Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว ห้องสอบ

Friday, December 21, 2007

ยาพิษ:
ศิลปิน :บอดี้ลำดวน(3)

อัลบั้ม:Save my grade
เรื่องง่ายๆแต่ความหมายสุดลึกล้ำ
เรื่องง่ายๆที่ตูเรียนประจำซ้ำไปซ้ำมา
คิดจะตอบแต่ก็ตอบอย่างไม่คิด
รู้ไหมว่าหนึ่งชีวิตของใคร ต้องเกิดปัญหา
*เรียนซ้ำปางตาย
ติดเอฟกระจาย
คิดว่าคงได้D
แต่แล้วเป็นไง...
กับข้อสอบร้ายๆ
**จะสอบ ยังคึกคัก
จิ้งจกยังมาทัก
แต่เราไม่เคยสน
ก้อไปมั่วเอา
อ่านโจทย์ก้อไม่รู้
ตาลายมองไม่เห็น
ห้องแอร์ก้อไม่เย็น
นาฬิกาตาย
คำตอบที่ไม่เคยคิด
ที่จริงก็คือยาพิษ
ทำลายชีวิตของคนงงงวย
เคยจะรู้บ้างหรือเปล่า
คิดหรือเปล่า
ว่าตัวเองนั้นจะซวย
พิษของข้อสอบ
ร้ายแรง แค่ไหน
เพื่อนว่าง่าย
อันตรายอย่างมหันต์
รู้ไว้ด้วยว่าความหมายของมันสำคัญ แค่ไหน
*,**
solo
แล้วการสอบ หลอกหลอนหัวใจ
เห็นข้อสอบมันทนไม่ไหว
หน้าที่ 1 ยังทำไม่ด้ายยย
แล้วจะได้คะแนนเท่าไร
โจทย์มันลวง สุดท้ายเสียใจ
แปลไม่ออกนั่งหัวหมุนไป
ทบและทวนไตร่ตรองทำไม
ให้ปากกาตัดสิน
**จะสอบ ยังคึกคัก
จิ้งจกยังมาทัก
แต่เราไม่เคยสน
ก้อไปมั่วเอา
อ่านโจทย์ก้อไม่รู้
ตาลายมองไม่เห็น
ห้องแอร์ก้อไม่เย็น
นาฬิกาตาย
คำตอบที่ไม่เคยคิด
ที่จริงก็คือยาพิษ
ทำลายชีวิตของคนงงงวย
'จารย์จะรู้บ้างหรือเปล่า (รู้บ้างหรือเปล่า)
กระดาษที่เรานั้นเขียนตอบ
ไม่มีคำตอบ
คงต้องเรียนซ้ำอีกรอบ
พิษของข้อสอบ
.....เห็นเนื้อเพลงนี้แล้ว หัวใจจะวาย และนี่คือความจริงที่พ่อแม่ควรจะรับรู้เอาไว้ ใครก็ตาม ที่ส่งลูกพ้นประตูบ้านไปแล้ว ในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น มันเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของลูกไปหมด....เพลงนี้ บรรยายอะไรๆได้ยังกับเข้าไปนั่งในหัวใจเด็กมหา'ลัย

แล้วคนที่เป็นพ่อแม่สังเกตได้อย่างไร ว่ามันเป็นจริงอย่างที่ว่า....เกรดค่ะ....เกรดของเด็กปี 1 เทอมแรก...อธิบายให้เห็นรูปธรรมของเด็กปี 1 ได้อย่างดี เคยสอบถามว่าอยู่หอพักเป็นอย่างไรบ้าง...เพื่อนๆ เป็นอย่างไร ที่รู้เลาๆก็คือ....ไม่ค่อยมีเวลานอนกัน...บางคนไม่หลับไม่นอนเลย....ตื่นก็โน่น 11 โมง หรือไม่ก็เที่ยงไปเลย...เรียนตอนบ่าย....อิสระภาพ...ๆ....ๆ....ๆ ท่วมห้องนอน ใครก็ตามนะคะ ไม่อยากเจอยาพิษในห้องสอบ ต้องเปลี่ยนนิสัยค่ะ อย่าตามใจเกมส์ ตามใจกิเลศให้มาก หัดดื้อกับมันบ้าง ไม่ใช่ดื้อกับพ่อแม่อย่างเดียว

ก็ขอให้โชคดี...ตั้งใจเรียน...ตั้งใจสอบในเทอมปลายค่ะทุกๆคน และสำหรับคนที่จบไปแล้ว และที่กำลังจะจบ..หรือจบๆเสียที ก็ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ ที่ได้ผ่านยาพิษมาหลายขนาน แล้วก็รอดมาได้

รอบรั้ว สังคมพ่อแม่



เมื่อเช้านั่งฟังผู้ปกครองคนหนึ่ง เล่าถึงลูกสาว ..ที่ชื่อ อะตอม เด็กที่ขึ้นมาบ้านครู...เล่นเกมส์บ้าง บางครั้ง..แล้วก็รู้จักบังคับตัวเอง ไม่หลงเล่นจนเกินพอดี เขารู้จักแบ่งเวลา ทำกิจกรรมอื่นๆ ผู้ปกครองเขาพูดถึงลูกเขา เกี่ยวกับเรื่องการเรียนว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องสอบได้ที่ 1 ของห้องหรอกลูก...เพราะมันจะเหนื่อย ในการรักษาตำแหน่งที่ 1 ของห้อง เพราะบางคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียน จนไม่มีเวลาที่จะหายใจ ดูแล้ว..มันเหนื่อยแทน


อันที่จริง...เรื่องนี้ ครูเองก็เห็นด้วย แต่ไม่ทั้งหมด ถ้าเด็กตั้งใจเรียนดี เขาสามารถที่จะก้าวมาเป็นเด็กเก่งของห้อง ลองให้เขามีความตั้งใจมากขึ้นก็ทำได้...แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ในการรักษาตำแหน่งแชมป์ของห้อง เราสามารถสอนให้เด็กรู้จักแบ่งปัน...ถ้าเราเกิดไม่ได้ที่ 1 ขึ้นมา เราต้องรู้ว่า การแบ่งให้เพื่อนได้ที่ 1 นั้น ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ควรจะยินดีกับเพื่อนคนนั้น ที่เก่ง ที่พยายาม ที่พัฒนาการเรียนของตนเองขึ้นมาอยู่ขั้นนี้ได้


ครูเอง เพิ่งเคยเห็นเด็กที่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการเรียน การสอบ กับตำแหน่งที่ 1 ในห้อง ที่เขาบอกว่าเขาสามารถทำได้ แต่ไม่ทำ ทั้งๆที่เมื่อก่อนนั้น เขาอยู่ในระดับกลางๆ...แล้วก็ดันตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งที่ 1 สองครั้ง (ลำดับ 11 ของห้อง)ได้ ครูคิดว่า ถ้าอะตอมมีความคิดที่จะเอาที่ 1 ของห้องมาให้พ่อแม่ได้ยิ้มกับการเรียนของลูกได้ โดยที่ไม่คิดว่าลูกจะเหนื่อยจนเกินไป ก็น่าจะทำ และต่อไป....บีม...กรีน...วิน...หรือแม้กระทั่งตั้ม ก็สามารถมีแนวคิดอย่างนี้ได้ โดยเอาที่ 1 มาประดับฝาบ้านสักครั้ง ลองดูมั้ยคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 9:44 AM

รอบรั้ว เมืองอุดรเมื่อก่อนเก่า

Monday, December 17, 2007


รูปนี้ถ่ายที่วัดโพธิสมภรณ์ มองจากหน้าวัดเข้าไป เมื่อเดือนกรกฎาคม 2505 ในพิธีรับศพและทำบุญศพท่านเจ้าประคุณธรรมเจดีย์ แต่จากรูปที่ให้สังเกตนั้น เราจะเห็นการแต่งตัวของเด็กนักเรียนในสมัยนั้น ต่างจากที่พวกเราแต่งกันในปัจจุบัน คือวัฒนธรรมการสวมหมวก ซึ่งเรารับมาจากชาวตะวันตก เพื่อเป็นการแสดงว่าเราเองก็เจริญเทียมเท่ากันแล้ว เราก็ต้องพัฒนาการแต่งกาย กริยามารยาทก็ต้องเลียนแบบเขามา การทักทายเราก็อาจได้ยินมาบ้างจากบทพูดในภาพยนตร์ที่ย้อนยุคไปสมัยนั้น เช่น อรุณสวัสดิ์ สายันต์สวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ท่านชายกลาง อะไรทำนองนี้


ครูเองสมัยเป็นเด็กนักเรียนก็เคยสวมหมวกกะโล่สีขาวหรือไม่ก็หมวกปีกสีขาวอยู่ระยะหนึ่ง ทำหล่นหายไปก็คงจะหลายใบ แล้วก็จำไม่ได้ว่าเขาเลิกกันตอนไหน แต่ระเบียบการแต่งกายแบบสวมหมวกนี้เริ่มใน พ.ศ. 2499 ระเบียบการแต่งกายของนักเรียนเราก็ยังยึดถือแบบนั้นอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน จะยกเลิกไปก็คือวัฒนธรรมการสวมหมวกนี่แหละ


จะแปลกไปก็คือการเรียนการสอนในสมัยนั้น (พ.ศ. 2499) ที่เขาแยกย่อยจุดประสงค์ในการเรียนการสอนชั้นอนุบาล ซึ่งคาดกันว่า การสอนนั้นก้าวล้ำหน้าไปถึง 20 ปีทีเดียว และในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนอนุบาลแพร่หลายเหมือนในสมัยนี้ ครูอยากให้ดูว่าเด็กในสมัยนั้นเขาต้องทำอะไรบ้าง และครูในสมัยนั้นต้องสั่งสอน อบรมลูกศิษย์กันแบบไหน

1. อบรมความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนการเล่นและร้องเพลง
2. อบรมให้มีความประพฤติดี มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด ไม่ได้มุ่งแต่จะให้อ่านออกเขียนได้
3. ทำให้เด็กมีอารมณ์ชื่นบานผ่องแผ้วอ่อนโยน โดยที่ได้พบเห็นแต่ความสวยสดงดงาม ตลอดจนสิ่งที่ดี งามอันเป็นที่เจริญตา เจริญใจ เช่น ได้เห็นสีต่าง ๆ อันเป็นสีที่เย็นตาเย็นใจ ได้เห็นของสวย ๆ งาม ๆ เช่น ดอกไม้ รูปภาพ ธรรมชาติที่งดงาม สถานที่และเครื่องใช้ เห็นสิ่งที่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดตา
4. หัดให้คิด ให้สังเกต ค้นคว้าหาเหตุด้วยตนเอง เพื่อสร้างความเจริญงอกงามให้แก่จิตใจของเด็ก ปลูกฝังอันดีงาม โดยจัดทำตัวอย่างที่ดีติดตาติดใจเด็กไป
5. ปลูกฝังให้รู้จักรักสวยรักงาม เช่น แต่งกายเรียบร้อย มีระเบียบ สะอาด
6. ให้รู้จักเข้าแถวตามลำดับ ใครมาก่อนมาหลัง เพื่อให้รู้จักสิทธิ์ของผู้มาก่อน มาหลัง
7. ปลูกฝังให้เป็นคนอดทนต่อความไม่พอใจ ความโกรธ ความหิวและเพื่อความพร้อมเพรียง
8. รู้จักเคารพต่อคำสั่ง ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ
9. ปลูกฝังให้เป็นผู้มีใจดี มีเมตตากรุณาที่เป็นคุณธรรมอันสูงสุดของมนุษย์และเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เช่น ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เอาเปรียบ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ให้มีโอกาสได้เลี้ยงสัตว์ เช่น กระต่าย เป็ด ไก่ นก ฯลฯ เด็กจะได้มีใจอ่อนโยน รักใคร่เอ็นดูสัตว์ที่ตนเลี้ยง ทำให้ไม่เป็นคนใจดำอำมหิต โหดร้าย
10. หัดให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้เด็กชายรู้จักความเป็นสุภาพบุรุษไม่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่าตน ไม่เอารัดเอาเปรียบ โอบอ้อมอารี ไม่ทำลายของที่เป็นสาธารณประโยชน์ ไม่ขีดเขียนตามฝาและตู้โต๊ะ
11. อบรมให้มีนิสัยไม่เย่อหยิ่งจองหอง ทุกคนต้องมีสิทธิ์เสมอกันไม่ว่าใครจะเกิดมาในสกุลใด ให้รักกันดังพี่น้อง ให้เด็กเห็นคุณค่าของการเป็นคน เข้าไหนเข้าได้ ไม่เป็นที่รังเกียจของหมู่คณะให้รู้ว่าเกียรติยศนั้นอยู่ที่ความประพฤติดี มีมารยาทสุภาพ มีใจโอบอ้อมอารี เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป
12. อบรมให้มีนิสัยสุภาพอ่อนโยนไม่ใช่อ่อนแอ แข็งแรงไม่ใช่แข็งกระด้าง พูดจาอ่อนหวานน่าฟังไม่เอะอะตึงตัง มีมานะบากบั่นกล้าหาญ
13. มีศีลธรรมประจำใจ ไม่ทำลายประโยชน์ของผู้อื่นและส่วนรวมเพื่อตน ไม่ปรักปรำใส่ร้ายผู้อื่นเพื่อให้ตนพ้นผิด มีเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนร่วมโลก รู้จักเสียสละประโยชน์ตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
14. หัดให้มีความซื่อสัตย์ กล้ารับผิด รู้จักบังคับใจตนเอง เกลียดและมีความละอายที่จะทำความชั่ว
อบรมให้เกิดความรักเกียรติของโรงเรียน รักหมู่ รักคณะ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ
15. สอนให้มีความภูมิใจในชาติของตน ปฏิบัติตนตามหน้าที่พลเมืองดี เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา มีความเคารพในองค์พระมหากษัตริย์
16. ให้ใช้วาจาอ่อนหวาน รู้จักกล่าวคำสวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ รู้จักให้เกียรติแก่ผู้ที่ทำความดี เช่น ตบมือ
17. ให้รู้จักขนบธรรมเนียมและประเพณีของไทย เช่น การเคารพ การถอดหมวก และรองเท้าก่อนขึ้นบ้านและโรงเรียน
18.ให้เด็กมีอิสรภาพ รู้จักรับผิดชอบและเคารพในสิทธิของผู้อื่น เพื่อส่งเสริมให้เกิดนิสัยอันดีงาม เช่น ให้มีตู้เก็บสิ่งของของตนเป็นส่วนสัด รวมทั้งเครื่องใช้ในการเรียน การฝีมือ จะได้รู้จักรับผิดชอบและเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
19. ส่งเสริมให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ฝึกให้รู้จักการประหยัดทรัพย์ รู้จักเก็บ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์
20. หัดให้กล้าในที่ควร เช่น ให้แสดงตัวบนเวทีในการเล่น และการเรียน ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวเด็กอยู่แล้ว คือเด็กชอบเด่น
21. ให้รู้จักระเบียบของชีวิต เช่น กิน นอน เรียน เล่น เป็นเวลา ให้รู้จักแบ่งเวลาและการใช้เวลา
22. อบรมให้รู้จักสิ่งที่ล้อมรอบ เช่น บิดามารดา พี่ป้าน้าอา เพื่อนบ้าน สัตว์เลี้ยง พื้นดิน ต้นไม้และธรรมชาติอันสวยงาม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เช่น พาไปชมสวนสัตว์ สวนพฤกษชาติ
23. หัดให้พึ่งตนเอง เช่น ปฏิบัติกิจส่วนตัวได้เอง มีแต่งตัว รับประทานอาหาร อาบน้ำ ปูที่นอน
24. การรับประทานอาหาร ฝึกไม่ให้รับประทานมากอย่าง และเหมือนกันทั้งคนมีคนจน
25. ควบคุมมารยาทในเวลารับประทาน เวลานอน และเวลาเล่น เช่น ไม่ให้รับประทานมูมมาม สกปรกเปรอะเปื้อน เวลานอนไม่ส่งเสียงอึกทึกให้เป็นที่รำคาญของผู้อื่น เป็นการหัดให้รู้จักเกรงใจผู้อื่น ไม่เอาแต่ใจตนฝ่ายเดียว
26. ฝึกให้รู้จักการประหยัด รู้จักเก็บ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น การเล่นอะไรหรือทำอะไรแล้วให้เก็บและทำความสะอาด ไม่แต่งกายหรูหรา
27. ให้เด็กได้มีการร้องเพลง รำละคร เต้นรำ กระโดดโลดเต้น เพื่อความสนุกสนานรื่นเริงและอนามัยที่ได้ออกกำลัง และเปลี่ยนอิริยาบท


