Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว การ์ตูน ผีซ่าส์กับฮานาดะ

Tuesday, July 31, 2007

ในบ้านของครู มีหนังสือการ์ตูนมากค่ะ ทุกคนที่บ้านอ่านหนังสือการ์ตูนกันเป็นนิสัยไปเลย น้องชายของครูทั้งสองคน อ่านการ์ตูน แม้จนบัดนี้ก็ยังไม่ขาด ลูกชายของครูก็ได้อาศัยอ่านต่อจากน้าชาย ส่งมาให้อ่าน เขาแอบซื้ออ่านเองบ้าง ผสมผเสเอามารวมกัน หนังสือการ์ตูนก็เพิ่มขึ้นเต็มบ้าน

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ครูได้ฟังพ่อบ้านพูดถึง คือเรื่องที่ตัวการ์ตูนในเรื่องลำเลิกบุญคุณที่เขายังมีต่อพ่อแม่ ทั้งๆที่เขาเองเป็นเด็กดื้อ โดนตีจนนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้ว เด็กคนนี้ชื่อ ฮานาดะ ในหนังสือพูดถึงนิสัยใจคอฮานาดะอย่างไร อยากให้ฟังดูค่ะ....เขาเป็น เด็กซน เด็กตัวแสบ เด็กดื้อ ฮานาดะ อิจิโระ เป็นที่เอือมระอาของชาวบ้านทุกคน วันหนึ่งขณะที่ก่อเรื่องแกล้งคน ก็ได้ขี่จักรยานหนี แต่เกิดอุบัติเหตุถูกรถชน...อิจิโระรอดมาได้ พร้อมแผลเป็นเย็บ 9 เข็มที่หัว และมีของแถมมาอีก เป็นความสามารถที่น่ากลัว.....


ที่น่ากลัวสำหรับเขา และเด็กทุกคนก็คือ เขาเห็นผีได้...ผีจะติดตามเขา เพราะสามารถติดต่อกับเขาได้ และขอความช่วยเหลือ ซึ่งในหนังสือก็มีหลายตอนที่เขาต้องไปช่วยผี แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ผีของเด็กเข้ามาให้อิจิโระช่วย คือช่วยไปบอกกับแม่ ว่าอย่าโศกเศร้าไปมากนัก จนจมอยู่ในกองทุกข์ตลอดเวลา ซึ่งเขาสัญญาว่าจะกลับมาเกิดเป็นลูกแม่อีก ถ้าแม่มีชีวิตอย่างแจ่มใสอีกครั้ง ซึ่งในที่สุดแม่เขาก็ได้กอดลูกอีกครั้งในร่างทรงของอิจิโระ และสามารถใช้ชีวิตแบบปกติต่อไป..ก็น่าอ่านดีค่ะ ส่วนอิจิโระ ก็กลับบ้านไป แต่ก็เนื่องจากที่ไปช่วยผีนาน แม่ถึงเขกหัวเสียจนโน อิจิโระก็เถียงแม่ ว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขานั่นน่ะ เป็นลูกกตัญญู จะมาทำโทษเขาได้อย่างไร ซึ่งแม่ของอิจิโระไม่เข้าใจในเรื่องนี้ แต่อิจิโระเข้าใจดี ว่าแม่ที่สูญเสียลูกไปแล้วนั่นมีความรู้สึกอย่างไร มีความเศร้าโศกขนาดไหน เพราะได้เจอะเจอเหตุการณ์มาแล้ว รูปที่ครูเอามาให้ดูเป็นฉากจบในตอนนี้ค่ะ

เราจะได้ยินข่าวอยู่ทุกปีค่ะ ว่ามีเด็กฆ่าตัวตาย เวลาไม่ได้ดังใจ เช่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆไม่ได้ สร้างความเจ็บปวดให้กับพ่อแม่ คนที่อยู่ข้างหลัง อิจิโระนี่เป็นเด็กที่เกเรสุดๆก็จริง แต่ก็เข้าใจความรักของแม่ที่มีต่อลูก ไม่ได้บอกให้ลูกๆต้องเกเรนะคะ แต่อยากบอกให้ลูกๆรู้ตัวตลอดเวลาว่า อย่าทำความเสียใจให้กับพ่อแม่ นั่นคือการตอบแทนต่อความรักของพ่อแม่ส่วนหนึ่งแล้วค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 4:56 PM

รอบรั้วบ้าน ฟังแม่หน่อย


กำลังจะก้าวย่างสู่เดือนของวันแม่ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แน่นอน ว่าคงจะได้อ่านเรื่องที่ใครหลายคน ที่จะพูด จะเขียนถึงพระคุณแม่...ก่อนที่จะพูด ขอแม่พูดก่อนสักนิด ว่ากว่าจะเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาได้นั้น ต้องเจอะเจออะไรมาบ้างค่ะ แม้ว่ามันนานมาแล้ว แต่ก็ยังจำได้ดีและจะไม่มีวันเลือนไปได้จากความทรงจำ

ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนค่ะว่า โชคดีมากๆ ที่ลูกชายทั้งสองคน ไม่เกเรเลย แม่ไม่เคย ที่จะกลุ้มใจกับพฤติกรรมของลูกตั้งแต่เล็กจนโต อาจเป็นบุญกุศลที่แม่ได้ทำเอาไว้ ถึงได้เจอกับลูกที่เป็นลูกแม่อย่างแท้จริง...แต่อย่าเพิ่งคิดว่านี่ หลงลูกจนเกินไป แม่ทุกคนก็พูดอย่างนั้นแหละ...นี่เป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนลูกยังเล็กๆ ทำให้ต้องไม่วางตาห่างจากลูกตลอดมาค่ะ

ตอนที่ลูกคนโตเพิ่งคลอด..มีอยู่คืนหนึ่ง หลังจากให้นมลูกไป ซึ่งปกติแล้วลูกจะหลับ แล้วแม่ก็จะอุ้มเดินไปเดินมา เพื่อที่จะเอาเข้าอู่นอน แต่คืนนั้น...เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นค่ะ..อยู่ดีๆ ลูกก็ตัวอ่อนปวกเปียกลง ไม่ไหวติง..เหตุการณ์ช่วงนั้นทำอะไรไม่ถูกเลย..คิดอยู่อย่างเดียว คือจะทำอย่างไร ให้ลูกตื่นขึ้นมา...ได้แต่ร้องบอกพ่อว่าลูกนิ่งไป...ทั้งพ่อและแม่ไม่มีใครรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น นี่คือลูกคนแรก...ตัวพ่อนั้นเข่าอ่อนขึ้นมาเฉยๆ...ร้องเรียกแม่ ที่ตอนนั้นมาเยี่ยมหลานอยู่ด้วย...โชคดีค่ะ ที่ย่าเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดดี รับหลานไปอุ้มพาดบ่า...ตบหลังเบาๆ...จากนั้นก็ได้ยินเสียงเรอออกมา...แล้วก็ร้องไห้จ้าตามหลัง เรื่องเหมือนกับเล็กๆน้อยๆ แต่มันเป็นเรื่องที่ถึงกับชีวิต โชคดีของทุกคน ที่คุณย่ามาช่วยเอาไว้ได้ จากนั้นเป็นต้นมา ลูกนี่ต้องอยู่ในสายตามาตลอด เป็นห่วงไปหมดไม่ว่าจะไปไหนค่ะ

จวบจนเข้าโรงเรียน ก็ต้องบอกได้เลยค่ะ ว่าไม่ได้แค่ส่งลูกเข้ารั้วโรงเรียนแล้ว จะจบตรงแค่รั้ว ไม่ว่าลูกๆจะอยู่โรงเรียนไหน ทั้งพ่อและแม่ก็เข้าไปดูเป็นระยะๆ ไปสอบถามถึงความประพฤติจากคุณครู ที่แม้แต่ตัวครูที่สอนก็รู้สึกแปลกใจ ที่พ่อแม่เข้าไปสอบถาม แถมถามคืนด้วยว่าลูกเกเรหรือเปล่า.. เพราะทางโรงเรียนเขาจะเข้าใจว่า ลูกต้องเกเร พ่อแม่ถึงตามไปดู ก็ต้องบอกกับลูกค่ะ ว่าเพราะรักลูกนี่แหละ ถึงตามดูทุกข์สุขของลูกว่าเป็นอย่างไร...อยากบอกค่ะ ว่าไม่ว่าจะเป็นลูกทั้งสองของครู..หรือว่าลูกศิษย์ที่นั่งเรียนอยู่กับครู...ทุกคนก็เป็นลูกของครูทั้งนั้นค่ะ..อย่าเป็นคนเกเรนะคะ ตั้งใจเรียน ขอให้ทำหน้าที่ๆเป็นลูกให้ดี แค่นั้นก็ทำให้พ่อแม่และครูชื่นใจแล้วค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 11:34 AM

รอบรั้ว ทั่วๆไป โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์กับคนไทย

Monday, July 30, 2007

สงสัยเรื่อง "โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์" ที่ยังไม่แน่ใจว่าเราจะเริ่มสร้างกันเมื่อไหร่ ในเมืองไทย เท่าที่เห็น ก็พอมองออกพอเลาๆ ว่าไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆ ก็ค่อยยังชั่วค่ะ แต่...ในอนาคตเราก็ต้องมีโรงไฟฟ้าอย่างว่านี้แน่นอน ถ้าน้ำไม่ท่วมโลกเรานี้ชนิดที่ล้างมนุษย์ไปหมด ที่เกรงกลัวโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ก็เพราะชอบสังเกต ว่าเราเองมีนิสัยอย่างไร คนไทยเรานี่แหละ ไปโรงเรียนตอนเช้าๆ สังเกตการขับรถของชาวเรา จะเห็นว่ากฏจราจรนั่นเขียนอย่างไร ไม่มีใครสนใจ ไฟแดงแล้ว โน่น..กว่าจะจอดก็แทบถึงกลางถนน ฝ่ายที่จะเลี้ยวก็ต้องขับวนให้พ้นทางที่เขาจอดล้นไปกลางถนน ทั้งเด็กวัยรุ่นและวัยเกินที่จะคึกคะนองแล้ว..เหมือนๆกัน ไม่ใส่ใจในกฏจราจร....สะพานข้ามถนน ก็ไม่ข้าม จะเดินข้ามตรงไหนก็ได้ ดีหน่อยที่ตอนนี้ตำรวจเอาจริงเอาจัง ในช่วงตอนเช้า ถึงแม้ว่าจะเดินข้ามมาครึ่งถนน ก็บอกให้กลับไปขึ้นทางสะพานลอย..แต่จะจริงจังได้นานแค่ไหน

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่ต้องออกไปลงประชามติในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2550 นี้ได้ข่าวว่ายังมีการเขียนผิด...เอาฉบับที่ยังไม่ได้แก้ไขในบางข้อความไปพิมพ์..อะไรจะสะเพร่าขนาดนั้น!!!

นี่แหละคือความกลัวเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของครูค่ะ เราจะเห็นว่าการไม่ระวัง ไม่ใส่ใจมีอยู่ทั่ววงการ ไม่ว่าในระดับไหน เราทำงานแบบลอยตามลม เอ้อระเหยตลอดเวลา และที่น่ากลัวคือไม่มีวินัยในเบื้องต้น ถ้าเรามีคนอย่างนี้เข้าไปควบคุมโรงงาน ที่อาจมีผลถึงชีวิตของคนนับล้าน ผลจะออกมาเป็นอย่างไร...น่ากลัวค่ะ ถึงแม้ว่าจะมีรายละเอียดเรื่องความปลอดภัย เพื่อที่จะป้องกันเอาไว้ให้ปฏิบัติ...ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับ "คน" ทั้งนั้น ที่จะชี้ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเช่นไร

กับเด็กเล็กๆที่อยู่ในโรงเรียนของเรา..ต้องปลูกนิสัยให้มีระเบียบวินัยเอาไว้ตลอดเวลาค่ะ อย่าทิ้งขยะให้เกลื่อนกลาดไปทั่ว..ถังขยะก็ต้องดูให้สะอาด ไม่ใช่จะเปิดถังขยะซักที ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า เชื้อโรคบนที่เปิดถังขยะ จะรุมกันไต่ขึ้นมือกี่ล้านตัว เด็กของเราต้องเดินข้ามสะพานข้ามถนน ซึ่งนี่ก็ดีหน่อยที่เด็กเราตัวเล็กๆ ไม่กล้าเดินข้ามถนน แต่ก็ต้องบอกเอาไว้ เพราะเด็กโตๆระดับมัธยมเดินให้เห็นเป็นประจำเป็นตัวอย่าง ปลูกฝังวินัยทั้งหมดเท่าที่นึกขึ้นได้ มาอบรมเด็กของเราเป็นเบื้องต้น อาจมีสักคนที่ต้องไปควบคุมโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ อย่างน้อยก็อุ่นใจค่ะ ว่าวินัยที่อบรมเขาไปนั้น คงจะให้เราอยู่อย่างไม่ต้องระแวงภัย ที่เกิดจากความสะเพร่า, ประมาทและไร้วินัยเท่าไรนัก
ดูภาพเพิ่มเติมจาก http://www.nst.or.th/article/article493/article493015.html จะเห็นว่าในอนาคตไม่ไกลนักจากนี้ เราคงต้องได้ยินเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแน่นอนค่ะ ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ก็อย่าลืมเตือนกันในเรื่องความปลอดภัยจากคนที่ควบคุมเครื่องมือก็แล้วกันค่ะ และเพื่อสนับสนุนเรื่องที่ว่าเราต้องได้ยินเรื่องโรงไฟฟ้าที่ว่าบ่อยขึ้นแน่ ก็อยากให้ได้ยินเรื่องที่ย้อนหลังไปบ้างค่ะ พอสังเขป ที่เก็บมาจากหนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์
23 เม.ย. 2550.....พูดเรื่อง เริ่มให้ความรู้แก่ประชาชน
12 มิ.ย. 2550....เริ่มคุยถึงค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งแรก ประมาณเอาไว้ว่า 204 พันล้านบาท ข้อมูล กฟผ.
27 มิ.ย. 2550....ประมาณเอาไว้ว่าปี 2020 (พ.ศ. 2563)น่าจะเปิดโรงไฟฟ้าแห่งแรกได้
6 ก.ค. 2550....เริ่มพูดถึงการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ
12 ก.ค. 2550....เริ่มมองไปที่สถานที่ก่อสร้างที่อาจเป็น ระนอง,ชุมพรหรือสุราษฎร์ ที่มีน้ำสำหรับหล่อเลี้ยงเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู
16 ก.ค. 2550....IAEA (องค์กรปรมาณูเพื่อสันติ) สนับสนุนเรื่องสร้างโรงไฟฟ้ากับประเทศไทย
เห็นมั้ยคะ..ว่าโครงการณ์นี้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ครูไม่ได้กลัวเรื่องโรงไฟฟ้า แต่กลัวเรื่องคนที่เข้าไปควบคุมเครื่องมือ ถึงอยากย้ำว่า ระเบียบ วินัย เราต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็กค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 4:31 PM

รอบรั้ว เมืองอุดร พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม

Saturday, July 28, 2007



พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระองค์เป็นผู้สถาปนาเมืองอุดร ฯ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 25 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาสังวาลย์ ประสูติเมื่อปี พ.ศ.2399 ได้รับพระราชทานนามว่า พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ทรงเป็นต้นราชนิกูล ทองใหญ่ ทรงเริ่มการศึกษาภาษาไทย (อักษรสมัย) และภาษาบาลี จากพระอาจารย์ชาวไทย ทรงศึกษาภาษาอังกฤษ จาก นางแอนนา เลียวโนเว็น และนายแพเตอร์สัน อย่างแตกฉาน จนสามารถตรัส และเขียนได้ดี พระองค์ได้ทรงพิธีโสกันต์ (โกนจุก) เมื่อปี พ.ศ.2410 และได้ทรงผนวชเป็นสามเณรแล้ว เสด็จไปประทับที่วัดบวรนิเวศ เมื่อปี พ.ศ.2411 ขณะทรงผนวชได้ตามเสด็จ พระบรมราชชนกไปทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันต์

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระองค์ได้เปลี่ยนฐานันดรเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ทรงผนวช เมื่อปี พ.ศ.2418 และประทับอยู่ ณ วัดราชประดิษฐ์ ฯ อยู่หนึ่งพรรษาจึงลาสิกขา เพื่อเข้ารับราชการเป็นนักเรียนศาลฎีกา รับราชการในพระบรมมหาราชวัง จนพระชนมายุได้ 25 พรรษา ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาเป็นกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงศักดินา 15,000 โดยได้ทรงบังคับกรมวังนอก และเป็นผู้ช่วยราชการกรมวังในอีกตำแหน่งหนึ่ง ทรงตั้งกรมดับเพลิงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง และได้ริเริ่มกรมทหารล้อมพระราชวัง ซึ่งต่อมาคือ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์

ในปี พ.ศ.2428 พระองค์ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้นายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ด้านมณฑลลาวพวน แถบเมืองหนองคาย ยกทัพขึ้นไปปราบพวกจีนฮ่อ ที่เข้ามาปล้นสะดมราษฎรในบริเวณมณฑลลาวพวน หัวพันทั้งห้าทั้งหก กองทัพไทยฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ประสบความยากลำบากในการปราบฮ่อ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นป่าเขา แต่ในที่สุดก็สามารถปราบได้ จึงได้ทรงสร้างอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ ขึ้นที่เมืองหนองคาย เมื่อปี พ.ศ.2429 เพื่อบรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิตเพื่อชาติในครั้งนั้น

