Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว ห้องสอบ

Friday, December 21, 2007

ยาพิษ:
ศิลปิน :บอดี้ลำดวน(3)

อัลบั้ม:Save my grade
เรื่องง่ายๆแต่ความหมายสุดลึกล้ำ
เรื่องง่ายๆที่ตูเรียนประจำซ้ำไปซ้ำมา
คิดจะตอบแต่ก็ตอบอย่างไม่คิด
รู้ไหมว่าหนึ่งชีวิตของใคร ต้องเกิดปัญหา
*เรียนซ้ำปางตาย
ติดเอฟกระจาย
คิดว่าคงได้D
แต่แล้วเป็นไง...
กับข้อสอบร้ายๆ
**จะสอบ ยังคึกคัก
จิ้งจกยังมาทัก
แต่เราไม่เคยสน
ก้อไปมั่วเอา
อ่านโจทย์ก้อไม่รู้
ตาลายมองไม่เห็น
ห้องแอร์ก้อไม่เย็น
นาฬิกาตาย
คำตอบที่ไม่เคยคิด
ที่จริงก็คือยาพิษ
ทำลายชีวิตของคนงงงวย
เคยจะรู้บ้างหรือเปล่า
คิดหรือเปล่า
ว่าตัวเองนั้นจะซวย
พิษของข้อสอบ
ร้ายแรง แค่ไหน
เพื่อนว่าง่าย
อันตรายอย่างมหันต์
รู้ไว้ด้วยว่าความหมายของมันสำคัญ แค่ไหน
*,**
solo
แล้วการสอบ หลอกหลอนหัวใจ
เห็นข้อสอบมันทนไม่ไหว
หน้าที่ 1 ยังทำไม่ด้ายยย
แล้วจะได้คะแนนเท่าไร
โจทย์มันลวง สุดท้ายเสียใจ
แปลไม่ออกนั่งหัวหมุนไป
ทบและทวนไตร่ตรองทำไม
ให้ปากกาตัดสิน
**จะสอบ ยังคึกคัก
จิ้งจกยังมาทัก
แต่เราไม่เคยสน
ก้อไปมั่วเอา
อ่านโจทย์ก้อไม่รู้
ตาลายมองไม่เห็น
ห้องแอร์ก้อไม่เย็น
นาฬิกาตาย
คำตอบที่ไม่เคยคิด
ที่จริงก็คือยาพิษ
ทำลายชีวิตของคนงงงวย
'จารย์จะรู้บ้างหรือเปล่า (รู้บ้างหรือเปล่า)
กระดาษที่เรานั้นเขียนตอบ
ไม่มีคำตอบ
คงต้องเรียนซ้ำอีกรอบ
พิษของข้อสอบ
.....เห็นเนื้อเพลงนี้แล้ว หัวใจจะวาย และนี่คือความจริงที่พ่อแม่ควรจะรับรู้เอาไว้ ใครก็ตาม ที่ส่งลูกพ้นประตูบ้านไปแล้ว ในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น มันเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของลูกไปหมด....เพลงนี้ บรรยายอะไรๆได้ยังกับเข้าไปนั่งในหัวใจเด็กมหา'ลัย

แล้วคนที่เป็นพ่อแม่สังเกตได้อย่างไร ว่ามันเป็นจริงอย่างที่ว่า....เกรดค่ะ....เกรดของเด็กปี 1 เทอมแรก...อธิบายให้เห็นรูปธรรมของเด็กปี 1 ได้อย่างดี เคยสอบถามว่าอยู่หอพักเป็นอย่างไรบ้าง...เพื่อนๆ เป็นอย่างไร ที่รู้เลาๆก็คือ....ไม่ค่อยมีเวลานอนกัน...บางคนไม่หลับไม่นอนเลย....ตื่นก็โน่น 11 โมง หรือไม่ก็เที่ยงไปเลย...เรียนตอนบ่าย....อิสระภาพ...ๆ....ๆ....ๆ ท่วมห้องนอน ใครก็ตามนะคะ ไม่อยากเจอยาพิษในห้องสอบ ต้องเปลี่ยนนิสัยค่ะ อย่าตามใจเกมส์ ตามใจกิเลศให้มาก หัดดื้อกับมันบ้าง ไม่ใช่ดื้อกับพ่อแม่อย่างเดียว

ก็ขอให้โชคดี...ตั้งใจเรียน...ตั้งใจสอบในเทอมปลายค่ะทุกๆคน และสำหรับคนที่จบไปแล้ว และที่กำลังจะจบ..หรือจบๆเสียที ก็ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ ที่ได้ผ่านยาพิษมาหลายขนาน แล้วก็รอดมาได้

รอบรั้ว สังคมพ่อแม่



เมื่อเช้านั่งฟังผู้ปกครองคนหนึ่ง เล่าถึงลูกสาว ..ที่ชื่อ อะตอม เด็กที่ขึ้นมาบ้านครู...เล่นเกมส์บ้าง บางครั้ง..แล้วก็รู้จักบังคับตัวเอง ไม่หลงเล่นจนเกินพอดี เขารู้จักแบ่งเวลา ทำกิจกรรมอื่นๆ ผู้ปกครองเขาพูดถึงลูกเขา เกี่ยวกับเรื่องการเรียนว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องสอบได้ที่ 1 ของห้องหรอกลูก...เพราะมันจะเหนื่อย ในการรักษาตำแหน่งที่ 1 ของห้อง เพราะบางคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียน จนไม่มีเวลาที่จะหายใจ ดูแล้ว..มันเหนื่อยแทน