ลูกๆจะเห็นข้อปฎิบัติของเด็กอนุบาลในสมัยนั้นนะคะ ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง เรียนอะไรบ้าง อายุของเด็กอนุบาลในสมัยนั้นคือ 3ปีครึ่ง ถึง 6 ปีค่ะ มีเรื่องให้เขาทำในโรงเรียนเมื่อแยกย่อยออกมาแล้ว ตั้ง 27 ข้อ เดี๋ยวนี้ที่ลูกต้องเรียน ต้องปฎิบัติ ต้องฝึกฝนอยู่ มีอะไรบ้างคะ
source: http//gold.pbru.ac.th/rLocal


Posted by ครูพเยาว์ at 9:00 AM

รอบรั้ว สังคมเด็กๆ 2

Saturday, December 15, 2007


เดี๋ยวนี้ สมองมักจะตีบตัน นึกอะไรไม่ค่อยออก อึดอัด กับอากาศที่ปนไปกับมลพิษที่พ่นมาทั่วทุกทิศ หันไปทางไหนก็มักเจอะเจอกับคนที่เดือดร้อนไปทั่วจากผลของราคาน้ำมันที่กำลังจะบั่นทอนให้เราต้องจนลง ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่ง รวยขึ้นและก็มีแต่จะรวยขึ้น.....อย่าพูดอีกเลย


มาดูเด็กๆของเราดีกว่า ว่าเขาเจอกับอะไรมาบ้าง...บั่นทอนความสามารถของเขาให้ลดน้อยลง ทุกวัน และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น...เมื่อวานได้รับรายงานจากมหาวิทยาลัย ถึงผลการเรียนของเจ้าคนเล็ก...อ่านแล้ว ก็รู้สึกหนักใจ ถึงแม้เขาบอกว่า มันยังพอจะแก้ไขได้ คำพูดดูง่าย..แต่การกระทำกลับไม่


หลายปีมาแล้ว เรามีปัญหากับเกมส์ต่างๆที่ต่างเสนอเข้ามาให้เด็กของเราเข้าไปเล่น พัฒนาการจากเกมส์กระโดดขึ้น กระโดดข้าม หลบหลีกของมาริโอ...กลืนกิน คืบคลานเข้าหาพื้นที่ คลุมพื้นที่ให้หมดของแพคแมน...จนกระทั่ง ถึงเกมส์ที่สะเทือนไปทั่วเมืองไทย จากผลงานของเกาหลี "รักนรก"...และเกมส์อื่นๆอีกมากที่มีวิธีเล่น วิธีต่อสู้ที่มากหลายรูปแบบ จนเด็กของเรา หลงไหลไปกับมันแบบไม่รู้จักจบสิ้น แทบพูดว่า ต้องกินเกมส์เป็นภักษาหารเลยทีเดียว


ถอยหลังจากนี่ไป 30 ปี สมัยนั้นก็มีเกมส์เล่นไม่หลากหลายแบบทุกวันนี้ เราอาจไม่เห็นอีกแล้ว กับโต๊ะบอล พินบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพินบอลนั้น เป็นที่คลั่งไคล้กันอย่างมาก ร๊อด สจ๊วต, เอลตั้น จอห์น หรือแม้แต่วงร้อคอย่าง The Who ต่างก็มีเวอร์ชั่นร้องเพลง Pinball Wizard ออกมาทุกคน บรรยายถึงคนที่คลั่งเกมส์นั้นว่า That deaf, dumb and blind kid, sure plays the mean pinball. ต่างคนก็ต่างแสวงหาโต๊ะพินบอลที่ตั้งอยู่ตามสถานที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปเล่นทำแต้มให้สูงสุด เป็นเจ้ายุทธจักรของโต๊ะ เพราะโต๊ะแต่ละโต๊ะมันไม่เหมือนกัน การฟลิบ กระแทก เขย่าโต๊ะมันต่างกัน trick ของการเล่นของแต่ละคนจึงต้องฝึกต้องลอง และก็ทำให้หลงไปกับการเล่น การทำแต้ม มาสมัยนี้มันหนักกว่าสมัยนั้นมาก เกมส์ มาหาเด็กของเราถึงห้องนอน อาการของเด็กจึงกลายเป็น That deaf, dumb and blind kid, sure plays the mean games all. เล่นกันทั้งวัน ทั้งคืน ทุกเกมส์ เทอมแรกของปีหนึ่ง จึงต้องสูญเสียจอคอมพิวเตอร์ไปหนึ่งจอ กับเมนบอร์ดไปหนึ่งตัว


รูปที่เอามาลงให้ดู เหมือนจะไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกันเลย แต่อยากเปรียบเทียบให้เห็นว่า เด็กที่เล่นเกมส์ เห็นเกมส์เป็น Stairway to heaven หนทางสู่สวรรค์ หรืออย่างไร เขาได้อะไรจากเกมส์ที่เขาคลั่งไคล้ นอกจากจะสูญเสียเวลาจากการทำหน้าที่ของนักเรียน นักศึกษา....ถ้าจะแย้งว่า นี่จะไม่ให้เขาเล่น พักผ่อนสมอง บ้างเลยหรือ .... ไม่ใช่ค่ะ เล่นได้...และก็พอเหมาะพอควร....อะตอม...เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ 9 ขวบ เรียนชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ก็เข้ามาเล่นเกมส์อยู่เหมือนกัน แต่เด็กเขามีวินัย หมดเวลา เขาเลิก....เขาเล่นฟุตบอล...ลุยแบบเด็กผู้ชาย...เล่นเทนนิส อีกวันเขาเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ แต่งตัวให้ตุ๊กตา ไม่ได้คลั่งแต่เกมส์คอมพิวเตอร์อย่างเดียว เมื่อวานเข้ามาที่บ้าน เห็นพี่เขานั่งเล่นเกมส์อยู่ถึงออกปากว่า "พี่...ไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร"


อยากบอกว่า เด็กๆ ลูกๆ ควรที่จะสำนึกในหน้าที่ของตัวให้ดี ไม่มีใครอยากเห็นลูกหลานตกต่ำหรอก อยากให้ตั้งใจเรียนให้ดี มองอนาคตว่าจะเดินไปในทางไหน ต้องปรับตัวอย่างไรกับสังคมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป วางตัวเราอยู่ตรงไหน ถึงจะรอดพ้นจากการบีบรัดของภาวะต่างๆ เช่นเศรษฐกิจ การงาน ฯลฯ

Posted by ครูพเยาว์ at 10:05 AM

รอบรั้ว โรงพยาบาลของเรา โรงพยาบาลอุดรธานี

Friday, December 7, 2007


เกือบ 4 เดือนแล้ว ที่ต้องเข้าๆออกๆอยู่กับโรงพยาบาล เพราะตัวเองต้องไปหาหมอฟัน สามีก็ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเกือบเดือน กว่าจะเดินเหินไปไหนมาไหนได้บ้าง จากที่ต้องหามเข้ารักษา จนกระทั่งนั่งรถเข็นออกจากที่แห่งนี้ แล้วก็เวียนเข้าเวียนออกจนกระทั่งเดินได้เกือบจะหายดี แต่ก็ยังค่ะ คุณหมอท่านยังไม่ไว้วางใจ ยังต้องเข้าไปให้ดูเป็นระยะๆ
...
จากการที่ได้เข้าไปคลุกคลีอยู่เป็นเวลานาน ก็สังเกตเห็นว่า งานรักษาของคุณหมอแต่ละคนนั้น ช่างหนักหนาเอาเสียจริงๆ ดูจำนวนคนป่วยที่เข้ามากับจำนวนหมอที่ต้องรับมือแล้ว มันช่างห่างกับคำว่าสมดุลย์ พอเหมาะพอควรเสียเหลือเกิน นี่หมอหนึ่งคนต้องรับมือกับคนป่วยเท่าไหร่กันแน่นี่
...
คุณหมอที่ต้องไปเจอเป็นประจำของสามีคือ คุณหมอวิสุทธิ์ ตันรัตนาวงศ์ คุณหมอสุดา จิรกุลสมโชค คุณหมอสุณี เศรษฐเสถียร คุณหมอสุกัญญา ภัยหลีกลี้ ดูชื่อของคุณหมอให้ดีนะคะ ถ้าผู้ปกครองคนไหนอยากให้ลูกเป็นหมอละก้อ หาชื่อให้มีคำว่า "สุ" ติดชื่อไว้สักหน่อยก็ดี แม้กระทั่งคุณหมอผู้ชายนายแพทย์วิสุทธิ์ ก็ยังมี "สุ" ติดเป็นโลโก้อยู่เลย แต่ลูกสาวของคุณหมอวิสุทธิ์ดูจะไม่เรียนหมอนะคะ เพราะคงจะขยาดกับหน้าที่ๆต้องเจอ แต่คุณหมอทุกคนก็อารมณ์ดีอยู่เสมอ คุณหมอสุกัญญาเองรักษาคนป่วยจนตัวเองต้องมาป่วยเสียพักหนึ่ง ถามพยาบาลว่าเป็นอะไรไป คำตอบที่ได้รับคือ งานหนักค่ะ กรำงานหนักค่ะ นิวโมเนียถามหาให้คุณหมอรู้จักรักษาตัวไว้ด้วย
...
คุณหมอที่ครูต้องเจอ ไม่มี "สุ"ติดเอาไว้ แต่ก็ยังมี "ส" อยู่ คุณหมอสิริรัตน์ วีระเศรษฐกุลค่ะ นี่ก็ต้องไปเจอท่านทุกเดือนเหมือนกันจนกว่าฟันของครูจะสวย แต่ถ้าลูกๆขึ้นไปชั้น 4 ของโรงพยาบาลละก็ จะเห็นคนรอคิวนับไม่ถ้วนเลยละค่ะ เหมือนๆกันทุกหมอ
...
ถ้าเราเข้าไปในโรงพยาบาล ป้ายที่เราจะเห็นอยู่รอบๆโรงพยาบาลก็จะเป็นป้ายบอกเกี่ยวกับผลร้ายของการสูบบุหรี่เสียเป็นจำนวนมาก และดูๆชาวบ้านที่มานั่งรอคนป่วย ญาติผู้ป่วยจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก สูบบุหรี่ตรงป้ายห้ามนั่นแหละ ถ้าเดินไปด้านหลังแถวที่จอดรถเป็นต้องเจอ กับป้ายอีกป้ายหนึ่งที่ดูจะเป็นที่ต้องการของโรงพยาบาลมากคือ HA มันอะไรกันหนอ HA นี่.....ถามไปถามมาว่าคืออะไร จนกระทั่งได้คำตอบมาว่าเป็นการรับรองคุณภาพของโรงพยาบาล ซึ่งจะต้องพัฒนาให้ถึงเกณฑ์อย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนครูที่ต้องประเมินผลของการสอนนั่นแหละ แต่ในโรงพยาบาลนี้ในห้องหนึ่ง ต้องให้ HA HA HA คือต้องมี 3 ตัว คือห้องกายภาพบำบัด ของคุณระลึก ปรัชญากร เพราะคนป่วยในห้องของท่านดูจะอารมณ์ดีกันพิเศษ มีเรื่องคุยกันระหว่างคนป่วยสารพัดเรื่อง มีเสียงหัวเราะกันตลอด ขนาดเจ็บอยู่ยังอดขำ อดยิ้มไม่ได้
...
สิ่งที่ครูอยากพูดเป็นพิเศษ อยากบอกทุกคนให้ได้รับรู้คือ โรงพยาบาลของเรา มีงบประมาณไม่พอแน่ สิ่งนี้น่าห่วงที่สุด ดูรถเข็นคนป่วยหน้าโรงพยาบาล ไม่ได้รับการซ่อมแซม เบาะขาดหายไปเยอะ เตียงเข็นคนป่วย ระดับความสูงไม่สัมพันธ์กับเตียงคนไข้ เวลาจะเคลื่อนย้ายจากรถลงเตียง หรือเอาคนป่วยจากเตียงขึ้นเตียงรถเข็น ทำให้คนป่วยได้รับความเจ็บปวด ครูเห็นมาแล้ว ถึงแม้จะมีตัวช่วยอย่างเช่นสไลด์ เลื่อน โดยมีผ้าช่วยดึง ก็เจ็บปวดอยู่ดี เรามีเงินช่วยจากภาษีที่เราจ่าย เราจะจ่ายให้พรรคการเมืองได้ คนละ 100 บาททุกปี เราน่าจะจ่ายให้กับโรงพยาบาลได้ โดยไม่มีข้อแม้ เพราะนี่คือโรงพยาบาลของเรา หรือจ่ายให้กับโรงเรียนไหนก็ได้ที่เราเห็นควร เพราะนั่นก็คือโรงเรียนของเรา...และอีกนาน น น น กว่าคนไทยจะมีพรรคการเมืองในดวงใจ....เพราะพรรคการเมืองเป็นของนักการเมือง..นายทุนพรรค ยังไม่มีเหมือนกับต่างประเทศ ที่เขาถือพรรคเป็นพรรคของเขา เมืองไทยที่น่าจะมีตอนนี้ ถ้าเข้าใจไม่ผิดก็ประชาธิปัตย์พรรคเดียว ที่ไม่มีเจ้าของพรรค....เอ้า ครูออกนอกเรื่องเสียแล้ว
...
ถ้าเราสามารถจ่ายภาษีของเราได้จากการระบุของเราก็จะเป็นการดี ครูจะไปถามเรื่องนี้จากสรรพากรอีกที เผื่อว่าเงินของเรากลับมาช่วยเรา ดังใจของเรา ไม่ใช่ให้ใครไม่รู้เจียดแบ่งมาให้ ใครเห็นด้วยยกมือขึ้นค่ะ

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า แมวเอ๋ย แมวเหมียว



แมวเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟัน (ร้องลำแขกบรเทศ) นาย ทัด เปรียญ แต่ง บทท่องจำ ป. 1

แมวเอ๋ยแมวเหมียว.................รูปร่างปราดเปรียวเป็นนักหนา
ร้องเรียกเหมียวเหมียว เดี๋ยวก็มา...เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู
รู้จักเอารักเข้าต่อตั้ง.................ค่ำค่ำซ้ำนั่งระวังหนู
ควรนับว่ามันกตัญญู................พอดูอย่างไว้ใส่ใจเอย ฯ


ใครๆหลายคนชอบเลี้ยงแมวกัน แมวไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก Siamese cat เราจะเห็นในหนังหลายเรื่อง ในทางที่ดีบ้าง ในทางที่ชั่วร้ายบ้าง เพราะบางทีดูเป็นแมวเจ้าเล่ห์ แต่ใครที่เลี้ยงแล้ว ก็จะรักมัน ที่บ้านเคยเลี้ยงแมวเอาไว้จับหนู ทั้งๆที่เจ้าแมวขาพิการ เดินกะเผลกๆ แต่หนูก็ไม่มีให้เห็น จนกระทั่งเอาหมามาเลี้ยง แมวกลับอยู่ไม่ได้ เพราะเข้ากันไม่ได้กับแมว เดี๋ยวนี้เห็นหนูวิ่งอยู่แถวบ้านกันขวักไขว่ หมาจับหนูไม่เก่งเท่าแมว แต่สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว ก็ไม่สามารถเข้าบ้านได้ง่ายๆ มันป้องกันถิ่นที่อยู่ได้เต็มกำลังของมัน


กำลังคอยอยู่ว่าเมื่อหมาครอกนี้แก่ตายไป จะเอารุ่นใหม่มาเลี้ยง ทั้งหมาและแมว เผื่อว่าถ้าเอามาเลี้ยงแต่ตัวเล็กๆ สามารถที่จะสอนมันให้เข้ากันได้ ทำนอง "ไม้อ่อนดัดง่าย" เพราะบางบ้านอย่างบ้านของคุณย่า เห็นหมากับแมวอยู่ด้วยกัน แบ่งกันกินแบ่งกันอยู่ ไม่ได้รบกันกัดกัน

เด็กๆของเราก็เหมือนกันค่ะ ถ้าเราสอนจริยธรรม คุณธรรมอย่างแข็งขันตั้งแต่เล็กๆ อนาคตของบ้านเราก็จะก้าวย่างไปในทางที่ดี อย่าคอย..ว่าให้โตกว่านี้สักนิด ให้พูดกันรู้เรื่องก่อน แล้วค่อยสอน...ถึงตอนนั้น สายไปแล้วค่ะ "ความรู้คู่คุณธรรม" ต้องเริ่มตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อยค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:08 AM

