Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว พุทธศาสนา เซ็น 2010 จากสวนโมกข์สู่หมู่บ้านพลัม

Thursday, October 28, 2010



ครูได้ดูรายการสารคดีนี้จากทีวีของช่องเนชั่น ที่คุณสุทธิชัย หยุ่น เป็นคนดำเนินรายการ และสามารถดูผ่านอินเทอร์เนทได้จากยูทูบซึ่งมีหลายตอน คำสอนของท่าน ติช นัท ฮันห์ หลายตอนได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงไปของโลก ที่ก้าวไปข้างหน้าแล้ว ความทุกข์ของคนก็เปลี่ยน จากที่คนร่วมสมัยของพระพุทธเจ้ามีความทุกข์เมื่อสองพันกว่าปีโน้น กับสมัยนี้ ความทุกข์ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ความทุกข์ของคนยังคงอยู่ แต่ทุกข์ที่มาหานั้นเปลี่ยนหน้าตาไป วิธีแก้ยังใช้เหมือนเดิม มรรคมีองค์ 8 วิธีการที่จะพูดให้คนปลดทุกข์ให้ได้นั้นนั้น ก็ต้องปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตปัจจุบัน ปรับให้เข้ากับโลกปัจจุบันให้ได้ ซึ่งก็จะดึงคนร่วมสมัยเข้ามาหาพุทธได้ ซึ่งก็จะเห็นว่า ในหมู่บ้านพลัมของท่านที่ฝรั่งเศส มีคนหนุ่มสาว วัยรุ่นจากทั่วโลก ต้องย้ำนะคะว่ามาจากทั่วโลกทีเดียว การสอนก็ไม่เคร่ง มักจะได้ยินเสียงหัวเราะจากผู้มาปฎิบัติธรรมเป็นระยะๆ ท่านมีคำสอนที่ฟังง่ายๆ คำสอนที่ยากก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย บทสวดมนต์เหมือนกับการร้องเพลง เป็นอีกอย่างที่ท่านเปลี่ยน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ชาวตะวันตกเข้าใจธรรมะ แต่ทุกอย่างยังคงไว้ซึ่งแก่นธรรม เพียงแต่กลับมาอยู่กับลมหายใจและสติเท่านั้น ภาษาที่ใช้ก็ได้รับการแปล เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจ ไม่ว่าภาษาฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน แม้แต่เวียดนามซึ่งเมื่อก่อนใช้ภาษาจีนโบราณก็ได้รับการแปลให้เป็นภาษาเวียดนาม เมื่อร้องเพลงสวดมนต์ได้อย่างง่ายๆ เวลาฟังเทศน์คำสอนก็สามารถเข้าใจได้ง่ายยิ่ง ทุกอย่างท่านทำเพื่อคนสมัยใหม่