หลังจากไทยได้ปราบฮ่อเรียบร้อยแล้ว ฝรั่งเศสได้ฉวยโอกาสเข้ายึดแคว้นสิบสองจุไทย โดยอ้างว่าจะคอยปราบพวกโจรจีนฮ่อ ทำให้เกิดกรณีพิพาทเรื่องอาณาเขตระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 ฝรั่งเศสบังคับให้ไทยลงนามในสนธิสัญญายอมรับสิทธิของฝรั่งเศส เหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และให้ไทยถอยกองกำลังทหารให้ห่างจากชายแดนแม่น้ำโขงในรัศมี 25 กิโลเมตร เป็นเหตุให้นายพลตรีพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคม ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวพวน ต้องย้ายที่บัญชาการมาตั้งที่บ้านเดื่อหมากแข้ง ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2436 พระองค์ได้ทรงรับราชการต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอุดร (ลาวพวน) และสถาปนาเมืองอุดรธานี และวางระเบียบแบบแผนการปกครองหัวเมืองชายแดนอยู่ 7 ปี เศษ จึงเสด็จกลับกรุงเทพ ฯ เมื่อปี พ.ศ.2442

ต่อมาพระองค์ได้ประชวรด้วยโรคพระอันตะพิการและสิ้นพระชนม์ ณ วังตรอกสาเก เมื่อปี พ.ศ.2467 สิริรวมพระชันษาได้ 68 ปี

อนุสาวรีย์ของ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เมื่อสร้างเสร็จด้วยความร่วมมือของบรรดาข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ก็ได้อัญเชิญมาประดิษฐานเอาไว้ที่ทุ่งศรีเมืองในปี พ.ศ. 2514 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมาทรงเปิดอนุสาวรีย์ ในสมัยนั้นอนุสาวรีย์อยู่ในบริเวณใกล้ๆกับศาลปู่ย่าที่มาสร้างให้ชาวอุดรมากราบไหว้ตอนเดือนธันวาคม หรืออยู่ใกล้ๆกับศาลาทุ่งศรีเมือง ที่เมื่อวันขึ้นปีใหม่ เราชาวอุดรไปรับพรมน้ำมนต์กันที่นั่น ต่อมาเมื่อปี 2524 ได้อัญเชิญมาประดิษฐานเอาไว้ตรงวงเวียนห้าแยกน้อย และเมื่อถึงวันสถาปนาเมืองอุดร (18 มกราคม) เหล่าข้าราชการ หน่วยงานต่างๆ ประชาชน แม่บ้าน ต่างก็พร้อมกันมารำบวงสรวงถวายให้แด่ พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ฯ เป็นประจำทุกปี ตัวคุณครูเองก็มีโอกาสรำถวายให้ด้วย เพราะพวกเราก็เกิดที่นี่ เท่ากับเป็นลูกหลานพระองค์ท่านเหมือนกัน จากรูปด้านซ้ายมือนะคะ นั่นคือชุดพื้นเมืองท้องถิ่นของเราค่ะ นุ่งผ้าซิ่น เสื้อสีแสด ซึ่งเป็นสีของดอกจาน หรือทองกวาว เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดอุดรธานีของเราค่ะ ใครเป็นใครดูเอาเองนะคะ จะเห็นว่ามีคุ้นๆหน้าอยู่หลายคนค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 7:18 PM

รอบรั้ว เมืองอุดร อาคารราชินูทิศ

Thursday, July 26, 2007


อาคารราชินูทิศอันเป็นอาคารโบราณหลังนี้มีประวัติความเป็นมาค่ะ แต่เดิมนั้นเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนสตรีประจำมณฑลอุดร ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมหาราชจักรีวงศ์ ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะบริจาคพระราชทรัพย์สร้างโรงเรียนสตรีประจำมณฑลขึ้น แต่พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน การดำเนินงานจึงจำต้องค้างมา จนเวลาต่อมาพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ศุข ดิษยบุตร) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร ผู้สำเร็จราชการมณฑลอุดร และคุณหญิงน้อม ดิษยบุตร (ศรีสุริยราช) ได้ชักชวนชาวเมืองร่วมบริจาคทรัพย์น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม สร้างเพื่ออุทิศถวายแด่พระองค์ท่าน

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเหล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพิ่มเติม และพระราชทานนามโรงเรียนว่า “ ราชินูทิศ ” เมื่อพุทธศักราช 2463....ได้ประกอบพิธี “ฝังรากศิลาจารึก” โรงเรียนขึ้น พ.ศ.2464....และตัวอาคารเรียนสร้างแล้วเสร็จ เมื่อ พ.ศ. 2468 ดังปรากฏข้อความบนหน้าจั่วอาคารราชินูทิศ ภายใต้อักษรย่อพระนามาภิไธย “ส.ผ.” สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง (เสาวภาผ่องศรี)

ต่อมาในปีพุทธศักราช 2497 ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงครามและท่านผู้หญิงได้มาทำพิธีเปิดสมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมหญิง จังหวัดอุดรธานี และใช้อาคาร “ ราชินูทิศ ” เป็นสำนักงานและเห็นว่าอาคารหลังนี้เล็ก อยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะสมจึงอนุมัติให้สร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ และย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่สร้างใหม่ ปีพุทธศักราช 2503

กระทรวงศึกษาธิการ ได้เริ่มโครงการพัฒนาการศึกษาส่วนภูมิภาคจึงได้รับโอนเอาอาคาร “ราชินูทิศ” นี้ เป็นสำนักงานโครงการพัฒนาการศึกษาส่วนภูมิภาค และเมื่อมีการปรับปรุง กระทรวงทบวงกรมใหม่ ในปีพุทธศักราช 2516 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ใช้อาคารหลังนี้ เป็นสำนักงานศึกษาธิการเขต เขตการศึกษา 9 โดยมีหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 9 ใช้อาคารเป็นสำนักงานร่วมกัน

ในภายหลังในปีพุทธศักราช 2538 สำนักงานศึกษาธิการเขต เขตการศึกษา 9 ได้ย้ายไปปฏิบัติงานในสำนักงานแห่งใหม่ จึงยังคงเหลือเฉพาะหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 9 ที่ยังคงปฏิบัติงาน ณ อาคารราชินูทิศต่อมาจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 และอาคารหลังนี้ กรมศิลปากร ได้ขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานแห่งชาติ แล้วเมื่อ พ.ศ. 2535

จังหวัดอุดรธานี ได้ใช้อาคารราชินูทิศ จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี โดยมีคณะกรรมการดำเนินการที่เป็นบุคลากร ซึ่งมาจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน สื่อสารมวลชน และประชาชนในจังหวัดอุดรธานี ได้ร่วมกันจัดปรับปรุงภูมิทัศน์ จัดตกแต่งและจัดระบบภายในห้องชั้นล่างและชั้นบนอาคารราชินูทิศ ตลอดทั้งมีการจัดแสดงนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ตามห้องต่าง ๆ มาตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2546 ถึงวันที่16 มกราคม 2547 โดยใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 111 วัน และทำพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี เพื่อให้การบริการแก่ประชาชนได้เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2547 ซึ่งตรงกับวันสถาปนาเมืองอุดรธานีและเป็นวันเฉลิมฉลองการจัดตั้งเมืองอุดรธานี ลุสู่ปีที่ 111 เป็นต้นมา

อาคารหลังนี้นะคะ ตั้งอยู่ที่ถนนโพศรีค่ะ ใกล้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 1 และสำนักงานที่ดินจังหวัด เยื้องๆกับวิทยาลัยอาชีวะศึกษาอุดรธานี ไปง่ายๆค่ะ ถ้าจะไปวัดโพธิสมภรณ์ ก็ผ่านทางด้านหน้าก่อนถึงวัด ถ้ามาจากในเมืองนะคะ หรือถ้าไปวิ่งออกกำลังกายรอบหนองประจักษ์ ก็ผ่านทางด้านหลังของอาคารนี้ค่ะ บอกคุณพ่อคุณแม่ให้เข้าไปเยี่ยมชมนะคะ ข้างในนั้นเล่าประวัติของจังหวัดอุดรธานีทั้งหมด อย่างน้อยก็ได้ไปเยี่ยมโรงเรียนของคุณย่าคุณยายหรือคุณทวดของเราค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 7:02 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ วัฏจักรชีวิตสัตว์

วันนี้จะมาพูดต่อเรื่องสัตว์อีกครั้งค่ะ ว่าวงจรการเกิด การดำรงชีวิตอยู่เป็นอย่างไรค่ะ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเจริญเติบโตและสืบพันธุ์ออกลูกออกหลานได้ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่กับโลก เมื่อลูกสัตว์เกิดมาหรือฟักออกจากไข่ มันยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ซึ่งก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตขึ้นจนเต็มวัย จากนั้นก็สามารถสืบพันธุ์ออกลูกออกหลานต่อไปค่ะ

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า "วัฏจักรชีวิตสัตว์"ค่ะ ซึ่งจะเกิดขึ้นหมุนเวียนต่อกันเช่นนี้เรื่อยๆ

ลูกสัตว์บางชนิด เมื่อเกิดมามันจะมีรูปร่างลักษณะเหมือนกับพ่อแม่มัน และมีวัฏจักรชีวิตเหมือนพ่อแม่มัน สัตว์บางชนิดออกลูกเป็นตัว บางชนิดออกลูกเป็นไข่ ลูกของสัตว์ที่ออกลูกเป็นตัวนั้น มีรูปร่างลักษณะคล้ายตัวพ่อแม่ เพียงแต่อวัยวะบางอย่างยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่วนลูกของสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง จนกว่าจะกลายเป็นตัวเหมือนพ่อแม่ เราแบ่งสัตว์ตามลักษณะการออกลูกได้ดังนี้

**1. สัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว ลูกสัตว์ที่เกิดมาเป็นตัว ในขณะเจริญเติบโตจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะ เพราะมีรูปร่างเหมือนพ่อแม่ แต่มีขนาดเล็กกว่า และอวัยวะต่างๆยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ เช่น สุนัข แมว ช้าง ม้า วัว ควาย หมู หนู วาฬ โลมา พะยูน แมวน้ำ ปลาบางชนิด เช่น ปลาหางนกยูง ปลาเข็ม
ปลาสอด

**2. สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ ไข่ของสัตว์แต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

........1. สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ที่มีเปลือกแข็งหรือมีเปลือกเหนียวหุ้ม ได้แก่ (1).สัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด นก ห่าน (2). สัตว์เลื้อยคลาน เช่น จิ้งจก จระเข้ เต่า (3). แมลง เช่น แมลงสาบ ตั๊กแตน

........2. สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ที่มีวุ้นเหนียวหุ้ม ได้แก่ สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก เช่น กบ คางคก อึ่งอ่าง เขียด ปาด

........3. สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ที่ไม่มีเปลือกหุ้ม ได้แก่ปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาเงิน
ปลาทอง ปลาตะเพียน

เมื่อสัตว์ตัวเมียออกไข่ ไข่จะฟักเป็นตัวภายหลัง ลูกสัตว์บางชนิดเมื่อฟักออกจากไข่แล้ว จะกลายเป็นตัวที่มีลักษณะคล้ายพ่อแม่ เช่น นก เป็ด ไก่ จิ้งจก งู จระเข้ เต่า ปลา และแมงบางชนิด เช่น ตั๊กแตน แมลงสาบ

แต่ลูกสัตว์บางชนิดเมื่อฟักออกจากไข่แล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างก่อนที่จะกลายเป็นตัวที่มีลักษณะเหมือนพ่อแม่ เช่น ผีเสื้อ แมลงวัน แมลงหวี่ ยุง กบ คางคก

จบแล้วค่ะ ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ เพราะเราเองก็เคยเห็นสัตว์พวกนี้มาบ้างแล้ว ยกเว้นคนที่อยู่ในตัวเมืองใหญ่ๆที่จะไม่ได้ยินเสียงกบ เขียด อึ่งอ่าง หรือตัวของมัน ตัวอื่นๆก็ได้เห็นบ้างหรือไม่ก็ได้ดูจากภาพยนตร์สารคดี ลูกๆต้องพยายามดูสารคดีเหล่านี้ให้มากนะคะ อย่าดูละครที่มีแต่เรื่องอิจฉาริษยาหรือตบตีกันนะคะ คำพูดก็ไม่น่าฟังเลยค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:50 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา วันเข้าพรรษา

Tuesday, July 24, 2007


วันเข้าพรรษาต ร ง กั บ วั น แ ร ม ๑ ค่ำ เ ดื อ น ๘
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้
โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขารอันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษานับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา
การที่พระภิกษุสงฆ์ท่านโปรดสัตว์อยู่ประจำเป็นที่เช่นนี้ เป็นการดีสำหรับสาธุชนหลายประการ กล่าวคือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระพุทธบัญญัติก็นิยมบวชพระ ส่วนผู้ที่อายุยังไม่ครบบวชผู้ปกครองก็นำไปฝากพระ โดยบวชเป็นเณรบ้าง ถวายเป็นลูกศิษย์รับใช้ท่านบ้าง ท่านก็สั่งสอนธรรม และความรู้ให้ และโดยทั่วไป พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรหรือไปทำบุญที่วัด นับว่าเป็นประโยชน์
การปฏิบัติตน ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ ที่สำคัญคือ มีประเพณีหล่อเทียนขนาดใหญ่เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด 3 เดือน มีการประกวดเทียนพรรษา โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึง วันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้น อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลาน ของตนโดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับ อานิสงส์อย่างสูง
ประเพณีหล่อเทียนเข้าพรรษา เป็นประเพณีที่กระทำกันเมื่อใกล้ถึงฤดูเข้าพรรษาซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ พระภิกษุจะต้องอยู่ประจำวัดตลอด ๓ เดือนมาตั้งแต่โบราณกาล การหล่อเทียนเข้าพรรษานี้มีอยู่เป็นประจำ ทุกปี เพราะในระยะเข้าพรรษานี้ พระภิกษุจะต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าเย็นและในการนี้จะต้องมีธูป เทียนจุดบูชาด้วย พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันหล่อเทียนเข้าพรรษาสำหรับให้พระภิกษุจุดเป็น การกุศลทานอย่างหนึ่งเพราะเชื่อกันว่าในการให้ทานด้วยแสงสว่าง จะมีอานิสงฆ์เพิ่มพูนปัญญาหูตาสว่างไสว ตามชนบท การหล่อเทียนเข้าพรรษาทำกันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานมาก เมื่อหล่อเสร็จแล้ว ก็จะมีการแห่แหน รอบพระอุโบสถ ๓ รอบ แล้วนำไปบูชาพระตลอดระยะเวลา ๓ เดือน บางแห่งก็มีการประกวดการตกแต่งมี การแห่แหนรอบเมืองด้วยริ้วขบวนที่สวยงามและถือว่าเป็นงานประจำปีทีเดียว ในวันนั้นจะมีการร่วมกันทำบุญตักบาตรถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ เป็นการร่วมกุศลกันในหมู่บ้านนั้น
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันเข้าพรรษา
๑. ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา
๒. ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิษุสามเณร
๓. ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล
๔. อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ

*** เพิ่มเติม ***
"ผ้าจำนำพรรษา" คือผ้าที่ทายกถวายแก่พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้วในวัดนั้น ภายในเขตจีวรกาล เรียกอีกอย่างว่า "ผ้าวัสสาวาสิกสาฎิกา"
"ผ้าอาบน้ำฝน" คือผ้าสำหรับอธิษฐานไว้ใช้นุ่งอาบน้ำฝนตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน เรียกอีกอย่างว่า "ผ้าวัสสิกสาฏิกา

Source: Dhammathai.org

Posted by ครูพเยาว์ at 8:24 PM

รอบรั้ว ภาษาหนักใจไทย แอ๊บแบ๊ว

Thursday, July 19, 2007


ไม่เคยสังเกตเท่าไหร่กับภาษาที่ลูกหลานใช้กันอยู่ ก็คิดว่าเป็นพวกวัยรุ่น คงจะไม่มีอะไรนักหนา แต่นานๆเข้า มันก็ไม่ใช่แล้ว มันเป็นอีกภาษาหนึ่งที่แอบแฝงเข้ามาในไทย ผ่านวัยรุ่นสาวๆ ตาโตๆ หน้าป่องๆ พูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ....สงสัยมานาน ว่าทำไมถึงพูดเหมือนลิ้นมันไม่ค่อยตรง หรือคับปากไป...บางคนหมั่นใส้บอกว่า อย่างนี้ต้องเอามาดัดลิ้น!!!! ภาษาที่ว่าคือภาษา "แอ๊บแบ๊ว" เคยได้ยินมั้ยคะ เด๋วจัดให้...นั่นคือเดี๋ยวจะทำให้ จิ๊งหรอ.....คือจริงหรือ ทามอารายอยู่หรอ....ใช่หรือเปล่า...ชิป่ะ แก ก็เป็น แกร ฯลฯ

ส่วนหนึ่งอาจมาจากการเลี่ยงภาษาที่ไม่สุภาพ ที่ต้องเขียนกันบนเน็ต แต่ส่วนมากแล้วก็ไม่ใช่ มันเป็นภาษาของวัยรุ่นอีกเจนเนอเรชั่นหนึ่ง...อันตรายมั้ยคะ น่าห่วงค่ะ เพราะมันจะทำให้ภาษาของเราอ่อนลงไปอีก คนอีกส่วนหนึ่งอยากให้การใช้ภาษาให้มันถูกต้อง แต่อีกส่วนหนึ่งก็ฉีกไปอีกแนว ภาษามีชีวิต เคลื่อนไปได้ตามกระแสโลก กระแสลม แล้วก็จะบอกว่า เดี๋ยวก็กลับมาที่เดิมนั่นแหละ อย่าห่วงเลยค่ะคุณป้า แต่อย่างไรก็ตาม ภาษาเราควรที่จะพูดให้ชัดค่ะ เราควรที่จะภูมิใจที่เรามีภาษาที่เหมือนเสียงดนตรีของเรา ฝรั่งยังพูดแบบเราไม่ได้เลย กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า ถ้าเขาไม่เก่งจริงๆ อย่างแอนดรู บิ๊กส์ ที่สอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยอยู่ หรือท่านฑูตอเมริกันที่ชื่อ ราล์ฟ บ๊อยซ์ ที่พูดไทยค่อนข้างชัดเจน เห็นมั้ยคะ ว่าเขาต้องเอาใจใส่จริงๆ ฝึกจริงๆถึงพูดไทยได้ แล้วเราก็พลอยภูมิใจที่เห็นเขาพูดไทยได้ อย่าไปดัดลิ้นพูดภาษาแอ๊บแบ๊วเลยค่ะ พูดให้มันถูกต้องนั่นดีที่สุดแล้ว