อันที่จริง...เรื่องนี้ ครูเองก็เห็นด้วย แต่ไม่ทั้งหมด ถ้าเด็กตั้งใจเรียนดี เขาสามารถที่จะก้าวมาเป็นเด็กเก่งของห้อง ลองให้เขามีความตั้งใจมากขึ้นก็ทำได้...แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ในการรักษาตำแหน่งแชมป์ของห้อง เราสามารถสอนให้เด็กรู้จักแบ่งปัน...ถ้าเราเกิดไม่ได้ที่ 1 ขึ้นมา เราต้องรู้ว่า การแบ่งให้เพื่อนได้ที่ 1 นั้น ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ควรจะยินดีกับเพื่อนคนนั้น ที่เก่ง ที่พยายาม ที่พัฒนาการเรียนของตนเองขึ้นมาอยู่ขั้นนี้ได้


ครูเอง เพิ่งเคยเห็นเด็กที่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการเรียน การสอบ กับตำแหน่งที่ 1 ในห้อง ที่เขาบอกว่าเขาสามารถทำได้ แต่ไม่ทำ ทั้งๆที่เมื่อก่อนนั้น เขาอยู่ในระดับกลางๆ...แล้วก็ดันตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งที่ 1 สองครั้ง (ลำดับ 11 ของห้อง)ได้ ครูคิดว่า ถ้าอะตอมมีความคิดที่จะเอาที่ 1 ของห้องมาให้พ่อแม่ได้ยิ้มกับการเรียนของลูกได้ โดยที่ไม่คิดว่าลูกจะเหนื่อยจนเกินไป ก็น่าจะทำ และต่อไป....บีม...กรีน...วิน...หรือแม้กระทั่งตั้ม ก็สามารถมีแนวคิดอย่างนี้ได้ โดยเอาที่ 1 มาประดับฝาบ้านสักครั้ง ลองดูมั้ยคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 9:44 AM

รอบรั้ว เมืองอุดรเมื่อก่อนเก่า

Monday, December 17, 2007


รูปนี้ถ่ายที่วัดโพธิสมภรณ์ มองจากหน้าวัดเข้าไป เมื่อเดือนกรกฎาคม 2505 ในพิธีรับศพและทำบุญศพท่านเจ้าประคุณธรรมเจดีย์ แต่จากรูปที่ให้สังเกตนั้น เราจะเห็นการแต่งตัวของเด็กนักเรียนในสมัยนั้น ต่างจากที่พวกเราแต่งกันในปัจจุบัน คือวัฒนธรรมการสวมหมวก ซึ่งเรารับมาจากชาวตะวันตก เพื่อเป็นการแสดงว่าเราเองก็เจริญเทียมเท่ากันแล้ว เราก็ต้องพัฒนาการแต่งกาย กริยามารยาทก็ต้องเลียนแบบเขามา การทักทายเราก็อาจได้ยินมาบ้างจากบทพูดในภาพยนตร์ที่ย้อนยุคไปสมัยนั้น เช่น อรุณสวัสดิ์ สายันต์สวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ท่านชายกลาง อะไรทำนองนี้


ครูเองสมัยเป็นเด็กนักเรียนก็เคยสวมหมวกกะโล่สีขาวหรือไม่ก็หมวกปีกสีขาวอยู่ระยะหนึ่ง ทำหล่นหายไปก็คงจะหลายใบ แล้วก็จำไม่ได้ว่าเขาเลิกกันตอนไหน แต่ระเบียบการแต่งกายแบบสวมหมวกนี้เริ่มใน พ.ศ. 2499 ระเบียบการแต่งกายของนักเรียนเราก็ยังยึดถือแบบนั้นอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน จะยกเลิกไปก็คือวัฒนธรรมการสวมหมวกนี่แหละ


จะแปลกไปก็คือการเรียนการสอนในสมัยนั้น (พ.ศ. 2499) ที่เขาแยกย่อยจุดประสงค์ในการเรียนการสอนชั้นอนุบาล ซึ่งคาดกันว่า การสอนนั้นก้าวล้ำหน้าไปถึง 20 ปีทีเดียว และในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนอนุบาลแพร่หลายเหมือนในสมัยนี้ ครูอยากให้ดูว่าเด็กในสมัยนั้นเขาต้องทำอะไรบ้าง และครูในสมัยนั้นต้องสั่งสอน อบรมลูกศิษย์กันแบบไหน

1. อบรมความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนการเล่นและร้องเพลง
2. อบรมให้มีความประพฤติดี มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด ไม่ได้มุ่งแต่จะให้อ่านออกเขียนได้
3. ทำให้เด็กมีอารมณ์ชื่นบานผ่องแผ้วอ่อนโยน โดยที่ได้พบเห็นแต่ความสวยสดงดงาม ตลอดจนสิ่งที่ดี งามอันเป็นที่เจริญตา เจริญใจ เช่น ได้เห็นสีต่าง ๆ อันเป็นสีที่เย็นตาเย็นใจ ได้เห็นของสวย ๆ งาม ๆ เช่น ดอกไม้ รูปภาพ ธรรมชาติที่งดงาม สถานที่และเครื่องใช้ เห็นสิ่งที่เป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดตา
4. หัดให้คิด ให้สังเกต ค้นคว้าหาเหตุด้วยตนเอง เพื่อสร้างความเจริญงอกงามให้แก่จิตใจของเด็ก ปลูกฝังอันดีงาม โดยจัดทำตัวอย่างที่ดีติดตาติดใจเด็กไป
5. ปลูกฝังให้รู้จักรักสวยรักงาม เช่น แต่งกายเรียบร้อย มีระเบียบ สะอาด
6. ให้รู้จักเข้าแถวตามลำดับ ใครมาก่อนมาหลัง เพื่อให้รู้จักสิทธิ์ของผู้มาก่อน มาหลัง
7. ปลูกฝังให้เป็นคนอดทนต่อความไม่พอใจ ความโกรธ ความหิวและเพื่อความพร้อมเพรียง
8. รู้จักเคารพต่อคำสั่ง ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ
9. ปลูกฝังให้เป็นผู้มีใจดี มีเมตตากรุณาที่เป็นคุณธรรมอันสูงสุดของมนุษย์และเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เช่น ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เอาเปรียบ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ให้มีโอกาสได้เลี้ยงสัตว์ เช่น กระต่าย เป็ด ไก่ นก ฯลฯ เด็กจะได้มีใจอ่อนโยน รักใคร่เอ็นดูสัตว์ที่ตนเลี้ยง ทำให้ไม่เป็นคนใจดำอำมหิต โหดร้าย
10. หัดให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้เด็กชายรู้จักความเป็นสุภาพบุรุษไม่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่าตน ไม่เอารัดเอาเปรียบ โอบอ้อมอารี ไม่ทำลายของที่เป็นสาธารณประโยชน์ ไม่ขีดเขียนตามฝาและตู้โต๊ะ
11. อบรมให้มีนิสัยไม่เย่อหยิ่งจองหอง ทุกคนต้องมีสิทธิ์เสมอกันไม่ว่าใครจะเกิดมาในสกุลใด ให้รักกันดังพี่น้อง ให้เด็กเห็นคุณค่าของการเป็นคน เข้าไหนเข้าได้ ไม่เป็นที่รังเกียจของหมู่คณะให้รู้ว่าเกียรติยศนั้นอยู่ที่ความประพฤติดี มีมารยาทสุภาพ มีใจโอบอ้อมอารี เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป
12. อบรมให้มีนิสัยสุภาพอ่อนโยนไม่ใช่อ่อนแอ แข็งแรงไม่ใช่แข็งกระด้าง พูดจาอ่อนหวานน่าฟังไม่เอะอะตึงตัง มีมานะบากบั่นกล้าหาญ
13. มีศีลธรรมประจำใจ ไม่ทำลายประโยชน์ของผู้อื่นและส่วนรวมเพื่อตน ไม่ปรักปรำใส่ร้ายผู้อื่นเพื่อให้ตนพ้นผิด มีเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนร่วมโลก รู้จักเสียสละประโยชน์ตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
14. หัดให้มีความซื่อสัตย์ กล้ารับผิด รู้จักบังคับใจตนเอง เกลียดและมีความละอายที่จะทำความชั่ว
อบรมให้เกิดความรักเกียรติของโรงเรียน รักหมู่ รักคณะ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ
15. สอนให้มีความภูมิใจในชาติของตน ปฏิบัติตนตามหน้าที่พลเมืองดี เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา มีความเคารพในองค์พระมหากษัตริย์
16. ให้ใช้วาจาอ่อนหวาน รู้จักกล่าวคำสวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ รู้จักให้เกียรติแก่ผู้ที่ทำความดี เช่น ตบมือ
17. ให้รู้จักขนบธรรมเนียมและประเพณีของไทย เช่น การเคารพ การถอดหมวก และรองเท้าก่อนขึ้นบ้านและโรงเรียน
18.ให้เด็กมีอิสรภาพ รู้จักรับผิดชอบและเคารพในสิทธิของผู้อื่น เพื่อส่งเสริมให้เกิดนิสัยอันดีงาม เช่น ให้มีตู้เก็บสิ่งของของตนเป็นส่วนสัด รวมทั้งเครื่องใช้ในการเรียน การฝีมือ จะได้รู้จักรับผิดชอบและเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
19. ส่งเสริมให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ฝึกให้รู้จักการประหยัดทรัพย์ รู้จักเก็บ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์
20. หัดให้กล้าในที่ควร เช่น ให้แสดงตัวบนเวทีในการเล่น และการเรียน ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวเด็กอยู่แล้ว คือเด็กชอบเด่น
21. ให้รู้จักระเบียบของชีวิต เช่น กิน นอน เรียน เล่น เป็นเวลา ให้รู้จักแบ่งเวลาและการใช้เวลา
22. อบรมให้รู้จักสิ่งที่ล้อมรอบ เช่น บิดามารดา พี่ป้าน้าอา เพื่อนบ้าน สัตว์เลี้ยง พื้นดิน ต้นไม้และธรรมชาติอันสวยงาม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เช่น พาไปชมสวนสัตว์ สวนพฤกษชาติ
23. หัดให้พึ่งตนเอง เช่น ปฏิบัติกิจส่วนตัวได้เอง มีแต่งตัว รับประทานอาหาร อาบน้ำ ปูที่นอน
24. การรับประทานอาหาร ฝึกไม่ให้รับประทานมากอย่าง และเหมือนกันทั้งคนมีคนจน
25. ควบคุมมารยาทในเวลารับประทาน เวลานอน และเวลาเล่น เช่น ไม่ให้รับประทานมูมมาม สกปรกเปรอะเปื้อน เวลานอนไม่ส่งเสียงอึกทึกให้เป็นที่รำคาญของผู้อื่น เป็นการหัดให้รู้จักเกรงใจผู้อื่น ไม่เอาแต่ใจตนฝ่ายเดียว
26. ฝึกให้รู้จักการประหยัด รู้จักเก็บ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น การเล่นอะไรหรือทำอะไรแล้วให้เก็บและทำความสะอาด ไม่แต่งกายหรูหรา
27. ให้เด็กได้มีการร้องเพลง รำละคร เต้นรำ กระโดดโลดเต้น เพื่อความสนุกสนานรื่นเริงและอนามัยที่ได้ออกกำลัง และเปลี่ยนอิริยาบท