รอบรั้ว สังคมเด็กๆ

Thursday, December 6, 2007


เมื่อไม่กี่วันมานี้ นั่งฟังท่านมหา ว.วชิรเมธี เทศน์เรื่องเกี่ยวกับอนาคตของสังคมไทยว่าจะเป็นอย่างไร จากช่อง ASTV ในช่วงตี 5 ฟังแล้วก็เห็นด้วย 100% กับคำเทศน์ของท่าน เรามีปัญหาเรื่องของคุณภาพคนในทุกสังคม ไม่ว่าในวงการเมือง วงการข้าราชการทั้งหมด ครูบาอาจารย์ และเด็กๆของเรา เรามีคนที่ไม่ค่อยจะมีคุณภาพอยู่เยอะ ดูตัวอย่างซิ....คุณเห็นเรื่องการซื้อเสียงเลือกตั้ง ส.ส. อย่างไร...คนของเรารับเงิน...85% แถมไม่มีการฟ้องร้องความผิดนี้ให้ กกต.รับทราบ....โกงเลือกตั้ง ส.ส.โกง ไม่เป็นไร..แต่ขอส่วนแบ่งด้วย....นี่คือคนของเรา ท่านบอกว่า เราไม่ได้ดูประวัติย้อนหลังเลย อย่างเช่นเยอรมัน ญี่ปุ่น ที่แทบสิ้นเนื้อประดาตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง...แต่เขาก็ตั้งตัวได้..นั่นเพราะคุณภาพของคนตัวเดียว


เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชียที่เราเคยฝันคิดอยากจะเป็น...ก็ได้แต่ฝันร้าย ที่ตื่นขึ้นมา เราเดินตามหลัง เวียตนามไปเรียบร้อยโรงเรียนโฮจิมินไปแล้ว เคยคิดว่าตัวเองเด่นกว่ามาเลย์ แล้วก็เปล่าเลย เดินตามหลังตลอด กับสิงคโปร์นั่นหรือ เกาะที่ใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตหน่อยเดียว เมื่อเทียบกับอำเภอในจังหวัดอุดรละก็ พอๆกับอำเภอหนองวัวซอ ถ้าลูกๆยืนอยู่หน้า ธกส อุดรธานี ความกว้างของเกาะสิงคโปรก็เท่ากับขี่รถไปถึงอำเภอสระใครของหนองคาย เลยอำเภอเพ็ญไปหน่อยเดียว ความยาวของเกาะจากหน้า ธกส ถึงอำเภอกุมภวาปีเป๊ะๆ แต่สิงคโปรก็สามารถเข้าไปซื้อกิจการต่างๆ ไม่ว่าธนาคารใหญ่ๆของไทย ดาวเทียมของไทย ฯลฯ ซื้อไปหมด ตกลงเรามีแต่เปลือกเท่านั้นที่เป็นไทย ข้างในล้วนต่างชาติเข้ามาเกาะกุมหมด ไม่เพียงแค่เมืองไทยที่สิงคโปร์เข้าไปซื้อกิจการ แถบนี้โดนกันทุกชาติ หลังสุดนี่การโทรคมนาคมของอินโดนีเซีย ก็โดนไปเต็มๆ


อะไรคือตัวสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์ เกาะเล็กๆเท่ากับอำเภอหนองวัวซอทำให้แทบทุกชาติต้องสั่นสะเทือน นั่นคือคน...คนที่มีคุณภาพ อะไรที่ทำให้อิสราเอลแข็งสู้กับชาติอาหรับรอบๆด้านได้ ถ้าไม่ใช่คุณภาพของคน ที่คิดว่าอเมริกันหนุนหลังอยู่นั่นมันก็มีส่วน แต่ถ้าคนอิสราเอลไม่ยืนขึ้นสู้ก่อน ใคร พระเจ้าที่ไหนจะเข้าไปช่วย รับรองได้เลยว่าไม่มี แล้วคนที่มีคุณภาพสร้างได้อย่างไร...การศึกษาค่ะ....อย่างเดียวเท่านั้น


มหาตมะ คานธี เคยพูดเอาไว้ว่า อะไรที่ทำให้อินเดียที่ในสมัยนั้นมีประชากร 300ล้านคน ต้องตกอยู่ในอาณัติของอังกฤษที่มีทหารจำนวน สามแสนคนได้ ท่านยอมรับในสมัยนั้นว่า "คือการศึกษา"....ดาบหรือจะสู้ปืนได้....จีนก็สภาพเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้จีนสามารถยิงจรวดได้แล้ว สร้างอะไรต่อมิอะไรได้เหมือนกัน พอๆกับฝรั่งอั้งม้อได้ ข้างล่างเรา มาเลเซีย ส่งนักบินอวกาศไปท่องนอกโลกแล้วนะคะ สิงคโปร์กำลังเริ่มวางแผนก่อสร้างสถานีขนส่งอวกาศแล้ว ต่อไปจะบินไปชมวิวนอกโลก ต้องไปขึ้นที่สนามบินที่สิงคโปร์ค่ะ


แล้วเด็กๆของเราทำอะไรอยู่คะ ตอนนี้ hi5 ค่ะ ไม่ว่าลูกหรือหลาน ทุกคนกำลังเห่อ hi5 กัน ใครไม่มีก็ต้องเชยแล้ว นี่มาพูดตอนนี้ก็ถือว่าเพิ่งตื่นค่ะ เชยไปแล้ว เพราะเขาไปอวดคำพูดที่เราเข้าไปฟังแล้ว ไม่รู้เรื่อง (มะรุเรื่อง)...เฮ้อ ลูกเอ้ย บางคนปลุกกันทางhi5 เป็นเสียอย่างนั้น แต่ก็ดี จะได้รู้ว่า ลูกหลานคนไหนเป็นอย่างไร เพราะถ้าเราตามไปดู ที่เพื่อนๆเขาพูดกันทุกคน ก็จะรู้ว่า อ้อ นี่หนีเรียนอยู่คนหนึ่ง อ้อ..เพิ่งไปเมากันมา..เมื่อคืน เราจะได้"รุเรื่อง"บ้าง เพราะเขาเหล่านั้น บางคนอยู่ภูเก็ต อยู่กรุงเทพ อยู่ขอนแก่น เราไม่สามารถตามไปดูได้ทุกคน บางคนฉลาดล้ำไปหน่อย เข้าดูไม่ได้ ต้องสมัครเข้ากลุ่มก่อน นี่ก็ถือว่าชั่วร้ายพอตัว (ต้องคิดอย่างนั้นไว้ก่อนค่ะ ลูกๆ)


ที่เอามาพูดเรื่องนี้ ก็เพราะเมื่อเราจะแสดงว่าเรารักใคร มันไม่ใช่แค่โทรศัพท์บอกในวันแม่ หรือวันพ่อ ว่าผม..หนู..รักแม่ค่ะ รักพ่อครับ หรืออะไรๆแบบนั้น...หน้าที่ ที่กำลังรับผิดชอบอยู่ตรงนั้นคืออะไร ถ้านักเรียน ก็ต้องเอาใจใส่ในหน้าที่ ขณะนั้น คือเรียนให้ดีที่สุด...เป็นครู ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เป็นทหารก็ทำหน้าที่ของตัวเองที่รับมอบหมายให้ดี ตำรวจ...ข้าราชการ ..นักการเมือง ฯลฯ ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด นั่นคือคุณภาพของคนค่ะ แต่เราจะหวังว่าให้ทุกคนนั้นดีไปหมดนั้น ไม่ได้แน่ ก็ได้แต่หวังกับเด็กๆในอนาคตเท่านั้น ว่าเราดูแล ตักเตือน ให้เห็นดีเห็นงามกับคุณภาพของคนในอนาคตว่าต้องเป็นอย่างไร ในคืนที่มืดมิด มีแค่แสงจันทร์เท่านั้นที่สาดส่อง ทุกอย่างดูมืดมัว เราจะเดินไปไหน เราจะหลงทางหรือไม่ การศึกษา เป็นเหมือนแสงอาทิตย์ที่ส่องทางได้ "นัตฺถิ ปัญฺญา สมา อาภา" ไม่รู้ว่าเป็นคำขวัญของโรงเรียนหรือ สถานศึกษาไหน แต่คำแปลคือ "แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี" นั่นคือจุดสูงสุดของปรัชญาการศึกษา ลูกๆต้องจำไว้ให้ได้ค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 11:04 AM

รอบรั้ว โรงเรียนในเมืองนอก

Friday, November 30, 2007


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ครูได้ดูหนังอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโรงเรียนที่อยู่ในอเมริกา ที่เราเองมักลอกต้นแบบการศึกษาของเขามาใช้อยู่เป็นประจำ และจากสภาพของความสัมพันธ์ของเด็กนักเรียน และครูก็ได้ถ่ายทอดผ่านออกมา นึกไม่สบายใจเท่าไหร่นักกับสภาพอย่างนั้นนัก เพราะมันก็ยังฝืนความรู้สึกกับความเป็นคนไทย ที่ยังต้องเคารพผู้มีอาวุโสอยู่เป็นเบื้องต้น แต่อย่างน้อยกับคำพูดที่ว่าดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ทำให้หนังเรื่องนี้สะท้อนอะไรออกมาหลายๆอย่าง เช่นระบบที่เราคิดว่าดี มันก็ไม่ใช่ดีอย่างที่ว่า เพราะคนคุมกฎก็ยังเป็นคน ที่ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เป็นอาวุธประจำกาย กฏที่ว่าดีๆ พังพินาศไปทันที และยังทำให้เราเห็นคนดีๆ ครูดีๆ ที่มีความพยายามช่วยเหลือเด็กให้ประสบกับความสำเร็จ ทั้งการเรียนและในการดำรงชีวิต

หนังเรื่องนี้คือเรื่อง "Freedom Writers" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆในโรงเรียน Woodrow Wilson High School ใน เมือง Long Beach รัฐ California เป็นเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่เข้าทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน แล้วก็เข้าไปผจญกับเด็กนักเรียนผิวสีต่างๆที่ต่างก็มีปัญหาในการดำรงชีวิตให้รอดในเมืองนั้น ซึ่งแบ่งออกเป็นพวกผิวดำ ลาติน เอเชีย และผิวขาว ที่ไม่ถูกชะตากันเลย ต้องถือพรรค ถือพวก เข้ากันไม่ได้ แล้วก็ออกมาฆ่ากัน ยิงกันตามท้องถนน ตามแต่โอกาสจะอำนวย เรื่องนี้เกิดราวปี 1999 แต่หนังที่สะท้อนเรื่องนี้ออกมา ปี 2007 ราวเดือนมกราคมค่ะ เอาละ เข้าเรื่องเลย หญิงสาวที่เข้ามาเป็นครูสอน ชื่อ Erin Gruwell เอ-ริน กรูเวล ..... ครูกรูเวลหลังจากที่เข้าสอนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กถึงเกลียดเธอ โดยเฉพาะเด็กผิวดำที่แสดงออกมานอกหน้า หลังจากที่อดทนสอนเรื่อยมา และสังเกตการรวมกลุ่มของเด็กๆในโรงเรียนก็เริ่มเข้าใจถึงการแบ่งแยกสีผิวของเด็กๆในโรงเรียน จนวันหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งวาดรูปการ์ตูนล้อเลียนเด็กผิวดำคนหนึ่งแล้วก็ส่งต่อกันในห้อง แล้วก็หัวเราะกัน ครูกรูเวล เอารูปนั้นมาดู แล้วก็บอกว่านี่ มันไม่ถูกต้อง ในสมัยก่อนหน้าโน้น ชาวยิวก็โดนพวกนาซีเยอรมัน สร้างความดูถูกเหยียดหยาม จงเกลียดจงชังให้มีกับชาวยิว จนต้องจับชาวยิวไปฆ่าทิ้งเป็นล้านคน ก็เนื่องมาจากการ์ตูนล้อชาวยิว จมูกงุ้ม และโตรูปนั้น เหมือนกับในโรงเรียนเดี๋ยวนี้ที่ถือเชื้อชาติ สีผิว ไม่ผิดเพี้ยน แล้วครูก็พยายามให้เด็กได้อ่านประวัติของแอน แฟรงค์ ที่หนีไปสู่อิสระภาพได้ว่าต้องเจออะไรมาบ้างในช่วงวัยเด็กของเธอ แต่โรงเรียนก็ไม่ยอมให้เธอยืมหนังสือออกจากห้องสมุด ไปให้เด็กอ่าน จากตอนนี้ในหนังก็แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องของคนที่ถือกฏ กลัวว่าถ้าหนังสือไปถึงมือนักเรียนเมื่อไหร่ละก็ ไม่มีทางที่จะได้คืนมาสู่โรงเรียนอีก
แล้วจากในหนังเราก็ได้เห็นความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของครูอีกนั่นแหละ ที่จะเอาชนะอุปสรรคให้ได้ โดยยอมทำงานล่วงเวลาอีก 2 ที่ เพื่อที่จะเอาเงินนั้นมาซื้อหนังสือให้เด็กได้อ่าน จนเด็กๆเห็นความตั้งใจของเธออย่างแท้จริง
เธอพยายามหาทุนให้เด็กๆของเธอได้ทัศนศึกษานอกสถานที่ โดยเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่เก็บเอาเรื่องราวของค่ายกักกัน ห้องสังหารหมู่ชาวยิว เรื่องราว รูปภาพอันทารุญโหดร้ายที่ชาวยิวได้รับในสมัยนั้นให้เด็กๆได้เข้าไปชม ซึ่งเด็กไม่เคยได้รับโอกาสรับรู้มาก่อนหน้านี้ เธอสามารถติดต่อกับคนที่มีชีวิตในช่วงสงครามที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว ที่ยังมีชีวิตอยู่ในยุโรป ในออสเตรีย เชิญมาเล่าเหตุการณ์จริงๆให้เด็กนักเรียนฟัง หนังจบไปด้วยดีค่ะ เด็กๆทุกคนต่างก็เปลี่ยนทัศนคติในด้านร้ายๆต่อกัน และหันมาปรองดองกันได้ ตั้งใจเรียนกันทุกคน เธอได้สอนเด็กจนจบจากโรงเรียน และยังติดตามไปดูแล แม้จะไปเรียนขั้นมหาวิทยาลัยไปแล้ว เด็กนักเรียนของเธอ ก็ได้เขียนเรื่องราวของเขาสู่ชาวโลกในหัวข้อเรื่อง Freedom Writers จนเป็นที่รู้จักกันทั่ว
อย่างไรก็ตาม แม้หนังเรื่องนี้ทำให้คนดูขยาดกับสภาพของการเป็นอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองที่คนยอมรับกันว่าเจริญแล้ว แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไป เราอาจเคยชินการเป็นอยู่แบบเรา เขาก็ต้องเคยชินกับการอยู่แบบนั้น ดูหนังแล้ว ก็ทำให้รักเมืองไทยขึ้นมาเป็นกองค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 9:18 AM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ สิ่งที่เกิดจากการหักเหของแสง

Tuesday, November 13, 2007

การหักเหของแสงทำให้เกิด





________1. การเกิดรุ้งกินน้ำ ภาพตามธรรมชาติที่สวยๆที่ทาบลงบนท้องฟ้า ยามหลังจากฝนตกลงมา เป็นที่มาของนิทานที่น่าฟัง จากของคนรุ่นหนึ่งส่งต่อไปอีกรุ่นหนึ่ง เช่นเป็นสะพานที่ข้ามเดินไปสู่หากันของคนรักที่จากกันมานาน หรือถ้าหากเราเอาถังไปรองรับสิ่งของที่ตกลงมาจากสวรรค์ ก็จะได้เพชรนิลจินดา แท้จริงแล้วนั่นคือ การเกิดจากการหักเหของแสงและการสะท้อนของแสงในละอองไอน้ำมีแสงสี 7 สี คือ แดง, แสด , เหลือง , เขียว , น้ำเงิน , คราม , ม่วง ถ้านำสีรุ้งมาผสมกันจะได้สีขาวหรือสีเท่าอ่อนๆ

_______2. มองเห็นสิ่งของหักเหในแก้วน้ำ นี่เป็นที่สังเกตุได้ง่ายๆที่สุด ถ้าเราเอา ดินสอหรือปากกาไปใส่ลงในแก้วน้ำใสๆ ที่ใส่น้าไว้สักครึ่งแก้ว เราจะสังเกตเห็นทันทีว่า ถ้าเรามองจากด้านข้างแล้ว ดินสอหรือปากกาที่จมอยู่ในน้ำจะมีขนาดโตกว่าส่วนที่อยู่เหนือน้ำ นั่นก็เกิดจากการหักเหของแสงนั่นเอง
ประโยชน์ของการหักเหของแสง