ในเรื่องอนัตตาที่ครูชอบมากคือคำเปรียบเทียบตอนที่มือซ้ายโดนค้อนทุบ...คำสอนของท่านตอนนี้เข้ากับสภาพบ้านเมืองเราตอนนี้มาก คือความสามัคคี...แบ่งพรรค แบ่งฝ่าย แบ่งเสื้อสีต่างๆ...คนไทยไม่เป็นเนื้อเดียวกัน ท่านติช นัท ฮันห์บอกว่า ทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ยกตัวอย่างมือซ้ายและมือขวา มือข้างซ้ายเราเองเป็นคนตั้งชื่อว่ามีข้างซ้าย มือขวา เราตั้งชื่อว่ามือขวา ทั้งสองข้างมี 5 นิ้วเท่ากัน แต่ความสามารถไม่เท่ากัน มือทั้งสองข้างก็ไม่เคยบ่นว่ามือข้างไหนเก่งกว่า ทำงานมากกว่า ซึ่งคนที่ถนัดขวาจะเห็นว่า มือขวานั่นทำงานหนักกว่ามือข้างซ้าย ทำงานหนัก เขียนหนังสือ วาดรูป ทำสารพัด มือด้านซ้ายได้แต่แกว่งไปแกว่งมา มีอยู่มาวันหนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านต้องแขวนรูป มือซ้ายท่านก็ต้องจับตะปู มือขวาถือค้อน แต่เพราะท่านไม่ได้ตั้งสติให้ดี ตีค้อนพลาดไปโดนนิ้วซ้าย...เจ็บค่ะ...มือด้านซ้ายเจ็บ ทำให้มือด้านขวารีบวางค้อนลง แล้วมาประคองมือด้านซ้าย...ไม่ได้พูดอะไร...มือด้านซ้ายก็ไม่ได้บ่นว่า...หรือบอกว่าลองให้ฉันตีคืนสักครั้ง มือทั้งสองข้างนั้นเข้าใจกัน ว่าเป็นมือเช่นเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน...ทำให้เข้าใจเรื่องอนัตตาขึ้นมาแบบง่ายๆ ฝรั่งที่ฟังอยู่นั่นครางฮือ..แล้วก็หัวเราะกัน เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง แบบไม่ต้องมานั่งฟังคำอธิบายที่เข้าใจยากอะไรเลย...แม้กระทั่งการอธิบายกระดาษแผ่นหนึ่ง ท่านก็โยงไปว่านั่นคือต้นไม้ ทุกอย่างไม่มีจุดเริ่ม เป็นวัฎสงสาร...สารคดีชุดนี้หาดูได้จากอินเทอร์เนทค่ะ มีอยู่หลายตอน ครูอยากให้ลูกๆได้ดู ได้ฟังเป็นการฝึกภาษาอังกฤษไปด้วย มีคำแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าจะแปลพลาด เพราะคุณสุทธิชัย หยุ่นนั่นถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านภาษาอยู่แล้วค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 7:20 AM

รอบรั้ว ดูหนังฟังเพลง A few good men

Wednesday, October 27, 2010


ครูได้ดูหนังเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อคืนเขาเอามาฉายอีกครั้ง เลยได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆในหนัง แล้วก็เอามาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์บ้านเรา ในเรื่องจุดเด่นของหนัง มีอยู่คำเดียว คือ เกียรติยศของทหาร หรือความภาคภูมิใจในการเป็นทหาร จุดหักมุมก็คือ การจากไปอย่างไร้เกียรติเมื่อได้ทำผิด ไม่ว่าจะเป็นทหารยศชั้นไหน
A few good men มักใช้ในใบปิดประกาศรับสมัครทหารของนาวิกโยธิน ซึ่งต้องการคนเก่งซึ่งมีอยู่ในจำนวนน้อย การฝึกนั้นเท่าที่ดูจากหนังหลายเรื่อง ค่อนข้างจะหนักไปทางหนักมาก การที่จะได้เข้าไปอยู่ในหน่วยนี้ได้จึงเป็นความภาคภูมิใจอยู่นิดๆ ในบ้านเราเคยมี นาวิกโยธินอเมริกัน หน่วย MAG 15 (Marine Aircraft Group 15) ซึ่งย้ายฐานปฏิบัติจากเวียดนามเข้ามาอยู่ครั้งหนึ่ง ที่น้ำพอง ขอนแก่น เพื่อรบเข้าไปในลาวและเขมรด้วย แต่ก็อาศัยความช่วยเหลือในด้านต่างๆจากหน่วยทหารอเมริกันอื่นๆจากอุดรธานี พ่อบ้านเล่าให้ฟังว่า การเป็นอยู่เต็มไปด้วยความยากลำบาก อาศัยอยู่ในเต๊นท์ ต้องระวังงูกันตลอดเวลา เพราะค่ายอยู่ในป่า ในสมัยนั้นยังเป็นสนามบินลับๆ เหล่านาวิกเรียกค่ายนี้ว่า Rose garden ซึ่งเอามาจากชื่อเพลงของดอลลี่ พาร์ตัน ที่มาร้องเพลงปลอบขวัญให้กำลังใจทหารอยู่เนืองๆ เท่าที่สังเกตุดูพฤติกรรม นาวิกโยธินดูจะมีระเบียบวินัยมากกว่าทหารบกหรือทหารอากาศ ที่มีความเป็นอยู่จะสะดวกสบาย ออกคำสั่งอะไรออกไปก็ได้ตามนั้น ดูจะไม่มีข้อแม้อะไรเลย เล่าให้ฟังเป็นการปูพื้นถึงระเบียบวินัยที่ได้รับฟังมา