ลูกๆจะเห็นข้อปฎิบัติของเด็กอนุบาลในสมัยนั้นนะคะ ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง เรียนอะไรบ้าง อายุของเด็กอนุบาลในสมัยนั้นคือ 3ปีครึ่ง ถึง 6 ปีค่ะ มีเรื่องให้เขาทำในโรงเรียนเมื่อแยกย่อยออกมาแล้ว ตั้ง 27 ข้อ เดี๋ยวนี้ที่ลูกต้องเรียน ต้องปฎิบัติ ต้องฝึกฝนอยู่ มีอะไรบ้างคะ
source: http//gold.pbru.ac.th/rLocal


Posted by ครูพเยาว์ at 9:00 AM

รอบรั้ว สังคมเด็กๆ 2

Saturday, December 15, 2007


เดี๋ยวนี้ สมองมักจะตีบตัน นึกอะไรไม่ค่อยออก อึดอัด กับอากาศที่ปนไปกับมลพิษที่พ่นมาทั่วทุกทิศ หันไปทางไหนก็มักเจอะเจอกับคนที่เดือดร้อนไปทั่วจากผลของราคาน้ำมันที่กำลังจะบั่นทอนให้เราต้องจนลง ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่ง รวยขึ้นและก็มีแต่จะรวยขึ้น.....อย่าพูดอีกเลย


มาดูเด็กๆของเราดีกว่า ว่าเขาเจอกับอะไรมาบ้าง...บั่นทอนความสามารถของเขาให้ลดน้อยลง ทุกวัน และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น...เมื่อวานได้รับรายงานจากมหาวิทยาลัย ถึงผลการเรียนของเจ้าคนเล็ก...อ่านแล้ว ก็รู้สึกหนักใจ ถึงแม้เขาบอกว่า มันยังพอจะแก้ไขได้ คำพูดดูง่าย..แต่การกระทำกลับไม่


หลายปีมาแล้ว เรามีปัญหากับเกมส์ต่างๆที่ต่างเสนอเข้ามาให้เด็กของเราเข้าไปเล่น พัฒนาการจากเกมส์กระโดดขึ้น กระโดดข้าม หลบหลีกของมาริโอ...กลืนกิน คืบคลานเข้าหาพื้นที่ คลุมพื้นที่ให้หมดของแพคแมน...จนกระทั่ง ถึงเกมส์ที่สะเทือนไปทั่วเมืองไทย จากผลงานของเกาหลี "รักนรก"...และเกมส์อื่นๆอีกมากที่มีวิธีเล่น วิธีต่อสู้ที่มากหลายรูปแบบ จนเด็กของเรา หลงไหลไปกับมันแบบไม่รู้จักจบสิ้น แทบพูดว่า ต้องกินเกมส์เป็นภักษาหารเลยทีเดียว


ถอยหลังจากนี่ไป 30 ปี สมัยนั้นก็มีเกมส์เล่นไม่หลากหลายแบบทุกวันนี้ เราอาจไม่เห็นอีกแล้ว กับโต๊ะบอล พินบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพินบอลนั้น เป็นที่คลั่งไคล้กันอย่างมาก ร๊อด สจ๊วต, เอลตั้น จอห์น หรือแม้แต่วงร้อคอย่าง The Who ต่างก็มีเวอร์ชั่นร้องเพลง Pinball Wizard ออกมาทุกคน บรรยายถึงคนที่คลั่งเกมส์นั้นว่า That deaf, dumb and blind kid, sure plays the mean pinball. ต่างคนก็ต่างแสวงหาโต๊ะพินบอลที่ตั้งอยู่ตามสถานที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปเล่นทำแต้มให้สูงสุด เป็นเจ้ายุทธจักรของโต๊ะ เพราะโต๊ะแต่ละโต๊ะมันไม่เหมือนกัน การฟลิบ กระแทก เขย่าโต๊ะมันต่างกัน trick ของการเล่นของแต่ละคนจึงต้องฝึกต้องลอง และก็ทำให้หลงไปกับการเล่น การทำแต้ม มาสมัยนี้มันหนักกว่าสมัยนั้นมาก เกมส์ มาหาเด็กของเราถึงห้องนอน อาการของเด็กจึงกลายเป็น That deaf, dumb and blind kid, sure plays the mean games all. เล่นกันทั้งวัน ทั้งคืน ทุกเกมส์ เทอมแรกของปีหนึ่ง จึงต้องสูญเสียจอคอมพิวเตอร์ไปหนึ่งจอ กับเมนบอร์ดไปหนึ่งตัว