________1. ทำแว่นตา

________2. ทำกล้องถ่ายรูปทุกชนิด เช่น กล้องถ่ายรูป , กล้องวีดีทัศน์ , กล้องส่องทางไกล , กล้องโทรทรรรศน์ , กล้องจุลทรรศน์ เป็นต้น

Posted by ครูพเยาว์ at 1:05 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา พุทธศาสนสุภาษิต

Monday, October 29, 2007



พุทธศาสนสุภาษิต เป็นสุภาษิตทางพระพุทธศาสนา ที่ช่วยเตือนสติชาวพุทธให้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนสุภาษิต จึงถือเป็นเครื่องช่วยให้เราเข้าใจพระพุทธศาสนามากขึ้น และมีหลักการดำเนินชีวิตที่ดีได้ยิ่งขึ้น ในชั้นนี้ พุทธศาสนสุภาษิตที่ควรศึกษาคือ


1. วิริเยน ทุกฺขขมจฺเจติ (วิ-ริ-เย-นะ-ทุก-ขะ-มัด-เจ-ติ) แปลว่า คนล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร หมายความว่า ความมานะบากบั่น ความเพียรพยายาม จะช่วยให้คนเราสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในการดำเนินชีวิตไปได้ ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม จะต้องประกอบด้วยคุณธรรม คือ ความเพียร จึงจะสามารถทำงานให้ประสบผลสำเร็จลงได้ เช่นความเพียรในการศึกษาหาความรู้ อยากเล่นกีฬาเก่งๆ ก็ต้องหมั่นฝึกซ้อม อยากหลุดพ้นจากความทุกข์ก็ต้องมีความเพียรในการฝึกอบรมตนเอง


2. ปัญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต (ปัน-ยา-โล-กัด-สะ-มิ-ปัด-โช-โต) แปลว่า ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก หมายความว่า โลกของเรามีความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ เนื่องจากคนเราได้ใช้ความรู้ความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆจนเกิดเป็นอารยธรรมสั่งสมสืบทอดต่อๆกันมา การที่โลกของเราเจริญได้ เนื่องมาจากปัญญา หรือความฉลาดรอบรู้ของคนเรา ที่ช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ใช้ปัญญาคิดสร้างสรรค์ความเจริญทางด้านวัตถุหรือเทคโนโลยีต่างๆขึ้นมา ทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า ปัญญาทางโลก ซึ่งมีความสำคัญ ต่อการประกอบสัมมาอาชีพ เพื่อการเลี้นงชีพโดยสุจริต ปัญญาทางโลกนี้ เกิดหรือมีได้จากการศึกษาเล่าเรียน แต่ปัญญาที่มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนายังไม่ใช่ปัญญาทางโลก แต่เป็น ปัญญาทางธรรม คือปัญญาที่เกิดจากการฝึกอบรมสมาธิภาวนา จนถึงขั้นเกิดญาณหยั่งรู้สภาพความเป็นไปของชีวิต ตามความเป็นจริง เป็นปัญญาที่ทำให้เกิดความดับทุกข์ และชีวิตหลุดพ้นจากการการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์


ถ้าปัญญาทางโลกเปรียบเสมือนแสงสว่างของดวงจันทร์ฉันใด ปัญญาทางธรรมก็เปรียบเสมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ฉันนั้น แสงสว่างของดวงอาทิตย์ ทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนเพียงใด ปัญญาทางธรรมก็ทำให้เราสามารถมองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิตได้ชัดเจนเพียงนั้น


ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก"

Posted by ครูพเยาว์ at 1:24 PM

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า กาพย์ยานี 11 แม่ ก กา

Saturday, October 27, 2007


กาพย์ยานี 11 (แม่ ก กา)

๏ แม่ไก่อยู่ในตะกร้า..............ไข่ไข่มาสี่ห้าใบ
อีแม่กาก็มาไล่.........................อีแม่ไก่ไล่ตีกา
๘๘๘๘
๏ หมาใหญ่ก็ไล่เห่า..............หมูในเล้าแลดูหมา
ปูแสมแลปูนา.........................กะปูม้าปูทะเล

๏ เต่านาและเต่าดำ.................อยู่ในน้ำกะจระเข้
ปลาทูอยู่ทะเล.........................ปลาขี้เหร่ไม่สู้ดี ๚๛
๘๘
ครูยังจำได้อยู่เท่าทุกวันนี้ ว่าเคยอ่านท่องจำกับบทนี้มาแล้ว เมื่อมาเจอเข้าอีกครั้ง ก็ยังนึกถึงว่า มันก็สนุกดีนะ กับเรื่องที่ปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งหมดนั้น นอกจากจะสร้างจินตนาการให้เด็กๆแล้ว ยังฝึกการออกเสียงที่ถูกต้องสำหรับเด็กเล็กๆได้อย่างดี โดยเฉพาะตัว ล ลิง กับ ร เรือ ครูยังเสียดายบทท่องจำเหล่านี้อยู่ค่ะ เลยต้องเอาออกมาให้อ่านเล่นๆกันอีกครั้ง ลองถามคุณพ่อคุณแม่ดูซิคะ ว่าเคยท่องจำมาหรือเปล่า บางทีท่านจะท่องให้ฟังอีกครั้งค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 3:40 PM

รอบรั้ว การศึกษา กระบวนการกลุ่ม


ย้อนหลังไปในปี 1970 (พ.ศ.2513) คณะกรรมาธิการของรัฐบาลสหรัฐ ศึกษาถึงเรื่องการมีประสิทธิภาพของการตัดสินใจ ในรูปของกระบวนการกลุ่ม ในการศึกษาครั้งนั้น ต้องใช้ผู้ชำนาญการทางทหาร 30 นาย ไปศึกษาข้อมูลความลับและสืบหาความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงกันข้ามหรือศัตรู


ผู้ชำนาญการแต่ละคนได้วิเคราะห์ข้อมูลและรวบรวมเป็นรายงาน ส่งให้คณะกรรมาธิการเพื่อเป็นการทดสอบ คณะกรรมาธิการได้ให้ "คะแนน"ในแต่ละรายงานที่ส่งเข้าไปว่ามีคุณค่าหรือดีขนาดไหน แล้วก็พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วจาก 100 ข้อมูลงานวิเคราะห์ที่ส่งให้ มีเพียง 7 รายงานเท่านั้นที่ถูกต้องจริงๆ


จากนั้นก็ให้ผู้ชำนาญการแต่ละคนให้อ่านและพิจารณารายงานของคนอื่นๆ แล้วให้เขียนเข้ามาใหม่อีกครั้ง จากผลเฉลี่ยของความถูกต้องครั้งนี้ มีถูกต้อง 79 รายงานจาก 100 ที่ส่งเข้าไป


อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างรายงานแรกและรายงานครั้งหลัง ทั้งๆที่ผู้ชำนาญการเหล่านั้นไม่มีข้อมูลใหม่ๆอะไรเลย ทั้งหมดที่เขารับทราบคือมุมมองของผู้ชำนาญการคนอื่นเท่านั้น เมื่อเขาเอามุมมองที่แตกต่างเหล่านั้นเข้ามารวมกับมุมมองเดิม ความถูกต้องเพิ่มเข้ามาถึง 10 เท่าตัวทีเดียว


ข้อมูลเรื่องนี้มีหลายหน้า แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาของเราเท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นเรื่องในวงการวิศวกรรม ที่เขามองในเรื่องกระบวนการกลุ่มอย่างไร ในการศึกษาของเราเองก็ได้ปฏิบัติในเรื่องกระบวนการกลุ่มกันอยู่เป็นปกติ อยากพูดเรื่องนี้เพื่อที่จะเน้นถึงความสำคัญในการเรียนการสอนว่าเรายังต้องเอากระบวนการกลุ่มเข้ามาจัดการ เด็กๆยังต้องการกลุ่มเพื่อนที่มาปรึกษา แนะนำและช่วยกันทำงาน สังเกตดูเวลาเด็กเล่นฟุตบอลในสนาม เขาเล่นกันเป็นทีมที่เข้ากัน เขาแบ่งหน้าที่กันอย่างไร ใครเป็นกองหน้า ใครเป็นแบ็ค ใครทำหน้าที่จ่ายลูกให้เพื่อนยิงประตู ใครเป็นคนเฝ้าประตู พวกเขาเองทั้งนั้นที่วางยุทธศาสตร์ของทีมเขา ในการเรียนก็เหมือนกัน ให้เขาเองเป็นคนวางแผนในการทำรายงานในเรื่องต่างๆทั้งหมด แล้วเราจะได้เห็นว่า ทีมที่ส่งงานเข้ามานั้น มีความสำเร็จในผลงานเขาขนาดไหน แน่นอนว่า ต้องดีกว่าทำคนเดียวแน่นอนค่ะ


Source : Jared M. Spool


Posted by ครูพเยาว์ at 10:54 AM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ การหักเหของแสง

Tuesday, October 23, 2007

______การหักเหของแสงจะเกิดเมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางต่างชนิดกัน เช่น จากน้ำสู่อากาศ, จากแก้วสู่อากาศ, จากอากาศสู่น้ำ การหักเหจะเป็นไปแนวใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าแสงเดินทางจากตัวกลางใดเข้าไปยังตัวกลางใด โดยการหักเหจะเริ่มที่ผิวรอยต่อระหว่างตัวกลางทั้งสอง เช่น การมองเห็นปลาในน้ำอยู่ตื้นกว่าที่เป็นจริง ทำให้แทงปลาไม่ถูก

______กฎการหักเหของแสง มี 2 ชนิดคือ
______1. ถ้าแสงเดินทางผ่านตัวกลางหนาแน่นมากกว่าไปหาความหนาแน่นน้อยกว่าแสงจะเบนออกจากเส้นปกติ

______2. ถ้าแสงเดินทางผ่านตัวกลางที่หนาแน่นน้อยไปหาตัวกลางที่หนาแน่นมากแสงจะเบนเข้าเส้นปกติ



Posted by ครูพเยาว์ at 12:36 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา หน้าที่ชาวพุทธ

Wednesday, October 17, 2007



________พุทธศาสนิกชนไม่ใช่ว่าจะเป็นพุทธแค่ในทะเบียนบ้านเท่านั้นน่ะค่ะ เราจะต้องรู้จักหน้าที่ของชาวพุทธด้วยนะคะ ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะถูกต้องและเหมาะสม เริ่มเรียนรู้กันลยนะคะ
____
____พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา หมายถึงระเบียบแบบแผนที่ชาวพุทธได้ปฏิบัติสืบทอดกันมา เพื่อเป็นการส่งเสริมความเลื่อมใสศรัทธา และการเข้าถึงแก่นธรรมในพระพุทธศาสนา
________การประกอบพิธีกรรมใดๆก็ตามควรคำนึงถึงความเหมาะสมที่สำคัญและถูกต้อง ดังนี้คือ
________ 1. มีความประหยัด เรียบง่าย ทั้งเวลาและทุนทร้พย์

________ 2. ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา

________ 3.ได้ประโยชน์คุ้มค่า ไม่สร้างความเดือดร้อนต่อตนเอง และ ผู้อื่น
4. ไม่ขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม
________

____


_______

_พิธีกรรมมนทางพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น 3 ประเภท

________ 1. บุญพิธี คือ พิธีทำบุญของชาวพุทธต่างๆ เช่น งานมงคล ( งานแต่งงาน งานบวช หรืองานวันเกิด ) งานอวมงคล ( งานศพหรืองานทำบุญครบรอบวันตาย ) เป็นต้น

________ 2. ทานพิธี คือ การถวายทานต่างๆ เช่น การถวายอาหาร การถวายผ้าไตรจีวร การถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น

________ 3. กุศลพิธี คือ พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการฟังธรรม หรือการปฏิบัติธรรม เช่น พิธีกรรมการประกาศตนเป็นพุทธมามกะ พิธีรักษาศีลอุโบสถ เป็นต้น

Posted by ครูพเยาว์ at 11:09 AM

รอบรั้ว เมืองอุดร

Tuesday, October 16, 2007


ในช่วงนี้ค่ะ ที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีนายเริงฤทธิ์ พลนามอินทร์ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี ได้เข้ามาจัดโครงการธรรมทัศนาจร ประจำปี 2550 ให้แก่เด็กนักเรียนในท้องที่ ซึ่งก็ได้เล็งเห็นความสำคัญของหลักธรรมทางศาสนาที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม เพื่อเป็นคนดีมีคุณภาพของสังคม โดยอาศัยสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งเป็นมรดกจากอดีตในด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมของถิ่นตัวเอง การนำไปทัศนาจรก็เพื่อศึกษาค้นคว้าหาแก่นธรรมและวิถีชีวิตของถิ่นกำเนิด ซึ่งตามความคิดเห็นของครูแล้ว เป็นการสร้างความภูมิใจในท้องถิ่นตัวเอง ในบรรพบุรุษที่ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาให้เราเห็นชั่วทุกวันนี้

สถานที่ที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมก็มีวัดโพธิสมภรณ์ ได้ศึกษาประวัติวัดและศาสนสถานศาสนวัตถุในวัด, แวะสักการะและเยี่ยมชมศาลเทพารักษ์, เยี่ยมชมวัดมัชฌิมาวาส ศึกษาประวัติวัดและศาสนสถานศาสนวัตถุในวัด, เยี่ยมชมต้นโพธิ์คู่บ้านคู่เมือง ณ บริเวณสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี, แวะสักการะพระบรมอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี

สถานที่ๆเข้าไปเยี่ยมชมในคราวนี้ แน่นอนค่ะว่ามีประวัติและเบื้องหลังมาก ครูจะนำมาเล่าให้ฟังทีละเรื่องทั้งหมด ซึ่งใครที่สนใจจะดูได้ในหัวข้อ "เมืองอุดรธานี"นะคะ ไม่เพียงแค่เรื่องที่กล่าวมานี้เท่านั้น เรื่องการพัฒนาโดยลำดับของเมืองอุดรธานีพร้อมรูปภาพ ครูก็จะเอามาให้ดูด้วย ว่าเมืองเก่าของเราแต่ก่อน มีรูปร่างอย่างไร สมัยคุณปู่คุณย่าอยู่กันอย่างไร สมัยคุณพ่อเปลี่ยนไปแบบไหน น่าสนใจมั้ยคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 4:25 PM

รอบรั้ว การศึกษา ความรู้ที่จะให้ผู้เรียนคุ้นเคย


"ข้าวปั้น"....ลูกชายของคุณครูมณฑาทอง

ครูเองชอบชื่อทั้งสองชื่อนี้มาก เป็นชื่อที่แสดงออกถึงความเป็นไทยเต็มตัว ทั้งๆที่คุณครูมณฑาทองนี่มีชื่อจีนเป็นชื่อรอง เป็นครอบครัวไทยเชื้อสายจีนค่ะ ที่เกริ่นเรื่องนี้ก่อน เพราะตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตื่นกับเรื่องการใช้ภาษาไทยของเด็กที่ค่อนข้างจะผิดเพี้ยน ซึ่งครูก็ได้เขียนเรื่องนี้ไว้บ้างก่อนหน้านี้แล้ว เห็นมั้ยคะว่าการใช้ภาษาไทยแม้แต่การตั้งชื่อก็บ่งบอกถึงความรักที่มีต่อภาษาของตัวเอง

ข้าวปั้น พูดกับคุณแม่ ถึงเรื่องการเรียน ต้องบอกว่า "ปรึกษา"กับคุณแม่ค่ะ ว่าคุณครูจะให้วาดรูปเกี่ยวกับวันเข้าพรรษา จะวาดยังไงดี จะต้องมีรูปอะไรบ้าง คำตอบก็น่าจะเป็นวัด ข้าวปั้นก็ถามว่าแล้ววัดนี่วาดอย่างไร แม่ก็ตอบว่า ก็เหมือนกับบ้านนี่แหละ ให้มียอดแหลมๆ แล้วมีรูปอะไรอีกมั้ย แม่ถาม ข้าวปั้นก็บอกว่า มีดอกไม้ มีธูป มีเทียน...ซึ่งอันที่จริงถ้าข้าวปั้นจะวาดทั้งหมด ก็ต้องมีพระสงฆ์ มีพระพุทธรูป แต่การที่เด็กอนุบาล 1 ตอบได้แค่นี้ ก็ถือว่าพอใช้ได้ ถือว่ามีความรู้ที่ได้มาจาก"การคุ้นเคย" คุณพ่อคุณแม่พาไปวัดบ่อย ก็จะเห็นอะไรๆติดตามา จำได้ ความรู้เหล่านี้ถือเป็นความรู้ "ความเข้าใจที่คงทน" จะติดตัวเด็กตลอดไป