Posted by ครูพเยาว์ at 8:15 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ สัตว์ในท้องถิ่น ตอนที่ 2

Tuesday, July 17, 2007


จากตอนที่แล้วนะคะ ที่เราเห็นว่า สัตว์มีมากมายหลายชนิด แยกแยะออกมาได้ว่ามันมีธรรมชาติเป็นอย่างไร ซึ่งก็มากมายเหลือเกิน คราวนี้เราก็มาแบ่งกลุ่มของพวกมันค่ะ ว่าจะแบ่งอย่างไร ให้จำได้ง่ายๆ หรือว่าจำแนกสัตว์ออกมาเป็นประเภทต่างๆ โดยใช้ลักษณะที่สำคัญเป็นหลักเกณฑ์ดังนี้ค่ะ

1. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว หนู ช้าง ม้า วัว ควาย แรด หมี ลิง โลมา วาฬ นาก แมวน้ำ
***ลักษณะที่สำคัญ สัตว์ชนิดนี้มีต่อมสร้างน้ำนมไว้สำหรับเลี้ยงลูกอ่อนของมัน ร่างกายปกคลุมด้วยขนแบบเส้น หายใจโดยใช้ปอด
***แหล่งที่อยู่อาศัย สัตว์เหล่านี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนบก แต่บางชนอดก็อาศัยอยู่ในน้ำและมีลักษณะรูปร่างคล้ายปลา เช่น วาฬ โลมา พะยูน
***อาหาร สัตว์ประเภทนี้มีทั้งชนิดที่กินพืชเป็นอาหาร กินสัตว์เป็นอาหารและสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร

2. สัตว์เลื้อยคลาน เช่น จระเข้ งู เต่า จิ้งจก จิ้งเหลน ตุ๊กแก กิ้งก่า
***ลักษณะที่สำคัญ สัตว์ชนิดนี้มีร่างกาย มีผิวหนังที่เป็นเกล็ดแข็งแห้งปกคลุม หรือมีกระดองหุ้มลำตัว หายใจได้โดยปอด
***แหล่งที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่อยู่บนบก บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำ แต่มันก็สามารถคลานขึ้นมาอยู่บนบกได้
***อาหาร ได้แก่แมลง หรือสัตว์ขนาดเล็ก

3. ปลา เป็นสัตว์น้ำ อาศัยอยู่ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม, ปลาน้ำจืด เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหางนกยูง ปลาทอง, ปลาน้ำเค็ม เช่น ปลาฉลาม ปลากระเบน ปลาเก๋า ปลาทู
***ลักษณะสำคัญ ปลามีรูปร่างเรียวยาว ลำตัวค่อนข้างแบน ผิวหนังมีเกล็ดและเมือกลื่นๆปกคลุม มีครีบใช้ในการว่ายน้ำและทรงตัว หายใจโดยใช้เหงือก
***แหล่งที่อยู่อาศัย อาศัยอยู่ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม
***อาหาร ได้แก่ พืชน้ำ และสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็ก เช่น ลูกน้ำ ไรแดง ลูกกุ้ง ลูกปลา แมลง

4. สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ) เช่น กบ อึ่งอ่าง คางคก เขียด ปาด
***ลักษณะสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ 4 เท้า ลำตัวปกคลุมด้วยผิวหนังอ่อนนุ่ม เปียกชื้นตลอดเวลา ตัวอ่อนของสัตว์ชนิดนี้หายใจโดยใช้เหงือก ส่วนตัวเต็มวัยหายใจโดยใช้ปอด
***แหล่งที่อยู่อาศัย ออกไข่ในน้ำหรือในที่ชื้น เมื่อตัวอ่อน (ลูกอ๊อด) ออกจากไข่จะอาศัยอยู่ในน้ำช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จึงขึ้นมาอาศัยอยู่บนบก
***อาหาร ลูกอ๊อดกินพืชน้ำและสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็ก ตัวเต็มวัยกินแมลงและหนอน

5. สัตว์ปีก เช่น นก เป็ด ห่าน
***ลักษณะสำคัญ เป็นสัตว์สองเท้า และมีปีกหนึ่งคู่ ร่างกายปกคลุมด้วยขนที่มีก้าน กระดูกทั่วร่างกายเป็นโพรงทำให้ตัวเบา หายใจโดยใช้ปอด
***แหล่งที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนบก
***อาหาร ได้แก่ เมล็ดข้าวชนิดต่างๆ ผลไม้ แมลง หนอน บางชนิดกินปลา หอย ปู

จบค่ะ ทั้งหมดจำแนกออกมาได้ 5 อย่าง แล้วก็มีรายละเอียดว่า มีลักษณะอย่างไร อยู่ที่ไหน อาหารคืออะไร เมื่อลูกๆจำได้ว่าแยกเป็นอะไรบ้าง ก็นึกถึงส่วนที่ตามมาอีก 3 ข้อหลัง มันก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเลยค่ะ ถือว่าเป็นคนเก่งนะคะ ถ้าลูกๆนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังค่ะ ว่าเรื่องสัตว์ทั้งหลายบนโลกนี่ เราแบ่งกันอย่างไร

Posted by ครูพเยาว์ at 9:31 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ สัตว์ในท้องถิ่น ตอนที่ 1


สัตว์ในโลกนี้มีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีความเป็นอยู่ ขนาด ธรรมชาติของมันแตกต่างกันค่ะ ถ้าเราจะแยกแยะออกมาก็แยกได้หลายอย่าง ดังนี้ค่ะ

1. ขนาด สัตว์บางชนิดมีขนาดใหญ่ เช่น วาฬ ช้าง ม้า สิงโต หมี กระบือ สัตว์บางชนิดมีขนาดเล็ก เช่น แมลงวัน หมัด มด ยุง

2. รูปร่างลักษณะ สัตว์บางชนิดมี 4 ขา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย แมว บางชนิดมี 2 ขา เช่น นก เป็ด ไก่ ห่าน บางชนิดไม่มีขา เช่น งู ไส้เดือน ปลิง บางชนิดมีขามากมาย เช่นกิ้งกือ ตะขาบ บางชนิดมีปีก เช่น แมลงปอ ค้างคาว บางชนิดมีขนปกคลุมตัว เช่น สุนัข แมว สิงโต เสือ หมี

3. แหล่งที่อยู่อาศัย สัตว์บางชนิดอยู่บนบก เช่น แมว วัว ม้า บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำ เช่น ปลา หอย หมึก บางชนิดอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เช่น จระเข้ เต่า สัตว์บางชนิดอยู่ในป่า บางชนิดอยู่ทุ่งหญ้า บางชนิดอยู่ใต้ดิน เราไปอยู่ที่ไหนก็จะเจอสัตว์เต็มไปหมดแหละค่ะ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แม้กระทั่งบนบ้านของเรา ถ้าเราวางอาหารไม่ดี มด หนู ก็สามารถหาทางเข้ามากินอาหารที่วางอยู่ได้ค่ะ

4. อาหาร สัตว์บางชนิดกินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย ม้า ยีราฟ สัตว์บางชนิดกินสัตว์อื่นเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ กบ จระเข้ งู บางชนิดกินทั้งพืชและสัตว์อื่นเป็นอาหาร เช่น นก เป็ด ไก่

5. การสืบพันธุ์ สัตว์บางชนิดออกลูกเป็นตัว เช่น สุนัข แมว ม้า วัว วาฬ โลมา บางชนิดออกลูกเป็นไข่ก่อนแล้วจึงฟักเป็นตัว เช่น นก ไก่ กบ ปลา สัตว์บางชนิดออกลูกคราวละหลายๆตัว เช่น แมว สุนัข หมู หนู บางชนิดออกลูกได้คราวละ 1 ตัว เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

6. การเจริญเติบโต สัตว์แต่ละชนิด มีการเจริญเติบโตแตกต่างกัน สัตว์บางชนิดเติบโตโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะ เพียงแต่ตัวจะโตขึ้นเท่านั้น เช่น แมว ช้าง ม้า เป็นต้น แต่สัตว์บางชนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะในระหว่างที่มันเจริญเติบโต เช่น ยุง ผีเสื้อ กบ เป็นต้น

Posted by ครูพเยาว์ at 9:25 PM

รอบหัวใจวุ่นวน คนนี้ "ใช่เลย"

เพลงนี้เป็นเพลงที่ค่อนข้างเก่าแล้ว แต่ก็ยังติดหูอยู่ ทั้งเสียงร้องและทำนองเพลงที่เข้ากันได้ดี เนื้อร้องไม่ต้องพูดถึงค่ะ กินใจมากๆ ถ้าภาษาวัยรุ่นอย่างเธอก็บอกว่า กินใจมั่กๆ แต่ที่ครูชอบก็เนื้อร้องที่บอกว่าทุกอย่างที่มีอยู่นั่นพอแล้ว.....ถูกใจไปหมดแล้ว...อะไรทำนองนี้ ศาสนาของเราก็สอนเรื่องเหล่านี้เอาไว้มาก ให้พอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่มาก ไม่น้อย เดินทางสายกลาง จะว่าครูดึงลูกๆเข้าวัดอีกใช่มั้ย ใช่ค่ะ....เพราะทางนี้ที่ไป ไม่มีเสีย มีแต่กำไรของชีวิต ฟังเพลงแล้ว...ก็สบายใจ ผ่อนคลายลงไปได้บ้าง ลูกๆอย่าลืมว่าทุกอย่าง ที่จะทำต้องยืนอยู่บนสายกลาง อย่าเล่นมากจนเกินไปจนลืมการเรียน อย่าเคร่งเครียดกับการเรียนมากจนเกินไป จนลืมเล่น ออกกำลังกาย อาหารก็กินให้ครบ 5 หมู่ อย่าหลงกินแต่แป้งและน้ำหวานน้ำตาลมากจนเกินไป จะอ้วนและเป็นโรคร้ายได้ ต้องบริหารกายและบริหารใจไปพร้อมๆกันถึงจะมีสุขภาพกายที่ดีและมีสุขภาพจิตที่มั่นคง ลองคลิกฟังดู ครูเอามาให้แล้วค่ะ


เพลง "ใช่เลย"
ขับร้อง ไท ธนาวุฒิ

ใช่เลย.............โดนใจฉันเลย
ไม่มีมากไป...............ไม่มีน้อยไป
ถูกใจทุกอย่าง
ใช่เลย.................คือเธอแน่นอน
บอกกันได้เลย............ที่เคยต้องการ
ประมาณนี้เลย...............ใช่เลย

**ต้องสวยขนาดนั้น...............ต้องหวานขนาดนี้
ทุกอย่างกำลังดี.............คนนี้ใช่เลย
อย่าสวยไปกว่านั้น................อย่าหวานไปกว่านี้
เอาแค่ที่เธอมี................แค่นี้ได้เลย
ใช่เลย................คือคนนี้เลย
ที่รอตั้งนาน..............ที่ใจต้องการ
ประมาณนี้เลย..............ใช่เลย

***ต้องสวยขนาดนั้น..............ต้องหวานขนาดนี้
ทุกอย่างกำลังดี..............คนนี้ใช่เลย
อย่าสวยไปกว่านั้น...............อย่าหวานไปกว่านี้
สรุปว่าพอดี..............กับใจฉันเลย...........ใช่เลย

นึกไม่ถึงว่ามีคนอย่างเธอด้วยซ้ำไป..................นึกไม่ถึงว่าเธอจะมีตัวตน
จะพูดไงดี...........อย่างนี้ต้องบอกใช่เลย........ใช่เลย.......ใช่เลย

(ซ้ำ **,***)
เฮ้.....ใช่เลย
นา นา นา นา นา

Posted by ครูพเยาว์ at 9:21 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา อบายมุข 4

Monday, July 16, 2007



ต่อจากเรื่องเบญจศีลนะคะ คือเรื่อง อบายมุข 4ค่ะ หมายถึง หนทางที่นำไปสู่หายนะ และความเดือดร้อนทั้งหลาย ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่าไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะมีแต่ทางเสื่อม เสียหาย หาความเจริญมิได้ ทั้งเสียทรัพย์ เสียเวลา ทำให้เกิดโรค เกิดความเดือดร้อน หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น อบายมุขทั้ง 4 ประการต่อไปนี้ จึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างมาก ได้แก่

1. เป็นนักเลงผู้หญิง หมายถึงผู้ชายที่มักมากในกาม ชอบเที่ยวผู้หญิง ชอบเที่ยวกลางคืน มีความประพฤติไม่เหมาะสมในทางเพศ เช่น หลงไหลในเพศตรงข้ามจนเกินพอดี คบชู้ ผลเสียจากการประพฤติเช่นนี้ คือ ทำให้เกิดความเสียหายในหน้าที่การงาน เกิดความแตกร้าวในครอบครัว นำโรคภัยร้ายมาสู่ครอบครัว เช่น โรคเอดส์ ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้เกิดความเดือดร้อน

2. เป็นนักเลงสุรา หมายถึง ผู้ที่ติดยาเสพติดให้โทษทุกชนิดทั้งสุรา ยาบ้า เฮโรอีน ทินเนอร์ กาว ฝิ่น กัญชา และยาอี เป็นต้น ยาเสพติดเหล่านี้มีแต่โทษแก่ร่างกาย ทั้งเสียทรัพย์สิน ทำให้เกิดโรค เช่น มะเร็ง และสมองเสื่อม อีกทั้งเมื่อขาดสติ ยังก่อความเดือดร้อนให้กับตนเอง ครอบครัว และผู้อื่นอีกด้วย

3. เป็นนักเลงการพนัน หมายถึง การชอบเล่นเสี่ยงโชคต่างๆ เช่นการเล่นหวย เล่นไพ่ ชนไก่ กัดปลา แทงม้า เป็นต้น ซึ่งทำให้เกิดผลเสีย คือ ทำให้เกิดความผูกพยาบาท เมื่อแพ้ก็อยากได้คืน เมื่อชนะก็อยากได้มากขึ้น เป็นต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทฉ้อโกง ไม่มีใครเชื่อถือหรือเลือกเป็นคู่ครอง และทำให้สูญเสียทรัพย์เงินทอง จนอาจหมดเนื้อหมดตัวได้

4. คบคนชั่วเป็นมิตร หมายถึง การคบคนไม่ดีเป็นเพื่อน และมักชักชวนกันไปทำในเรื่องที่เสื่อมเสีย ไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษ ซึ่งอาจทำให้เราเดือดร้อน เสียทรัพย์สิน เสียชื่อเสียง หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

จบแล้วค่ะ ในหัวข้อเรื่อง การไม่ทำชั่วในชั้นนี้ ซึ่งที่เรียนมีแค่ 2 เรื่อง คือ เบญจศีลและอบายมุข 4 จำให้ได้นะคะว่ามีอะไรบ้าง หัวข้อใหญ่ๆคืออะไร มีกี่ข้อ แยกแยะออกมาให้ได้นะคะ ง่ายๆค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:42 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา เบญจศีล


วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องเบญจศีล หรือศีล 5 ค่ะ เป็นหลักธรรมเบื้องต้นที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรประพฤติปฏิบัติ ซึ่งถ้าทุกคนปฏิบัติได้แล้ว ความสงบสันติก็จะบังเกิดขึ้นแก่สังคมทันทีเลยค่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อนำความสุขความเจริญมาสู่ตัวเองและผู้อื่นเท่านั้นนะคะ หลักของเบญจศีลมี 5 ข้อ ได้แก่

***ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปทัง สมาทิยามิ หมายถึง เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งหลาย ซึ่งหมายถึงทั้งคนและสัตว์ รวมถึงการไม่ทรมานให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวดทรมาน ไม่เบียดเบียน ไม่รังแกและไม่ประทุษร้ายต่อชีวิตของผู้อื่น เห็นมั้ยคะ ว่าแค่ข้อนี้ข้อเดียวความสงบสันติสุขก็เกิดขึ้นแล้วถ้าทุกคนในโลกทำได้

***อทินนาทานา เวรมณี สิกขาปทัง สมาทิยามิ หมายถึง เว้นจากการลักทรัพย์ นำสิ่งของที่เจ้าของไม่ยินยอมไปเป็นของตนเอง ไม่คดโกง และไม่ละเมิดในทรัพย์สินของผู้อื่นโดยที่ผู้นั้นไม่ยินยอม ถ้าทุกคนทำได้ในข้อนี้ ตำรวจก็สบายเลยค่ะ ไม่ต้องวิ่งไล่จับผู้ร้ายให้เหนื่อยแรง

***กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปทัง สมาทิยามิ หมายถึง เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ผิดลูกหรือภรรยาผู้อื่น เรื่องนี้ถ้าลูกๆได้เห็นในละครทีวีตอนเย็นๆ (ซึ่งลูกไม่ควรดูนะคะ) จะเห็นตัวละครแต่ละคนจะส่งเสียงกรี๊ดๆ ตบตีกัน เป็นภาพที่ไม่น่าดูเลยค่ะ การไม่ปฏิบัติตามศีลข้อนี้แหละค่ะที่ทำให้เกิดผลอย่างนั้น

***มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปทัง สมาทิยามิ หมายถึง เว้นจากการพูดโกหก พูดเพ้อเจ้อ นินทา หรือหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อ เพื่อหวังประโยชน์จากเขา เรื่องนี้มีเยอะค่ะ คนที่โดนหลอกให้เชื่อมีเยอะ เสียทั้งเงินทอง เสียเวลาไปกับคนที่เข้ามาหลอกลวง

***สุราเมรยะมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปทัง สมาทิยามิ หมายถึง เว้นจากการดื่มสุรา และเสพสิ่งเสพติดทั้งหลาย เช่นบุหรี่ กัญชา ยาบ้า กาวและทินเนอร์ เป็นต้น การเสพสิ่งเสพติดให้โทษเหล่านี้ ทำให้เกิดแต่เรื่องเสื่อมเสีย เดือดร้อน ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะการดื่มสุรา ทำให้ขาดสติและทำลายสมอง ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนได้ค่ะ

ทั้งหมดที่ครูเล่ามานั้น อยู่ในเรื่องโอวาท 3 ในหัวข้อเรื่อง การไม่ทำชั่วค่ะ ซึ่งในตอนหน้าครูก็จะมาเล่าให้ฟังอีกในหัวข้อ อบายมุข 4 นะคะ ซึ่งก็อยู่ในหัวข้อเดียวกันคือการไม่ทำชั่วค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:36 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา โอวาท 3


เรื่องนี้ เรื่องโอวาท 3 เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ถือเป็นหลักธรรมที่สำคัญของพระพุทธศาสนา จนกล่าวได้ว่า "เป็นหัวใจ"ของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว เพราะหลักธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน สามารถสรุปเรื่องทั้งหมดลงในโอวาท 3 ซึ่งได้แก่
1. ไม่ทำชั่วทั้งปวง หมายถึง เว้นจากทุจริต คือ เว้นจากการประพฤติชั่ว ด้วยกาย วาจา ใจ

2. ทำแต่ความดี หมายถึง ประกอบสุจริต คือ ประพฤติชอบ ด้วยกาย วาจา ใจ

3. ทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ หมายถึง ทำใจของตนให้หมดจด จากเครื่องเศร้าหมองต่างๆ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น

พระพุทธองค์ประทานโอวาท 3 หรือ "โอวาทปาฏิโมกข์" แก่เหล่าภิกษุสงฆ์จำนวน 1,250 องค์ ที่มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ในวันเพ็ญเดือน 3 ที่ "วัดเวฬุวันมหาวิหาร" ใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

เรื่องโอวาท 3 ในชั้นนี้นะคะ จะเรียนเพียงไม่กี่เรื่องซึ่งจะค่อยๆเขียนรายละเอียดในคราวหน้า วันนี้จะบอกไว้ก่อนค่ะ ว่าเราจะเรียนเรื่องอะไรบ้างในแต่ละหัวข้อใหญ่ๆ ซึ่งได้แก่

***ไม่ทำชั่ว จะเรียนเรื่อง เบญจศีลและอบายมุข 4

***ทำความดี จะเรียนเรื่อง เบญจธรรม, บุญกิริยาวัตถุ 3, อคติ 4, อิทธิบาท 4, กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธศาสนา, มงคล 38

***ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ จะเรียนเรื่อง สวดมนต์ไหว้พระ, ฝึกสมาธิ, แผ่เมตตา, ฝึกกำหนดรู้, ความรู้สึกต่างๆ

ดูๆแล้วเหมือนกับว่าเยอะนะคะ แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เรื่องต่างๆที่เรียนเป็นเรื่องที่เรารู้บ้างมาก่อนแล้ว เรามาเรียนแค่เสริมความรู้เก่าๆของเราเท่านั้นเอง ไม่ต้องตกใจไปนะคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:30 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา ไตรสิกขา


เรื่องนี้อยู่ในเรื่องหลักธรรมนำชาวพุทธค่ะ ลูกๆคะ ไม่ว่าศาสนาไหนก็ตามต่างก็มีคำสอนที่ศาสดานำมาสอนเอาไว้ให้ศาสนิกปฏิบัติตาม ศาสนาพุทธของเรา พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรมเอาไว้ แล้วก็เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าสืบมาจนทุกวันนี้ เราฟังธรรมที่เหล่าพระสงฆ์แสดงธรรมให้ฟัง ก็เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมไว้ในสมัยพุทธกาลนั่นแหละค่ะ วันนี้จะมาพูดถึงไตรสิกขาค่ะ

ไตรสิกขา หมายถึงข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา 3 ประการนะคะคือ

1. ศีล คือ การรักษากายและวาจาให้เป็นปกติ ไม่ให้บกพร่อง ซึ่งเป็นข้อฝึกอบรมในด้านความประพฤติ ได้แก่ การไม่เบียดเบียนผู้อื่นทั้งทางกายและวาจา เช่น ประพฤติตนในสิ่งที่ดี พูดในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และประกอบอาชีพสุจริต การรักษาศีลเป็นสิ่งสำคัญ เพราะศีลเป็นพื้นฐานของการฝึกสมาธิ ศีลเป็นพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดคุณธรรมต่างๆ ดังนั้น ผู้ที่รักษาศีลบริสุทธิ์ จิตก็ตั้งมั่นเป็นสมาธิ

2. สมาธิ คือ ความตั้งมั่นแห่งจิตหรือการสำรวมใจให้แน่วแน่ ซึ่งฝึกอบรมได้ โดยอาศัยการเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือจิตระลึกอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว จะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสิ่งต่างๆ

3. ปัญญา คือ ความฉลาดรอบรู้ หรือแจ่มกระจ่างในเหตุและผล รู้และเห็นแนวทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้อง ปัญญาที่กล่าวในไตรสิกขานี้ เป็นปัญญาที่เกิดจากการฝึกหัดปฏิบัติ อบรม เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นหลังจากฝึกสมาธิ เมื่อมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นมาเองค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:26 PM

รอบรั้ว วัดนาหลวง

Sunday, July 15, 2007

ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ วัดนาหลวงแห่งนี้เป็นที่อบรมสั่งสอนให้แก่ผู้ที่สนใจ เกือบตลอดทั้งปีค่ะ จะหยุดก็ช่วงเข้าพรรษา ที่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ต้องเข้ารับการอบรมจากท่านประธานสงฆ์ หรือเข้ากรรมฐานปฏิบัติธรรม ในช่วงเวลาปกติทางวัดก็จะเปิดโอกาสให้หน่วยงานหรือโรงเรียน ส่งบุคลากรหรือนักเรียนเข้ารับการฝึกปฏิบัติธรรมหรือรับการศึกษาธรรมจากวัด

ซึ่งในที่วัดนี้ การศึกษาหมายถึงการให้ความรู้ความเข้าใจในพุทธธรรม ทั้งการปฏิบัติปริยัติ และปฏิเวธด้านการปฏิบัติมุ่งให้ความรู้ความเข้าใจทั้งด้านสมถะและวิปัสสนา มีกลุ่มเป้าหมาย ทั้งที่เป็นภิกษุสามเณร ชีและฆราวาส แต่ละกลุ่มเป้าหมายมีแนวปฏิบัติดังนี้
1) การศึกษาสำหรับพระภิกษุ สามเณรและแม่ชี
โดยแต่ละปีพระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้เป็นประธานสงฆ์จะแบ่งภาคการศึกษาของพระภิกษุสามเณรออกเป็น 4 ภาค ด้วยกันคือ
1. ภาคทฤษฎี ( อบรมสมถะ วิปัสสนา ) ให้แก่พระเณรทุกรูปทุกองค์ 1 เดือนเต็มเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมิถุนายนของทุกปี
2. ภาคปฏิบัติธรรมกรรมฐาน 4 เดือนเต็มจนถึงออกพรรษา
3. ภาคเทศนาโวหาร ฝึกอบรมเพื่อเตรียมออกเผยแผ่ฝึกอบรม 1 เดือนเต็ม เริ่ม 1 พฤศจิกายนทุกปี
4. ภาคเผยแผ่ จะออกจาริกธุดงค์ 3-4 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ธันวาคม ของทุกปีปีละ 2 รุ่น
(1 ธ.ค. – 28 ก.พ. และ 1 มี.ค.-30พ.ค.)
2) การอบรมฆราวาสญาติโยม
ฆราวาสญาติโยม นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการและประชาชนทั่วไปทางวัดได้จัดหลักสูตรการอบรมปฏิบัติธรรม บวชเนกขัมมะ (นุ่งขาว ห่มขาว ถือศีล 8) ของบุคคลทั่วไปมีระยะเวลาวันที่ 5 วัน

อยากให้อ่านตัวอย่างบางตอนที่ย่อมาให้เกี่ยวกับศีลค่ะ

1. ศีลเป็นตาข่าย
ศีลเป็นตาข่ายทำลายมิจฉาทิฏฐิ 10 อย่างออกได้ ศีลเบื้องต้นแห่งธรรมทั้งปวง เป็นมารดาแห่งธรรมทั้งปวง ถ้าศีลไม่มีเบื้องต้น อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสาณะกัลยาณัง มันจะงามได้อย่างไร ศีลจึงเป็นเบื้องต้นแห่งธรรมทั้งปวง

2. ศีลเป็นนายคุม
ผู้มีศีลจะไม่ทำทุจริต จะไม่เสพมิจฉาทิฏฐิ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตจะไม่แตะต้องเลย มีความสงวนตนเองว่า ทำบาปเพียงนิดชีวิตจะอาภัพ ทำบาปเพียงน้อยชีวิตจะมีปมด้อย ข้าพเจ้าเกิดมาขาววับกว่าตาล คิดว่าจะไปด่าเขาคิดว่าจะเอาเปรียบคนไม่มีในสันดานเลย จิตตัวนี้เลยเป็นหนึ่ง กุศลจิตเสพศีลเป็นเบื้องต้น เป็นวิสุทธิศีล ทุกท่านที่นั่งอยู่นี่ถ้ามีศีลเป็นผู้คุมทุจริตได้ เมื่อทุจริตตายไป ทุกข์ก็ไปลงนรก ทุกโขติณนา ทุกขะปะเรตา เหลือแต่สุจริต พอสุจริตเกิด สุจริตเป็นตัวพาตรัสรู้ พาคนหมดพยศเป็นตัวกันคนตกนรก เป็นตัวพาคนไม่ติดโลกธรรม

3. ศีลเป็นของวิเศษ
สีลังโลเก อนุตตะรัง ศีลเป็นเยี่ยมในโลก สมมตินั่งล้านคนร่วมกัน มีแต่คนทุศีล แต่มีคนหนึ่งเป็นคนมีศีลเป็นอัจฉริยะเหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้าที่มืดมิด ดวงดาวออกมามีความสง่าผ่าเผย ศีลเป็นเยี่ยมในโลกไม่ว่าที่ไหนๆ อย่างไร

4. ศีลมีฤทธิ์เดช
คือทรัพย์ สุข เย็นจะเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์เดชของศีล

5. ศีลสามารถดับโทสะได้
อโทโส สีลเหตุ ผู้มีศีลจะไม่โกรธ ฆ่าทั้งความโกรธ ฆ่าทั้งโทสะ ฆ่าทั้งพยาบาท เมื่อฆ่าโทสะดับลงไปปุ๊บ เมตตาเกิดขึ้นมาแทนจึงเป็นเมตตาที่รุนแรง สามารถรักสัตว์ตัวแดงแมงตัวน้อยทุกตัวทุกท่านที่นั่งฟังข้าพเจ้าอยู่นี้
ที่จริงแล้วรายละเอียดเรื่องนี้ ยาวมากค่ะ ในแต่ละเรื่องที่หลวงพ่อเทศน์ ที่เอามาแค่คำอารัมภบทก่อนที่จะเข้าเนื้อหา ในตัวเนื้อหานี่ยิ่งนั่งฟังก็ยิ่งเห็นจริงและไม่น่าเบื่อเพราะการเทศน์ของหลวงพ่อที่ยกตัวอย่างยกคำพูดที่มีเหตุมีผลตลอด อยากให้ไปฟังด้วยค่ะ ถ้ามีโอกาสนะคะ

และในตอนนี้นะคะ ทางวัดได้มีการจัดสร้าง "โรงครัวเมตตา" และ "ศาลาปฏิบัติธรรม" ขึ้นมาเพราะของเดิมคับแคบลง จำนวนนักเรียนและหน่วยงานต่างๆที่เข้าไปรับการอบรมมีมากขึ้น ทางวัดจึงขอเรียนเชิญท่านพุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธา ร่วมกันบริจาคทรัพย์ ตามกำลังศรัทธาได้ที่วัด หรือที่ชื่อบัญชี "วัดอภิญญาเทสิตธรรม" ธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เลขบัญชี 431-1-12308-6 และถ้าจะไปฟังธรรมในวันเสาร์ที่สองของเดือน ก็ร่วมกันทำบุญในวันนั้นได้เลยค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 11:41 AM

รอบรู้ ครูสมัยใหม่

เมื่อวันก่อนพูดเรื่องครูโบราณไปแล้ว....วันนี้ขอกลับมาพูดเรื่องครูสมัยใหม่ในสายตาของนักวิชาการ...ตามสัญญาค่ะ สิ่งที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป เด็กเกิดการเบี่ยงเบนเพราะสังคมตะวันตกเข้ามา เครื่องเล่นใหม่ๆ เกมส์ที่จูงใจ เร้าใจมีมากขึ้น จะเห็นได้ว่าเราจะตกใจกับพฤติกรรมการติดเกมส์ของเด็กมาก ศูนย์การค้าเป็นที่เที่ยวเตร่ของเด็ก สิ่งเหล่านี้ทำให้ดึงความสนใจจากบทเรียนอันน่าเบื่อหน่ายได้ การเรียนก็ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย ในประเทศที่เขาสร้างระเบียบไว้อย่างเข้มแข็งเช่นสิงคโปร์ เวียตนาม จีน ก็ไม่เจอหนักแบบไทย ผลของการจัดอันดับปรากฎว่าไทยหล่นไปอยู่ในอันดับท้ายๆ ซึ่งเหตุการณ์นี้อเมริกาก็เจอ ผลการเรียนของเด็กอเมริกันก็ตกลงเช่นกัน รัฐบาลของเขาก็ได้เร่งเข้ามาแก้ไข โดยเพิ่มงบประมาณเข้าสนับสนุนนับพันล้านเหรียญเลยทีเดียว ความตกใจของรัฐบาลอเมริกันถ้าจะนับความสูงที่สะดุ้งจากเก้าอี้สัก 2 นิ้ว ของไทยต้องสะดุ้งสูง 5 นิ้วค่ะ

หลังจากสะดุ้งแทบตกเก้าอี้แล้วนะคะ เราก็รีบปฏิรูปกันขนานใหญ่ เอาครูไปอบรมเอย สร้างครูพันธุ์ใหม่เอย เปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบเงินเดือนใหม่เอย...และยังต้องตามมาอีกหลายๆเอย จึงอยากให้ลองพิจารณาเรื่อง "ครูพันธุ์ใหม่" หรือ "ครูยุคใหม่"ว่าเป็นอย่างไร แตกต่างจากครูยุคก่อนๆ อย่างไรจากการที่ได้รวบรวมแนวคิด การทำวิจัย การประกาศหลักการของประเทศต่างๆ การประชุมสัมมนา รวมทั้งการสำรวจแล้วจัดทำคุณลักษณะครูยุคใหม่ที่คาดหวัง ครูเลือดใหม่- ครูพันธุ์ใหม่ น่าจะมีภาพลักษณ์ คุณลักษณ์ ที่สะท้อนมาจากหลักการ (Principle) 10 ประการ ซึ่งน่าจะใช้เป็นมาตรฐานการผลิตและพัฒนาครูใหม่ - ครูเก่าที่ อยู่ในระหว่างการพัฒนาได้

หลักการที่ 1 : ครูพันธุ์ใหม่มีความเข้าใจในเรื่องของแนวคิดหลักแห่งวิชาชีพ ครู มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเครื่องมือที่จะใช้สำหรับการแสวงหาความรู้ การสอบ ถาม มีความเข้าใจในโครงสร้างของสาขาวิชาที่ตนเป็นผู้สอน และสามารถสร้างสรรค์ ประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่จะช่วยส่งเสริมให้เนื้อหาวิชาเหล่านั้นเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน

หลักการที่ 2 : ครูพันธุ์ใหม่มีความเข้าใจในเรื่องของการเรียนรู้และพัฒนาของเด็ก รู้จักสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นเพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสติปัญญาสังคม และพัฒนาการส่วนบุคคล

หลักการที่ 3 : ครูพันธุ์ใหม่มีความเข้าใจถึงความแตกต่างในการเรียนรู้ของเด็ก และสามารถสร้างสรรค์โอกาสในการจัดการเรียนการสอนที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับผู้เรียน ที่หลากหลายได้

หลักการที่ 4 : ครูพันธุ์ใหม่มีความเข้าใจและรู้จักใช้ยุทธวิธีที่หลากหลาย ในการสอน เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล สามารถแก้ไขปัญหาและมีทักษะ ในเชิงปฏิบัติ

หลักการที่ 5 : ครูพันธุ์ใหม่ใช้ความเข้าใจในตัวเด็กแต่ละบุคคล รวมทั้งการใช้ทั้ง แรงจูงใจและพฤติกรรมของกลุ่มมาสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดปฎิสัมพันธ์ ทางสังคมในเชิงสร้างสรรค์ มีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นในการเรียนรู้และการสร้างแรงจูงใจ ในตัวของผู้เรียน

หลักการที่ 6 : ครูพันธุ์ใหม่รู้จักเลือกใช้ถ้อยคำที่ก่อให้เกิดผล สามารถใช้ กับอากัปกิริยาท่าที รวมทั้งเทคนิควิธีการสื่อความหมายที่ช่วยกระตุ้นให้เด็กรู้จักถาม รู้จัก แสวงหาความรู้ ตลอดทั้งรู้จักสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือและปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียน อย่างสร้างสรรค์

หลักการที่ 7 : ครูพันธุ์ใหม่รู้จักวางแผนการสอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา ความต้องการของชุมชนและเป้าหมายของหลักสูตร

