Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว พระพุทธศาสนา อิทธิบาท 4

Tuesday, August 24, 2010

บางครั้งเราจะเห็นว่า มีงานหลายอย่างที่เราทำไม่เสร็จ อย่างเช่นการบ้าน ซึ่งมีหลายวิชา ส่งทันเวลาบ้าง ไม่ทันบ้าง ไม่ได้ทำเลยก็มี ผลสุดท้ายบางทีก็ลอกเอาของเพื่อนส่งคุณครูไป คงจะไปตรงกับใครสักคนแน่นอนในห้องนี้ ในขณะที่บางคนสามารถส่งงานทุกชิ้น ตามที่คุณครูสั่งเอาไว้ได้ทันเวลา ไม่มีที่ติ....เอาละ อีกซักตัวอย่าง...อยากได้ตุ๊กตาตัวนี้จังเลย...มันสวยเนาะ..ตาโต๊ โต...อืออ...ชุดก็สวย...แต่คุณแม่คงจะไม่ซื้อให้แน่...แล้วจะทำอย่างไรดี?....เรื่องอย่างนี้ที่เป็นปัญหา สามารถแก้ได้หมดทุกอย่าง ถ้าเธออยากทำการบ้านให้เสร็จทันทุกวิชา...ถ้าเธออยากได้ตุ๊กตา...ถ้าเธออยากสอบผ่านชั้นนี้ไป...ถ้าเธออยากเป็นหมอ...เป็นนักดนตรี...หรือจะทำงานสิ่งใดก็ได้ ให้สำเร็จสมประสงค์....ก้มหัวมา ครูจะเสกคาถาให้...เพี้ยง สำเร็จมั้ย....ไม่สำเร็จหรอกค่ะ ที่เห็นคือน้ำลายบนหัวของเธอเท่านั้น แต่ครูมีคาถาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เป็นคาถาของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ชี้แนะเอาไว้แล้ว ถ้าทำตามที่บอกเอาไว้ เธอจะชนะทุกอย่าง คาถานั้นคือ อิทธิบาท 4 นั่นคือ “ขอให้ทุกคนมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แล้วทุกๆอย่างจะเป็นผลสำเร็จ....” พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์เอาไว้ว่า “ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาท 4 ประการนี้ ทำให้มาก ให้ชำนาญดีแล้ว หากผู้นั้นประสงค์ จะดำรงชนมายุอยู่นาน เขาก็จะพึงตั้งอยู่ได้ ถึงกัปป์หนึ่งหรือเกินกว่านั้น” เห็นหรือยังว่าอิทธิบาท 4 นี่สำคัญขนาดไหน ถ้าคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ ก็จะออกมาว่า Four pathways to success แปลว่าทางไปสู่ความสำเร็จ 4 ทาง อิทธิ แปลว่า ความสำเร็จ (Success) บาท แปลว่าหนทาง (path หรือ pathway) อิทธิบาท เลยแปลว่า “ทางสู่ความสำเร็จ”.....แล้วในความขลังนั้นมีอะไรบ้าง

ฉันทะ- ความพอใจ เราต้องสร้างความพอใจ ใฝ่ใจกับสิ่งที่เราจะทำนั้นอยู่เสมอ เมื่อก่อนไม่ชอบคณิตใช่มั้ย เปลี่ยนใหม่ ลองเผชิญหน้ากันดู มันมีดีอะไรบ้าง ทำความเข้าใจกับมัน อยู่กับมันบ่อยๆเข้า แล้วก็จะเข้าใจ โจทย์ตัวนี้ทำไม่ได้ ถามเพื่อน ถามคุณครู ให้คนอื่นเจาะให้ดู แล้วเราก็จะเห็นว่ามันเป็นอย่างไร จากนั้นก็จะแก้โจทย์ได้เอง ยกเว้นคุณครูตั้งโจทย์มาผิด เรื่องตุ๊กตาก็เหมือนกัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตุ๊กตา อยู่ที่คุณแม่ ทำอย่างไรจะให้คุณแม่ใจอ่อนลงมา ปัญหาอยู่ตรงนี้ แก้ได้มั้ย แก้ได้ค่ะ...เชื่อฟังคุณแม่ไว้ก่อน ช่วยงานบ้าน ขยันเรียนให้มากขึ้น คะแนนที่เราทำที่บ้านเพิ่มขึ้นแน่ๆ...คือทำให้คุณแม่พอใจขึ้นมา