รูปที่เอามาลงให้ดู เหมือนจะไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกันเลย แต่อยากเปรียบเทียบให้เห็นว่า เด็กที่เล่นเกมส์ เห็นเกมส์เป็น Stairway to heaven หนทางสู่สวรรค์ หรืออย่างไร เขาได้อะไรจากเกมส์ที่เขาคลั่งไคล้ นอกจากจะสูญเสียเวลาจากการทำหน้าที่ของนักเรียน นักศึกษา....ถ้าจะแย้งว่า นี่จะไม่ให้เขาเล่น พักผ่อนสมอง บ้างเลยหรือ .... ไม่ใช่ค่ะ เล่นได้...และก็พอเหมาะพอควร....อะตอม...เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ 9 ขวบ เรียนชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ก็เข้ามาเล่นเกมส์อยู่เหมือนกัน แต่เด็กเขามีวินัย หมดเวลา เขาเลิก....เขาเล่นฟุตบอล...ลุยแบบเด็กผู้ชาย...เล่นเทนนิส อีกวันเขาเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ แต่งตัวให้ตุ๊กตา ไม่ได้คลั่งแต่เกมส์คอมพิวเตอร์อย่างเดียว เมื่อวานเข้ามาที่บ้าน เห็นพี่เขานั่งเล่นเกมส์อยู่ถึงออกปากว่า "พี่...ไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร"


อยากบอกว่า เด็กๆ ลูกๆ ควรที่จะสำนึกในหน้าที่ของตัวให้ดี ไม่มีใครอยากเห็นลูกหลานตกต่ำหรอก อยากให้ตั้งใจเรียนให้ดี มองอนาคตว่าจะเดินไปในทางไหน ต้องปรับตัวอย่างไรกับสังคมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป วางตัวเราอยู่ตรงไหน ถึงจะรอดพ้นจากการบีบรัดของภาวะต่างๆ เช่นเศรษฐกิจ การงาน ฯลฯ