ทีนี้มาเรื่องในหนัง เป็นเรื่องของทหารที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ ทำให้ผู้บังคับบัญชามักจะไม่พอใจ และนำมาซึ่งการลงโทษสั่งสอน ที่ไม่มีในกฏหรือวินัยของนาวิกโยธิน ที่เรียกกันว่า Code red ซึ่งมีทหาร 2 นาย รับหน้าที่ไปปฎิบัติ แต่โชคร้าย ทำให้ทหารที่ถูกทำโทษเสียชีวิต ในการสืบสวนสอบสวนหาคนทำผิด ก็มีนายทหารฝ่ายธรรมนูญเข้ามาเป็นทนายให้ ซึ่งครั้งแรกก็ต้องการให้ทหารสองนายนั่นรับผิด โทษจะได้ลดน้อยลง จำคุกแค่ 6 เดือน แต่ทหาร 2 นายนั่นไม่ยอม ถือว่า ได้รับคำสั่งให้ปฎิบัติที่เขาต้องทำตาม เขาปฎิบัติตามหน้าที่ จะผิดได้อย่างไร เรื่องชักจะเข้าเค้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ที่ไม่ว่าตำรวจหรือทหาร ที่เข้าไปทำหน้าที่ดูแลผู้ชุมนุม ที่จากคลิปในทีวีเราจะเห็นการทำร้าย การยิง การลอบยิง หรือใช้ระเบิดกัน บางทีเราเห็นผู้ชุมนุมล้มลงนอนแล้ว ตำรวจผ่านไปเตะเสยคางให้เห็น สมัยก่อนๆมีการกระทืบ ทุบด้วยด้านปืนในโรงแรมก็มี อย่างนี้ตำรวจ-ทหารเหล่านั้นผิดหรือเปล่า มีคำตอบค่ะจากหนังเรื่องนี้


เนื้อเรื่องในหนังนอกจากจะตั้งใจให้เห็นเกียรติยศของทหารแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการปฎิบัติหน้าที่ของสองฝ่าย คือผู้บังคับบัญชาค่ายทหาร ที่ต้องการทำหน้าที่ของตัว เพื่อความปลอดภัยของชาติ โดยจะทำทุกอย่างที่ไม่มีใครสามารถจะหยุดการกระทำได้ อีกฝ่ายหนึ่งคือทนายของทหารที่เสียชีวิต ทำหน้าที่ทุกวิถีทางที่จะเอาความจริงออกมาให้ได้ ผลสุดท้ายความจริงก็ออกมา นายทหารผู้บัญชาการมีความผิด ที่ออกคำสั่ง ทหารสองนายที่รับคำสั่งให้ไปปฎิบัติหน้าที่ลงโทษ ก็มีความผิดไปด้วย...แต่...ไม่ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมด ฐานฆาตกรรม เพราะทำตามคำสั่ง ไม่ผิด..ฐานร่วมมือกันฆาตกรรม....ไม่ผิด แต่ในพฤติกรรม ความเหมาะสม ที่ตัวเองเป็นทหารนาวิกโยธิน การทั้งหมดที่ได้กระทำลงไปนั้น...มีความผิด เกียรติของทหารต้องไม่ใช่ทำร้ายผู้คน คำพูดในตอนท้ายของหนังแสดงถึงหน้าที่ของตัวเองที่ต้องมีเกียรติถึงการกระทำ ไม่ว่าของทนายที่ต้องเอาความจริงออกมา และเกียรติของทหารที่ต้องป้องกันชาติ เป็นรั้วของชาติ และที่ต้องไม่ลืมก็คือ ไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ค่ะ