ยังไม่เห็นว่าข้าวปั้นจะวาดออกมาอย่างไร แต่ก็คิดว่า การที่ให้เด็กได้แสดงออกมาไม่ว่าในด้านใด มันก็เป็นผลดีทั้งนั้น เด็กเล็กๆของเราได้ตอบผลงานของการสอนของเราได้ขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่ว่าเราป้อนไปขนาดไหน และผลที่ได้เป็นอย่างไร

ไม่ว่าการสอนแบบ Understanding by Design หรือ Backward Design หรือจะเป็นแบบพุทธที่เอาแบบ อริยสัจ 4 มาเป็นตัวแบบในการสอน หรือจะเอาแบบ อิทัปปัจยตา เข้ามาประกอบ มันก็ไม่ได้ต่างกันนัก ตัวสุดท้ายก็จะลงไปที่ผลสัมฤทธิอยู่ดี ที่จริงแล้วก็ไม่อยากให้หวือหวาไปกับผลงานของฝรั่งมากนัก แบบไทยนี่ (แบบพุทธ)ถ้าทำกันจริงๆ มันก็ไม่น่าจะล้าหลังใครได้ จริงมั้ยคะ เข้าไปดูเถอะค่ะ ในผลงานของฝรั่งไม่ว่างานไหนๆที่เขียนออกมา คำถามแรกคือ "ปัญหาอยู่ตรงไหน" นั่นคือ "ทุกข์"ค่ะ....ทุกข์ของการเรียนการสอนของเราอยู่ตรงไหน แล้วก็หาทางแก้ไปค่ะ... Albert Einstein พูดเอาไว้ว่า "We can not solve our problems with the same thinking we used when we created them." คือปัญหามันจะเกิดขึ้นมาทีหลังทั้งนั้น หลังจากที่เราทำอะไรลงไปแล้ว จากนั้นถึงค่อยหาวิธีแก้ มีคนหัวใสในอเมริกา จับเอาคำพูดนี้เป็นสโลแกนของบริษัท เอาเรื่อง Six Sigma ออกมาเผยแพร่ ให้บริษัท หน่วยงานทางทหาร โรงเรียนต่างๆเอาไปใช้ ค่อยยังชั่วที่วงการศึกษาเมืองไทยไม่เห่อตามไปด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ ดีค่ะ แต่ของเราก็มีดีอยู่แล้ว

ครูว่าจะพูดเรื่อง ข้าวปั้นวาดรูป แต่ยาวไปเป็นเรื่องภาษาไทยแล้วก็โยงไปที่การศึกษาอีก ถ้ามีรูปที่ข้าวปั้นวาดส่งคุณครู จะเอามาให้ดูทีหลังค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 4:21 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา ชาดก



จูฬเสฏฐิชาดก




_______ ในอดีตกาล มีเศรษฐีผู้หนึ่งอยู่ในเมืองพาราณสีเป็นผู้มีสติปัญญารอบรู้ในเรื่องต่างๆ วันหนึ่งขณะเดินทางไปเข้าเฝ้าพระราชา ได้พบหนูตายตัวหนึ่งอยู่บนทางเดินท่านได้ใช้ปัญญาพิจารณาแล้วบอกแก่เด็กรับใช้ของตนซึ่งเป็นหนุ่มน้อยว่า " ผู้ใดนำหนูตัวนี้ไปขาย ผู้นั้นจะได้เป็นเศรษฐีในไม่ช้านี้ " เด็กรับใช้นั้นจึงนำหนูตัวนั้นไปขายให้แก่คนเลี้ยงแมว ได้เงินมาเล็กน้อยแล้วนำเงินไปซื้อน้ำอ้อยไว้คอยแจกคนเก็บดอกไม้ พวกคนเก็บดอกไม้ก็เอาดอกไม้ให้เป็นสิ่งตอบแทน เขาได้เอาดอกไม้นั้นไปขาย ทำอย่านั้นเรื่อยๆ จนมีเงินมากขึ้นอยู่มาวันหนึ่งลมพายุพัดต้นไม้ในสวนหลวง มีต้นไม้ล้มลงเป็นจำนวนมาก เขาอาสาไปเก็บกิ่งไม้เพื่อนำไปทำฟืน โดยวานให้เด็กเลี้ยงโคช่วยกันขนฟืนและให้น้ำอ้อยเป็นค่าจ้างตอบแทน และนำฟืนเหล่านั้นไปขายให้พวกช่างหม้อ ต่อมามีพ่อค้ามาขายม้าที่เมืองนี้ เขาซื้อหญ้าไว้และได้ขายให้แก่พ่อค้าได้เงินเป็นจำนวนมาก ต่อมาเขาได้เหมาสินค้าในเรือสำเภา 500 ลำ ที่มาค้าขายในเมืองโดยวิธีวางมัดจำด้วยทรัพย์จำนวนหนึ่ง แล้วขายสินค้าเหล่านั้นให้แก่พวกพ่อค้าอื่นอีกได้กำไรมหาศาลจนมีฐานะเป็นเศรษฐี มีชื่อเรียกขานว่า " จูฬกเศรษฐี" เขาได้นำเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งไปตอบแทนบุญคุณของเศรษฐีผู้เป็นนายเก่า เศรษฐีนายเก่าได้ยกธิดาของตนให้เป็นภรรยาและได้ยกสมบัติให้เป็นมรดกอีกด้วย


_______ชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีปัญญาฉลาดสามารถสร้างฐานะได้ด้วยทุนทรัพย์เพียงเล็กน้อย




วัณณาโรหชาดก




_______ในอดีตกาล มีราชสีห์และเสือโคร่งอาศัยอยู่ด้วยกันในถ้าแห่งหนึ่งใกล้กับต้นไม้ ซึ่งมีเทวดาสถิตอยู่ และมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งได้อยู่รับใช้ อาศัยกินเศษอาหารที่เหลือ ครั้นอยู่มานานเข้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นมีความอยากกินเนื้อราชสีห์และเนื้อเสือโคร่ง จึงคิดอุบายให้ทั้งสองแตกความสามัคคีกันเมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วจึงไปยุยงราชสีห์ด้วยคำโกหกว่า เสือโคร่งได้กล่าวติเตียนราชสีห์ว่า " มีลักษณะท่าทางและกำลังความกล้าหาญน้อยกว่าตน " ราชสีห์ไม่เชื่อและกล่าวตอบว่า " ไปเถิดแก " สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นจึงไปยุยงเสือโคร่งด้วยคำโกหกนั้นอีก เสือโคร่งจึงไปถามราชสีห์ เพื่อหาข้อเท็จจริงและเมื่อรู้ว่าถูกสุนัขจิ้งจอกยุยงให้แตกความสามัคคีกัน ต่างไม่ถือโทษโกรธเคืองกันแล้วทั้งสองก็มีความสามัคคีปรองดองกันเหมือนเดิม สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นก็ไม่สามารถอยู่ในที่นั้นได้จึงหนีไปอยู่ที่อื่นแทน


_______ชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนมีความรู้ย่อมหนักแน่นอยู่ในสามัคคีไม่แตกแยกกับหมูคณะด้วยคำยุยงของผู้อื่น




Posted by ครูพเยาว์ at 1:45 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ การกระจายของแสงและการหักเหของแสงผ่านเลนส์

Monday, October 15, 2007


การกระจายของแสง
________เมื่อให้แสงสีขาว หรือแสงแดดผ่านแท่งปริซึมจะทำให้เกิดการหักเหภายในแท่งปริซึมแล้วกระจายออกเป็นสีต่างๆ เรียงตามลำดับ ม่วง , คราม , น้ำเงิน , เขียว , เหลือง , แสด , แดง

________ตัวอย่างเกี่ยวกับการหักเหและการกระจายของแสง ได้แก่ การเกิดรุ้งกินน้ำ
การหักเหของแสงผ่านเลนส์

________เลนส์ คือ วัตถุใสทำด้วยแก้วหรือพลาสติกมีความหนาแตกต่างกันระหว่างตรงกลางกับขอบแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

________ เลนส์นูน คือ เลนส์ที่มีตรงกลางหนากว่าขอบ มีคุณสมบัติรวมแสง

________ เลนส์เว้า คือ เลนส์ที่มีขอบหนากว่าตรงกลาง มีคุณสมบัติกระจายแสง

Posted by ครูพเยาว์ at 9:24 PM

รอบรั้วกำแพง วัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม)


เมื่อวาน (30 มิ.ย. 2550) ได้เข้าไปที่วัดนาหลวง ไปปลูกต้นโพธิ์ ที่ท่านรองเจ้าอาวาส เคยปรารภมาเมื่อปีก่อนว่า น่าจะปลูกต้นโพธิ์ไว้สักต้น เมื่อปีกลายเคยเอาไปปลูกแล้ว แต่ต้นเล็กเกินไป โดนร่มเงาต้นไม้ใหญ่ปกคลุมตลอดปี เฉาตายลง ปีนี้ก็เอาต้นใหม่ที่เลี้ยงมาเป็นปี สูงท่วมหัวแล้ว ไปปลูกอีกครั้ง คิดว่าคงรอด ทำให้คิดได้นะคะว่า คนเราก็เหมือนกัน ถ้าเล็กเกินไป ไม่มีวิชามาต่อสู้เอาตัวรอด ก็โดนคนตัวใหญ่ๆรังแกได้ และก็จะอยู่ไม่รอดในสังคม ที่แก่งแย่งกันตลอด โลกเราเดี๋ยวนี้เป็นโลกของวัตถุนิยม หลงไปกับสิ่งมอมเมาต่างๆ ที่ต่างชาติยื่นมา พร้อมกับคำโฆษณาให้เราหลงเชื่อ แล้วก็ทุนนิยมที่คนมีเงินมากกว่ามากำหนดกฏเกณท์ ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนที่ด้อยกว่า ลูกๆคะ ถ้าเราอยากอยู่ในสังคมที่มีความสุข เราต้องรู้จักเอื้อเฟื้อคนอื่นด้วยค่ะ แบ่งปันให้เขาบ้าง
ทางเข้าวัด จะมีป้ายบอกทาง อ่านแล้วรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่รู้ว่า อบต. หรือว่าใคร ที่ทำป้ายบอกทาง เขียนไว้ว่า "วัดอภิญญาเทศีลธรรม" แทนที่จะเป็น "วัดอภิญญาเทสิตธรรม" วัดนาหลวง ภูย่าอู่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
ทีนี้ เมื่อคุณครูมาบอกว่าวัดอภิญญาเทสิตธรรม เป็นชื่อที่น่าจะถูกต้อง ตามที่วัดได้ตั้งชื่อเอาไว้แต่แรกเริ่ม ความหมายของคำนี้ ก็น่าจะมีใช่มั้ยคะ มีค่ะ เขาเรียกกันว่าเป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ (โพธิปักขิยธรรม 37)
โพธิปักขิยธรรม 37 ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ , ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค อันได้แก่

สติปัฏฐาน 4
สัมมัปปธาน 4
อิทธิบาท 4
อินทรีย์ 5
พละ 5
โพชฌงค์ 7
มรรคมีองค์ 8

โพธิปักขิยธรรม นี้ตามที่ทั่วไปในพระไตรปิฎก ตรัสไว้เพียงเป็นคำรวมๆ โดยไม่ได้ระบุชื่อองค์ธรรม นอกจากในสังยุตตนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎก ที่มีพุทธพจน์ตรัสระบุไว้ว่า ได้แก่ อินทรีย์ 5 และในคัมภีร์วิภงค์แห่งพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งไขความว่า โพธิปักขิยธรรม

ได้แก่ โพชฌงค์ 7
ธรรมชุดนี้ เมื่อตรัสระบุชื่อทั้งชุดในพระสูตร ทรงเรียกว่าเป็น อภิญญาเทสิตธรรม เช่นคือ เป็นอภิญญาเทสิตธรรม 37 และในพระอภิธรรม ท่านแสดงไว้ว่าธรรม 37 ประการนี้ เป็น สัทธรรม
นอกจากนี้ ธรรม 37 ประการชุดนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น สันติบท คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อการบรรลุสันติ (รวมทั้งเป็น อมตบท และ นิพพานบท เป็นต้น) และเป็น เสรีธรรม หรือ ธรรมเสรี
ในพระวินัยปิฎก ท่านแสดงธรรม 37 ประการนี้ไว้เป็นคำจำกัดความของคำว่า มรรคภาวนา
ต่อมา ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา รวมถึงสุทธิมัคค์ จึงระบุและแจกแจงไว้ชัดเจนว่า โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ได้แก่ ธรรมเหล่านี้

ทั้งหมดนี้คือเบื้องหลังของชื่อวัดอภิญญาเทสิตธรรมค่ะ อาจยากแก่การจำของลูกๆนะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ พอแค่รู้ว่า เบื้องหลังของชื่อนี้มีความหมายอีกหลายอย่างก็พอหรือจำสั้นๆว่า "ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้"ค่ะ ซึ่งเวลาที่คุณครูไปฟังเทศน์ในวันเสาร์ที่สองของเดือน หลวงปู่ทองใบ ปภัสโร ภิกขุ (ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธาจารย์)ก็จะเทศน์ในเรื่องเหล่านี้ทั้งนั้นให้ฟัง ที่จริงเราอาจอ่านจากหนังสือก็ได้ แต่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่หลวงปู่ได้แทรกเอาไว้ในการสั่งสอน มันเป็นการแก้ข้อสงสัยไปในตัวและเอาไปปฏิบัติได้ ถ้าลูกๆสนใจ อาจชวนคุณพ่อคุณแม่ไปฟังเทศน์สักครั้ง หนทางอาจไกลและค่อนข้างลำบากสักหน่อย แต่ว่าการฟังธรรมจากพระที่ปฏิบัติดีนั้น คู่ควรแห่งการบากบั่นเข้าไปค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:01 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา ประวัติพุทธสาวก

Saturday, October 13, 2007


พระโสณโกฬิวิสะ

_______โสณโกฬิวิสะ เกิดในตระกูลอุสภาเศรษฐีในเมืองจัมปานคร เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วย ทรัพย์สมบัติในนครแทบทั้งสิ้น สีผิวของท่านมีสีเหมือนทองคำและละเอียดอ่อน ด้วยเหตุนี้คนทั่วไปจึงขนานนามท่านว่า โสณะ ( แปลว่า ความงาม )

_______ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปเผยแผ่ธรรมะในกรุงราชคฤห์พระเจ้าพิมพิสารรับสั่งให้ โสณโกฬิวิสะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านจึงไปยังกรุงราชคฤห์พร้อมด้วยชาวบ้านจำนวนมากและมีโอกาสได้ฟังธรรม บังเกิดความเลื่อมใสจึงได้ขอบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

_______หลังจากโสณโกฬิวิสะได้อุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาธรรมในสำนักของพระพุทธเจ้าซึ่งอยู่ใน สีตวัน ปฏิบัติธรรมโดยหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับหมู่คณะ หมั่นประกอบความเพียรโดยตั้งจิตไว้ว่า เราควรฝึกปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด แม้ร่างกายจะได้รับความลำบาก เพื่อการบรรลุธรรมของพระศาสดา ท่านโสณ โกฬิวิสะ มุ่งมั่นทำความเพียรจนร่างกายได้รับความทุกข์ เช่น ฝ่าเท้าพุพอง เป็นต้น แต่ก็ไม่สามารถ บรรลุธรรมได้ เพราะท่านทำความเพียรมากเกินไป จึงเกิดการท้อแท้และคิดว่า แม้เราพยายามอยู่อย่างนี้ก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่มีประโยชน์อะไรกับการบรรพชาเราจะลาสิกขาเพื่อทรัพย์สมบัติและทำบุญดีกว่า

______พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของท่านโสณโกฬิวิสะ จึงเสด็จไปให้โอวาท โดยทรงแสดงโอวาทที่เปรียบเหมือนพิณ 3 สาย คือ การปฏิบัติธรรมที่เพียรพยายามมากเกินไปจนร่างกายได้รับความลำบากไม่อาจบรรลุธรรมได้เปรียบเหมือนสายพิณที่ตึงเกินไป เสียงไม่ไพเราะและสายอาจจะขาดได้ ในขณะเดียวกันการปฏิบัติธรรมที่ย่อหย่อนไม่ขยันเพียร ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน เปรียบเหมือนสายพิณที่หย่อนเกินไป เสียงไม่ไพเราะ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมควรยึดปฏิบัติทางสายกลางโดยการปฏิบัติที่ไม่เคร่งเกินไป ไม่ย่อหย่อนเกินไป ควรปฏิบัติให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย สติปัญญาของตนมีความเพียรสม่ำเสมอเปรียบเหมือนสายพิณที่ตั้งได้พอดีไม่ตึงหรือหย่อนเกินไปเสียงไพเราะ