วิริยะ – ความเพียร คือขยันเข้าไว้ หมั่นฝึกปรือฝีมือเอาไว้ ดูเด็กที่เล่นเกมส์เป็นตัวอย่างก็ได้ เล่นแพ้มาไม่รู้สักกี่เที่ยว ก็พยายามอยู่นั่นแหละ ตายแล้วตายอีก ถ้าเอาศพมากองในห้องเล่นเกมส์คงจะล้นห้องออกมา แต่เขาก็สู้เล่นจนชนะเกมส์นั้นได้ ขยันจนมีความชำนาญ คณิตก็เหมือนกัน...ครูจะยกคณิตขึ้นมาเรื่อย....เอ้า นั่งสมาธิก็เหมือนกัน...ครั้งแรกอาจปวดเมื่อยขา...แต่พอนานๆมันก็จะหายไปเอง ดูพระที่แก่พรรษานั่งดูซิ เป็นชั่วโมงๆ ไม่เห็นขยับตัวเลย ความชำนาญที่มาจากความเพียร...ตุ๊กตาที่หวังเอาไว้ก็เช่นกัน...เราก็ต้องเพียร ช่วยงานบ้านคุณแม่ ปากหวานๆเข้าไว้...เดี๋ยวคุณแม่ก็อ่อนลงเอง

จิตตะ – ใจจดจ่อในงาน คือ ตั้งจิตให้มั่นว่า เราทำอะไรอยู่ จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น มันไม่เครียดหรอก เพราะเราหวังผลเป็นเลิศอยู่แล้ว อย่าปล่อยใจล่องลอยไปที่อื่น นั่งสมาธิก็เหมือนกัน จิตตะ คือการตั้งสมาธินั่นเอง เป็นการเสริมพลังให้กับ ฉันทะ กับ วิริยะเข้าไปอีก...เห็นมั้ย เริ่มขลังขึ้นไปอีก การนั่งสมาธิ ก็จะนานขึ้น การแก้โจทย์คณิตก็จะแจ่มแจ้งขึ้น เพราะใจไม่วอกแวก มีสมาธิในการแก้โจทย์ได้มากขึ้น...เรื่องตุ๊กตา ก็คงจะไม่ไปไหนแน่นอน เพราะการเอาใจใส่ต่องานของคุณแม่ให้มากขึ้น ไม่ทำจานแตก...แถมยิ้มหวานๆให้มากขึ้น...มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณแม่ก็พร้อมที่จะล้วงกระเป๋าเอาตังค์ให้แล้วละ

วิมังสา – ความไตร่ตรอง คือ การหมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผลและตรวจสอบข้อเสีย หรือหย่อนยานในการทำสิ่งนั้น และคิดค้นวิธีแก้ไขข้อผิดพลาด จนถึงปรับปรุงให้ดีขึ้น เห็นมั้ย จนที่สุดเราก็มาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไม่สำเร็จงานที่ทำเอาไว้เรายังมีเวลาที่แก้ไขได้อีก ปรับปรุงให้ดีขึ้น อย่าลืมว่านี่คือ คาถาของพระพุทธเจ้าที่มีมากว่า 2500 ปีมาแล้ว...ถ้าเธอทำตามนี้ได้ทุกข้อ คณิตศาสตร์ หรือวิชาใดๆ...มันหมูๆไปหมด นั่งสมาธินั่นหรือ...ของเราต้องงดงามแน่นอน ตัวตั้งตรง หลังตรง ตาพริ้มๆ นั่งได้เป็นชั่วโมงทีเดียว...(ครูหวังเอาไว้นะ)...ส่วนตุ๊กตานั่น คุณแม่เตรียมตัวควักตังค์ตั้งแต่ข้อ จิตตะแล้ว...ถึงตอนนี้ถ้ายังไม่ได้ ก็ลองถามอีกทีดู เผื่อว่าอาจต้องรอถึงสิ้นเดือนนะคะ....แต่ครูว่า อย่าเล่นกันมากนักเลย ทั้งเกมส์ทั้งของเล่น เก็บเงินเอาไว้ใช้วันหน้าดีกว่า พวกเธอยังต้องเรียนต่ออีกหลายปี นะคะ เอาบทกลอนไว้อ่านเล่น ต้องขอโทษเจ้าของบทกลอนด้วย เพราะเก็บมานาน จนจำไม่ได้ว่าเอามาจากไหน