รอบรั้ว เรื่องเล่า เขื่อนของกุ่นและต้าอวี่

Tuesday, October 19, 2010


ช่วงนี้บ้านเราน้ำกำลังไหลหลากท่วมบ้านเรือนไปทั่ว ก็เกิดจากฝนที่ตกลงมาหนักเป็นเวลาต่อๆกันหลายวัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ น้ำในเขื่อนพร่องจนเกือบแห้ง จนต้องห้ามชาวบ้านปลูกข้าวก่อนกำหนด เพราะกลัวว่าน้ำจะมีไม่พอ แต่พอถึงหน้าฝน กลายเป็นว่ามาจนล้นเขื่อน เรื่องนี้ครูมีนิทานจากจีนมาให้อ่าน ซึ่งที่จริงก็แฝงเอาไว้กับประวัติศาสตร์จีน ถ้าอ่านในแนวประวัติศาสตร์เรื่องก็จะออกมาในเรื่องคนที่เก่งในเรื่องชลประทาน แต่เพื่อไม่ให้เรื่องนี้หายไป เขาจึงเล่าในแนวนิทาน ซึ่งก็ต้องแอบเอาของวิเศษเข้าไปช่วยในการแต่งเรื่องให้คนติดตาม หรือเด็กๆได้ตาโตตอนฟังนิทาน เรื่องมีอยู่ว่า

ในประเทศจีน เรื่องราวเกี่ยวกับ “อวี่”แก้ปัญหาอุทกภัยเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่ท่านทราบไหมว่า “กุ่น” ผู้เป็นบิดาของ“อวี่”ก็เป็นวีรบุรุษอีกคนหนึ่งที่สร้างคุณงามความดี ในการแก้ปัญหาอุทกภัยเช่นกันค่ะ
ในสมัยดึกดำบรรพ์ของจีน เกิดภัยน้ำป่าไหลหลาก ต่อเนื่องกันถึง 22 ปี พื้นพิภพและพืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ จมน้ำหมด ชาวบ้านพลัดที่นาคาที่อยู่ อีกทั้งยังถูกคุกคามจากสัตว์ร้ายด้วย จำนวนประชากรจึงลดลงอย่างรวดเร็ว “เหยา”ผู้เป็นกษัตริย์ทรงห่วงใยทุกข์สุขของประชาชน จึงเรียกหัวหน้าเผ่าชนต่าง ๆ มาประชุม เพื่อหาผู้สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม ในที่สุด “กุ่น”ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ทำหน้าที่นี้ “กุ่น” รับคำสั่งนี้ไว้ ต่อหน้าอุทกภัยที่ร้ายแรง เขาขบคิดตั้งนาน จึงนึกถึงสุภาษิตจีนประโยคที่ว่า “พลทหารมานายพลต้าน น้ำไหลมาดินกั้น” จากประโยคนี้ เขาได้แนวความคิดที่ดีคือ สร้างทำนบล้อมรอบหมู่บ้าน ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้น้ำท่วม หมู่บ้านได้ แต่ว่า ที่ไหนก็มีแต่น้ำป่าไหลหลาก จะไปหาก้อนหินและดินที่ใดมาสร้างทำนบได้เล่า ขณะที่“กุ่น” กำลังกลุ้มใจอยู่นั้น มีเต่าวิเศษตัวหนึ่งคลานขึ้นมาจากน้ำและบอกว่า “บนสวรรค์มีสิ่ง วิเศษชนิดหนึ่งเรียกว่า ซีหรั่ง ถ้าเธอได้ซีหรั่งแล้ว โปรยไปสู่พื้นพิภพ ซีหรั่งก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเนินสูงและตั้งเป็นเขื่อนกั้นน้ำ ” “กุ่น”ฟังแล้วดีใจมาก จึงลาเต่าวิเศษตัวนั้น เดินทางไปภาคตะวันตกที่ไกลแสนไกล

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานานวัน “กุ่น” จึงไปถึงภูเขาคุนหลุนที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกและพบเทพเจ้า เขาอ้อนวอนขอเทพเจ้าประทานซีหรั่งให้ เพื่อนำไปต้านภัยน้ำหลาก ช่วยชีวิตของชาวบ้าน แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ “กุ่น”ห่วงใยทุกข์สุขของชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนจากอุทกภัย จึงถือโอกาสที่องครักษ์ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ ไปขโมยสิ่งวิเศษที่เรียกว่า “ซีหรั่ง” จนสำเร็จ เมื่อ “กุ่น” กลับถึงประเทศตนที่อยู่ทางตะวันออก ก็รีบนำซีหรั่งโปรยในน้ำ อย่างที่เต่าวิเศษตัวนั้นพูด พอโปรยซีหรั่งในน้ำ ซีหรั่งก็เติบโตขึ้นรวดเร็ว น้ำขึ้น1เมตร ซีหรั่งก็โตขึ้น 1 เมตร น้ำขึ้น 10 เมตร ซีหรั่งก็ขึ้น 10 เมตร ไม่นาน น้ำก็ถูกกั้นอยู่นอกเขื่อน ชาวบ้านที่พ้นจากอุทกภัยดีใจมาก ทุกคนรีบทำไร่ไถนา เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยน้ำท่วม