หลักการที่ 8 : ครูพันธุ์ใหม่มีความเข้าใจและใช้ยุทธวิธีการประเมินผลในรูปแบบ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อประเมินสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นว่าผู้เรียนจะ ได้รับการพัฒนาทั้งทางสติปัญญา สังคม และร่างกายอย่างต่อเนื่อง

หลักการที่ 9 : ครูพันธุ์ใหม่จะต้องเป็นนักปฏิบัติการที่มีความถี่ถ้วน รู้จักที่จะ ประเมินผลการปฏิบัติงานของตนเองและบุคคลอื่นอย่างต่อเนื่อง (นักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ประกอบอาชีพอื่นๆ ในชุมชนการเรียนรู้) พร้อมทั้งหาโอกาสที่จะสร้าง ความก้าวหน้าทางวิชาชีพของตนให้เกิดขึ้น

หลักการที่ 10 : ครูพันธุ์ใหม่จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานในโรงเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และหน่วยงานต่างๆ ในชุมชนขนาดใหญ่ (ชุมชนที่มีเครือข่ายมาก) เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเด็ก

อย่าได้ตกใจและจมหายไปในทะเลข้อมูลข้างบนนะคะ...ครูเองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจากฤาษีเป็นนักวิชาการนี่เปลี่ยนไปชนิดที่เรียกว่าจำไม่ได้เลย ว่าครูคนเก่าของเรายังต้องเรียกว่าครูอยู่หรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละค่ะ โลกของเรามันเล็กลง บางคนเดี๋ยวนี้บอกว่าโลกแบน ถึงกับเขียนหนังสือออกมาขายจนร่ำรวย อย่างเช่นหนังสือ "ใครว่าโลกกลม" อะไรที่มันเปลี่ยนไปในโลก เราก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย การเปลี่ยนแปลงของเราครั้งนี้ ก็อยู่ในทำนองเดียวกันกับในอเมริกาที่เขากำลังทำอยู่กับการปรับเรื่องครูในรุ่นหน้าหรือรุ่นต่อไป (Project on the Next Generation of Teachers)ที่จะมาเป็นพลังในการสอน ซึ่งจะพูดถึงเรื่อง มาตรการจูงใจให้เข้ามาเป็นครู, มาตรการช่วยเหลือในการสอนของครู และมาตรการในการรักษาคุณภาพในการสอนของครูเอาไว้ เหมือนๆกันกับเรามั้ยคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 11:40 AM

รอบรั้ว วัดนาหลวง


วัดแต่ละวัดอาจมีชื่อเรียกหลายๆชื่อ เช่นวัดแจ้ง นั่นก็คือวัดอรุณราชวราราม, วัดลิงขบ เป็นวัดบวรมงคล วัดที่มีชื่ออย่างนี้คือเป็นวัดที่ชาวบ้านรู้จักชื่อหนึ่ง แต่ทางการก็มีอีกชื่อหนึ่งไว้เรียกเป็นทางการ วัดที่อุดรก็มีมีอยู่วัดหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกต่างๆกัน หลายชื่อ ซึ่งเรียกขานกันอยู่ถึง 4 ชื่อ คือวัดภูย่าอู่ หรือวัดนาหลวง หรือวัดอภิญญาเทสิตธรรม หรือบางคนอาจเรียกว่าวัดหลวงพ่อทองใบ ซึ่งก็เหมือนๆกันกับเรียกวัดหลวงปู่ขาวแทนชื่อวัดถ้ำกลองเพล

วันนี้จะมาเล่าเรื่องวัด 4 ชื่อคือวัดนาหลวง ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีใครเป็นคนที่ดูแลและปกครอง ที่วัดนี้มีประธานสงฆ์ คือพระภาวนาวิสุทธาจารย์ ประธานสงฆ์ วัดนาหลวง ( อภิญญาเทสิตธรรม )
มีเจ้าอาวาส พระครูภาวนาธรรมภินันท์ เจ้าอาวาสวัดนาหลวง ( อภิญญาเทสิตธรรม )
มีรองเจ้าอาวาส พระมหาสำรี ธัมมจาโร รองเจ้าอาวาสวัดนาหลวง ( อภิญญาเทสิตธรรม ) ทั้ง 3 รูปช่วยกันดูแลวัดจนกระทั่งมีศิษยานุศิษย์เข้ามาฝึกอบรมแทบทั้งภูมิภาคค่ะ ส่วนที่ตั้งของวัดนาหลวง ( อภิญญาเทสิตธรรม ) ตั้งอยู่บนยอดเขาภูย่าอู่ใกล้หมู่บ้านนาหลวง อยู่ในเขตตำบลคำด้วง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีห่างจากตัวอำเภอบ้านผือไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 45 กิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตรค่ะ

ประวัติการก่อตั้ง
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2529 โดยการนำของหลวงพ่อทองใบ ปภัสสโร พร้อมด้วยพระภิกษุอีก 5 รูป สามเณร 2 รูป ได้เลือกปักกลดใต้ร่มไทรคู่บนภูย่าอู่มีศรัทธาสาธุชนชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงพร้อมทั้งโยมอุปัฏฐากได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างกุฏิชั่วคราวขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกตามอัตภาพ
หลวงพ่อทองใบ ปภัสสโร เป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีจริยธรรมงดงามสม่ำเสมอเหมาะสมแก่สมณสารูป มีความแน่วแน่มุ่งมั่นเสียสละเผยแผ่เมตตาธรรมต่อมหาชนไม่มีประมาณทำให้ศิษยานุศิษย์เลื่อมใสศรัทธาเพิ่มมากอย่างกว้างขวาง บุคคลเหล่านั้นได้ร่วมใจกันบริจาคทุนทรัพย์จัดสร้างเสนาสนะเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นภายในวัดขึ้น แต่สถานภาพยังคงเป็นสำนักปฏิบัติธรรม แม้กระนั้นในแต่ละปีมีพระภิกษุเข้าอยู่จำพรรษากว่าร้อยรูปซึ่งล้วนมีความเคร่งครัดพากเพียรทั้งด้านสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อทองใบ ปภัสสโร ได้ตั้งชื่อสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ว่าวัดนาหลวงอภิญญาเทสิตธรรมและเนื่องจากตั้งอยู่บนภูย่าอู่คนทั่วไปจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัดภูย่าอู่เป็นชื่อที่ผู้คนทั่วไปเรียกกันติดปากเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2543 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์ มีชื่อว่า “วัดนาหลวง”
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2544 สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดได้ประกาศแต่งตั้งวัดนาหลวงให้เป็นสำนักวิปัสสนาธุระประจำจังหวัดอุดรธานี โดยมี พระภาวนาวิสุทธาจารย์เป็นเจ้าสำนัก ทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมให้แก่พระสงฆ์ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในเขตจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียงให้ได้รับประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์อย่างยิ่งเพื่อเกื้อกูลการธำรงส่งเสริมสืบทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป


นี่คือประวัติความเป็นมาของวัดโดยย่อค่ะ ถ้าใครคิดว่ามีเวลาก็ควรจะหาโอกาสไปฟังเทศน์ฟังธรรมจากหลวงพ่อ ซึ่งจะเทศนาสั่งสอนในทุกวันเสาร์ที่ 2 ของทุกเดือนค่ะ กิจกรรมในวันนั้นก็จะมีเป็นช่วงเวลาดังนี้


08.00 น. ทำบุญถวายสังฆทาน

09.00 น. พระสงฆ์ออกรับบิณฑบาต

10.00 น. ญาติโยมรับประทานอาหารร่วมกัน

11.00 น. รวมกันที่ศาลาธรรม

12.00 น. อาราธนาธรรม ฟังธรรม

13.00 น. ถวายไทยธรรม รับพร

Posted by ครูพเยาว์ at 11:39 AM

รอบรู้ ครูโบราณ

Friday, July 13, 2007


เรื่องนี้อาจจะแปลกๆไป แต่ครูก็ยังอยากให้ลูกๆได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมเก่าๆของเราที่กำลังจะเปลี่ยนไป เกี่ยวกับจุดยืนของครู ในสายตาของสังคม ว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน เราก้าวเดินไปในอนาคต ครูจะเป็นอย่างไรค่ะ

ในสมัยโบราณจริงๆ เราได้เรียนรู้เรื่องวิชาความรู้จากผู้รู้ ที่มีอยู่น้อย เรียนจากฤาษี จากพราหมณ์ แม้แต่พระพุทธเจ้าของเราก็ยังเรียนจากปัญจวคีย์ เพราะฉะนั้นครูจึงเป็นบุคคลที่เคารพอย่างสูงทีเดียว เรียกว่าละเมิดไม่ได้ คำว่าศิษย์คิดล้างครูจึงเป็นคำที่รุนแรงมาก สาหัสสากรรจ์เลยทีเดียว

ที่ภาคใต้ของไทย คำว่าครูนี่ถือว่าเป็นสิ่งแรกที่ต้องให้ความนับถือ แม้ว่าจะรองก็เพียงแต่ พระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์ และบิดา มารดา ครูนี่มีลำดับอยู่เหนือเทวดาอารักษ์ทั้ง 8 ทิศ แล้วมีหลักฐานมั้ยคะ ว่าเขาประพฤติปฏิบัติอย่างนั้นจริงๆ....มีค่ะ ยังปฏิบัติอยู่และยังไม่เลือนไปในกระแสวัฒนธรรมตะวันตก การแสดงออกทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน การละเล่นพื้นบ้าน ซึ่งยังถือว่าเหนียวแน่น คือการเอารูปครูขึ้นมาไหว้ก่อนการเล่นหนังตะลุง ครูของเขาคือฤาษี รูปที่ครูเอามาให้ดูนั่นแหละค่ะ แต่เวลาเขาจะกล่าวคำบูชาพระคุณก็เริ่มที่พระพุทธ...เรื่อยมาจนถึงบิดามารดา..แล้วก็บูชาคุณของครู "ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา" เขาจะไม่เอารูปอื่นๆขึ้นมาแสดงบนจอ ถ้าไม่มีรูปครูมาเดินก่อน...นี่คือครูในสมัยโบราณค่ะ

แล้วในสายตาของสังคมที่เปลี่ยนไปในโลกปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร เมื่อมองไปที่ครู...ต้องบอกว่าเปลี่ยนไปมากค่ะ คำว่า "การให้บริการ" เข้ามาให้เราได้ยิน แล้วก็มี "ผู้รับบริการ" โลกได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ วัฒนธรรมของเราก็คงต้องเปลี่ยนไป ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปดังคำสอนของบรมครูที่ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา"

ครูเองก็ยังคิดว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือว่า "ปฏิรูป" ไปแบบก้าวกระโดด เพราะเป็นการก้าวข้ามวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา ก้าวข้ามคำว่า "พระคุณ"ของครู ซึ่งในความคิดของคนร่วมสมัยถือว่าบางทีครูเองอาจยึดติดคำนี้อยู่ จึงไม่มีการพัฒนาในวิชาชีพ หรืออาจแบ่งที่รักมักที่ชัง ให้บริการแก่ผู้รับบริการไม่เท่าเทียมกัน และทำให้เราเห็นการเปลี่ยนไปของภาษาจาก "ลูกศิษย์" เป็น "ศิษย์" แล้วก็แปลงร่างเป็น "ผู้รับบริการ"

เนื้อหาอาจจะหนักไปสักนิดสำหรับลูกๆนะคะ แต่ก็ถือว่านี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในแวดวงการศึกษาของเรา ซึ่งครูเองก็ต้องเดินไปในแนวที่กำหนดนี้แหละค่ะ แต่อย่าลืมนะคะว่าพวกเธอทั้งหลายยังเป็น "ลูกๆ" "ลูกศิษย์" ของครูเสมอ แม้ว่าในทางคำพูดในทางวิชาการลูกๆอาจมองเหมือน ผู้รับบริการ

วันนี้ครูขอพูดเรื่องครูในแบบวัฒนธรรมโบราณๆก่อนนะคะ โอกาสหน้าครูจะมาพูดเรื่องครูในอนาคตในสายตาของครูอีกค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:14 PM

รอบรั้ว ความสมานสามัคคีของน้ำและน้ำมัน

Thursday, July 12, 2007


ได้นั่งดูรายการทีวีของเยอรมัน ช่อง DW-TV เมื่อวานค่ะ เป็นรายการของเด็กก่อนประถมในห้องเรียนหนึ่ง คงจะไม่ใช่ห้องเรียนที่เป็นจริงในโรงเรียน หรือไม่ก็คงจะเป็นแค่ตัวอย่างที่ยกมาให้ดูถึงการเรียนการสอนของเยอรมัน เพราะเด็ก 6 คนในห้อง ใช้พี่เลี้ยงถึง 3 คน และต้องจูงมือไปไหนมาไหนทั้งนั้น ระวังความปลอดภัยมาก อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นของอเมริกา เด็ก 6 คน ใช้พี่เลี้ยง 2 คน แต่ที่ดูๆนะคะ เหมือนกับอยู่ในสถานที่ๆรัฐจัดให้ทั้งนั้น เพราะอยู่ในตึกที่ใหญ่โตโอ่โถงทีเดียว

ในรายการของทีวีเยอรมัน ค่อนข้างยาว เพราะเขาเริ่มด้วยการเรียนของเด็กที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาเลยทีเดียว ว่าเด็กรับรู้อะไรบ้าง จากเสียง จากสัมผัส เรื่อยมาจนกระทั่งคลอดและเติบโต....ขอตัดไปตอนที่เด็ก 4 ขวบก็แล้วกันนะคะ (อนุบาล 2 เด็กเยอรมันจะเริ่มก่อนเรา 1 ปี, ป.1 ของเขา 6 ปี)

ในรายการเขาจะสอนเด็กให้ทำอะไรด้วยตนเอง แม้กระทั่งการทดลองวิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ เช่นเอาผงฟูใส่ลงในขวดพลาสติก กรอกน้ำตามลงไป แล้วก็เอาลูกโป่งมาสวมลงที่ปากขวด เอามือไปจับขวดให้แน่น แล้วสังเกตุว่าลูกโป่งจะค่อยๆโป่งออก เขาจะให้เด็กสวมชุดคลุมสีขาวเหมือนนักวิทยาศาสตร์ สวมแว่นกันอันตรายอย่างดี แต่ของอเมริกา เขาดูจะง่ายๆกว่า ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมากนัก รูปที่เอามาให้ดู เป็นของอเมริกาค่ะ แล้วนี่จะเริ่มเรื่องความสามัคคีของน้ำและน้ำมันได้แล้วยัง....ได้แล้วค่ะ เพราะหลังจากนั้นพี่เลี้ยงก็ให้เด็กเอาน้ำใส่ลงไปในหลอดทดลอง แล้วก็ใส่น้ำมันพืชลงตามหลังไป แล้วให้เด็กสังเกตุดู แล้วพี่เลี้ยงก็ถามว่า มันเกิดอะไรขึ้นในหลอดทดลองนั่น ฟังคำตอบของเด็กแล้วทำให้ครูนั่งคิดค่ะ ว่ามันจริง เด็กตอบว่า "น้ำกับน้ำมัน เขาไม่รักกัน"

จริงค่ะ...ถ้ามาเทียบกับเหตุการณ์บ้านเมืองเราเดี๋ยวนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ต่างฝ่ายต่างก็เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ต่างฝ่ายต่างอยู่ เหมือนกับน้ำและน้ำมัน จนกระทั่งต้องถามกันว่า "เป็นคนไทยรึเปล่า" เราคงไม่อยากให้บ้านเมืองเราเป็นอย่างนั้นใช่มั้ยคะ อดีตที่ผ่านมาเรามีเหตุร้ายมาเยอะ และกว่าจะผ่านไปได้ เราก็ต้องเสียเลือดเนื้อไปแทบทุกครั้ง สูญเสียทั้งนั้น ไม่มีใครได้อะไรเลย เรามาคิดกันใหม่เถอะค่ะ หันหน้าเข้าหากัน เอาประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง อย่าถือฝ่ายใคร ให้ถือผลประโยชน์ของประเทศเราอย่างเดียว

ต่อตอนที่เด็กสังเกตุว่า "น้ำกับน้ำมัน เขาไม่รักกัน" พี่เลี้ยงก็อธิบายเรื่องนี้ให้เด็กฟังสักครู่ แล้วก็ทำการทดลองต่อ โดยการเติมผงซักฟอกลงไป แล้วก็เขย่าหลอดทดลอง ซึ่งก็ปรากฏว่า น้ำและน้ำมันก็ "รัก" กันได้ คือเป็นเนื้อเดียวกัน บ้านเมืองเราก็เหมือนกันถ้าเราเอา "ประเทศเป็นตัวเชื่อม" ความรักสามัคคีแล้ว เราก็เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันได้ค่ะ ลูกๆคะ เราอยู่โรงเรียนเดียวกัน อยู่ในรั้วเดียวกัน ต้องรักกันให้มาก อย่ารังแกกัน สนามฟุตบอล หรือสถานที่เล่นก็ต้องแบ่งปันกันเล่น หรือรวมกันเล่นไปเลย จะได้ไม่มีเรื่องทะเลาะกันนะคะ ถ้าเรารู้จักแบ่งปันกันตั้งแต่วันนี้ ก็เท่ากับสร้างนิสัยดีๆอย่างนี้เอาไว้ ภายภาคหน้าเราเติบใหญ่ จะไม่มีภาพที่ออกมาว่าเราแตกแยกความสามัคคี อย่างที่เราเห็นเป็นข่าวในจอทีวีเช่นวันนี้ค่ะ

