิ่งใดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอีก ซึ่งวิมังสาจะทำให้งานที่ทำสมบูรณ์และไม่บกพร่อง หรือทำให้งานที่ยังบกพร่องอยู่ มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ดังนั้น หลักอิทธิบาท 4 จึงเป็นคุณธรรมสำคัญสำหรับเยาวชน ผู้ที่กำลังอยู่ในวัยที่กำลังศึกษาหาความรู้เป็นอย่างยิ่ง

Posted by ครูพเยาว์ at 9:31 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา อคติ 4


อคติ คือ ทางความประพฤติที่ผิด ความลำเอียง ความไม่เที่ยงธรรม....อคติ หรือความลำเอียงเกิดจากสาเหตุ 4 ประการ คือ

1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก คือทำให้ไม่ยุติธรรม เพราะความรักใคร่ เช่น น้องของตนเองเล่นกับเพื่อนแล้วรังแกเพื่อน แทนที่จะดุว่าน้อง กลับไปด่าเพื่อนน้องแทน ว่ามาแกล้งน้องตน

2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง คือ ทำให้ไม่ยุติธรรม เพราะความไม่ชอบ เช่น พ่อแม่ที่รักลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน เมื่อลูกที่ตนเองรักทำผิด ไม่ยอมลงโทษ แต่ไปโทษลูกที่ตนเองไม่ค่อยรักแทน

3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา คือ ทำให้ไม่ยุติธรรม เพราะความไม่รู้ เบาปัญญา หลงผิด เช่น พ่อแม่ที่ลงโทษลูกโดยที่ยังไม่ได้สอบถามความเป็นจริง ผู้ใหญ่ที่ลงโทษผู้น้อยโดยที่ยังไม่ได้สอบสวนความจริงให้รอบคอบ

4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว คือ ทำให้ไม่ยุติธรรม เพราะความกลัวภัย เช่น เพื่อนนักเรียนที่ตัวใหญ่ทำผิด แต่ไม่กล้าบอกครู เพราะกลัวเพื่อนจะมาทำร้าย หรือตำรวจเห็นผู้มีตำแหน่งสูงกว่าตน กระทำความผิด แต่ไม่กล้าจับ เพราะกลัวถูกย้าย

Posted by ครูพเยาว์ at 8:45 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา บุญกิริยาวัตถุ 3


บุญกิริยาวัตถุ หมายถึง เหตุแห่งการทำบุญ หรือสิ่งที่ทำให้บุญเกิดขึ้น ในที่นี้หมายถึง บุญที่เกิดขึ้นด้วยการกระทำ 10 อย่าง แต่ในระดับชั้น ป. 5 นี้ จะเรียนเพียง 3 อย่าง คือ ทานมัย สีลมัย และภาวนามัย
1. ทานมัย (บุญสำเร็จด้วยทาน) คือ ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ การทำความดีด้วยการเสียสละวัตถุของตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยวิธีการที่ชอบธรรม สิ่งของที่เป็นทาน ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อันเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิต การให้ทานมี 2 ลักษณะ คือ
.....1) เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีฐานะยากจนกว่า หรือผู้ที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งการเสียสละทรัพย์สมบัติ การสร้างถาวรวัตถุที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น โบสถ์ วิหาร โรงเรียน โรงพยาบาล สะพาน ถนน เป็นต้น
.....2) เพื่อบูชาต่อผู้มีพระคุณ เป็นการให้เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ เช่น การถวายทานแด่พระสงฆ์ ผู้ทรงศีล ผู้บำเพ็ญประโยชน์ การให้เครื่องอุปโภคบริโภคแก่บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ และผู้มีพระคุณอื่นๆ เป็นต้น

2. สีลมัย (บุญสำเร็จด้วยศีล) คือ ทำบุญด้วยการตั้งใจรักษาศีล โดยการฝึกหัดกาย วาจา ให้เรียบร้อยเป็นปกติ ฝึกควบคุมตนเอง งดเว้นจากการประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร พยายามแก้ไข ปรับปรุงความประพฤติของตนเองให้ดีขึ้น ด้วยการรักษาศีล 5

3. ภาวนามัย (บุญสำเร็จด้วยภาวนา) คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือ ฝึกอบรมจิตใจให้มีความสงบ เยือกเย็น ไม่ดิ้นรนหรือกระวนกระวายไปตามความผันผวนของเหตุการณ์ต่างๆรอบตัว กล่าวคือ เป็นความสุขอันเกิดจากการทำความดีให้เกิดขึ้นภายในตัวตน ด้วยการบำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนา

Posted by ครูพเยาว์ at 8:30 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา เบญจธรรม

เมื่อเราฝึกอบรมกายและวาจาให้งดเว้นจากการทำชั่วได้แล้ว ในทางพุทธศาสนาถือว่ายังไม่เพียงพอ เราต้องทำ "ความดี" ด้วย เพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ผู้อื่น และสังคมที่เราอยู่

การทำความดีสามารถปฏิบัติได้ตามหลักธรรมต่อไปนี้ คือ "เบญจธรรม"

เบญจธรรม เป็นหลักธรรมที่เกื้อกูลแก่การรักษาศีล ควรปฏิบัติควบคู่กัน เพราะถ้าเรามีเบญจธรรมแล้ว เราจะไม่ผิดเบญจศีล

1. เมตตาและกรุณา เป็นคุณธรรมที่ทำให้คนเราอยู่ร่วมกันด้วยความสุข คู่กับศีลข้อ 1....เมตตา หมายถึง ความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นเป็นสุข พ้นทุกข์ ดังนั้น เมื่อเรามีความสุขแล้ว ก็ควรแสดงความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น