เทพเจ้าทรงทราบเรื่องที่ “กุ่น” ขโมยซีหรั่งไป จึงมีโองการให้ทหารสวรรค์ไปเอาซีหรั่งกลับคืนมา เมื่อซีหรั่งถูกนำไปจากพื้นพิภพแล้ว น้ำป่าไหลหลากจึงทำลายเขื่อน น้ำท่วมไร่นา ชาวบ้านเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก กษัตริย์เหยาทรงกริ้วมาก พระองค์ตรัสว่า “กุ่นรู้จักแต่สร้างทำนบกั้นน้ำอย่างเดียว เจ้าไม่รู้ว่า ถ้าทำนบพังลงแล้ว จะสร้างภัยที่ร้ายแรงกว่า ไปแก้ปัญหาอุทกภัย 9 ปีก็ยังไม่สำเร็จ น่าจะลงโทษประหารชีวิต” กษัตริย์ “เหยา” โปรดให้ขัง “กุ่น” ที่เขาอวี่ซันสามปีและประหารชีวิตเสีย ก่อนถูกลงโทษ กุ่นก็ยังคิดถึงชาวบ้านที่เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม

อีก20ปีต่อมา กษัตริย์เหยาได้โอนราชบัลลังก์ให้ “ซุ่น” กษัตริย์“ซุ่น”ให้“ต้าอวี่”บุตรของกุ่นไปแก้ปัญหาอุทกภัยต่อ เทพเจ้าก็ ประทานซีหรั่งให้ต้าอวี่ ตอนแรก ต้าอวี่ก็ใช้วิธีสร้างทำนบกั้นน้ำเช่นเดียวกับบิดา แต่เมื่อทำนบ สร้างเสร็จแล้ว น้ำที่ถูกกั้นไว้กลับรุนแรงกว่า ทำนบมักจะถูกซัดกระหน่ำจนพังลงมา ทดลองมาหลายครั้ง ต้าอวี่จึงได้รู้ว่า “การแก้ปัญหาอุทกภัย วิธีกั้นอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องควบคู่กับวิธีการระบายน้ำด้วย” ต้าอวี่จึงให้เต่าวิเศษตัวหนึ่งขนซีหรั่ง ตามเขาไป ไปถึงพื้นที่ต่ำ ก็ใช้อิทธิฤทธิ์ของซีหรั่งทำให้ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเป็นเนินสูง พร้อมกันนี้ เขาอาศัยการนำร่อง ของมังกรวิเศษตัวหนึ่ง นำชาวบ้านไปขุดคลองระบายน้ำให้ไหลลงสู่ทะเล

เล่ากันว่า ต้าอวี่ใช้อิทธิฤทธิ์ของตนผ่าภูเขา หลงเหมินเป็นสองส่วน ให้น้ำในแม่น้ำเหลืองไหลจากหน้าผา ไปสู่ข้างล่าง กลายเป็นช่องแคบหลงเหมิน ต้าอวี่ยังผ่าภูเขาที่อยู่ระหว่างทางระบายน้ำให้เป็นหลายส่วน น้ำจึงไหล เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปสู่ทะเลตุงไห่ ทั้งนี้ก็เป็นที่มาของช่องแคบ “ซานเหมิน” นานแสนนานมาแล้ว ช่องแคบหลงเหมินกับช่องแคบซานเหมินล้วนเป็นสถานที่ ที่ขึ้นชื่อลือชาเพราะ น้ำไหลเชี่ยวและมีทัศนียภาพสวยงาม