รอบรั้ว ภาวะโลกร้อน


เมื่อเช้า นั่งฟังข่าวรายงานว่า ที่ดินแถบริมชายฝั่งอ่าวไทย สูญหายไปเพราะโดนน้ำทะเลเซาะเข้ามานับหมื่นไร่ แถบบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ชายฝั่งขยับเข้ามาปีละ 12 เมตร เคยเห็นรูปอยู่ค่ะ ว่าเสาไฟฟ้ายังปักอยู่ในทะเล ตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา เราเคยวัดอุณหภูมิสูงสุดในเมืองไทยมา นับว่านับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำสถิติตั้งแต่รู้สึกตัวว่าอากาศร้อนขึ้นแล้วนะ จาก 2533 อีกครั้งที่ 2538 และอีกครั้งที่ 2540 จากนั้นเป็นต้นมา อากาศก็แปรปรวนไปแล้ว องค์การสหประชาชาติเองก็เฝ้าสังเกตการณ์มานานนับ 50 ปี ก็ปรากฏว่า อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ตั้งแต่ 1.4 - 5.8 องศาเซลเซียส ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกหนทุกแห่งค่ะ

การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เปลี่ยนไปที่ละน้อยเหมือนเมื่อก่อน จะเปลี่ยนไปอย่างเฉียบพลัน ตั้งตัวกันไม่ทันค่ะ ถ้าอากาศร้อนขึ้นก็จะร้อนแบบคลื่นพายุร้อน เข้าไปในยุโรปนี่มีคนเสียชีวิตเป็นพันคน ฝนตกก็ชนิดที่เรียกว่าไม่ลืมหูลืมตา จนกระทั่งน้ำท่วม ทำลายสิ่งก่อสร้าง ไร่นา ทำลายผลผลิตเพื่อการบริโภคโดยรวมลดลง ทำให้คนต้องอดอยากเพิ่มขึ้น 60-350 ล้านคนค่ะ

ประเทศไทยเองมีพื้นที่ชายฝั่ง 2400 กิโลเมตร โดยเฉพาะในเขตภาคกลาง พื้นดินอยู่ไล่เลี่ยกันกับระดับน้ำทะเล โดยเฉพาะกรุงเทพฯ โอกาสที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ มันมีค่ะ ถ้าโลกยังร้อนขึ้นๆอย่างนี้ แล้วเราจะทำอย่างไรได้คะ ถ้าชาติที่เป็นพี่ใหญ่อย่างอเมริกา จีน ญี่ปุ่น อินเดียหรือประเทศในยุโรป ไม่ลดกำลังการใช้น้ำมันลง หรือปล่อยก๊าซจากโรงงานสู่บรรยากาศน้อยลง เราเองอีกไม่กี่ปี ก็คงจะต้องหันมาใช้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งก็น่ากลัวสำหรับเรา ที่ยังมองกันออกว่ามีความสะเพร่าอยู่ไม่เบา คนไทยเราไม่ค่อยระมัดระวังนะคะ ระเบียบวินัยก็ไม่ค่อยใส่ใจ แม้สิ่งเล็กๆน้อยๆที่ต้องทำ เช่นกฏจราจร การเดินข้ามถนน ก็ไม่ข้ามตรงทางม้าลาย หรือข้ามสะพานลอย ขับมอเตอร์ไซค์ก็ไม่อยากใส่หมวกกันน๊อค ขยะก็ทิ้งกันเกลื่อน ถ้าเรามีคนที่ไม่มีระเบียบวินัยอย่างนี้เข้ามาควบคุมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มันก็น่ากลัวนะคะ

กลับบ้านแล้ว ถ้ามีโอกาสนะคะ ปลูกต้นไม้เอาไว้ที่บริเวณบ้าน เอาไม้ผลที่เอามากินได้ มะม่วง มะพร้าว มะยม หรือต้นอะไรที่เราสามารถเก็บมากินได้นั่นแหละค่ะ อย่าปลูกแต่ไม้ดอกอย่างเดียว ปลูกไม้ยืนต้น เราก็จะได้ร่มเงา ต้นไม้ก็ช่วยโลกเราฟอกอากาศได้ทุกวัน อย่างน้อยก็บรรเทาเรื่องโลกร้อนได้นิดหนึ่งค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:21 PM

รอบรั้ว ความพอเพียง

Wednesday, July 11, 2007


เมื่อวานนี้ ได้พูดถึงภาวะโลกร้อนไปแล้ว...อันที่จริง มนุษย์เองก้าวหน้ามากจนเกินไป เหมือนอากาศที่อัดอยู่ในกระป๋อง แล้วก็ได้รับความร้อน มากขึ้นๆ จนระเบิดตูมออกมา นี่...ถ้าพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่า เราต้องถอยหลังไปอีกซัก 100 ปีถึงจะพอใจใช่มั้ย...ไม่ใช่ค่ะ ศาสนาสอนให้เราอยู่ในสายกลาง อย่าก้าวเร็วจนเกินไป อย่าด่วนเร็วจนเกินไป สามีของครู สมัยกลับมาจากการทำงานเมืองนอกใหม่ๆ เดินไปไหนนี่ตามแทบไม่ทัน ต้องบอกเตือนเรื่อยๆว่า เดินช้าลงหน่อย เขาถึงจะช้าลง แล้วบอกว่ามันชินกับการเดินไว มันแข่งกับเวลา จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้เดินช้าลง ถ้าเราไปวัดบ่อยๆ จะเห็นว่าพระสงฆ์จะสอนให้เราเดินช้าๆ ระวังจิตของเราให้ดี แล้วมันจะเกี่ยวกันมั้ยนี่...มันเกี่ยวกันค่ะ เพราะทุกอย่างมันเริ่มที่ใจของเรา ใจมันเป็นต้นน้ำ ต้นความคิด ที่จะทำอะไรต่อไป ถ้าใจของเราเข้าใจว่าความพอเพียงคืออะไร ความรุ่มร้อนที่จะกอบโกยเอาอะไรๆเข้าหาตัว มันก็จะค่อยๆลดลงๆ จนมันอยู่ในภาวะสมดุล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยลำดับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 และภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ก็ได้ทรงเน้นย้ำเป็นแนวทางแก้ไข เพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ และอยากบอกเติมอีกนิดว่าในกระแสของความโลภในจิตใจคนด้วย

ความพอเพียงที่ได้เกริ่นเสียหลายๆวรรคนั้นคืออะไร ถ้าให้ครูสรุปก็คือทำอะไรอย่าโลภมาก อย่าทำอะไรให้มันเกินตัว และต้องดูความสามารถของตนเองด้วยว่า จะไปรอดไหมถ้าตัดสินใจไปแล้ว คือประมาณตนได้ค่ะ แต่ที่ใครๆเขาพูดเรื่องนี้เขาจะพูดถึง การพอประมาณ..การมีเหตุผล...มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขของความรู้ คือรอบรู้...รอบคอบ...ระมัดระวัง ให้อยู่ในเงื่อนไขของคุณธรรมด้วย คือ ซื่อสัตย์...สุจริต...ขยัน...อดทน...และแบ่งปัน ทั้งหมดนั้นมันอยู่ที่ใจเราเป็นปฐม ถ้าเราคิดเป็น เราไม่จำเป็นที่จะใช้ชีวิตแบบยุ่งเหยิงเหมือนฝรั่ง ไม่รบราฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งชิงน้ำมัน ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่ต้องมีการแบ่งพวก แบ่งศาสนา แบ่งเชื้อชาติแล้วก็ลามไปจนถึงแบ่งแผ่นดิน ที่ร้ายๆที่พูดมามันก็จะตกไปอยู่ที่คำๆเดียวคือการไม่มีความพอเพียงของมนุษย์ค่ะ

ครูสรุปให้ฟังอีกครั้งนะคะ ที่ภาวะโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปจนร้อนขึ้นและจะตามมาด้วยวิกฤติ สงครามที่เกิดอยู่ทั่วไปจนถึงกับต้องมาลำบากกันอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่มีความสงบสุขเหมือนในอดีต มันมาจากความพอเพียงในจิตใจของมนุษย์ที่ขาดหายไป โดนความโลภเบียดเข้าแทนที่จนหมดค่ะ รูปข้างบนนั่นเก็บไว้ดู ให้เย็นๆใจนะคะ คนเราก็มีแค่นี้ ความสงบเย็นนั่น คือความสุขที่แท้จริงค่ะ

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ รักพืช รักษ์พืช

Tuesday, July 10, 2007

ลูกๆคะ พืชมีประโยชน์มากมายแก่สิ่งมีชีวิต เราจึงควรดูแลรักษาพืชให้เจริญเติบโต งอกงามและให้ผลผลิตที่ดี รวมทั้งไม่ทำลายพืช โค่นต้นไม้นะคะ

ครูได้นำเรื่องนี้มาเขียนแล้วในหลายๆตอน ตั้งแต่ต้น รูปภาพสวยๆก็เอามาให้ดูค่ะ แต่ก็ต้องมาย้ำอีกนะคะ ถึงขั้นตอนที่เราดูแลรักษาพืช ถ้าเราทำถูกต้องเหมาะสมแล้ว จะทำให้พืชที่เราปลูกนั้นให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ ถ้าไม่อยากให้พืชต้องมีอาการอย่างที่เห็นในรูปข้างบน ลูกๆควรปฏิบัติอย่างนี้ค่ะ

1. รดน้ำ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของพืช ถ้าพืชขาดน้ำ จะเหี่ยวเฉา และอาจตายได้ "เราจึงควรหมั่นรดน้ำพืชที่ปลูกอย่างสม่ำเสมอค่ะ"

2. ให้มีแสงแดดส่องถึง พืชต้องการแสงแดด เพื่อใช้ในการสร้างอาหารหรือการสังเคราะห์ด้วยแสง อาหารที่ได้มาจากการสังเคราะห์ด้วยแสง พืชจะนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของลำต้น ซึ่งจะทำให้พืชเจริญเติบโต "เราจึงควรปลูกพืชในที่มีแสงแดดส่องถึงนะคะ"

3. ใส่ปุ๋ย ปุ๋ยคือธาตุอาหารของพืช พืชต้องการอาหาร คือแร่ธาตุในดิน บางครั้งดินที่ใช้ปลูกพืชขาดแร่ธาตุ "เราจึงต้องเพิ่มธาตุอาหารให้พืชด้วยการใส่ปุ๋ย"

4. กำจัดศัตรูพืช ศัตรูพืช ได้แก่หนอน แมลง และเชื้อโรค ซึ่งจะทำลายส่วนต่างๆของพืช ทำให้พืชเจริญเติบโตไม่เต็มที่ หรืออาจตายในที่สุด "เราจึงควรหมั่นสำรวจและกำจัดศัตรูพืชให้กับพืชที่เราปลูกไว้เสมอนะคะ"

5. ปรับปรุงดิน ดินที่เหมาะสำหรับการปลูกพืช คือดินที่มีลักษณะร่วนซุย มีธาตุอาหารมาก ซึ่งจะทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี "เราจึงควรหมั่นพรวนดินเป็นระยะๆ เพื่อให้รากของพืชดูดแร่ธาตุในดินได้สะดวก รวมทั้งถอนต้นพืชที่ไม่ต้องการทิ้ง เพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งธาตุอาหารพืชที่เราปลูกค่ะ"

Posted by ครูพเยาว์ at 6:45 PM

รอบรั้ว โลกที่ร้อนขึ้น



ที่จริงแล้ว คนที่ออกมาพูดเรื่องอันตรายจากภาวะโลกที่ร้อนขึ้น มีมานาน แต่คนที่จุดประกายเรื่องนี้อย่างจริงจัง น่าจะเป็นอดีตรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานะคะ ท่านชื่อ Al Gore ได้ฟังจากท่านคนนี้หลายๆครั้งเมื่อปีที่แล้ว จากเคเบิลทีวีของช่องทีวีที่ถ่ายทอดจากต่างประเทศ เขานำมาลงซ้ำๆกันหลายๆครั้ง จนเห็นว่า เรื่องนี้มันน่าสนใจ และจากเรื่องราวที่ท่านได้ร้อยเรียงขึ้นมาอธิบาย พร้อมกับหลักฐานที่ท่านเอาออกมาให้ดู มันจริงค่ะ


โลกเราเปลี่ยนแปลงไปจนเราสามารถรับรู้ได้จากธรรมชาติที่แปรปรวน ฝนตกในช่วงที่ยังไม่น่าตก เราเคยฟังข่าวน้ำท่วม ฝนตกใหญ่จากจีนก่อน แล้วก็ไล่ลงมาเรื่อยจนถึงไทย น้ำจะท่วมภาคเหนือก่อน แล้วลงมาภาคกลาง สุดท้ายน้ำจะท่วมทางภาคใต้ เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด


ตอนนี้มันแปรปรวนไปแล้ว เราได้เห็นน้ำท่วมในไทยก่อน แล้วตอนนี้ก็ที่เมืองจีน อากาศในอเมริกาที่หนาว ก็กลับร้อนขึ้น ฝนตก น้ำท่วมก็มี เป็นอย่างนี้ทั่วโลก ความจริงเรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง แต่มันก็ต้องเผชิญกับมัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง


การที่เราทำอะไรเพื่อทำลายภาวะสมดุล มุ่งที่จะทำรายได้ หากำไรจากธรรมชาติจนเกินไป มันก็จะส่งผลในภายหลัง เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยัง ผลาญน้ำมัน ใช้อย่างไม่คุ้มค่า ผลสุดท้ายลูกหลานในอนาคตก็ต้องรับกรรม อากาศที่หายใจ อาจต้องซื้อเป็นกระป๋องๆ ต้นไม้ ป่าไม้ก็โค่นลงๆ จนพื้นดินแทบไม่มีหลังคาคลุมแดด


รูปที่เอามาให้ดูข้างบนนี่แหละค่ะ แสดงให้เห็นถึงหายนะ แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมของเรา ที่ต่างคนต่างก็ใช้น้ำมัน เพื่อความสะดวกของตนเอง ในการเดินทาง ในการขนส่ง ไม่มีแผนรองรับว่าเราควรจะใช้น้ำมันสักเท่าไร ในแต่ละปี ผลที่เห็นบนท้องถนน คือรถยนตร์ที่คลาคล่ำไปหมด ปริมาณของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ที่อยู่เหนือประเทศไทย จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า เราเดินถูกทางหรือเปล่า ในการใช้น้ำมัน


คนที่จะได้กำไรจากความหายนะของโลก ของเราคือบริษัทน้ำมันนี่แหละค่ะ เราเองก็ไม่มีสามัญสำนึก เลือกเอาผู้นำรัฐบาลที่ไม่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้ อย่างเช่น ปรับปรุงการขนส่งโดยทางรถไฟให้มีประสิทธิภาพ ขนส่งทีละมากๆได้ ขนสินค้า ขนคน หรือบริการได้ไวขึ้น ขยายรถไฟเป็นรางคู่ เพิ่มความเร็วของรถไฟให้เร็วขึ้น ซึ่งเราวิ่งแบบถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่างมาตั้งแต่ ร 5 จนบัดนี้...ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ถ้าเรามีบริการเรื่องการขนส่งที่ดีขึ้น เงินที่จะเอาออกไปซื้อน้ำมันก็จะลดลงนะคะ ใครจะได้รับผลดีจากการนี้คะ แน่นอนค่ะ ว่าไม่ใช่บริษัทน้ำมันและผู้ถือหุ้น แต่เป็นคนไทยทั้งชาติค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:45 PM

รายรอบรั้ว มีบัวหลายเหล่า

ลูกๆคะ พระพุทธเจ้าท่านได้แจงบุคคล 4 เหล่าให้เราชาวพุทธได้รับรู้ ว่ามีการแบ่งกันอย่างนั้นมาตั้งแต่ สมัยโน้นแล้ว คือ บัวที่อยู่ในน้ำมาเทียบกับระดับของสติปัญญา จากเรื่องบัวสี่เหล่า ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนที่เรียนรู้เรื่องต่างๆ เป็น 4 ระดับ คือ...