_______พระโสณโกฬิวิสะ ได้ฟังโอวาทของพระพุทธเจ้าและได้ประกอบความเพียรอย่างสม่ำเสมอ ถือปฏิบัติตามแนวทางสายกลางในที่สุดก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

_______พระโสณโกฬิวิสะ ได้ชื่อว่าเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพราะท่านสามารถชักนำชาวบ้านให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก

พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระโสณโกฬิวิสะว่าเป็นผู้เลิศในด้านปรารภความเพียรในพระพุทธศาสนา

Posted by ครูพเยาว์ at 3:28 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ การเดินทางของแสงและตัวกลาง

Friday, October 12, 2007

การเดินทางของแสง

_______แสงเดินทางจากแหล่งกำเนิดทุกทิศทาง และเคลื่อนที่เป็นส่วนตรง แสงไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เช่น แสงอาทิตย์ที่เดินทางมายังโลกมีความเร็วประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที แต่แสงใช้เวลาเดินทางจากดวงอาทิตย์มายังโลกเพียงประมาณ 8.5 นาทีเท่านั้น

ตัวกลาง

___-แสงเดินทางเป็นเส้นตรงจากแหล่งกำเนิดแสง และจะผ่านอากาศหรือเคลื่อนที่ผ่านสิ่งต่างๆ นี้เราเรียกว่า ตัวกลาง ซึ่งตัวกลาง แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ




_______1. ตัวกลางโปร่งใส คือ ตัวกลางที่ยอมให้แสงผ่านได้หมด จะทำให้มองเห็นวัตถุข้างหน้าได้ชัดเจน เช่น น้ำใส , กระจก, อากาศ, แก้วน้ำใส เป็นต้น



_______2. ตัวกลางโปร่งแสง คือ ตัวกลางที่ยอมให้แสงผ่านได้บ้าง เช่น น้ำขุ่น, ผ้าเช็ดหน้า, กระจกฝ้า ,แผ่นฟิล์มกรองแสง, ผ้าขาวบาง เป็นต้น



_______3. ตัวกลางทึบแสง คือ ตัวกลางที่ไม่ยอมให้แสงผ่าน ถ้านำไปขวางทางเดินของสารจะทำให้เกิด เงา เช่น ไม้, หนังสือ , ตัวเรา , แผ่นเหล็ก, ยางลบ เป็นต้น

Posted by ครูพเยาว์ at 9:30 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ แหล่งกำเนิดแสงและการเดินทางของแสง

แหล่งกำเนิดแสงและการเดินทางของแสง

แสง เป็นพลังงานรูปหนึ่งที่รับรู้ด้วยตา

__ - แสงช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้

___- ทำให้พืชเจริญเติบโต

แหล่งกำเนิดแสง

_______1. แสงเกิดจากวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงมากเช่น ดวงอาทิตย์ โดยแผ่พลังงานออกมารอบตัวและส่องมายังโลกด้วย และพลังงานแสงที่เกิดดจากความร้อนที่เห็นได้ชัดเจนคือ ไส้ของหลอดไฟฟ้าแบบมีไส้

_______2. แสงเกิดจากสารเรืองแสงเมื่อกระทบรังสีบางชนิด เช่น สารเรืองแสงที่ฉาบไว้ที่ผิวด้านในของหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมื่อกระทบกับรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่เกิดขึ้นภายในหลอดก็เปล่งแสงสีขาวออกมา

_______3. แสงเกิดจากหลอดบรรจุก๊าซบางชนิด เมื่อต่อเข้ากับแรงดันไฟฟ้าสูงๆ ก็เปล่งแสงเป็นสีต่างๆ ซึ่งจะเป็นสีอะไรขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซที่บรรจุ เช่น หลอดไฟที่บรรจุก๊าซนีออนให้สีส้มใช้ทำป้ายโฆษณาในตอนกลางคืน

_______4. แสงเกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง เช่น ฟืน, เทียนไข, น้ำมัน, ก๊าซ แสงที่เกิดจากวิธีนี้จะทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ

_______5. แสงเกิดจากสิ่งมีชีวิต เช่น หิ่งห้อย เห็ดบางชนิด
สรุปว่าแหล่งกำเนิดแสงสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ แสงที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ และแสงที่เกิดขึ้นโดยที่มนุษย์สร้างขึ้น

Posted by ครูพเยาว์ at 9:27 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ อาหารกับสารเคมี ตอนที่ 2

Sunday, September 16, 2007

๘๘๘๘๘สารปรุงรสใกล้ตัว พบได้บ่อยๆ ตามร้านอาหารที่ต้องพิจารณาก่อนการใช้คือ น้ำส้มสายชู พริกป่น ถั่วลิสงป่น โดยให้สังเกตลักษณะของสารเหล่านี้ เช่น น้ำส้มพริกดอง สีพริกต้องไม่ซีด และไม่เปื่อยยุ่ย น้ำส้มต้องไม่ขุ่น ส่วนพริกป่น กับ ถั่วลิสงป่น อาจมีเชื้อราอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งจึงควรหลีกเลี่ยง




๘๘๘๘๘น้ำส้มสายชูที่กินได้อย่างปลอดภัยมี 2 ชนิด คือ น้ำส้มสายชูแท้และน้ำส้มสายชูเทียม


น้ำส้มสายชูแท้ มี 2 ชนิด ได้แก่ น้ำส้มสายชูหมักกับน้ำส้มสายชูกลั่น


ส่วนน้ำส้มสายชูปลอม ซึ่งทำจากกรดกำมะถันผสมน้ำมีฤทธิ์กัดอย่างรุนแรง ห้ามกินเด็ดขาด


๘๘๘วิธีทดสอบน้ำส้มสายชูว่ากินได้อย่างปลอดภัยหรือไม่นั้น ทำได้โดยหยดสารละลายเยนเชียน ไวโอเลตลงไป ถ้าไม่เปลี่ยนสีแสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้ หรือน้ำส้มสายชูเทียมที่กินได้ ถ้าเปลี่ยนจาก สีม่วงเป็น สีเขียวแสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูปลอมที่กินไม่ได้




๘๘๘๘๘สารที่ทำให้เกิดสี มี 2 ประเภท คือ สีธรรมชาติซึ่งได้จากพืชและสัตว์ กับสีที่ได้จากการสังเคราะห์สารเคมี ซึ่งมี 2 พวก คือสีผสมอาหาร กับ สีย้อม


๘๘๘๘๘สีย้อมเป็นสีที่ทำให้เกิดสีในวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษ เส้นใย ผม หนัง


สารแต่งสีอาหาร เป็นสารที่ช่วยเพิ่มสีสัน ทำให้อาหารมีสีน่ารับประทาน สีที่ใช้ผสมอาหารมีทั้งสีธรรมชาติจากพืชบางชนิดและสีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหารเท่านั้น ห้ามใช้สีย้อมผสมในอาหารโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่างๆ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายไม่ควรผสมสีในอาหาร ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรเป็นสีจากธรรมชาติหรือสีสำหรับผสมอาหาร แต่ต้องใช้ในปริมาณน้อยที่สุด

Posted by ครูพเยาว์ at 11:17 AM

รอบรั้ว พุทธศาสนา พุทธศาสนสุภาษิต

Sunday, September 9, 2007


..........พุทธศาสนสุภาษิต หมายถึงคำสอนที่กล่าวไว้ดี มีความไพเราะ ซึ่งเป็นคำสอนที่ชาวพุทธควรนำไปเป็นหลักปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสุขในชีวิต เช่น
..........วิริเยน ทุกขมจเจต ( วิ-ริ-เย-นะ-ทุก-ขะ-มัด-เจ-ติ )
ความหมาย : คนจะผ่านพ้นความยากลำบากได้เพราะความเพียร
ความเพียร หมายถึง ความพยายาม ความมุมานะ อดทนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ เช่นการเรียนหนังสือ การทำงาน เป็นต้น หน้าที่ต้องใช้ความเพียรพยายามถึงจะสำเร็จ ความเพียรจึงเป็นหลักธรรมสำคัญที่ช่วยเกื้อหนุนเราให้ฟันฝ่าปัญหาหรือความลำบากต่างๆให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
..........ปญญา โลกสมิ ปชโชโต ( ปัน-ยา-โล-กัด-มิ-ปัด-โช-โต)
ความหมาย : ปัญญา คือ แสงสว่างในโลก
ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ในวิชาการต่างๆ ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เราแก้ปัญหาต่างๆ และสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายในทางที่ดีได้ปัญญาจึงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ส่องนำทางให้เราไปถึงเส้นทางที่มุ่งหวังไว้

Posted by ครูพเยาว์ at 2:24 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ อาหารกับสารเคมี

...........อาหารบางชนิดที่เรากิน มีการใส่สารเคมีลงไปเพื่อจุดประสงค์ในการแต่งรส สี หรือกลิ่นของอาหารซึ่งสารเคมีบางชนิดเป็นสารเจือปนที่มีอันตรายต่อร่างกายเรา




...........สารปรุงรสอาหาร เป็นสารที่ใช้เพิ่มรสชาติของอาหาร การซื้อสารปรุงรสอาหาร ที่สำคัญต้องเลือกซื้อชนิดที่มีฉลากและมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพจาก อย. หรือ มอก. กำกับ


สารปรุงรสที่พบบ่อยตามร้านอาหาร ต้องระวังในการใช้เป็นอย่างยิ่ง เช่น น้ำส้มสายชู พริกป่น ถั่วลิสงป่น ฯลฯ

...........สารแต่งสีอาหาร เป็นสารที่ช่วยเพิ่มสีสันทำให้อาหารนารับประทานสีที่ใช้ผสมอาหารมีทั้งสีธรรมชาติจากพืชบางชนิด และสีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหารเท่านั้น ส่วนสีอื่นๆ เช่น สีย้อมผ้าห้ามใช้ผสมอาหาร

Posted by ครูพเยาว์ at 2:20 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ อาหารและพลังงานที่ร่างกายต้องการ


..........อาหารแต่ละชนิดที่รับประทานจะประกอบด้วยสารอาหาร สารอาหารแตกต่างกัน และให้พลังงานแตกต่างกัน การรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เรียกว่า การรับประทานอาหารให้ได้สัดส่วน
..........มนุษย์ในแต่ละช่วงอายุจะต้องการพลังงานในแต่ละวันแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเพศ วัย สภาพพร่างกายตลอดจนกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน เช่น เด็กผู้ชายในช่วงอายุ 10 - 12 ปี ต้องการพลังงานมากกว่าเด็กผู้หญิงในช่วง 10 - 12 ปี ถึง 150 กิโลแคลอรี
"""""..หน่วยวัดพลังงานที่สะสมในอาหารในทางโภชนาการใช้กิโลแคลอรี่ ซึ่งหมายถึงความร้อนที่ทำให้น้ำ 1000 กรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส ภายใต้สภาพแวดล้อมปกติ โดยปกติพลังงานที่ร่างกาย ต้องการเปลี่ยนแปลงไปตาม เพศ วัย และกิจกรรม

Posted by ครูพเยาว์ at 9:34 AM

รอบรั้ว เมืองอุดร หน้าประวัติศาสตร์อีกหนึ่งสมัย

Saturday, August 18, 2007

ที่ตรงนี้ ลูกๆคงจะไม่มีใครเกิดทัน ที่จะได้เห็น ภาพเก่าๆก็แทบหาดูไม่ได้แล้ว...คนเก่าแก่ที่นี่เท่านั้น ถึงจะจำได้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าลูกๆเห็นคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ๆ ลองถามคุณพ่อดูซิคะ ว่าจำที่ตรงนี้ได้มั้ย หรือถ้าคุณปู่คุณย่าอยู่ด้วยก็ถาม ดูซิคะ ว่าตรงนี้ มันอยู่ตรงไหนในอุดรของเราคะ....เอาละ ครูก็ต้องเฉลยแล้วค่ะ..ที่ตรงนี้คือวงเวียนห้าแยกหอนาฬิกา ที่ต่อมาเรียกว่าวงเวียนห้าแยกน้อย แล้วในปัจจุบันคือวงเวียนอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ค่ะ วงเวียนแถวๆนี้ ก็มี ห้าแยกใหญ่ แล้วก็มาที่วงเวียนสี่แยกคอกวัว คุ้นชื่อมั้ยคะกับสี่แยกคอกวัว คงไม่ค่ะเพราะเดี๋ยวนี้เรียกสี่แยกหอนาฬิกา แล้วใกล้ๆนั้นก็มีห้าแยกวุ่นวายอีก วันหลังจะมาพูดแยกเก่าๆ..ชื่อเก่าๆ ที่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อไปหมดแล้ว กลับมาดูที่ถนนอีกที ลูกๆจะสังเกตว่าข้างถนนนั่น มีกอหญ้าริมทางเยอะเลย เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นถนนคอนกรีตไปหมดแล้ว ตรงไหล่ถนนนั่นที่เลยกอหญ้าไปเป็นลำคลองค่ะ ครูจำชื่อไม่ได้แล้วว่าชื่อคลองอะไร วันหลังถ้าเขียนเรื่องนี้จะเอามาบอกค่ะ แต่ถ้าลูกๆสังเกตให้ดีๆ ตรงที่รถเก๋งวิ่งไปนั่น กำลังจะข้ามสะพาน...ใช่แล้วค่ะกำลังข้ามคลอง ที่ยังนึกชื่อไม่ออก แต่เดี๋ยวนี้ทั้งคลองและสะพานไม่มีแล้วค่ะ ผ่านมาหลายปีแล้วที่สร้างถนนใหม่ ได้ถมคลองไป..เลยสะพานไปหน่อย ที่อยู่ฝั่งเดียวกับรถเก๋งนั่น จะมีป้อมตำรวจและทหารอยู่...
ในสมัยนั้นประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น ลาว เวียตนาม เขมร กำลังอยู่ในสงครามแบ่งฝ่ายกันระหว่างระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยกับระบอบคอมมิวนิสต์...ในเมืองอุดรก็เป็นฐานทัพของทหารอเมริกัน อยู่ 3 ที่ คือฐานบินของทหารอากาศ หน่วย 432ndTRW นี่ก็เป็นฐานส่งเครื่องบินรบออกไปต่อสู้ อยู่ที่สนามบินกองบิน 23 ของเรานี่แหละ ซึ่งก็ได้เข้ามาตั้งฐานทัพในปี 2508 เครื่องบินรบที่ขึ้นชื่อมากๆคือ F-4D Phantom ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดโดยอาศัยข้อมูลจากทหารบกที่โนนสูง และจากหน่วยค้นหาข้อมูลจากเวียตนาม เพื่อหาพิกัดที่แน่นอนของข้าศึก
ในฐานนั้นก็ยังมีหน่วยงานหนึ่งเรียกว่าแอร์อเมริกาอีก (Air America) พวกนี้ช่วยฝ่ายทหารลาวรบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ส่วนหนึ่งของหน่วยงานนี้มีหน้าที่ซ่อมเครื่องบินรบ หรือเฮลิคอปเตอร์ มีช่างเทคนิคที่เป็นคนไทยเยอะมาก และถือว่าฝีมือในการซ่อมบำรุงนั้นมีชื่อเสียงมาก ส่วนที่ว่าช่วยทหารลาวรบกับคอมมิวนิสต์ก็รบแบบลับๆ จะไม่เหมือนกับรบกันในเวียตนาม ที่รบแบบเต็มตัว เขาจะทำหน้าที่ส่งเสบียงเช่นข้าวสารอาหารแห้ง กระสุน อาวุธ เข้าลาว สอดแนมถ่ายรูปที่ตั้งของฝ่ายข้าศึก เฮลิคอปเตอร์ของแอร์ อเมริกาจะบินผ่านหลังคาบ้านครูแทบทุกวันค่ะ