เรื่องราวเกี่ยวกับต้าอวี่แก้ปัญหาอุทกภัยยังมีมากมายหลายเรื่อง เล่ากันว่า ต้าอวี่แต่งงานได้เพียง 4 วันก็รับคำสั่งไปแก้ปัญหาน้ำท่วม ในช่วงเวลา 13 ปี เขาผ่านหน้าบ้านสามครั้ง แต่ไม่เคยเข้าบ้านเลย ครั้งหนึ่ง ขณะที่เขาผ่านหน้าบ้านนั้น ภรรยาเขาได้คลอด ลูกชายชื่อ ”ฉี่” พอดี แม้ต้าอวี่ได้ยินเสียงร้องไห้ของทารกแล้ว แต่ก็อดกลั้นใจไว้ไม่แวะเข้าบ้านของตนเขาอดทนต่อความยากลำบากและความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นเวลานาน ต้าอวี่จึงประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาอุทกภัย แม่น้ำ สายใหญ่มีทางระบายน้ำ ลำธารสายน้อยสายใหญ่บรรจบกันไหล ไปสู่ทะเล ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เพื่อขอบคุณต้าอวี่ ประชาชนจึงเคารพนับถือต้าอวี่เสมือนหนึ่งกษัตริย์ กษัตริย์ซุ่นก็ทรงยกราชบัลลังก์ให้ต้าอวี่ เนื่องจากเขาได้สร้างคุณ งามความดีในการพิชิตอุทกภัย

ในสังคมสมัยดึกดำบรรพ์ที่กำลังการผลิตค่อนข้างต่ำ ประชาชนร่วมแรงร่วมใจต่อสู้กับน้ำป่าไหลหลาก เทพนิยายก็แสดง ให้เห็นความปรารถนาที่จะพิชิตภัยธรรมชาติของประชาชน “กุ่น”กับ “ต้าอวี่”จึงเป็นวีรบรุษตัวแทนที่แสดงถึงความปรารถนา ของประชาชน ในเทพนิยายดังกล่าวนี้ ประสบการณ์และอุปสรรคต่าง ๆ ในกระบวนการแก้ปัญหาอุทกภัยของ “กุ่น”และ“ต้าอวี่”ก็เป็นประสบการณ์ในการต่อสู้กับภัยน้ำท่วมของตน ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ บรรพบรุษของเราอาศัยภูมิปัญญา และประสบการณ์ของตน สรุปวิธีการจัดการปัญหาอุทกภัยคือ ต้องสร้างทำนบกั้นและขุดคลองระบายน้ำ เทพนิยายเกี่ยวกับ การแก้น้ำท่วมของ “กุ่น”และ “ต้าอวี่”ก็เล่าขานกันมาจนบัดนี้

ภาพ//wikipedia.org
เรื่อง//CRI/ChinaABC

รอบรั้ว บ้านที่ต้องซ่อมแซมและพัฒนา

Wednesday, October 13, 2010

ครูได้ดูหนังเพราะเกิดไปเจอเข้าโดยบังเอิญหลายๆครั้ง จบแล้วก็แล้วไปเป็นส่วนมาก แต่บางเรื่องต้องจำเอาไว้ วันหลังถ้ากลับมาฉายอีกก็จะได้ตั้งใจดู วันนี้มีหนัง 2 เรื่อง ที่ครูดูแล้วแม้จะไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ ก็พอจะมีเรื่องราวให้เอามาคิดได้ เรื่องที่ได้ดูคือ Invictus ที่ดำเนินเรื่องในประเทศอัฟริกาใต้ อีกเรื่องคือ The perfect catch (Fever pitch) เป็นหนังรัก- ตลกของอเมริกัน ทั้งสองเรื่อง เนื้อหาก็ไม่มีอะไรสำคัญมาก หากแต่ว่าเบื้องหลังบางอย่างในเรื่อง ที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนั่นที่สำคัญกว่า