ฉ้นทะ-คือ มีใจ ในสิ่งนั้น
รักชอบมัน หัดย้ำ ทำนิสัย
วิริยะ-พากเพียร เรียนด้วยใจ
ขยันไว้ อย่าหน่าย พ่ายตัวตน
จิตตะ-ฝึก ตั้งใจ ให้แม่นมั่น
มุ่งฝ่าฟัน ความลำเค็ญ ให้เห็นผล
วิมังสา-หมั่นตรอง ลองตรวจตน
ว่าตกหล่น พลาดไป ตรงไหนกัน
นี่คือสูตร สำเร็จ ผลเด็ดขาด
ไม่พลั้งพลาด อัปรา ถ้ามุ่งมั่น
พุทธองค์ ตรัสไว้ นัยสำคัญ
เช้าตื่นพลัน ตั้งใจทำ จำไว้เอย

...

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอน 1/5)

Wednesday, August 18, 2010

เรามักที่จะได้คบเพื่อนที่เจออยู่เสมอ เพื่อนข้างบ้าน เพื่อนที่โรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลเป็นต้นมา มีทั้งรักทั้งชัง อยากพบอยากเจอ และไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อถึงก็มี นั่นเป็นเพื่อนของเราทั้งนั้นจะสบอารมณ์หรือไม่ก็ยังต้องเห็นหน้าเห็นตาอยู่เสมอ แต่รู้หรือไม่คะ เรายังมีเพื่อนที่เรามองไม่เห็นตัว ไปไหนๆกับเราทั้งวัน ทั้งปี ตามติดกันอยู่ทุกเวลา แถมยังบอกเราสารพัดให้ทำโน่นทำนี่ ให้ตามใจเขาตลอดเวลา....ไม่น่าเชื่อ...ว่าเราจะทำตามทุกอย่าง หรือแทบทุกอย่างเชียวละ...บางทีเราเองนั่น ที่ต้องขัดใจกับคุณแม่ หรือคุณพ่อ เพราะต้องตามใจเพื่อนที่คอยแอบมากระซิบเราคนนี้....รู้ไหมคะ ว่าเพื่อนที่คอยตามเราตลอดเวลานี้คือใคร...จะบอกให้ เขาชื่อ “นายกิเลส”ค่ะ นายคนนี้มีอยู่ทั่วไป เยอะเสียด้วย เคยรบกับพระพุทธเจ้าของเรามาแล้ว แม้จะแพ้ราบคาบ แต่ก็ยังมีนายกิเลสแบบนี้เดินว่อนอยู่ทั่วโลก บางคนโดนนายกิเลส “จูงจมูก”เสียด้วยซ้ำ...แหม...ไม่น่าดูเลยใช่ไหมคะ นายกิเลสนี่มาหาเราได้หลายรูปแบบ ต่างๆกันไปตามสถานะการณ์ แล้วแต่ว่าเราจะไปเจออะไร...นายกิเลสนี่จะบอกเราทันที ยังกับว่าเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น อย่างเช่น เราไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า ที่นี่นายกิเลสมักชอบไปอยู่แล้ว แค่เราเดินไปไม่นาน เห็นตุ๊กตาหมีวางอยู่...แหม..อืออ..มันสวยจังนะ หรือถ้าไปเห็นรองเท้าเข้าสักคู่ แหม...อูววว์ มันสวยจังนะ...เพือนที่ชื่อนายกิเลสก็เข้ามาทันที นายคนนี้มาในนามชื่อ “โลภะ”....จะเข้ามากระซิบทันที.."อยากได้นะ"
พอนายโลภะบอกแค่นี้แหละค่ะ...เราจะหันไปหาคุณพ่อคุณแม่ทันที.. “แม่ หนูอยากได้ตัวนี้....” จะได้ซื้อหรือไม่ได้นั่นเป็นเรื่องที่ต้องต่อรองกับคุณแม่ต่อไป แต่นายโลภะทำงานเขาสำเร็จแล้ว เอาละค่ะ ครูจบเรื่องนายโลภะเอาไว้แค่นี้