1.พวกมีสติปัญญา ฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็จะเบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)


2.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)


3.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่ เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆโผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)


4.พวกที่ไร้สติปัญญาและยังเป็น มิจฉาทิฏฐิ แม้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียรเปรียบเสมือน ดอกบัวที่จมอยู่โคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลาอีกด้วย ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบานได้อีก (ปทปรมะ)


ระดับที่ 4 นี่น่ากลัวนะคะ เพราะถ้าหากพวกเขานี้มีมาก สังคมก็จะขาดความสงบสุขค่ะ เพราะพวกเขาจะไม่รับรู้อะไรเลย ใครชักจูงไปทางไหนก็ไป ไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนชั่ว สิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิดไม่ควรทำ เพราะเขาไม่สนใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง อยากได้อะไรก็ต้องดื้อเอาจนได้ ใครจะห้ามก็ไม่ฟังค่ะ


ลูกๆคะ....โรงเรียนของเรา ไม่ใช่จะสั่งสอนแต่ในเรื่องวิชาความรู้ ให้ติดตัวไป สอบเข้าที่อื่น เป็นที่ 1 ของจังหวัด แต่อยากให้ลูกๆ เป็นคนดีที่จะอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างมีความสุขด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นลูกๆต้องเอาใจใส่ในคำพูดของบรรดาครู อาจารย์ท่านแนะนำสั่งสอนให้ดี ให้มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา ไม่ใช่คนที่ครองสติไม่อยู่ เปลี่ยนแปลงเป็นตัวอะไรต่อมิอะไรได้ตลอดเวลาค่ะ เมื่อรับเอากิเลส ตัณหา มิจฉาทิฏฐิเข้าครอบครองใจ ขอให้ธรรมะคุ้มครองลูกๆทุกคนนะคะ



Posted by ครูพเยาว์ at 11:34 AM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ วัฏจักรชีวิตพืชดอก

Monday, July 9, 2007

ลูกๆคะ ถ้าเรานำเมล็ดพืชต่างๆไปปลูก แล้วคอยสังเกตุดูสักระยะหนึ่ง ลูกๆก็จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นค่ะ ถ้าเราเอาเมล็ดพืชไปปลูก เมล็ดพืชจะค่อยๆงอกรากออก จำได้มั้ยคะว่าเราจะต้องรดน้ำให้มันด้วยนะคะ จากนั้นลำต้นจะงอกออกมา จนเป็นต้นพืชเล็กๆ และเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและสูงขึ้น เมื่อต้นพืชเจริญเต็มที่ จะออกดอก และเมื่อดอกไม้ได้รับการผสมพันธุ์ก็จะเกิดผล ซึ่งภายในผลของพืชก็จะมีเมล็ดที่สามารถเจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่ต่อไป ถ้ามีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า "วัฏจักรชีวิตของพืชดอก" ซึ่งจะเกิดหมุนเวียนต่อกันไปเช่นนี้เรื่อยๆ

ลองมาสังเกตวัฏจักรชีวิตของต้นถั่วลันเตาดูนะคะ

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ วัฏจักรชีวิตพืชดอก

นำไปปลูกนะคะ รดน้ำให้ด้วยค่ะ

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ วัฏจักรชีวิตพืชดอก
รากเริ่มงอก ออกหาอาหารได้ค่ะ


รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ วัฏจักรชีวิตพืชดอก

ใบเลี้ยงเริ่มงอก เห็นมั้ยคะว่าต้องรับแสงแดด เพื่อสังเคราะห์แสง



แล้วก็เจริญเติบโตจนมีดอก

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ วัฏจักรชีวิตพืชดอก

เมื่อได้รับการผสมพันธุ์ก็ออกฝัก



รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ วัฏจักรชีวิตพืชดอก

แล้วก็ได้เป็นเมล็ดถั่วลันเตาอีกค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:41 PM

รอบรั้ว การศึกษา

Tuesday, July 3, 2007


"รมช.ศธ."เผยเด็กมัธยมหลักแสน อ่านภาษาไทยไม่ออก-จี้แก้ไข
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่โรงแรมบางกอกพาเลส กทม. นายวรากรณ์ สามโกเศศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการอบรมวิทยากรแกนนำครูภาษาไทยสอนช่วงชั้นที่ 3 (ม.1-3) เรื่อง "อ่านเร็ว อ่านสรุปความ และย่อความ" ว่า ปัจจุบันความสามารถของเด็กไทยในการใช้ภาษาไทยลดน้อยลง โดยเฉพาะการจับใจความ การย่อความ และการอ่าน ดังนั้น ศธ.จึงได้พยายามแก้ไขเรื่องนี้ นอกจากนี้ พบว่าในปัจจุบันไม่มีการเรียนย่อความ หรือมีก็น้อยมาก จึงอยากให้มีการพัฒนาการเรียนการสอนเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ เพราะจัดเป็นฐานสำคัญในการลำดับความคิด และการเข้าใจในรายวิชาต่างๆ ด้วย "ยังพบว่ามีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจำนวนมาก นับเป็นหลักแสนคนที่อ่านภาษาไทยไม่ออก จึงต้องกระตุ้นให้เกิดความสนใจในระดับผู้บริหาร และสังคมทั่วไปในวงกว้าง ให้เห็นถึงความสำคัญเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟาง แต่ต้องขยายผลอย่างจริงจัง ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยลดปัญหาอ่านหนังสือไม่ออกให้ลดน้อยลงได้" นายวรากรณ์กล่าว
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ในโครงการเสริมศักยภาพและประเมินผลการอ่านเร็ว สรุปความ และย่อความนี้ จัดทั้งหมด 3 รุ่น คือ
รุ่นที่ 1 อบรมครูภาษาไทยช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-6)
รุ่นที่ 2 อบรมครูภาษาไทยช่วงชั้นที่ 3 และ
รุ่นที่ 3 อบรมศึกษานิเทศก์ (ศน.) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย :โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศน.ให้เป็นวิทยากรในระดับเขตพื้นที่การศึกษา และครูผู้สอนเป็นวิทยากรในสถานศึกษา เพื่อให้สามารถส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการอ่านและเขียนภาษาไทยของนักเรียน ให้สามารถอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยอัตราความเร็วที่เหมาะสม สามารถสรุปใจความสำคัญและย่อความจากเรื่องที่อ่านได้อย่างดี

นี่คือข่าวจากหนังสือพิมพ์มติชน ของเมื่อวานนี่เองค่ะ ยิ่งได้ยินว่าการอ่านหนังสือของคนไทยในแต่ละปีเฉลี่ยแล้ว นับกันเป็นบรรทัด ซึ่งน่าตกใจมาก ที่จริงแล้วคนอ่านหนังสือไม่ออกมีทั่วโลกค่ะ ทีวีของฝรั่งก็เคยเอามาออก ข่าวของ CNN เมื่อวันที่ 26 เดือนมิถุนายน 2550นี่ เกี่ยวกับป้ายที่ให้ระวัง มันมีจระเข้ BEWARE OF ALLIGATOR เตือนเอาไว้ แล้วก็มีคนโดนจระเข้ทำร้าย ไม่ใช่ว่าไม่เห็นป้าย แต่อ่านไม่ออก!!! กลายเป็นข่าวใหญ่ แต่ฝรั่งส่วนมากเห็นเป็นเรื่องตลกไปเลย ลูกๆเห็นมั้ยคะ ว่าถ้าอ่านป้ายต่างๆไม่ออก มันอันตรายค่ะ ยิ่งถ้ามีคนไม่ดีมาโกง เขียนอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วมาบอกว่าเซ็นชื่อไปเลย มันมาเป็นทีมยุกันให้เซ็น ลูกอ่านไม่ออก แถมมีคนส่งเสริมให้เซ็นชื่อไป ลูกอาจเสียท่าเป็นหนี้เป็นสิน เพราะฉนั้น ลูกๆต้องขยันอ่านหนังสือนะคะ เริ่มที่ชั้นประถมนี่แหละค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:17 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ พืชในท้องถิ่น


ลูกๆคะ วันนี้คุณครูจะมาพูดเรื่องพืชอีก เพราะในอาทิตย์นี้จะเข้าสู่บทเรียนนี้แล้ว หลังจากที่ดูหนังไปบ้าง ไปวัดกันบ้างเสีย 2-3 วันค่ะ จะมาพูดเรื่องพืชในท้องถิ่นค่ะ เราจะเห็นว่าพืชมีมากมายหลายชนิด พืชแต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกัน แต่พืชเหล่านี้ก็มีลักษณะบางประการที่เหมือนกันด้วย ดังนั้นจึงสามารถใช้ลักษณะที่เหมือนกันของพืชเป็นเกณฑ์ในการจำแนก เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของพืช ถ้าเราจะสังเกตุสักหน่อยนะคะ เราจะพบว่าสามารถจำแนกหรือแยกกันได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆค่ะ ได้แก่
1. พืชมีดอก-พืชไม่มีดอก

2. พืชใบเลี้ยงเดี่ยว-พืชใบเลี้ยงคู่

จำให้แม่นๆนะคะว่าเราจำแนกพืชออกเป็นกี่พวก ทีนี้ก็มาดูรายละเอียดค่ะว่ามันเป็นอย่างไร

***พืชมีดอก...คือพืชที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว มีส่วนของดอกสำหรับใช้ในการผสมพันธุ์ เพื่อให้เกิดเป็นต้นพืชใหม่ พืชมีดอกจัดเป็นพืชชั้นสูง เพราะมีส่วนประกอบสำคัญๆคือ ราก ลำต้น ใบ ดอก ผลและเมล็ด ตัวอย่างของพืชมีดอกเช่น ทานตะวัน มะม่วง ชมพู่ มะละกอ กุหลาบ กล้วยไม้ เป็นต้น

***พืชไม่มีดอก...หรือพืชไร้ดอก คือพืชที่ไม่มีดอกเลย ตลอดการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเจริญเติบโตเต็มที่แล้วก็ตาม พืชจำพวกนี้จึงไม่มีดอกสำหรับใช้ในการผสมพันธุ์ แต่จะสืบพันธุ์โดยการสร้างสปอร์ซึ่งจะงอกเป็นพืชต้นใหม่ได้ ตัวอย่างพืชไม่มีดอก เช่น เฟิร์น สน ปรง ผักกูด ผักแว่น เป็นต้น

***พืชใบเลี้ยงเดี่ยว...นอกจากจะเอาดอกมาเป็นเกณฑ์การจำแนกแล้ว เราใช้ลักษณะส่วนประกอบต่างๆมาใช้อีก คือพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่จะแตกต่างกัน
ลักษณะพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีดังนี้ค่ะ
1. มีใบเลี้ยง 1 ใบ
2. ลักษณะของเส้นใบเรียงแบบขนาน
3. มีระบบรากฝอย
4.ลำต้นมีข้อปล้องชัดเจน และไม่มีการเจริญทางด้านข้าง
***พืชใบเลี้ยงคู่...แทบจะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเลยก็ว่าได้ค่ะ สำหรับความแตกต่างของลักษณะ อ่านดูนะคะ
ลักษณะพืชใบเลี้ยงคู่ค่ะ
1. มีใบเลี้ยง 2 ใบ....เห็นมั้ยคะ ว่ามันต่างกันแล้วจากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
2. ลักษณะของเส้นใบเป็นร่างแห....ต่างกันอีก
3. มีระบบรากแก้ว....อีกละที่ต่างไป
4. ลำต้นไม่มีข้อปล้อง และมีการเจริญเติบโตออกทางด้านข้าง ถ้าเป็นคนก็ถือว่าอ้วนค่ะ แต่นี่เป็นพืชก็ต้องบอกว่าลำต้นใหญ่ค่ะ ต่างกันอีกนะคะ

เรื่องสั้นนิดเดียวนะคะ ในเรื่องพืชในท้องถิ่น หรือจะเรียกว่าการจำแนกพืช ลูกๆอ่านทุกตัวอักษรเลยนะคะ ทุกคำคือคำตอบในข้อสอบค่ะ ง่ายนิดเดียวนะคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 6:20 PM

ดูหนัง ฟังเพลง The Way Home

เมื่อครั้งที่แล้ว ครูได้เล่าเรื่อง รักนั้นนิรันดร The road home เรื่องนี้ชื่อเรื่องคล้ายๆกัน แต่เนื้อเรื่องไม่คล้ายกันค่ะ เป็นเรื่องของความรักของยายกับหลานชาย และให้เห็นถึงสายใยแห่งความรัก ถึงแม้ว่าทั้งสองยายหลานนั้น จะอยู่ห่างกัน แม้กระทั่งการใช้ชีวิตก็ไม่เหมือนกันค่ะ

....เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อแม่ของซังวู (ดองโยฮี) พาเขาไปฝากยังบ้านของ คุณยาย (คิมยูลบุน) ที่ต่างจังหวัด ซังวู (ยูซังโฮ) เด็กน้อยวัย 7 ปีรู้ว่า นี่คือของเวลาที่ลำบากที่สุด นับตั้งแต่แม่ของเขาแยกทางกับพ่อของเขา ตั้งแต่เขายังเล็ก มันไม่ง่ายที่จะหาเลี้ยงลูกชายเพียงลำพังในเมืองใหญ่ ซึ่งดูเหมือนว่า ซังวู จะเข้าใจ และพร้อมที่จะดูแลตัวเอง ในขณะที่แม่ไปทำงาน
....แต่ดูเหมือนชีวิตในเมืองชนบท มันดานี ช่างน่าเบื่อสำหรับเด็กที่เติบโตจากเมืองใหญ่อย่าง ซังวู มันไม่มีอะไรจะให้เขาเล่นสนุกด้วย ยายของเขาเป็นใบ้ เขาปฏิเสธทุกสิ่งที่ยายของเขาหาให้ เขาเรียกร้องที่จะกินแฮม แทนกิมจิที่ยายเตรียมไว้ เขาร้องหาโค้กแทนที่น้ำที่ยายริน ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์ แต่มีเส้นทางชวนขนลุกเวลากลางคืน ของทางไปห้องน้ำ ที่อยู่นอกหลังคาบ้าน เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีของเล่น สิ่งเดียวที่พอจะทำให้เขา พ้นจากประสบการณ์ต่างเมืองอันน่าหดหู่นี้คือ เครื่องเล่นเกมส์ และโปสการ์ดที่เขาซึ้อมาจากกรุงโซล แต่แล้วเย็นวันหนึ่ง เมื่อแบตเตอรี่ในเกมส์สุดรักหมดลง เขาขอให้ยายซึ้อแบตเตอรี่ใส่เกมส์ให้เขาใหม่ แต่เธอตอบเขาด้วยภาษาใบ้สั้นๆ ว่าเธอ “เสียใจ” เขาได้แต่คิดว่ายายคงไม่มีเงิน สำหรับซื้อแบตเตอรี่ให้เขา เขาพยายามตื้อยายทุกวิถีทาง แต่ก็ไร้ประโยชน์ จนกระทั่งเขาตัดสินใจ ที่จะขโมยปิ่นปักผมของยาย และเอาเงินที่ได้ไปซื้อแบตเตอรี่ใหม่
....เขาขโมยปิ่นในขณะที่ยายหลับ แล้ววิ่งออกไปตามทางของหมู่บ้าน จนกระทั่งเจอกับร้านขายของเล็กๆ แต่ที่นั่นไม่มีแบตเตอรี่แบบที่ใส่กับเกมส์ของเขาได้ ทั้งขมขื่น, ผิดหวัง และหลงทาง โชคดีที่ลุงแก่ๆ คนหนึ่ง ถีบจักรยานพาเขามาส่งที่บ้านคุณยาย ตอนที่ยายเดินออกมารับซังวู เห็นยายใช้ช้อนทองเหลืองม้วนผมยายไว้ แทนที่ปิ่นที่เขาขโมยมา แต่ดูเหมือนว่า เธอจะไม่ได้คิดว่าเขาขโมยมันไป ซังวูจึงซ่อนมันไว้ด้านหลัง และเดินตามเธอเข้าไปในบ้าน
....บ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่ใช้เวลายาวนานที่แสนน่าเบื่อ หมดไปกับการส่งสัญญาณมือ เพื่อบอกกับยายว่าเขาอยากกินไก่ทอด ยายหอบผักกำใหญ่ไปที่ตลาดใกล้ๆ ทันที เพื่อหาทางซื้อไก่มาให้เขา ท่ามกลางลมพายุ ในที่สุดเธอก็กลับมา พร้อมกับไก่สำหรับซังวู ด้วยความยากลำบากที่เธอพยายามทำให้แก่หลาน และความแตกต่างของชีวิต ในสังคมเมืองและสังคมชนบท สิ่งที่เธอหามาให้แก่หลาน เป็นเพียงไก่ทอด ในขณะที่สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือไก่ทอดจาก KFC เขาไม่แตะต้องไก่จานนั้น จนกระทั่งกลางดึกของคืนวันนั้น ความหิวทำให้เขาออกมากินมัน และเขาก็ร้องให้
....วันหนึ่งเมื่อยายของเขาล้มป่วย ซังวูพยายาม หาทางทำให้ยายของเขารู้สึกอุ่น ผ้าทุกชิ้น อาหารร้อนๆ ... และตัดสินใจคืนปิ่นปักผม ที่ขโมยมาคืนให้กับยาย ขณะเดียวกัน เขาหันไปเจอกับ ชูลอี (มินกังฮุน) เด็กผู้ชายที่กำลังไถลงมาจากเนินเขา หนีกระทิงดุที่กำลังตามขวิดเขาอยู่ พร้อมกับเด็กผู้หญิงน่ารักที่ชื่อ ฮียุน (ยิมยุนกัง)
....หลายวันต่อมา เมื่อยายของเขาหายดี เขาชวนยายของเขา ออกไปขายผักที่ตลาด ด้วยเงินเเพียงล็กน้อยที่ขายผักได้ เธอซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ให้ซังวู พาเขาไปทานอาหารที่ภัตตาคารอาหารจีน สั่งก๋วยเตี๋ยวให้เขา ในขณะที่เธอกินเพียงของกินเล่นและชาเขียว จากนั้นเธอส่งช็อกโกแล็ตและท๊อฟฟี่ให้กับเขา และส่งเขาขึ้นรถเมล์กลับ เขาเก็บขนมไว้ให้ยายหนึ่งอัน และยืนคอยยายอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน มันผ่านไปนาน กว่าที่เขาจะเห็นยายเดินกลับมา ทั้งถือของและเปียกชุ่ม นั่นทำให้เขาคิดได้ว่า ที่ยายส่งเขาขึ้นรถกลับบ้านคนเดียว เพราะเธอไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่ารถเมล์สำหรับสองคน เขาตรงเข้าไปช่วยยายถือของทันที และเดินกลับบ้านพร้อมยายทั้งน้ำตา พร้อมทั้งไม่ลืมที่จะใส่ขนมที่เขาเก็บไว้ ลงไปในถุงของยาย
เพื่อตามหาฮียุน เขาปีนขึ้นไปบนยอดเขา แต่เขาเจอแต่ชูลอี และสุนัขของเขา เขาได้แต่คิดว่า ชูลอีจงใจแกล้งเขา มันทำให้เขาหงุดหงิดและเข้าไปโกหกชูลอีว่า วัวกระทิงตัวเดิมกำลังกลับมาทางเขา ชูลอีรีบวิ่งหนีสุดชีวิต และตกลงมาจากเขา พร้อมทั้งแผลเจ็บๆ และนั่นทำให้ซังวูเจอฮียุนโดยบังเอิญ และสิ่งที่ฮียุนบอกกับเขาว่า เธอก็ตามหาเขาเหมือนกัน ทำให้ซังวูรู้สึกมีความสุขทันที
....วันต่อมา เขาแพ็คของเล่นใส่รถลาก ยายของเขาช่วยเอากระดาษ ห่อเครื่องเล่นเกมส์ของเขา และวางไว้บนกองของเล่น เขาเดินออกมาจากบ้าน ใส่รองเท้าคู่เก่า มองไปที่ฮียุน และแลกของเล่นทั้งหมดของเขา กับตุ๊กตาที่ฮียุนถืออยู่ เขาลากรถกลับพร้อมทั้งอุ้มตุ๊กตาไว้ในมือ บนทางชันรถลากไหล ซังวูสะดุดหกล้ม และมันทำให้เท้าของเขาเจ็บมาก ในขณะที่เขาพยายามหาอะไรมาเช็ดที่หัวเข่า มือของเขากับเจอกับบางอย่าง ที่หุ้มอยู่บนเกมส์เครื่อง ที่ยายของเขาห่อไว้ ...เงิน 1,000 วอนพับครึ่ง!!!! เพียงพอสำหรับค่าแบตเตอรี่ นั่นไม่อาจทำให้ซังวูกลั้นน้ำตา และร้องไห้เสียงดังออกมา เขาวิ่งกลับไปหาเธอ ที่ในมือถือจดหมายจากแม่ของซังวูว่า “ถึงเวลาที่ซังวูต้องกลับแล้ว” คืนนั้น เขาพยายามสอนให้ยายที่ไม่เคยรู้หนังสือ ให้เขียนจดหมายถึงเขา แน่นอนว่ายายไม่สามารถ แม้แต่จะเขียนประโยคง่ายๆ อย่าง “ฉันป่วย” หรือ “คิดถึง” บนความหมดหวัง เขาบอกกับยายทั่งน้ำตาว่า “ถ้ายายป่วย แค่ส่งโปสการ์ดเปล่าๆ ให้เขาเขาจะได้รู้” กลางดึกคืนนั้น ท่ามกลางแสงสลัว ซังวูกำลังเขียนบางอย่างอยู่
....และวันที่ยายหลานต้องจากกันก็มาถึง ซังวูส่งของบางอย่างให้กับยาย และรีบวิ่งขึ้นรถ และไม่เหลียวหลังกลับไป และนาทีสุดท้ายเมื่อรถออกตัว เขาก็หันกลับมาทำสัญญาณมือว่า “เสียใจ” ด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา นั่นทำให้ยายไม่อาจละสายตา มองไปที่รถจนสุดสายตา และบนมือของเธอถือโปสการ์ด 5 ใบ ทั้งหมดเขียนชื่อและที่อยู่ของซังวู และในช่องผู้ส่งเขาเขียนว่า “จากยาย” เขาวาดภาพ “ยายที่กำลังป่วย” ซึ่งบรรยายถึงยายกำลังป่วย หรือคิดถึง ภูมิปัญญาแห่งชีวิต และความผูกพัน อันเป็นประสบการณ์ล้ำค่า ที่ความแตกต่างของสังคมไม่อาจพังทลาย ความทรงจำครั้งสำคัญ ..จะยังคงอยู่กับซังวูตลอดไป
นี่คือเรื่องราวของเด็กชายอายุ 7 ขวบที่ชื่อ ซังวู เขาเกิดและเติบโตในเมืองใหญ่ ขณะที่ คุณยาย ที่เป็นใบ้ของเขา กลับใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในต่างจังหวัด หลังจากถูกบีบให้ต้องไปใช้ชีวิตกับคุณยาย เด็กชายซังวูได้มีโอกาส เรียนรู้ความหมายของชีวิตมากขึ้น ในฐานะของเด็กเมือง ซึ่งเคยชินกับโลกที่ทันสมัยและหรูหรา จึงไม่แปลกที่เขาไม่อาจจะเข้ากันได้ กับหญิงชรา ที่มีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติอย่างคุณยาย อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องเผชิญกับความดื้อ ของเด็กชายมากเท่าใด แต่หญิงชราก็ทนได้เสมอ แถมบางครั้ง ยังคอยปลอบประโลม เมื่อเด็กชายท้อใจเสียอีก ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะพาผู้ชมสัมผัสกับภูมิปัญญาแห่งชีวิต และทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของเรา นั่นก็คือ - ธรรมชาติ หนังเรื่องนี้มีชื่อภาษาไทยว่า คุณยายผม ดีที่สุดในโลกค่ะ