Posted by ครูพเยาว์ at 10:05 AM

รอบรั้ว โรงพยาบาลของเรา โรงพยาบาลอุดรธานี

Friday, December 7, 2007


เกือบ 4 เดือนแล้ว ที่ต้องเข้าๆออกๆอยู่กับโรงพยาบาล เพราะตัวเองต้องไปหาหมอฟัน สามีก็ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเกือบเดือน กว่าจะเดินเหินไปไหนมาไหนได้บ้าง จากที่ต้องหามเข้ารักษา จนกระทั่งนั่งรถเข็นออกจากที่แห่งนี้ แล้วก็เวียนเข้าเวียนออกจนกระทั่งเดินได้เกือบจะหายดี แต่ก็ยังค่ะ คุณหมอท่านยังไม่ไว้วางใจ ยังต้องเข้าไปให้ดูเป็นระยะๆ
...
จากการที่ได้เข้าไปคลุกคลีอยู่เป็นเวลานาน ก็สังเกตเห็นว่า งานรักษาของคุณหมอแต่ละคนนั้น ช่างหนักหนาเอาเสียจริงๆ ดูจำนวนคนป่วยที่เข้ามากับจำนวนหมอที่ต้องรับมือแล้ว มันช่างห่างกับคำว่าสมดุลย์ พอเหมาะพอควรเสียเหลือเกิน นี่หมอหนึ่งคนต้องรับมือกับคนป่วยเท่าไหร่กันแน่นี่
...
คุณหมอที่ต้องไปเจอเป็นประจำของสามีคือ คุณหมอวิสุทธิ์ ตันรัตนาวงศ์ คุณหมอสุดา จิรกุลสมโชค คุณหมอสุณี เศรษฐเสถียร คุณหมอสุกัญญา ภัยหลีกลี้ ดูชื่อของคุณหมอให้ดีนะคะ ถ้าผู้ปกครองคนไหนอยากให้ลูกเป็นหมอละก้อ หาชื่อให้มีคำว่า "สุ" ติดชื่อไว้สักหน่อยก็ดี แม้กระทั่งคุณหมอผู้ชายนายแพทย์วิสุทธิ์ ก็ยังมี "สุ" ติดเป็นโลโก้อยู่เลย แต่ลูกสาวของคุณหมอวิสุทธิ์ดูจะไม่เรียนหมอนะคะ เพราะคงจะขยาดกับหน้าที่ๆต้องเจอ แต่คุณหมอทุกคนก็อารมณ์ดีอยู่เสมอ คุณหมอสุกัญญาเองรักษาคนป่วยจนตัวเองต้องมาป่วยเสียพักหนึ่ง ถามพยาบาลว่าเป็นอะไรไป คำตอบที่ได้รับคือ งานหนักค่ะ กรำงานหนักค่ะ นิวโมเนียถามหาให้คุณหมอรู้จักรักษาตัวไว้ด้วย
...
คุณหมอที่ครูต้องเจอ ไม่มี "สุ"ติดเอาไว้ แต่ก็ยังมี "ส" อยู่ คุณหมอสิริรัตน์ วีระเศรษฐกุลค่ะ นี่ก็ต้องไปเจอท่านทุกเดือนเหมือนกันจนกว่าฟันของครูจะสวย แต่ถ้าลูกๆขึ้นไปชั้น 4 ของโรงพยาบาลละก็ จะเห็นคนรอคิวนับไม่ถ้วนเลยละค่ะ เหมือนๆกันทุกหมอ
...
ถ้าเราเข้าไปในโรงพยาบาล ป้ายที่เราจะเห็นอยู่รอบๆโรงพยาบาลก็จะเป็นป้ายบอกเกี่ยวกับผลร้ายของการสูบบุหรี่เสียเป็นจำนวนมาก และดูๆชาวบ้านที่มานั่งรอคนป่วย ญาติผู้ป่วยจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก สูบบุหรี่ตรงป้ายห้ามนั่นแหละ ถ้าเดินไปด้านหลังแถวที่จอดรถเป็นต้องเจอ กับป้ายอีกป้ายหนึ่งที่ดูจะเป็นที่ต้องการของโรงพยาบาลมากคือ HA มันอะไรกันหนอ HA นี่.....ถามไปถามมาว่าคืออะไร จนกระทั่งได้คำตอบมาว่าเป็นการรับรองคุณภาพของโรงพยาบาล ซึ่งจะต้องพัฒนาให้ถึงเกณฑ์อย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนครูที่ต้องประเมินผลของการสอนนั่นแหละ แต่ในโรงพยาบาลนี้ในห้องหนึ่ง ต้องให้ HA HA HA คือต้องมี 3 ตัว คือห้องกายภาพบำบัด ของคุณระลึก ปรัชญากร เพราะคนป่วยในห้องของท่านดูจะอารมณ์ดีกันพิเศษ มีเรื่องคุยกันระหว่างคนป่วยสารพัดเรื่อง มีเสียงหัวเราะกันตลอด ขนาดเจ็บอยู่ยังอดขำ อดยิ้มไม่ได้
...
สิ่งที่ครูอยากพูดเป็นพิเศษ อยากบอกทุกคนให้ได้รับรู้คือ โรงพยาบาลของเรา มีงบประมาณไม่พอแน่ สิ่งนี้น่าห่วงที่สุด ดูรถเข็นคนป่วยหน้าโรงพยาบาล ไม่ได้รับการซ่อมแซม เบาะขาดหายไปเยอะ เตียงเข็นคนป่วย ระดับความสูงไม่สัมพันธ์กับเตียงคนไข้ เวลาจะเคลื่อนย้ายจากรถลงเตียง หรือเอาคนป่วยจากเตียงขึ้นเตียงรถเข็น ทำให้คนป่วยได้รับความเจ็บปวด ครูเห็นมาแล้ว ถึงแม้จะมีตัวช่วยอย่างเช่นสไลด์ เลื่อน โดยมีผ้าช่วยดึง ก็เจ็บปวดอยู่ดี เรามีเงินช่วยจากภาษีที่เราจ่าย เราจะจ่ายให้พรรคการเมืองได้ คนละ 100 บาททุกปี เราน่าจะจ่ายให้กับโรงพยาบาลได้ โดยไม่มีข้อแม้ เพราะนี่คือโรงพยาบาลของเรา หรือจ่ายให้กับโรงเรียนไหนก็ได้ที่เราเห็นควร เพราะนั่นก็คือโรงเรียนของเรา...และอีกนาน น น น กว่าคนไทยจะมีพรรคการเมืองในดวงใจ....เพราะพรรคการเมืองเป็นของนักการเมือง..นายทุนพรรค ยังไม่มีเหมือนกับต่างประเทศ ที่เขาถือพรรคเป็นพรรคของเขา เมืองไทยที่น่าจะมีตอนนี้ ถ้าเข้าใจไม่ผิดก็ประชาธิปัตย์พรรคเดียว ที่ไม่มีเจ้าของพรรค....เอ้า ครูออกนอกเรื่องเสียแล้ว
...
ถ้าเราสามารถจ่ายภาษีของเราได้จากการระบุของเราก็จะเป็นการดี ครูจะไปถามเรื่องนี้จากสรรพากรอีกที เผื่อว่าเงินของเรากลับมาช่วยเรา ดังใจของเรา ไม่ใช่ให้ใครไม่รู้เจียดแบ่งมาให้ ใครเห็นด้วยยกมือขึ้นค่ะ

รอบรั้ว โรงเรียนเก่า แมวเอ๋ย แมวเหมียว



แมวเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟัน (ร้องลำแขกบรเทศ) นาย ทัด เปรียญ แต่ง บทท่องจำ ป. 1

แมวเอ๋ยแมวเหมียว.................รูปร่างปราดเปรียวเป็นนักหนา
ร้องเรียกเหมียวเหมียว เดี๋ยวก็มา...เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู
รู้จักเอารักเข้าต่อตั้ง.................ค่ำค่ำซ้ำนั่งระวังหนู
ควรนับว่ามันกตัญญู................พอดูอย่างไว้ใส่ใจเอย ฯ