เราเดินไปสักครู่ ไปพบกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน นายคนนี้มักแกล้งเราประจำ สับที่วางรองเท้าเราให้เราเดินหา แอบกระซิบนินทาเรา แถมแอบยิ้มกับคนที่เราชอบๆเสียอีก...นายกิเลสที่มาในชื่อ “โทสะ” ก็เข้ามากระซิบทันที “จัดการเสียซิ”...เราโดนควบคุมโดยนายโทสะเสียแล้ว...แต่..โชคดีที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้คุณพ่อกับคุณแม่เสียใจ นายคนนั้นเกิดเดินพลาดตกบันได...แหม..สะใจ..แต่นั่นถ้าเราคิดอย่างนั้น เท่ากับว่าเราตกอยู่ในความครอบครองของนายโทสะ จนไม่สามารถออกมาจากการควบคุมได้เลย..เรียกว่านายโทสะนี่เข้ามาอยู่กับเราตลอดเวลา ถ้าเป็นไฟก็เรียกกันว่า “ไฟสุมทรวง”กันเลยละ..ไม่มีความสุขหรอกค่ะ เอาละค่ะ วันนี้รู้จักนายกิเลสแค่ 2 ตน ที่มากระซิบข้างหูเรา วันหน้าครูจะมาพูดต่อ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:29 PM

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอน 2/5)