การที่เรารักษาศีลข้อ 1 ได้ เรายังไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนมีเมตตา เช่น เราพบสุนัขที่ถูกรถชนได้รับบาดเจ็บ เราพอจะช่วยมันได้ แต่เราไม่ช่วย ศีลข้อ 1 เราก็ไม่ขาด เพราะเราไม่ใช่เป็นคนทำให้มันได้รับบาดเจ็บ แต่เราขาดความเมตตาต่อสัตว์ ซึ่งเป็นเบญจธรรมข้อ 1

2. สัมมาอาชีวะ คือ การหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต ซึ่งคู่กับศีลข้อ 2.... คนเราต้องหาเลี้ยงชีพ เมื่อรักษาศีลข้อ 2 ได้ คือไม่ลักขโมยของผู้อื่นแล้ว ก็ต้องประกอบอาชีพสุจริต เพื่อให้มีรายได้มาเลี้ยงตนเองและครอบครัว อย่างเพียงพอ จึงจะเป็นการเกื้อกูลให้รักษาศีลข้อ 2 ให้มั่นคงขึ้น

อาชีพสุจริตทุกอาชีพ ถือเป็นงานมีเกียรติ ที่ผู้ประกอบอาชีพนั้นๆ ควรจะภาคภูมิใจ ถือเป็นการทำความดี ไม่ต้องคอยหลบซ่อนผู้อื่น แต่คนที่ประกอบอาชีพทุจริต ถึงแม้ว่าจะหาเงินได้มามาก ก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เนื่องจากกลัวผู้อื่นจะรู้ถึงความไม่ดีของตน และจะถูกจับไปลงโทษตามกฎหมาย

3. กามสังวร คือ ความสำรวมระวัง รู้สึกยับยั้ง ควบคุมตัวเองไม่ให้หลงไหลในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส คู่กับศีลข้อ 3

สำหรับหญิงชายที่มีคู่ครองแล้ว เมื่อรักษาศีลข้อ 3 ได้แล้ว ถ้าจะให้มั่นคง จิตใจควรมีเบญจธรรมข้อ 3 ควบคู่กันไปด้วย คือ รู้จักมีความพอใจในคู่ครองตน หรือหญิงชายที่ยังไม่มีคู่ครอง ก็ให้รู้จักควบคุมตนเองไม่ให้หลงไหลในกามารมณ์จนเกินพอดี

4. สัจจะ หมายถึง ความสัตย์ ความซื่อตรง คู่กับศีลข้อ 4....ศีลข้อ 4 จะรักษาได้อย่างมั่นคง ควรมีเบญจธรรมข้อ 4 คอยเกื้อหนุน คือ ยึดมั่นในความจริง มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง เราจะไม่ต้องคอยตรวจสอบว่า เราเคยพูดโกหกกับใครบ้าง

5. สติสัมปชัญญะ คือ ฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด รู้สึกตัวอยู่เสมอว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ คู่กับศีลข้อ 5....เมื่อเราไม่ดื่มของมึนเมาหรือเสพสิ่งเสพติด ที่คอยบั่นทอนสติสัมปชัญญะของเรา ซึ่งจะทำให้เกิดความประมาทแล้ว เราควรฝึกอบรมตนเองให้มีสติสัมปชัญญะก่อนที่จะทำ หรือจะพูดสิ่งใดก็ตาม กล่าวคือ ระลึกได้ก่อนทำและก่อนพูด แล้วจึงค่อยทำหรือพูดสิ่งนั้น และรู้สึกตัวเสมอในขณะทำและขณะพูด
สติสัมปชัญญะเป็นคุณธรรมที่ช่วยให้ทำงานสำเร็จได้โดยไม่ผิดพลาด

และเพื่อให้จำได้ง่ายขึ้น ลูกๆก็ควรที่จะหัดอ่านคำประพันธ์ ถ้าท่องจำได้ ก็จะดีค่ะ
เบญจศีล - เบญจธรรม
เบญจศีล คือ ศีลห้า ท่านว่าไว้
หนึ่ง คือไม่ ฆ่าสัตว์ ให้อาสัญ
สองไม่ลัก ของเขา เอาไปพลัน
ข้อสาม นั้น ต้องไม่คิด ผิดทางกาม

สี่ ต้องไม่ พูดเท็จ หลอกลวงเขา
ห้า น้ำเมา ไม่ดื่ม ให้ใครหยาม
หากผู้ใด เคร่งครัด ปฏิบัติตาม
เรียกขานนาม ชาวพุทธได้ ไม่อายใคร

เบญจธรรม คือธรรม คู่ศีลห้า
หนึ่ง เมตตา กรุณา นั่นไฉน
สอง สัมมา-อาชีพ สุจริตใจ
สาม นั่นไซร้ สำรวมอยู่ คู่ครองตน

สี่ มีความ ซื่อสัตย์ สุจริต
ห้า ความคิดรอบคอบ มีเหตุผล
มีสติ สัมปชัญญะ ไม่ลืมตน
เป็นบุคคล เรียกว่า " กัลยาณชน "
หากชาวพุทธ มีศีล และมีธรรม
จะน้อมนำ สันติสุข ทุกแห่งหน
จึงเชิญชวน พุทธศาสนิกชน
ทั่วทุกคน ปฏิบัติ เคร่งครัดเอย ฯ
.......................................

Posted by ครูพเยาว์ at 7:58 PM