ใครๆหลายคนชอบเลี้ยงแมวกัน แมวไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก Siamese cat เราจะเห็นในหนังหลายเรื่อง ในทางที่ดีบ้าง ในทางที่ชั่วร้ายบ้าง เพราะบางทีดูเป็นแมวเจ้าเล่ห์ แต่ใครที่เลี้ยงแล้ว ก็จะรักมัน ที่บ้านเคยเลี้ยงแมวเอาไว้จับหนู ทั้งๆที่เจ้าแมวขาพิการ เดินกะเผลกๆ แต่หนูก็ไม่มีให้เห็น จนกระทั่งเอาหมามาเลี้ยง แมวกลับอยู่ไม่ได้ เพราะเข้ากันไม่ได้กับแมว เดี๋ยวนี้เห็นหนูวิ่งอยู่แถวบ้านกันขวักไขว่ หมาจับหนูไม่เก่งเท่าแมว แต่สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว ก็ไม่สามารถเข้าบ้านได้ง่ายๆ มันป้องกันถิ่นที่อยู่ได้เต็มกำลังของมัน


กำลังคอยอยู่ว่าเมื่อหมาครอกนี้แก่ตายไป จะเอารุ่นใหม่มาเลี้ยง ทั้งหมาและแมว เผื่อว่าถ้าเอามาเลี้ยงแต่ตัวเล็กๆ สามารถที่จะสอนมันให้เข้ากันได้ ทำนอง "ไม้อ่อนดัดง่าย" เพราะบางบ้านอย่างบ้านของคุณย่า เห็นหมากับแมวอยู่ด้วยกัน แบ่งกันกินแบ่งกันอยู่ ไม่ได้รบกันกัดกัน

เด็กๆของเราก็เหมือนกันค่ะ ถ้าเราสอนจริยธรรม คุณธรรมอย่างแข็งขันตั้งแต่เล็กๆ อนาคตของบ้านเราก็จะก้าวย่างไปในทางที่ดี อย่าคอย..ว่าให้โตกว่านี้สักนิด ให้พูดกันรู้เรื่องก่อน แล้วค่อยสอน...ถึงตอนนั้น สายไปแล้วค่ะ "ความรู้คู่คุณธรรม" ต้องเริ่มตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อยค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:08 AM

รอบรั้ว สังคมเด็กๆ

Thursday, December 6, 2007


เมื่อไม่กี่วันมานี้ นั่งฟังท่านมหา ว.วชิรเมธี เทศน์เรื่องเกี่ยวกับอนาคตของสังคมไทยว่าจะเป็นอย่างไร จากช่อง ASTV ในช่วงตี 5 ฟังแล้วก็เห็นด้วย 100% กับคำเทศน์ของท่าน เรามีปัญหาเรื่องของคุณภาพคนในทุกสังคม ไม่ว่าในวงการเมือง วงการข้าราชการทั้งหมด ครูบาอาจารย์ และเด็กๆของเรา เรามีคนที่ไม่ค่อยจะมีคุณภาพอยู่เยอะ ดูตัวอย่างซิ....คุณเห็นเรื่องการซื้อเสียงเลือกตั้ง ส.ส. อย่างไร...คนของเรารับเงิน...85% แถมไม่มีการฟ้องร้องความผิดนี้ให้ กกต.รับทราบ....โกงเลือกตั้ง ส.ส.โกง ไม่เป็นไร..แต่ขอส่วนแบ่งด้วย....นี่คือคนของเรา ท่านบอกว่า เราไม่ได้ดูประวัติย้อนหลังเลย อย่างเช่นเยอรมัน ญี่ปุ่น ที่แทบสิ้นเนื้อประดาตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง...แต่เขาก็ตั้งตัวได้..นั่นเพราะคุณภาพของคนตัวเดียว


เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชียที่เราเคยฝันคิดอยากจะเป็น...ก็ได้แต่ฝันร้าย ที่ตื่นขึ้นมา เราเดินตามหลัง เวียตนามไปเรียบร้อยโรงเรียนโฮจิมินไปแล้ว เคยคิดว่าตัวเองเด่นกว่ามาเลย์ แล้วก็เปล่าเลย เดินตามหลังตลอด กับสิงคโปร์นั่นหรือ เกาะที่ใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตหน่อยเดียว เมื่อเทียบกับอำเภอในจังหวัดอุดรละก็ พอๆกับอำเภอหนองวัวซอ ถ้าลูกๆยืนอยู่หน้า ธกส อุดรธานี ความกว้างของเกาะสิงคโปรก็เท่ากับขี่รถไปถึงอำเภอสระใครของหนองคาย เลยอำเภอเพ็ญไปหน่อยเดียว ความยาวของเกาะจากหน้า ธกส ถึงอำเภอกุมภวาปีเป๊ะๆ แต่สิงคโปรก็สามารถเข้าไปซื้อกิจการต่างๆ ไม่ว่าธนาคารใหญ่ๆของไทย ดาวเทียมของไทย ฯลฯ ซื้อไปหมด ตกลงเรามีแต่เปลือกเท่านั้นที่เป็นไทย ข้างในล้วนต่างชาติเข้ามาเกาะกุมหมด ไม่เพียงแค่เมืองไทยที่สิงคโปร์เข้าไปซื้อกิจการ แถบนี้โดนกันทุกชาติ หลังสุดนี่การโทรคมนาคมของอินโดนีเซีย ก็โดนไปเต็มๆ


อะไรคือตัวสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์ เกาะเล็กๆเท่ากับอำเภอหนองวัวซอทำให้แทบทุกชาติต้องสั่นสะเทือน นั่นคือคน...คนที่มีคุณภาพ อะไรที่ทำให้อิสราเอลแข็งสู้กับชาติอาหรับรอบๆด้านได้ ถ้าไม่ใช่คุณภาพของคน ที่คิดว่าอเมริกันหนุนหลังอยู่นั่นมันก็มีส่วน แต่ถ้าคนอิสราเอลไม่ยืนขึ้นสู้ก่อน ใคร พระเจ้าที่ไหนจะเข้าไปช่วย รับรองได้เลยว่าไม่มี แล้วคนที่มีคุณภาพสร้างได้อย่างไร...การศึกษาค่ะ....อย่างเดียวเท่านั้น


มหาตมะ คานธี เคยพูดเอาไว้ว่า อะไรที่ทำให้อินเดียที่ในสมัยนั้นมีประชากร 300ล้านคน ต้องตกอยู่ในอาณัติของอังกฤษที่มีทหารจำนวน สามแสนคนได้ ท่านยอมรับในสมัยนั้นว่า "คือการศึกษา"....ดาบหรือจะสู้ปืนได้....จีนก็สภาพเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้จีนสามารถยิงจรวดได้แล้ว สร้างอะไรต่อมิอะไรได้เหมือนกัน พอๆกับฝรั่งอั้งม้อได้ ข้างล่างเรา มาเลเซีย ส่งนักบินอวกาศไปท่องนอกโลกแล้วนะคะ สิงคโปร์กำลังเริ่มวางแผนก่อสร้างสถานีขนส่งอวกาศแล้ว ต่อไปจะบินไปชมวิวนอกโลก ต้องไปขึ้นที่สนามบินที่สิงคโปร์ค่ะ


แล้วเด็กๆของเราทำอะไรอยู่คะ ตอนนี้ hi5 ค่ะ ไม่ว่าลูกหรือหลาน ทุกคนกำลังเห่อ hi5 กัน ใครไม่มีก็ต้องเชยแล้ว นี่มาพูดตอนนี้ก็ถือว่าเพิ่งตื่นค่ะ เชยไปแล้ว เพราะเขาไปอวดคำพูดที่เราเข้าไปฟังแล้ว ไม่รู้เรื่อง (มะรุเรื่อง)...เฮ้อ ลูกเอ้ย บางคนปลุกกันทางhi5 เป็นเสียอย่างนั้น แต่ก็ดี จะได้รู้ว่า ลูกหลานคนไหนเป็นอย่างไร เพราะถ้าเราตามไปดู ที่เพื่อนๆเขาพูดกันทุกคน ก็จะรู้ว่า อ้อ นี่หนีเรียนอยู่คนหนึ่ง อ้อ..เพิ่งไปเมากันมา..เมื่อคืน เราจะได้"รุเรื่อง"บ้าง เพราะเขาเหล่านั้น บางคนอยู่ภูเก็ต อยู่กรุงเทพ อยู่ขอนแก่น เราไม่สามารถตามไปดูได้ทุกคน บางคนฉลาดล้ำไปหน่อย เข้าดูไม่ได้ ต้องสมัครเข้ากลุ่มก่อน นี่ก็ถือว่าชั่วร้ายพอตัว (ต้องคิดอย่างนั้นไว้ก่อนค่ะ ลูกๆ)


ที่เอามาพูดเรื่องนี้ ก็เพราะเมื่อเราจะแสดงว่าเรารักใคร มันไม่ใช่แค่โทรศัพท์บอกในวันแม่ หรือวันพ่อ ว่าผม..หนู..รักแม่ค่ะ รักพ่อครับ หรืออะไรๆแบบนั้น...หน้าที่ ที่กำลังรับผิดชอบอยู่ตรงนั้นคืออะไร ถ้านักเรียน ก็ต้องเอาใจใส่ในหน้าที่ ขณะนั้น คือเรียนให้ดีที่สุด...เป็นครู ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เป็นทหารก็ทำหน้าที่ของตัวเองที่รับมอบหมายให้ดี ตำรวจ...ข้าราชการ ..นักการเมือง ฯลฯ ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด นั่นคือคุณภาพของคนค่ะ แต่เราจะหวังว่าให้ทุกคนนั้นดีไปหมดนั้น ไม่ได้แน่ ก็ได้แต่หวังกับเด็กๆในอนาคตเท่านั้น ว่าเราดูแล ตักเตือน ให้เห็นดีเห็นงามกับคุณภาพของคนในอนาคตว่าต้องเป็นอย่างไร ในคืนที่มืดมิด มีแค่แสงจันทร์เท่านั้นที่สาดส่อง ทุกอย่างดูมืดมัว เราจะเดินไปไหน เราจะหลงทางหรือไม่ การศึกษา เป็นเหมือนแสงอาทิตย์ที่ส่องทางได้ "นัตฺถิ ปัญฺญา สมา อาภา" ไม่รู้ว่าเป็นคำขวัญของโรงเรียนหรือ สถานศึกษาไหน แต่คำแปลคือ "แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี" นั่นคือจุดสูงสุดของปรัชญาการศึกษา ลูกๆต้องจำไว้ให้ได้ค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 11:04 AM