อีกหน่วยงานหนึ่งเลยไปที่โนนสูง ก็มีฐานของทหารอเมริกันอีก เป็นทหารบกหน่วยงานค้นหาแหล่งส่งข่าววิทยุของฝ่ายตรงกันข้าม(7thRRFS-7th Radio Research Field Station) แต่นั่นก็เป็นชื่อที่ตั้งสำรองเอาไว้ ชื่อจริงๆก็คือหน่วยสืบหาความลับของศัตรู (ASA -Army Security Agency) ที่ครูเล่าเอาไว้แล้วว่า หน่วยเครื่องบินรบก็อาศัยข้อมูลจากหน่วยนี้นั่นแหละค่ะ ถ้าเราดูหนัง เรื่อง Enemy of the state ก็จะเห็นว่าหน่วยงานนั้นแอบทำงานลับๆตลอด ใครอยู่ตรงไหนก็เข้าแอบฟัง แอบดู สอดแนมตลอดเวลา ค่ายที่อยู่ในอุดรนั้นชื่อค่ายรามสูร (Ramasun) หน่วยงานนี้จะหาพิกัดของข้าศึก มาเทียบกับอีกฝ่ายที่ชื่อคล้ายๆกันในเวียตนาม(8thRRFS) และจากที่อื่นอีก ซึ่งอาจเป็นที่กรุงเทพ (5thRRU- 5th Radio Research Unit) ชื่อจะต่างกันนิดหนึ่งนะคะ แต่รู้สึกว่าการอ่านว่าข้าศึกอยู่ตรงไหนแน่นั่น จะต้องใช้เป็นรูปสามเหลี่ยม เลยโนนสูงไปนิดหนึ่งจะเจอหน่วยทหารอีกหน่วย แต่หน่วยนี้เป็นที่เก็บอาวุธของทหารในสมัยนั้นค่ะ เขาเรียกชื่อตรงนั้นว่า
เป้ปเปอร์ กรายเดอร์ (Pepper grinder)


ยังไม่หมดนะคะ เลยไปที่อำเภอน้ำพอง (ใกล้ๆกับอุดร จังหวัดขอนแก่นค่ะ) ยังมีหน่วยทหารนาวิกโยธินของอเมริกัน(โดยมีทหารเรือบางหน่วย ทหารอากาศบางหน่วยเข้ามาช่วยเหลือ) ที่ย้ายมาจากเวียตนาม มาตั้งฐานรบที่นี่ ถือกันว่าเป็นสนามบินลับค่ะ เพราะอยู่กลางป่าเลย หน่วยนี้หน้าที่หลักคือบินทิ้งระเบิด มีหน่วย MAG 15 (Marine Aircraft Group 15)เป็นกำลังหลัก ทหารหน่วยนี้รบรอบด้านทั้ง ลาว เขมร และเวียตนาม และมาตั้งฐานอยู่ในช่วงสั้นๆ เพราะหลังจากนั้นก็ถอนกำลังออกไป จะเห็นว่าเรามีทหารอยู่มากมาย หลายๆหน่วย ทหารไทยของเราเองก็มีฐานอยู่ที่นี่ด้วย ป้อมตำรวจ/ทหารตรงเชิงสะพานจึงจำเป็นจะต้องมีเอาไว้ เพื่อคอยควบคุมเหล่าทหารที่เกเร เห็นมั้ยคะว่าเมืองอุดรของเราก็มีประวัติอยู่เป็นช่วงๆ ครูถึงอยากเล่าเอาไว้ ไม่อยากให้มันเลือนหายไป

Posted by ครูพเยาว์ at 7:12 PM

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า

Thursday, August 16, 2007

๏ ๏ จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า ๏ ๏

จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า......... ขอข้าว ขอแกง

ขอแหวนทองแดง........... ผูกมือน้องข้า

ขอช้าง ขอม้า................ ให้น้องข้าขี่

ขอเก้าอี้..................... ให้น้องข้านั่ง

ขอเตียงตั้ง.................. ให้น้องข้านอน

ขอละคร.................... ให้น้องข้าดู

ขอยายชู.................... เลี้ยงน้องข้าเถิด

ขอยายเกิด.................. เลี้ยงตัวข้าเอง

เมื่อวาน...น้องสาว...ที่ย้ายไปอยู่เมืองกรุง เมล์เข้ามา บอกคิดถึง ถ้าอยู่ด้วยกัน ใกล้ๆกัน ก็จะดีนะ...นี่แหละคือความรักของพี่กับน้องค่ะ...แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไปอย่างนั้น..ได้แต่คิดถึง..ได้แต่คำนึงหา..เพราะต่างคนต่างอยู่ไกลตา..สิ่งที่จะบอกความในใจได้ คือบทท่องจำเก่าๆชิ้นนี้ค่ะ..ว่าพี่ยังรักและห่วงใยน้องๆทุกๆคน ในบทกลอนนี้จะเห็นว่า พี่จะขอสิ่งใดๆให้น้อง มากกว่าที่ขอให้ตนเอง นี่แสดงถึงความรักของพี่ที่มีต่อน้อง แล้วลูกๆ ที่มีน้องก็ควรที่จะดูแลน้อง รักน้องให้มากๆนะคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 7:19 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา ศัพท์พุทธศาสน์

ในชั้นนี้ ศัพท์ทางพุทธศาสน์ที่ควรเรียนรู้มี 2 คำค่ะ ได้แก่ สันโดษ และ ไม่สันโดษ....คำว่า "สันโดษ" นี้ มักมีคนเข้าใจผิดกันว่า พระพุทธศาสนาสอนให้สันโดษ คือ สอนให้คนขี้เกียจ ไม่มีความกระตือรือร้น ขาดความเพียรพยายาม เพราะพอใจในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ เป็นการขัดขวางความเจริญของชาติบ้านเมือง...ซึ่งนับว่าผู้ที่ไม่มีความเข้าใจในคำว่า "สันโดษ" อย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นของชาวพุทธค่ะ ว่าเราควรมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกี่ยวกับคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะนำไปใช้อย่างถูกต้อง อันที่จริง สันโดษหมายถึง ความยินดี ความพอใจ ความยินดีด้วยของตนซึ่งได้มาด้วยเรี่ยวแรงจากความเพียรโดยชอบธรรม มีความยินดีด้วยปัจจัยสี่ตามมีตามได้ มีความรู้จักอิ่มรู้จักพอ...นั่นคือคำว่าสันโดษโดยทั่วๆไป ทีนี้มาดูคำจำกัดความของคำว่าสันโดษและไม่สันโดษอีกครั้งค่ะ

1. สันโดษ (ในสิ่งเสพเสวย) หมายถึง ความรู้จักอิ่ม รู้จักพอ ในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส...ไม่หลงมัวเมา เช่น หลงไหลในสตรีที่มีความงาม ติดรสอร่อยของอาหาร ชอบดมแต่กลิ่นหอม เป็นต้น เพราะฉะนั้นใครๆที่เขียนเข้าไปในเว็บบอร์ด แล้วก็บอกว่า คนนี้สวยที่สุด คนนี้หล่อที่สุด คนนั้นเป็นแฟนคนนี้....นั่นยังไม่ถึงวัยอันควรของลูกๆค่ะ ให้โตกว่านี้ก่อน แล้วค่อยคิด...ตอนนี้คิดเพียงว่าจะเรียนอย่างไร วางแผนการเรียนอย่างไร ต่อไปจะสอบเข้าเรียนอะไร อยากจะวางอนาคตของตัวเองอย่างไร ถามตัวเองว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร..อยากเป็นหมอมั้ยคะ...หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์...อยากเป็นพยาบาล...อยากเป็นตำรวจ,ทหาร นี่คือของจริงที่ต้องเจอค่ะ...
2. ไม่สันโดษ (ในกุศลธรรม) หมายถึง ความไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอในการกระทำความดีต่างๆ เช่น เมื่อรักษาศีล 5 ได้ดีแล้ว ก็ไม่ควรพึงพอใจหรือพอเพียงเท่านั้น แต่ควรฝึกอบรมตนเองด้วยธรรมชั้นสูงต่อๆไป เป็นต้น

ดังนั้น ความสันโดษจึงเป็นคุณธรรมที่ช่วยพัฒนาชาติ สอนให้คนเรามีความพอใจในผลสำเร็จหรือผลที่ควรได้ ตามกำลังความสามารถของตนเอง จึงทำให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

Posted by ครูพเยาว์ at 7:13 PM

รอบรั้ว โรงเรียนในเมืองนอก


ได้ดูหนังเรื่อง "The Ron Clark Story" น่าจะเป็นรอบที่ 3 เข้าไปแล้ว เคเบิลทีวีของช่อง mm1 เอามาให้ดูอยู่เรื่อย เป็นเรื่องที่น่าดูอยู่ค่ะ นักวิจารณ์ฝรั่งเขาให้คะแนนเรื่องนี้ 4 1/2 ดาวทีเดียว เป็นเรื่องของครูคนหนึ่งในอเมริกา ชื่อ Ron Clark ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ก่อตั้งโรงเรียนชื่อ Ron Clark Academy (RCA) ขึ้นมา เขาเป็นครูที่ได้รับการขานชื่อว่า เป็นผู้ให้ความรู้แก่อเมริกา ในปี 2000 แถมกับการตั้งชื่ออีกว่า เป็นครูดิสนีย์(แลนด์)ของชาวอเมริกัน เป็นครูแห่งปีอีก เป็นนักเขียนที่มียอดขายสูงสุดของนิวยอร์คไทมส์ ที่เขียนเรื่อง The Essential 55 หนังสือเล่มนี้พิมพ์แพร่หลายออกไปถึง 25 ประเทศ ได้รับเชิญออกรายการทีวี The Today Show, CNN, และ Oprah ซึ่งแม้แต่ คุณ Winfrey (Oprah) ยังออกปากว่า เป็นบุคคลแห่งปรากฏการณ์ทีเดียว (Phenonenal Man) และเป็นคนแรกด้วยที่ขนานนามให้อย่างนี้ นักเรียนในชั้นเรียนของเขาได้รับเกียรติให้เข้าไปเยี่ยมทำเนียบขาวถึง 3 ครั้ง ด้วยเกียรติประวัติการสอนของเขา เทคนิคการสอนที่แปลกของเขา ก็ได้นำเรื่องเหล่านั้นไปสู่การสร้างเป็นภาพยนตร์ค่ะ

ก่อนจะเล่าเรื่องหนังเรื่องนี้...ขอพูดสักนิดก่อนค่ะ...ว่าเด็กของเราเมื่อไปเทียบกับเด็กอเมริกัน มันต่างกันมาก ในนิสัยใจคอ...พื้นฐานทางครอบครัว...วัฒนธรรมของเขา ต่างกันสิ้นเชิงกับวัฒนธรรมเรา...
ในเรื่องมีอยู่ตอนหนึ่งซึ่งครูจะไม่เล่าในเนื้อเรื่องของหนัง เป็นตอนที่ครูได้เข้าไปบ้านของเด็กนักเรียน ติดตามเด็ก เพราะเด็กคนนี้เป็นเด็กเรียนดี แม้จะเกเร เมื่อครูไปถึงบ้าน แม่ของเด็กไม่อยู่บ้าน แต่ครูก็ขอให้เด็กทำการบ้านสักนิด เพื่อที่จะได้ส่งครู เด็กนักเรียนไม่มีเวลาทำ เพราะต้องรับเลี้ยงเด็กเล็กๆอีก 2-3 คน และถึงเวลาที่เด็กต้องกินอาหาร ครูก็บอกว่า จะทำอาหารให้เอง ให้นักเรียนได้ทำการบ้าน ครูก็เข้าครัวไปปรุงอาหาร แม่ของเด็กนักเรียนที่เพิ่งกลับมาจากทำงานมาเจอครูในห้องครัวเข้า ก็ไม่พอใจ..."เขา ไม่ ต้อง การ เห็น ครู ไป จุ้น จ้าน ที่ บ้าน เขา" ถึงกับไปฟ้องครูใหญ่ที่โรงเรียน นั่นคือระบบของเขานะคะ เขาหาว่าครูดูถูกเขาในการที่เข้าไปปรุงอาหารให้ หาว่าเขาไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดูเด็ก สิทธิและเสรีภาพของเขานั้นมันใหญ่เกินกำลังค่ะ
ใครจะแนะนำใครว่าเลือกผู้แทน ให้เลือกพรรคนี้นะคะ อย่าเลือกพรรคนั้น ก็ไม่ได้ค่ะ อย่าเชียวนะคะ เพราะเขาจะย้อนคืนว่า มองฉันเป็นกระบือหรืออย่างไร ถึงมาบอก ของเรานี่แทบจะจูงไปคูหาเลือกตั้งเลยทีเดียว เอาละค่ะ มาเรื่องหนังดีกว่า

เป็นเรื่องของครู ที่เข้าไปเมืองนิวยอร์ค เพื่อหางานสอน จนได้เจอกับโรงเรียนหนึ่งที่ครูกำลังออกไปพอดี เลิกสอนกลางคัน เพราะทนรบกับเด็กไม่ได้ ครูคลาร์ค ก็ได้เข้าสอนแทน ซึ่งครูใหญ่เองก็ไม่อยากรับ เพราะเขาเป็นครูผิวขาว เด็กในโรงเรียนนี้ล้วนแต่ผิวดำทั้งนั้น เอาไม่อยู่หรอก แต่ก็ให้สอนเพราะก็กำลังขาดครูอยู่พอดี กะว่า 2-3 วันคงจะออกไปเอง ครูคลาร์คเข้าสอนชั้น ป.6 ที่เป็นห้องเรียนที่แย่ที่สุด ศูนย์รวมของเด็กมีปัญหา เป็นห้องที่คะแนนอยู่ในระดับบ๊วยสุด ครูคลาร์คก็รับปากกับครูใหญ่ว่าจะสอนให้พวกนี้ดีขึ้นให้ได้ ครูคลาร์คก็ได้พยายามสอนอย่างเคร่งครัด แต่ก็แทรกบทสนุกสนานให้เด็กไว้ด้วย พวกเด็กก็พยายามต่อต้าน ไม่เชื่อฟัง ก่อกวนไม่หยุด ถ้าเป็นครูไทยนี่ไม้เรียวคงจะหักกันเป็นโหลแล้ว สมัยครูเป็นนักเรียนนี่ไม้เรียวใช้ได้ผลมากนะคะ จนกระทั่ง วันหนึ่ง ครูคลาร์คของเราก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ถึงกับออกจากห้องกลางคันเหมือนครูคนก่อน พร้อมกับบอกว่า "พวกเธอชนะ" (You win) เมื่อครูพ้นห้องไป เด็กๆก็ไชโยโห่ร้องด้วยความยินดี แต่ครูคลาร์คเมื่อออกไปข้างนอกก็ได้เจอกับเพื่อนครูด้วยกัน และเขาก็ได้รับแรงใจให้กลับมาสู้อีกครั้ง กลับไปสอนใหม่ คราวนี้หาวิธีการสอนให้เข้ากับสิ่งที่เด็กผิวดำชอบ..เพลงแรป..ครูคลาร์คก็ได้เอาบทเรียนมาแต่งเป็นเพลงแรป...เด็กๆชอบ และก็จำเรื่องราวต่างๆได้ ครูคลาร์คก็มีกำลังใจขึ้น เด็กๆก็เห็นคุณค่าของตัวเองว่า..อือ..ฉันก็ทำได้เหมือนกัน สมกับที่ครูบอกว่า ฝันให้ไกล ไปให้ถึง และผลสุดท้ายเด็กในห้องครูคลาร์คก็คว้าคะแนนสูงสุดมาครองแทบทุกวิชา ไม่ใช่แค่ชนะแค่ในโรงเรียนของตัวเอง แต่อยู่ในระดับเขต (District) เลยทีเดียว รูปด้านซ้ายคือครู Ron Clark ตัวจริงค่ะ ส่วนข้างบนนั่นเป็นดาราภาพยนตร์ในเรื่อง ชื่อ Matthew Perry ค่ะ

เข้าไปดูเว็บไซท์ของ Ron Clark Academy ได้ที่นี่ค่ะ http://www.ronclarkacademy.com/ron_clark_academy/meet_the_team.asp

Posted by ครูพเยาว์ at 6:57 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา เรื่องน่ารู้จากพระไตรปิฏก

Wednesday, August 15, 2007


เรื่องน่ารู้จากพระไตรปิฏกในชั้นนี้ เป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเกี่ยวกับเรื่อง ความโกรธของบุคคล 4 จำพวก ซึ่งเปรียบได้กับอสรพิษร้าย 4 ตัว

บุคคลที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมทางจิต เมื่อมีอารมณ์โกรธ จะมีการแสดงออกทางกายและทางอารมณ์ไม่เหมาะสม เพราะขาดสติสัมปชัญญะ เช่น ใบหน้าบูดบึ้ง กิริยามารยาท พูดจาหยาบคาย หงุดหงิด บางครั้งแสดงออกด้วยการอาละวาดทำลายข้าวของ พระพุทธเจ้าจึงเปรียบบุคคลที่มีอารมณ์โกรธเหมือนกับอสรพิษร้าย 4 ตัว