ภาพยนตร์ดราม่าประทับใจเรื่องนี้ เปิดตัวในอเมริกาโดย Paramount Classics เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2002 ในจำนวนเพียง 3 โรง และทำรายได้ไปถึง $28,794 เฉลี่ยต่อโรงออกมาสูงถึง $9,598 หลังจากที่ทำเงินอย่างมหาศาล จนติดอันดับ 2 ของหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล ในเกาหลีมาแล้วเมื่อเดือนเมษายนปี 2002 ที่ผ่านมา
The Way Home ได้รับรางวัล Golden Bell หรือตุ๊กตาทองเกาหลี สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เคยได้รับเลือกให้ฉายโชว์ใน Toronto Film Festival และ AFI Film Festival มาแล้ว

Posted by ครูพเยาว์ at 6:16 PM

รอบรั้ว ความสมานสามัคคี

Monday, July 2, 2007

ลูกๆคะ ครูนั่งอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องอาหารไทยอยู่ มีรูปที่ครูเอามาให้ดู อยู่ในเว็บของอาหาร แม้จะดูเท่าไหร่ ก็ยังดูไม่ออกว่ามันเกี่ยวกับแกงเขียวหวานอย่างไรค่ะ แต่ที่มองเห็นนะคะ คือการพร้อมเพรียงกันกับการเต้นไปเต้นมา ของคนที่แตกต่างกันทั้งเพศ ผิวพรรณ รูปร่าง มันบอกอะไรคะ มันบอกถึงความแตกต่างกันของคนเราที่อยู่ร่วมกันในสังคม ถ้าทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม ในที่นี้คือกลุ่มที่เต้นอยู่นะคะ ก้าวเท้าไปในทิศทางเดียวกัน สังคมนั้นก็ประสบกับความสำเร็จในเป้าประสงค์ ลูกๆเองที่เป็นกลุ่มของเยาวชนของชาติ เป็นกลุ่มที่จะเป็นอนาคตของประเทศเรา ต้องมีวินัยค่ะ ต้องรู้จักว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต้องไม่เห็นแก่ตัว แล้วสังคมก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

ในกลุ่มที่เต้นอยู่นะคะ ถ้ามีสักคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเต้นด้วยกัน เอาหุ่นยนต์ที่ไม่มีหัวใจนี่แหละเป็นตัวอย่าง เกิดเต้นไปอีกทาง ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม ภาพที่จะออกมา มันจะดูสวยมั้ยคะ แน่นอนค่ะ ว่ามันจะขัดตา และการเต้นนั้นก็จะไร้ความหมายไปทันที


เราอยู่ในสังคมนะคะ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องเรียน ก็ต้องมีกฎระเบียบที่คุณครูวางเอาไว้ มีหัวหน้าชั้นคอยดูแล อยู่ในโรงเรียนก็มีคุณครูผู้บริหารเข้ามาปกครอง มีฝ่ายต่างๆเข้ามาช่วยดูแล กฎและวินัยต่างๆก็มีกันทั้งนั้น ให้เราปฏิบัติตาม ภาพถึงออกมาสวย คือทำอะไรก็ทำด้วยกัน คนข้างนอกเขามองเข้ามาก็เห็นว่า ใช่เลย โรงเรียนนี้มีคุณภาพดี แม้เราอยู่ในบ้าน คุณพ่อคุณแม่เราก็ยังต้องดูแลเรา ให้อยู่ในวินัยด้วย นอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า รู้จักสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนนอนก็รู้จักกราบหมอนระลึกถึงคุณพระคุณเจ้า อย่างนี้เป็นต้นค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 7:22 PM

ดูหนัง ฟังเพลง The road home

ได้พูดมาครั้งก่อนถึงหนังเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้เล่าให้ฟัง ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร ก็คงจะขาดตอนข้อมูลทั้งหมดไปค่ะ วันนี้ก็ต้องมาเล่าให้ฟังค่ะ


....เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นักธุรกิจหนุ่ม ลั่วหยูเช็ง (แสดงโดย Sun Honglei) จะได้เดินทางกลับไปยัง Sanhetun หมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนเหนือของจีน อันเป็นบ้านเกิดของเขา เนื่องจากนายกเทศมนตรีได้โทรแจ้งข่าวแก่เขาว่า พ่อของเขาได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน และหยูเช็งก็จำเป็นต้องเร่งรีบเดินทางกลับบ้าน เพื่ออยู่เป็นเพื่อนแม่ เขาพบเธอกำลังนั่งโศกเศร้าอย่างมากมาย อยู่นอกอาคารเรียนของหมู่บ้าน ที่ทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก ทว่าเธอก็ยังแข็งใจไปร่วมงานศพของสามี ที่จัดขึ้นตามต้นแบบดั้งเดิมของประเพณีท้องถิ่น ที่สมัยนี้แทบจะไม่มีใครทำตามแบบเต็มขั้นตอนอีกต่อไปแล้ว เธอจะเป็นผู้ถักทอเสื้อผ้าสำหรับใส่ในพิธีศพ ด้วยเครื่องทอของหมู่บ้านด้วยตัวเอง และชายชาวบ้านก็จะเป็นผู้แบกโลงศพ จากโรงพยาบาลกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้
นายกฯได้แต่หวังว่า หยูเช็งจะสามารถเกลี้ยกล่อม ให้แม่ของเขามีเหตุผลมากกว่านี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ให้เธอยินยอมให้มีการนำโลงศพใส่รถ ขับกลับมายังหมู่บ้าน แทนการใช้คนแบกเช่นที่ว่ามา ด้วยเขาเกรงว่า หากจะต้องหาคนมาแบกโลงศพ เดินทางท่ามกลางหิมะในฤดูหนาว เป็นเวลาหลายไมล์แล้วล่ะก็ จำนวนคนอาจมีไม่เพียงพอ ทั้งนี้ก็เนื่องจากคนหนุ่มส่วนใหญ่ใน Sanhetun อย่างหยูเช็งนั้น ต่างก็จากหมู่บ้านไปทำงานในเมืองกันเสียเกือบหมดแล้ว
จากการที่ได้เฝ้าดูแม่ ถักทอเสื้อผ้าที่ใช้สำหรับงานศพนั้น หยูเช็งก็ได้รำลึกถึงเรื่องที่เขาได้ยินมา เกี่ยวกับความรักของพ่อและแม่ ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านในสมัยนั้น ต่างก็รู้จักเรื่องราวในตอนนั้นเป็นอย่างดี
...ตอนนั้นแม่ของเขา เจ้าดี (แสดงโดย จางซิยี่ - Zhang Zi-Yi) มีอายุได้ 18 ปี เธออาศัยอยู่กับแม่ผู้เป็นหม้ายและตาบอด เมื่อ ลั่วชางหยู (แสดงโดย Zheng Hao) วัย 20 ปี เดินทางมาจาก East Gate เพื่อมาเป็นครูสอนที่โรงเรียนในหมู่บ้านแห่งนี้ สมัยนั้นเธอได้รับการชื่นชมว่า เป็นเด็กสาวที่สวยน่ารักที่สุดใน Sanhetun ทว่าสายตาของเธอก็จับจ้องแต่ผู้มาใหม่ไม่วางตา นับแต่แรกที่ได้เห็นเขา เมื่อชางหยูเข้าร่วมกับชายฉกรรจ์ในหมู่บ้าน เพื่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่นั้น (และตามธรรมเนียมของหมู่บ้าน เจ้าดีก็ถูกเสนอชื่อให้เป็นคนทอผ้าแดง เพื่อใช้พันรอบคานหลังคาของโรงเรียน) เธอแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าชางหยูจะเป็นคนมารับอาหารกลางวันจากมือของเธอ ที่บรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านร่วมกันทำขึ้นมา และเมื่อถึงเวลาที่โรงเรียนแห่งใหม่เปิดเรียน เจ้าดีก็เลือกที่จะไปตักน้ำจากบ่อน้ำเล็กๆ เก่าๆ ที่ไม่ค่อยมีคนใช้ เนื่องจากจะทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับโรงเรียน และเป็นการเปิดโอกาสให้เธอได้พบปะกับชางหยู ตอนที่เขาส่งเด็กนักเรียนกลับบ้านด้วย
ความพยายามที่จะดึงดูดความสนใจจากคุณครูคนใหม่ ก็สัมฤทธิ์ผลเข้าจนได้ เมื่อถึงคิวของเจ้าดีและแม่ของเธอได้เชื้อเชิญให้ชางหยู มารับประทานอาหารที่บ้านของพวกเธอ และเขาก็แสดงความสนใจในตัวเธออยู่เงียบๆ เช่นกัน ทว่ามันกลับกลายเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรงสำหรับเจ้าดี เมื่อมีชายหลายคนจากในเมือง มาพาตัวชางหยูกลับเมืองไปกับพวกเขา เพื่อทำการสอบปากคำ ชางหยูได้ฉวยโอกาสที่มีอยู่น้อยนิด กล่าวคำอำลาแก่เจ้าดี และสัญญาว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับให้ปิ่นปักผมแก่เธอเป็นของขวัญ ช่วงเวลาที่ชางหยูไม่อยู่นั้น เจ้าดีก็ได้ไปที่โรงเรียนเพื่อทำความสะอาด และทำการซ่อมแซมหน้าต่างกระดาษ ให้คงอยู่ในสภาพเดิม และนั่นเองที่ทำให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า เธอกับชางหยูมีความรักให้แก่กัน มีการพูดถึงกันอย่างหนาหู เนื่องด้วยในสมัยนั้น การจัดงานแต่งงานนับเป็นเรื่องปกติวิสัย และครั้งนี้จะนับเป็นการแต่งงาน ที่เกิดขึ้นด้วยความรักของทั้งสองฝ่าย เป็นครั้งแรกของ Shahetun
ชางหยูจากไปเป็นเวลานาน กระทั่งวันหนึ่งมีเสียงร่ำลือมาว่า เขาจะกลับมา ทว่าก็ไร้ซึ่งวี่แววของเขา เจ้าดีเฝ้าแต่รอคอยมาเนิ่นนาน จนเธอเป็นไข้ แต่ก็ยังปักหลักกลางหิมะและสายหมอก เพื่อมองหาเขาที่อยู่ในเมืองแสนไกล จากนั้นก็มีคนพบเธอล้มพับอยู่ท่ามกลางหิมะ และเธอก็ถูกนำส่งบ้านด้วยอาการหนาวสั่นจนน่ากลัว เธอได้ตื่นขึ้นในอีก 2 วันต่อมา และพบว่าชางหยูได้กลับมาแล้ว และนั่งเฝ้าเคียงข้างเตียงนอนของเธอ อยู่นานนับหลายชั่วโมง ปรากฏว่าชางหยูได้แอบเดินทางมา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลการเมือง เพื่อมาหาเธอโดยเฉพาะ การฝ่าฝืนคำสั่งของเขานั้น ก็ทำให้เขาถูกลงโทษเมื่อเดินทางกลับไปในเมืองอีกครั้ง และทั้งเขาและเจ้าดี ก็ต้องแยกจากกันอีกถึงสองปีกว่าเลยทีเดียว ในที่สุดเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง และเขาเดินทางกลับมายัง Sanhetun อีกครั้ง เจ้าดีก็ยังอยู่ที่นั่นเพื่อต้อนรับเขา และทั้งคู่ก็ไม่เคยแยกจากกันอีกเลยนับแต่นั้น...
กลับมายังปัจจุบัน หยูเช็งเข้าใจดีว่า แม่ของเขาหวังว่าในพิธีศพของพ่อนั้น จะต้องถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ เขาจึงได้จ่ายเงินจำนวน 5,000 หยวนแก่นายกเทศมนตรี เพื่อว่าจ้างชายฉกรรจ์ 32 คน เป็นผู้ผลัดเปลี่ยนแบกโลงศพไปตามทาง และกระตุ้นให้พวกเขาจดจ่ออยู่กับงาน ด้วยบุหรี่และกระแช่ ทว่าเมื่อวันฝังศพมาถึง กลับปรากฏว่า มีอดีตลูกศิษย์ของชางหยูกว่าร้อยคน เดินทางกลับมาเป็นผู้แบกโลงศพด้วยตัวเอง โดยไม่มีใครยอมรับค่าจ้างนั้นแม้สักคน โลงศพนั้นถูกวางลงไว้ข้างๆ บ่อน้ำเก่า ที่สามารถมองเห็นอาคารเรียนได้อย่างชัดเจน
วันต่อมา เจ้าดี (แสดงโดย Zhao Yuelin) ได้พาหยูเช็งไปยังอาคารเรียน (ซึ่งจะได้รับการก่อสร้างใหม่อีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิหน้า) และเล่าให้เขาฟังว่า พ่อของเขามีความหวังเสมอว่า เขาจะกลายเป็นครูประจำหมู่บ้าน ดังนั้นก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปทำงานในเมืองอีกครั้ง หยูเช็งก็ได้ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ทำการสอนหนังสือแก่เด็กๆ ในหมู่บ้านภายในอาคารเรียนหลังเก่านั่นเอง..


ต้องดูเองค่ะ เพราะอารมณ์ของนักแสดงที่เอาออกมานั้น มันสมควรที่พวกเขาจะได้รับรางวัล และจะได้เห็นประเพณีการจัดงานศพ เขาทำกันอย่างไร และการสอนหนังสือ แม้แค่หนึ่งวัน ของลูกชาย ที่อุทิศให้กับความตั้งใจดั้งเดิมของพ่อนั้น เป็นการตอบแทนคุณพ่อ และการที่ไม่มีใครรับค่าจ้างในการแบกโลงศพแม้แต่คนเดียวนั้น มันบอกถึงความรักและเคารพของผู้คนต่อครูบาอาจารย์ มันแสดงออกถึงวัฒนธรรมตะวันออกของเรา แม้ครูจะรับเป็นศิษย์แค่วันเดียว ก็ต้องนับถือไปตลอดชีวิต คุณครูอาจดูหนังกำลังภายในมากไปหน่อย เลยจำคำพูดในหนังมา หนังเรื่องนี้มีชื่อไทยค่ะ "เส้นทางรักนิรันดร"


The Road Home คว้ารางวัล Prize of the Ecumenical Jury และ Silver Berlin Bear ประเภท Jury Grand Prix จาก Berlin International Film Festival ประจำปี 2000

Posted by ครูพเยาว์ at 6:37 PM