ในเรื่อง Invictus อินวิคตัส ไร้เทียมทาน ชื่อในภาษาไทย เรื่องจะพูดถึงการแข่งรักบี้ซึ่งอัฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพในปี 1995 ในขณะนั้นยังมีการเหยียดผิวอย่างรุนแรงอยู่ แมนเดลลาเอง อยากให้คนในประเทศลืมเรื่องในอดีตกันให้หมด แล้วก็ร่วมกันสร้างประเทศให้เจริญต่อไป เขาจึงสนับสนุน ให้กำลังใจทีมรักบี้ของอัฟริกาใต้ ผู้เล่นส่วนมากเป็นคนผิวขาว ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจอะไรนัก การให้กำลังใจนั้น เป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับทีมตรงข้าม ซึ่งทีมที่สำคัญคือทีม All blacks จากนิวซีแลนด์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งการที่จะปรองดองให้คนอัฟริกาใต้ซึ่งเป็นคนผิวดำส่วนมากเลิกเกลียดชังคนผิวขาว ที่ทำให้เห็นในหนังก็คือ ส่งทีมรักบี้ไปสอนเด็กนักเรียนให้เล่นกีฬานี้ เหมือนกับยื่นมือคนผิวขาวให้คนดำจับมือเอาไว้ กีฬาเป็นเครื่องประสานใจของคนในชาติ เพราะนักกีฬาต้องสู้ให้กับประเทศที่เป็นของทุกคน ไม่ว่าผิวดำหรือขาว ที่สำคัญการให้กำลังใจกับทีมรักบี้ของเมนเดลาก็คือเล่าเรื่องที่ตัวเองติดคุกอยู่ 27 ปี.....อะไร....เป็นแรงขับ อะไร...เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอดทนยืนรอคอยได้ถึงขนาดนั้น เขากล่าวถึงบทกวีชิ้นหนึ่งของชาวอังกฤษที่เขียนโดย William Ernest Henley บทกวีชิ้นนั้นคือ Invictus ซึ่งอันที่จริงน่าจะแปลตามความรู้สึกว่า ไม่ยอมแพ้เสียมากกว่า เพราะเป็นแรงขับเคลื่อนของจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ เป็นบทกวีที่ทำให้แมนเดลลาฮึดสู้

Invictus

Out of the night that covers me,
Black as the pit from pole to pole,
I thank whatever gods may be
For my unconquerable soul.

In the fell clutch of circumstance
I have not winced nor cried aloud.
Under the bludgeonings of chance
My head is bloody, but unbowed.

Beyond this place of wrath and tears
Looms but the Horror of the shade,
And yet the menace of the years
Finds and shall find me unafraid.

It matters not how strait the gate,
How charged with punishments the scroll,
I am the master of my fate:
I am the captain of my soul.

หนังจบลงด้วยดี จะเห็นคนทั้งประเทศดีใจ ไชโยโห่ร้องไปทั่วประเทศเมื่อเห็นทีมของตัวเองชนะ หนังเรื่องนี้สอนเราให้ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ คือความปรองดองของคนในประเทศ การแข่งขันรักบี้ แต่ท้ายสุด ความปรองดองของคนในชาติก็มีให้เห็น ทีมรักบี้ก็คว้าถ้วยชนะเลิศไปครองได้...อยากให้ไปดูนะคะ แล้วเอามาคิด การปรองดองของคนในชาติ คนไทยเราไม่น่าจะรุนแรงเหมือนกับประเทศอัฟริกาใต้ นั่นมันคนละเผ่าพันธุ์ คนของเรานี่เชื้อชาติเดียวกัน ภาษาเดียวกัน ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย คิดให้ได้...ว่าแตกแยกกันเพราะอะไร...ขอแค่คิดอย่างเดียว...ตั้งสติให้ดี อย่าเชื่อใครง่ายๆ ยิ่งนักปลุกระดมแล้ว...ต้องตั้งคำถามในใจของตัวเองให้มาก...กาลามสูตร เรื่องอย่าเพิ่งเชื่อ...ต้องเอามาประกบกับคำที่เข้าหูทุกครั้ง...พวกนี้เก่งเกินคนธรรมดาอยู่แล้วในการโน้มน้าวใจ…