วันนี้เราพบกับเพื่อนที่ชื่อนายกิเลสเพิ่มอีก จะดูว่าพอจะแฉเล่ห์กลของนายกิเลสว่าจะมาไม้ไหนอีก บางทีนะคนเราบางคนรู้ตัวว่าการกระทำบางอย่างนี่มันผิด อย่างเช่นแม่บอกว่า “อย่าเล่นเกมส์มากเกินไปนะลูก เดี๋ยวจะเสียการเรียน” เราเองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าถ้าไม่ใส่ใจในการเรียนแล้ว การเรียนจะตกต่ำ ดีไม่ดีอาจสอบตก ต้องเสียเวลาไปสอบแก้ ต้องไปเรียนซ่อมเสริม ผลร้ายก็พอจะเดาเอาเองได้ หรือรู้อยู่แก่ใจ แต่เรามีเพื่อนไม่ดีที่มากระซิบว่า “ไปเล่นเถอะ ไม่เป็นไร แม่ไม่รู้หรอก” เพื่อนคนนี้ชื่อ “โมหะ”ค่ะ เป็นหน้าหนึ่งของนายกิเลส...เราเองต้องมีสติให้ดีนะคะ นายโมหะนี่น่ากลัวนะคะ แน่นอนว่าการเรียนต้องตกต่ำแน่นอน ถ้าเราตามใจนายคนนี้ไป หรือบางทีเราอาจจะเห็นคนที่ดื่มเหล้า นั่งดื่มกันแล้วส่งเสียงเอะอะ คุยกันเสียงดัง คนที่นั่งดื่มกันอยู่นั่น รู้กันเต็มอกนะ ว่าเหล้านี่มันไม่ดี ทำลายสุขภาพ ผิดศีลเป็นของแถมอีก นอกจากจะมีโรคตับแข็ง และอาจถึงตาย แต่ก็ยังนั่งดื่มกัน นั่นเพราะไม่สามารถควบคุมสติได้ ปล่อยให้นายโมหะเข้ามา แล้วกระซิบบอก “ไม่เป็นไร เพื่อนๆรอกันอยู่ เดี๋ยวจะเสียเพื่อนไปนะ ไปสนุกกันเถอะ”...น่ากลัวนะคะ....เอาละเราจะเลิกพูดเรื่องนายโมหะไว้แค่นี้ก่อน เพราะนายกิเลสอีกหลายๆหน้าจะแวะเวียนมาหาเรา ทีนี้เรามาดูตัวเราเองบ้าง บางทีเราเองนั่นแหละ เป็นตัวเชิญชวนนายกิเลสเข้ามาหา อย่างเช่นเราเห็นเพื่อนใส่ชุดใหม่มา เราหันไปมองแล้ว นึกในใจว่า ไม่เห็นจะสวยเลย...นั่นยังไม่เป็นไร แต่ถ้านึกต่อไปว่า ของเราสวยกว่า...ของเราดีกว่าเสียอีก...นั่นเป็นการเชิญนายกิเลสที่ชื่อ “มานะ”เข้ามาทันที นายมานะจะบอกว่า “ใช่..ของเราสวยกว่าเสียอีก ซื้อชุดนี้มาได้อย่างไร ตาไม่ถึง ไม่ทันสมัยเอาเสียเลย”....นายมานะคนนี้คนละคนกับนายมานะอีกคนนะ ที่จะเป็นคนที่อุตส่าห์บากบั่นทำงาน ที่เราจะได้ยินคนพูดกันว่า มานะบากบั่น อย่าไปสับสนกันนะคะ นายมานะที่เป็นกิเลสนี่ ทำให้เราเป็นคนหลงผิดว่าเราเสมอเขา เราดีกว่าเขา ซึ่งจะทำให้เราทุกข์ใจอยู่คนเดียว แบบเงียบๆ น่าสงสารนะคะถ้าเป็นคนที่ถูกนายมานะเข้าควบคุม เอาละค่ะ วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ครูขอทบทวนสักนิดนะคะว่านายกิเลสที่พูดไปนั่นมี 4 ตนแล้ว และนิสัยของทั้ง 4 ตนนั้นคืออะไร
1.นายโลภะ มีนิสัย อยากได้โน่น อยากได้นี่
2.นายโทสะ เป็นคนชอบคิดประทุษร้าย
3.นายโมหะ เป็นคนหลงผิด ความเขลา
4.นายมานะ เป็นที่มีความถือตัว ว่าจะต้องดีกว่าคนอื่นเสมอ

ไม่มีดีเลยสักคนใช่มั้ยคะ เวลาพวกนี้มาหา ต้องรู้เท่าทันนะคะ อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด เราต้องรู้จักกับกิเลสพวกนี้ พร้อมยิ้มรับเมื่อมาหาเรา และบอกไปว่า “ฉันรู้จักพวกนายนะ ดีแล้วที่มาเป็นเพื่อน ที่ช่วยเดินตาม...อย่างน้อยก็ทำให้ไม่เหงา”....



Posted by ครูพเยาว์ at 8:25 PM

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอน 3/5)