1. อสรพิษที่มีพิษแล่น แต่พิษไม่ร้าย

เหมือนคนที่โกรธง่าย แต่หายเร็ว


2. อสรพิษที่พิษไม่แล่น แต่พิษร้าย

เหมือนคนที่โกรธยาก แต่โกรธนาน


3. อสรพิษที่มีพิษแล่น และมีพิษร้าย

เหมือนคนที่โกรธง่าย และโกรธนาน


4. อสรพิษที่มีพิษไม่แล่น และมีพิษไม่ร้าย

เหมือนคนที่โกรธยาก และโกรธไม่นาน


ดังนั้น เมื่อเรามีอารมณ์โกรธ จึงควรปฏิบัติตามพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า "อักโกเธน ชิเน โกธัง พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ"

Posted by ครูพเยาว์ at 6:47 PM

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า สัตว์ป่าสวยงาม

๏ ๏ สัตว์สวยป่างาม ๏ ๏ จาก - มูลบทบรรพกิจ - ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย)

เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน..........เหมือนอย่างนางเชิญ

พระแสงสำอางข้างเคียง ...............เขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง

เริงร้องซ้องเสียง .......................สำเนียงน่าฟังวังเวง

กลางไพรไก่ขันบรรเลง.................ฟังเสียงเพียงเพลง

ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง.................. ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง

เพียงฆ้องกลองระฆัง.................. แตรสังข์กังสดารขานเสียง

กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง.........พญาลอคลอเคียง

แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง................ ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง

เพลินฟังวังเวง........................ อีเก้งเริงร้องลองเชิง

ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง.................ค่างแข็งแรงเริง

ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง................ ป่าสูงยูงยางช้างโขลง

อึงคะนึงผึงโผง....................... .โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป

ทั้งหมดที่อยู่ในบทท่องจำนั้น ถ้าให้เด็กนักเรียนยกตัวอย่างสัตว์มาให้ดูสัก 10 อย่างนี่เป็นเรื่องง่ายมากทีเดียวค่ะ เพราะในบทท่องจำนั้นยกเอาสวนสัตว์มาไว้ให้เสร็จในตัวเลย และจะเห็นว่า สัตว์บางชนิดนั่น เราแทบไม่ค่อยเห็นแล้วค่ะ ละมั่งเป็นฝูงนั่นคงจะไม่มีให้เห็นแล้ว ค้อนทอง...มันเป็นสัตว์อะไรนะ เสียงร้อง ป๋องเป๋ง แปลกมั้ยคะ ที่คำตอบคือนกชนิดหนึ่งค่ะ ช้างโขลง...มีช้างเป็นโขลง โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป ถ้าให้นึกภาพนะคะ ช้างคงจะเดินกันเป็นแถวๆไป บางตัวก็เดินชิดชนเหมือนกับรถยนต์ที่วิ่งตามกันไป เหมือนโยงต่อกัน

Posted by ครูพเยาว์ at 5:54 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา เรื่องพระไตรปิฏก


พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่มีหลักธรรมคำสอนมากมายที่ควรศึกษาค้นคว้า ในพระไตรปิฏกที่บันทึกหลักคำสอนของพุทธองค์ ก็มีเรื่องที่น่ารู้และชวนศึกษา ซึ่งแฝงไว้ด้วยคติธรรมต่างๆ ที่นักเรียนจะได้ศึกษาเรียนรู้ และเท่าที่ได้เห็นมา ไม่ว่าศาสนาไหนๆในโลกต่างก็มีเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจกันทั้งนั้น ถ้าได้อ่าน เราก็จะเห็นมุมมองของศาสนาเหล่านั้นในด้านต่างๆด้วย บางศาสนาก็เอาเรื่องราวต่างๆมาทำเป็นภาพยนตร์เอามาให้เราได้ดูกัน จะเห็นว่า เรื่องต่างๆล้วนแต่สนุกสนาน น่าตื่นเต้น บางครั้งก็มีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้น ในศาสนาพุทธ ก็มีเรื่องเช่นนี้เช่นเดียวกัน แต่ในขั้นต้นนี้ จะให้ได้รู้เรื่องที่สำคัญๆก่อนเช่น เรื่องพระไตรปิฏก, เรื่องน่ารู้จากพระไตรปิฏก, ศัพท์พุทธศาสน์ และ ศาสนสุภาษิต

1. การแบ่งพระไตรปิฏก....พระไตรปิฏกเป็นคำภีร์ที่บรรจุพระพุทธพจน์ (และเรื่องราวชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา) 3 ชุด หรือประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย 3 หมวด ซึ่งมีดังนี้

.....1. พระวินัยปฺฏก เป็นประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม และการดำเนินกิจการต่างๆของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ แบ่งเป็น 5 คำภีร์ เรียกย่อว่า
"อา ปา ม จุ ป" ซึ่งมาจากชื่อเต็มของ อาทิกัมมิกะ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค ปริวาร

2. พระสุตตันตปิฏก เป็นประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรมเทศนา คำบรรยายธรรมต่างๆ ที่ตรัสให้เหมาะกับบุคคลและโอกาส รวมทั้งบทประพันธ์ เรื่องเล่าและเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา ชาดกก็อยู่ในพุทธพจน์หมวดนี้ด้วย แบ่งเป็น 5 นิกาย เรียกย่อว่า " ที ม สัง อัง ขุ" มาจากชื่อเต็มของ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย

3. พระอภิธรรม เป็นประมวลพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม คือหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ
โดยไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือเหตุการณ์ แบ่งเป็น 7 คำภีร์ เรียกย่อว่า " สัง วิ ธา ปุ ก ย ป " มาจากคำเต็มของ สังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก ปัฏฐาน

พระไตรปิฏกที่พิมพ์ออกมาเป็นภาษาไทย แบ่งออกเป็น 45 เล่ม แบ่งเป็นพระวินัยปิฏก 8 เล่ม,
พระสุตตันตปิฏก 25 เล่ม และ พระอภิธรรมปิฏก 12 เล่ม

Posted by ครูพเยาว์ at 5:17 PM

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า บทดอกสร้อย กาเอ๋ย กาดำ

Monday, August 13, 2007


กาเอ๋ยกาดำ.........................รู้จักรู้จำรักเพื่อน

ได้เหยื่อเผื่อแผ่ไม่แชเชือน..........รีบเตือนพวกพ้องร้องเรียกมา

เกลื่อนกลุ้มรุมล้อมพร้อมพรัก.......น่ารักน้ำใจกระไรหนา

จงเผื่อแผ่แน่ะพ่อหนูจงดูกา.........มันโอบอารีรักดีนักเอย

นี่เป็นบทดอกสร้อยบทหนึ่ง ที่เด็กๆเคยท่องจำกัน ในบทท่องจำนี้ แสดงให้เห็นนิสัยของกาว่าเป็นอย่างไร เราอาจเห็นกาในภาพยนตร์การ์ตูนของฝรั่ง มักมีนิสัยไม่ดี ขี้โกง เอาเปรียบคนอื่น ชอบแกล้งสัตว์ตัวอื่นเป็นประจำ แต่คนไทยของเราไม่ได้มองในมุมนั้น เมือ่เห็นว่ามีอาหาร กามันก็มากลุ้มรุมกันกิน มองเหมือนกับว่าชวนกันมากินอาหาร แบ่งกันกิน แล้วก็นำเอานิสัยนั้นมาสอนเด็ก ให้รู้จักแบ่งปัน อย่าเห็นแก่ตัว นิสัยไม่เห็นแก่ตัวเราก็จะเห็นว่าศาสนาพุทธของเราก็สอนเอาไว้ ให้รู้จักการให้ทาน ที่เรียกกันว่า "ทานมัย" ซึ่งหมายถึงการทำบุญด้วยการให้ ให้คนที่ที่อดอยาก เราสามารถให้ทานได้ 3 ลักษณะ คือ

อามิสทาน...คือ การให้ด้วยวัตถุสิ่งของ

ธรรมทาน...คือ การให้ด้วยคำแนะนำสั่งสอนในเรื่องที่ดี ที่เกิดประโยชน์แก้ผู้ฟัง

อภัยทาน...คือการให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคืองในเรื่องต่างๆ

ลูกๆรู้มั้ยคะ ว่าทานตัวไหนที่ให้ยากที่สุด และเราก็ไม่ต้องเสียอะไรเลย....อภัยทานค่ะ หลายๆคนถ้าโกรธใครสักคน นานค่ะกว่าจะหายโกรธลงไปได้ แต่ถ้าเรารู้จักให้อภัยตั้งแต่ต้น เราก็จะไม่หลงโกรธกัน แล้วก็ไม่ได้เสียอะไรสักอย่าง ...ใช่มั้ยคะ..แค่รู้จักรักษาใจไม่ให้โกรธ และให้อภัยเท่านั้น

Posted by ครูพเยาว์ at 4:03 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

Friday, August 3, 2007


สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่ว่า คน สัตว์ หรือพืช ล้วนต้องการอาหารทั้งสิ้น เพราะอาหารทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น อาหารจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสิ่งมีชีวิต

วันหนึ่งๆ คนเราควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ซึ่งจะทำให้เราได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน

1. "โปรตีน" เป็นสารอาหารที่มีมากในเนื้อสัตว์ต่างๆ นม ไข่ ถั่วชนิดต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ เต้าเจี้ยว นมถั่วเหลือง

สารอาหารโปรตีนมีประโยชน์ดังนี้
......1. ทำหน้าที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระดูก ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต
......2. ช่วยทำให้สมองเจริญเติบโต ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งทำหน้าที่นำสารอาหารไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย
.....3. ช่วยซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ และให้พลังงานแก่ร่างกาย
.....4. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ทำให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย

2. "คาร์โบไฮเดรต" เป็นสารอาหารที่ได้จากพวกแป้ง น้ำตาล เช่น ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวเหนียว เผือก มัน ข้าวโพด ผักหรือผลไม้ที่มีรสหวาน รวมทั้งอาหารแปรรูปต่างๆ ที่ทำมาจากแป้งหรือน้ำตาล เช่น ขนมปัง ขนมครก ก๋วยเตี๋ยว
คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่ช่วยเผาผลาญไขมันทำให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย ทำให้ทุกส่วนทำงานได้ และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

3. "วิตามิน" เป็นสารอาหารที่ได้จากผักและผลไม้ต่างๆ รวมทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ นม ตับ เครื่องในสัตว์

วิตามิน มีหน้าที่ช่วยสร้างความเจริญเติบโต ทำให้ร่างกายทำหน้าที่ได้ตามปกติ และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค วิตามินมีอยู่หลายชนิด และแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วิตามินที่ละลายในน้ำ และวิตามินที่ละลายในน้ำมัน

วิตามินแต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกัน ดังนี้

......วิตามินในชนิดที่ละลายในน้ำมี
1. วิตามิน บี 1 พบใน เนื้อหมู เครื่องในสัตว์ ปลา ข้าวซ้อมมือ ถั่ว ไข่แดง ผักใบเขียว.... มีประโยชน์ทำให้ ร่างกายเจริญเติบโต ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันโรคเหน็บชา...ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา

2. วิตามิน บี 2 พบใน ไข่ นม ตับ ถั่ว และผักใบเขียว....มีประโยชน์ ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก ป้องกันการอักเสบที่ตาและปาก....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้ริมฝีปากแห้ง ลิ้นแตก เจ็บในปาก อาหารไม่ย่อย
ตามัว และโตช้า

3. วิตามิน ซี พบใน ผักสด และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว..... มีประโยชน์ ช่วยป้องกันโรคฟันผุ โรคโลหิตจาง โรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่ายอุจจาระ....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน มีอาการเหงือกบวม

......วิตามินในชนิดที่ละลายในน้ำมันมี

1. วิตามิน เอ พบใน ตับ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง นม เนย ครีม ผัก และผลไม้ต่างๆ....มีประโยชน์ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวและนัยน์ตา.....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต ผมร่วง ผิวหนังแห้งเป็นสะเก็ด เล็บเปราะ ตาฟาง

2. วิตามิน ดี พบใน เนย ตับ ปลาตากแห้ง ไข่แดง กล้วยตาก และแสงแดดอ่อนๆในยามเช้า....มีประโยชน์ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง.....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ ทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน ร่างกายเจริญเติบโตช้า และมีภูมิต้านทานโรคลดน้อยลง

3. วิตามิน อี พบใน ตับวัว เนื้อสัตว์ต่างๆ เนย ข้าวซ้อมมือ กล้วย น้ำมันพืช มันฝรั่ง ถั่ว ข้าวโพด.....
มีประโยชน์ ช่วยควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ให้ทำหน้าที่เป็นปกติ.....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ อาจทำให้เป็นหมันได้

4. วิตามิน เค พบใน ตับ ไข่แดง น้ำมันถั่วเหลือง มะเขือเทศ ผัก....มีประโยชน์ ทำให้เลือดแข็งตัวหรือเลือดจับตัวเป็นก้อนเพื่อห้ามเลือดที่ไหลออกจากบาดแผล....ถ้าขาดสารอาหารพวกนี้ ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เมื่อมีบาดแผลขึ้น

4. "เกลือแร่" เป็นสารอาหารที่ได้จากอาหารประเภทต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ นม ไข่แดง อาหารทะเลทุกชนิด
สารอาหารเกลือแร่ มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เพราะช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ ทำให้เกิดความเจริญเติบโต

เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการที่ควรรู้ มีดังนี้

.....แคลเซียม พบใน นม ไข่แดง ถั่ว ผักใบเขียว หอยนางรม กุ้งแห้ง ปลาตัวเล็กๆ......มีประโยชน์ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันเราให้แข็งแรง ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ ทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน กระดูกเปราะและหักง่าย ฟันผุ

.....ฟอสฟอรัส พบใน นม เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และผัก.....มีประโยชน์ ทำหน้าที่ร่วมกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน.....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะมีอาการคล้ายๆกับการขาดแคลเซียม

.....เหล็ก พบใน เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ตับ หอย มะเขือ และผักใบเขียว ....มีประโยชน์ เป็นส่วนประกอบสำคัญของเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ ทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ทำให้มีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย

......ไอโอดีน พบใน อาหารทะเลทุกชนิด และเกลือทะเล....มีประโยชน์ ควบคุมการเผาผลาญอาหาร ทำให้เกิดพลังงาน....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ ทำให้เป็นโรคคอหอยพอก

......โซเดียม พบใน เกลือ และอาหารที่มีส่วนผสมของเกลือ เช่น น้ำปลา กะปิ และมีอยู่ในนม ไข่.......มีประโยชน์ ช่วยควบคุมความสมดุลของน้ำภายในและภายนอกเซลล์....ถ้าขาดอาหารพวกนี้ จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ความดันโลหิตต่ำและเป็นตะคริวง่าย

5. "ไขมัน" เป็นสารอาหารที่ได้จากไขมันพืชและสัตว์ เช่น น้ำมันหมู น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะพร้าว ถั่ว งา รำ ข้าวโพด เนย นม
ไขมันช่วยให้ความอบอุ่นและพลังงานแก่ร่างกาย และเป็นตัวละลาย วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และ
วิตามินเค

6. "น้ำ" จัดเป็นสารอาหารหมู่ที่ 6 ที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก ถ้าร่างกายของเราขาดน้ำเป็นเวลานาน เราจะตายในที่สุด
น้ำดื่ม มีผลประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

1. เป็นตัวละลายสารอาหารต่างๆ
2. นำสารอาหารต่างๆ ไปสู่เซลล์และนำออกจากเซลล์
3. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
4. เป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆของร่างกาย
5. ช่วยหล่อลื่นอวัยวะต่างๆ ที่มีการเคลื่อนไหว
6. ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ อุจจาระ และเหงื่อ

ผลของการขาดน้ำ...ถ้าร่างกายขาดน้ำ จะเกิดผลเสีย ดังนี้

1. การขับถ่ายของเสียไม่เป็นไปตามปกติ ของเสียจะถูกขับมาได้น้อย
2. ผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น
3. ทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายทำงานไม่เป็นตามปกติ

เพราะฉนั้น ในแต่ละวัน เราควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้ วันละ 7-8 แก้ว

Posted by ครูพเยาว์ at 5:41 PM