อีกเรื่องหนึ่งคือ The perfect catch เป็นเรื่องของคนที่ชื่นชอบกีฬาที่เป็นทีมของตัวเอง ถ้าจะเทียบกับกีฬาบ้านเราก็คือ ฟุตบอล ที่เรามีสโมสรของจังหวัดทั่วประเทศ อย่างอุดรธานีก็มีทีมของเราอยู่ คืออุดรธานี เอฟซี (ยักษ์แสด) เมื่อก่อนชื่อ อุดรไจแอนท์เสียด้วย ครูเคยเขียนไปครั้งหนึ่งแล้ว เพราะไม่เห็นด้วยที่จะตั้งชื่อไจแอนท์ หรือแม้แต่ยักษ์แสดก็เถอะ เพราะท้าวเวสสุวรรณท่านไม่ใช่เป็นยักษ์ธรรมดา ท่านเป็นท้าวจตุโลกบาล เป็นผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ คนจีนนับถือท่านเป็นไฉ่ซิ่งเอี้ย เป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวยทีเดียว แล้วเรามาเรียกท่านว่ายักษ์แสดเสียเฉยๆ ครูเคยคิดว่าจะเดินไปบอกสักวัน ขอเสนอว่าให้เปลี่ยนเป็นทีม The Guardian แทน ความคิดเห็นก็คือคงอยากจะตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษกัน เพราะดูทีมไหนๆก็เอาแต่ภาษาอังกฤษกันหมด ครูก็คิดว่า ผู้คุ้มครองที่ตรงกับภาษาอังกกฤษก็คือ The guardian ตรงตัวเลย นอกเรื่องไปเยอะแล้ว กลับไปที่หนังเรื่อง The perfect catch กันต่อ เรื่องนี้ กีฬาเป็นชีวิตจิตใจของคนอเมริกันอย่างที่เรานึกไม่ถึง เมืองบอสตันเป็นเมืองหลวงของรัฐแมสซาจูเซตส์ มีทีมเบสบอล เรด ซอคส์ ที่ยืนยงมาตั้งแต่ปี 1901 นั่นก็ฝังรากลึกลงไปไม่รู้ว่ากี่รุ่นแล้ว จะเห็นว่าคนที่เข้าไปชมการแข่งขันนั่นแน่นสนามทุกครั้ง เพราะเขาถือว่านั่นเป็นทีมของเขา เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมทีเดียว และตั้งกันเป็นชนชาติเรด ซอคส์ (ชื่อทีม) เก้าอี้ที่นั่งชมในสนามส่วนหนึ่งก็เป็นเหมือนกับมรดกกันทีเดียว ถ่ายทอดกันมา ทีนี้อะไรในหนังเรื่องนี้ที่สอนให้หันมาดูตัวเราเองบ้าง ความรักค่ะ ความรักอย่างแน่นแฟ้น...ในทีมของตัวเอง...เราได้สร้างความรักในทีมของเราบ้างหรือเปล่า มีใครไปดูทีมของจังหวัดเราบ้าง แน่นสนามบ้างมั๊ย...ทีมเราแข่งชนะแล้ว ได้แห่ทีมให้ชาวเมืองได้ดีใจกันบ้างหรือเปล่า...ครูไม่เคยเห็นเลยนะ ในสนามก็ดูโหรงเหรงเต็มที....แล้วเราจะปลูกความรักในกีฬาของคนในจังหวัดได้อย่างไร...ยาก..ยากมากกกกค่ะ....จุดเริ่มต้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก....เราไม่เห็นการแข่งขันแบบเหย้าเยือนของโรงเรียนต่างๆ (ซึ่งจำเป็นต้องมี) เราไม่ได้เห็นการเอาใจใส่อย่างจริงจังเลย ที่ทำอยู่นี่ ดูเหมือนจะทำเพื่อเงิน เพื่ออาชีพนักฟุตบอล เลยตั้งเป็นสโมสรกันขึ้นมา มีนายทุน มีผู้จัดการทีม หานักกีฬาแบบซื้อๆขายๆกัน ฯลฯ....เอาละนั่นก็เป็นจุดหมายปลายทางที่ใครๆก็อยากจะเห็น แต่ต้นทางล่ะ...หันกลับไปดู ครูว่ามีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีที่มา...เรากลับไปเริ่มต้นได้ค่ะ เริ่มตั้งแต่เด็กๆกันเลย นับหนึ่งกันตั้งแต่วันนี้ แล้วเราก็จะได้พลเมือง...ชาวอุดรธานีที่ใส่ใจต่อทีมกีฬาของเขาเองตามมา...เอาละครูไม่ได้เล่าเรื่องหนังให้ฟัง อยากให้ไปหาดูกันเอง สนุกกว่าครูเล่าให้ฟังแน่ๆ...หนังจบแล้ว ก็หันมาดูตัวเราเองบ้าง เผื่อเห็นมุมมองที่ต่างออกไป และจะได้กลับมาพัฒนากีฬาบ้านเราได้ค่ะ