วันนี้จะมาพูดถึงนายกิเลสที่จะมาหาเราอีกรูปแบบหนึ่ง ชื่อ “ทิฎฐิ” น่าแปลกอยู่ที่นายคนนี้มาหาเราในรูปที่ ดีก็ได้ ร้ายก็เป็น...เราเองต้องคิดตัดสินใจเอาตอนที่เราจะทำอะไร อย่างเช่น จะช่วยเหลือเพื่อนตอนที่เขามาร้องขอ ซึ่งเราเองอาจช่วยก็ได้ ไม่ช่วยก็ได้ ถ้าเราช่วยก็เท่ากับว่าเราสร้างกรรมดีเอาไว้ “ทำดีนั่นแหละดี” นายทิฎฐิที่มาในรูปของกิเลสที่ดี หน้าตายิ้มๆมา เขาชื่อ “สัมมาทิฎฐิ”ค่ะ...แต่ถ้าเรากลับคิดว่า..เรื่องอะไรที่ฉันจะไปช่วยเธอ..เธอเองก็ไม่เคยช่วยอะไรฉันเลย นายทิฎฐิอีกคนก็จะเข้ามาเข้าข้างเรา เสริมเข้าไปอีกว่า ...ใช่ ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป อะไรอย่างนี้...นายทิฎฐิคนนั้นชื่อ “มิจฉาทิฎฐิ” มายืนหัวเราะสมน้ำหน้าไปด้วย นายมิจฉาทิฎฐินี่อันตรายมากนะคะ ว่ากันว่าถ้าเราเชื่อนายนี้ และถ้าตายไปจากโลกนี้ ก็ต้องลงนรกแน่นอน และถึงแม้จะยังมีชีวิตอยู่ก็เท่ากับลงนรกไปแล้วด้วย เพราะเขามักชักชวนเราให้หลงผิดไปว่า บุญไม่มี บาปไม่มี ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วก็ไม่ได้ชั่ว กลายว่าเราจะเป็นคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลก แม้ยามเราลำบากก็จะหาใครมาช่วยได้ แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นตอนที่เรายังลังเลใจ...จะเชื่อใครดีน้า....ระหว่างสัมมาทิฎฐิกับมิจฉาทิฎฐิ...เกิดความไม่แน่ใจ...เกิดความสงสัย...เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าถ้าเราทำดีแล้วจะดีมั้ยน้อ...ถ้าไม่ทำแล้วจะดีมั้ยน้อ...ชักไม่แน่ใจขึ้นมา ตอนที่คิดอยู่นี่ นายกิเลสมาในนามของ “วิจิกิจฉา” ก็เข้ามาจับความคิดเราพลิกไป พลิกมา ดีมั้ยน้อ...ดีหรือเปล่าน้อ...น่าจะอย่างนั้นน้อ....น่าจะอย่างนี้น้อ....ถ้าเราเกิดปัญญาขึ้นมา และถ้าคิดได้ว่า ทำดีนั่นแหละดี นายวิจิกิจฉาก็จะหายตัวไปทันที...ครูรู้ว่าอธิบายเรื่องนี้ได้ลำบากมาก แต่ก็เอาเถอะ...พอให้พวกเธอได้เห็นรูปเห็นร่างเบื้องต้นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว การเรียนพระพุทธศาสนานั่น ยิ่งเรียนยิ่งสนุกนะคะ เพราะการอ่าน การทำความเข้าใจ จากนามธรรมให้เป็นรูปธรรมนั่น มันยากที่จะอธิบาย นอกจากจะนั่งฟังพระที่เทศน์เก่งๆ เป็นชั่วโมงได้ วันนี้พอแค่นี้ก่อนค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:23 PM

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอน4/5)

วันนี้จะมาพูดเรื่องของนายกิเลส ที่จะเข้ามาข้องแวะกับเราเพิ่มอีก มักมาหาเราตอนที่เรากำลังหมดกำลังใจ....ทำการบ้านก็ไม่ทัน คณิตก็เยอะ วิทย์ก็แยะ แถมชั่วโมงพละก็ทำให้เหงื่อแตกท่วมตัวมา เสื้อแฉะ ยังต้องมานั่งฟังคุณครูพเยาว์สอนนั่งสมาธิอีก...โอ๊ววว เกิดอาการท้อแท้ ถดถอยในอารมณ์....น่าสงสารนะคะ... แต่รู้มั้ยคะ ตอนที่เกิดอาการอย่างนั้นขึ้นมา จะมีกิเลสตนหนึ่งขึ้นมานั่งบนบ่าเราเลยละ เราจะนั่งก้มห้ว ไหล่ห่อ ตัวงอ หน้าตาไม่ยิ้มแย้ม หน้าจะหมอง ตาจะเศร้า เรียกว่าเกิดความหดหู่ใจ ตัวกิเลสตนนั้นชื่อ “ถีนะ” นายกิเลสตัวนี้จะมาบอกว่าขอขี่คอเธอทีนะ... เขาก็ทำให้เธอหนักอกหนักใจ แต่....ต้องมีแต่อีกละค่ะ...ถ้าเราขยัน พยามยามขึ้นอีก ตั้งตัวให้ตรง เชิดหน้าขึ้น...หนูจะขยันขึ้น ตั้งใจเรียนให้มาก จะทำการบ้านให้เสร็จ ถึงไม่ต้องเอาผ้ามาโพกหัวแบบเด็กญี่ปุ่น ตอนตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง...เธอก็ทำได้ ตอนที่เธอตั้งตัวตรง เชิดหน้า สัญญากับตัวเองว่าจะขยันเพิ่มขึ้นอีกนั่น นายถีนะก็ตกจากบ่าของเธอ...บาดเจ็บจนไม่สามารถขึ้นมานั่งบนเธอได้อีก...แล้วเธอก็จะสำเร็จในการเรียน เธอก็จะยิ้มออก คุณครูก็จะดีใจกับเธอ คุณพ่อคุณแม่ยิ่งจะดีใจ...แต่อย่าเพิ่งดีใจกับความสำเร็จนี้ไปมากนัก เรายังต้องเจอกับกิเลสอีกหลายตัว ที่ทำให้เราเดินสู่จุดเป้าหมายไม่สำเร็จ ในต่างรูปแบบ อย่างเช่นเมื่อเธอทำให้นายถีนะหลุดออกไปแล้ว ก็กลับมาบ้านตั้งใจอย่างเต็มที่ ที่จะทำการบ้าน รื้อหนังสือออกมาทั้งหมด แต่จะเริ่มวิชาไหนดีน้อ....คณิต...วิทย์...แล้วก็คิดต่อ...วันก่อนไปกับคุณแม่...เห็นตุ๊กตาตัวนั้น...มันสวยนะ...อีกตัวที่อยู่ข้างๆมันก็สวย...ดูๆไปสวยกว่าตัวที่เราได้มาเสียอีก...แต่เอ๊.....มีคนแอบมองเราอยู่ด้วย...เป็นใครกันน้อ...ไปแล้วค่ะ...อย่างนี้เขาเรียกว่าความฟุ้งซ่าน เธอกำลังปล่อยให้นายกิเลสที่แอบยิ้มอยู่เข้ามาหาเธอแล้ว...ตอนที่เธอคิดว่าเป็น ใครกันน้อนั่นแหละ นายกิเลสที่ชื่อ “อุทธัจจะ” เข้ามานั่งในความคิดเธอแล้ว และจะพาเธอไปทุกที่...ผลสุดท้าย การบ้านก็ไม่เสร็จ มัวแต่ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเอง เป็นใครกันน้อ...อยู่นั่น คนที่จะมาช่วยเธอได้ตอนนี้รู้มั้ยว่าใคร....สติค่ะ...ตบมือดังๆ ไล่นายอุทธัจจะออกไปจากความคิด นายคนนี้ก็หายไปแล้ว เขากลัวเสียงดัง เขามักเล่นทีเผลอกับเรา และจะทำอย่างนี้ตลอด เข้ามาหา พอตกใจแล้วหนี ถ้าจะให้หายไปเลยเราก็ทำได้...ทำอย่างไรหรือ...สมาธิค่ะ...นายอุทธัจจะจะแพ้สมาธิอย่างราบคาบ...ถ้าเธอตั้งใจเรียน ทำการบ้าน เอาสมาธิเข้ามาช่วย ใจจดจ่อกับบทเรียน ครูรับรองได้เลยค่ะว่า นายอุทธัจจะ จะไม่เดินเฉียดเข้ามาใกล้เลย...

Posted by ครูพเยาว์ at 8:16 PM

รอบรั้ว บ้านเพื่อน ชื่อกิเลส (ตอนจบ)

ครูได้พูดถึงกิเลสให้ฟังมา 8 ตัวแล้ว จะสรุปหน่อยว่ามีอะไรบ้าง
1)โลภะ ความยินดีพอใจในโลกียอารมณ์ต่างๆ
2) โทสะ ความโกรธ ความไม่พอใจ
3) โมหะ ความหลง ความโง่
4) มานะ ความเย่อหยิ่ง ถือตัว
5) ทิฏฐิ ความเห็นผิด
6) วิจิกิจฉา ความสงสัยลังเลใจในสิ่งที่ควรเชื่อ
7) ถีนะ ความหดหู่
8) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน

ทีนี้จะมาพูดเพิ่มอีก 2 ตัว การยกตัวอย่างจะเปลี่ยนไป เพราะพวกเธอยังเด็ก กิเลสพวกนี้ยังจะไม่กระโดดเข้ามาหาพวกเธอ ครูอยากให้ย้อนหลังไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา ความวุ่นวายในทางการเมือง ความเสียหายที่เกิดขึ้น การไล่ล่า การทำร้าย ยิงกัน เผาบ้านเผาเมืองกัน แม้ในบ้านเรา อุดรธานี ก็โดนเผาไปด้วย ทั้งศาลากลางสำนักงานเทศบาล คนที่ทำการอย่างนั้นได้ ก็เกิดจากกิเลสหลายๆตัวเข้ามารวมกัน บังคับให้ทำไป เอาตัวอย่างแรกไปก่อน เผาศาลากลาง ซึ่งเป็นที่ทำงานของข้าราชการ อาคารเก่าแก่ ควรที่จะอนุรักษ์เอาไว้ คนเหล่านี้ยังกล้าเผา การเผานั้นเป็นการทำชั่ว ทำลายทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ซึ่งก็เป็นของเราทุกคน เงินทองที่ใช้ในการก่อสร้างขึ้นมา ก็มาจากภาษี ที่เอาจากพวกเรานั่นแหละ ตัวกิเลสอะไรที่เข้าครอบงำจิตใจของคนเหล่านั้นได้ มันมาสองตัวเลยละค่ะ ตัวแรกชื่อ “อริกะ” ใครโดนนายนี้เข้าครอบงำแล้วละก้อ จะไม่มีความละอายในการกระทำบาป ทำชั่ว ไม่ละอายต่อทุจริต ในใจพวกนั้น ในขณะนั้นคือเผาอย่างเดียว ตัวกิเลสอื่นๆที่ครอบงำอยู่ ไม่ว่า โทสะ โมหะ ต่างก็ร้องใชโย สะใจอยู่อื้ออึง พวกนี้ในที่สุดก็โดนครอบงำด้วยตัวกิเลสอีกตัวที่ชื่อ “อโนตัปปะ” กิเลสตัวนี้จะทำให้เร่าร้อน ไม่เกรงกลัวผลในการกระทำบาป ทำชั่ว ไม่สะดุ้งกลัวต่อทุจริต” ไม่กลัวอะไรเลย จนในที่สุด ตำรวจก็มาไล่จับได้ แก้ตัวกันต่างๆนาๆ ซึ่งก็สายไปเสียแล้ว ครบแล้วนะคะ กิเลส 10

“หมายเหตุ” ครูอยากจะหมายเหตุเอาไว้ เรื่องกิเลส 10 ที่เขียนไปนั้น อาจไม่ตรงนักสำหรับตัวอย่างที่พูดออกไป แต่นั่นก็พอที่จะให้เด็กชั้นประถมพอจะเห็นรูปร่างอย่างเลาๆ จึงขอทำความเข้าใจไว้สำหรับท่านผู้รู้ นักศึกษา

Posted by ครูพเยาว์ at 8:02 PM