Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว การศึกษา ระหว่างครูกับศิษย์

Tuesday, April 29, 2008


การมีอาชีพเป็นครูนี่ เป็นการท้าทายความสามารถของเราอยู่ค่ะ จะเอาลูกศิษย์ให้สอบผ่านในแต่ละปีนี่ ถ้าไม่แน่จริงๆแล้ว ทำได้ยาก แม้ว่าในสมัยหนึ่ง นโยบายที่จะไม่ให้เด็กตกซ้ำชั้น ได้เอามาใช้ คนไหนทำข้อสอบไม่ได้ก็ให้สอบแก้ตัวได้ หรือจะให้ชิ้นงานมาส่งก็ยังมีอยู่บ้าง

ครูยังไม่เข้าเรื่องที่ครูอยากจะพูดจริงๆ อยากให้ฟังเรื่องเล่าสักเรื่องของพระนักเทศน์สองพี่น้อง พระที่เป็นพี่ชาย ไปเทศน์ที่ไหน ญาติโยมก็ตามไปฟังจนแน่นวัด ส่วนพระที่เป็นผู้น้อง เทศน์ครั้งเดียวญาติโยมก็นั่งฟัง ถ้าจะเทศน์ครั้งต่อไป ก็ไม่มีใครตามไปฟังอย่างหนาแน่นเหมือนผู้พี่ จนลูกศิษย์ต้องออกปากถามว่า ทำไมไม่เทศน์เหมือนพระผู้พี่ล่ะ จะได้มีคนมาฟังเยอะๆ ท่านก็ตอบว่า “แก...ไม่รู้เรื่องอะไร ฉันน่ะ พูดทีเดียวคนเข้าใจหมด แต่ที่พี่ฉันเทศน์ยังไงๆ คนเขาก็ไม่เข้าใจ ถึงตามไปฟังแล้วฟังอีก ทีนี้เข้าใจมั้ย” ลูกศิษย์ก็ได้แต่เกาหัว คำตอบและผลที่เห็นมันก็อยู่คาตา แต่จะจริงหรือไม่.... ก็เป็นเรื่องของญาติโยมเองที่รู้อยู่แก่ใจ

การเป็นครูอาจารย์ก็เหมือนๆกัน …“บางท่าน”… ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยเปิด อย่างเช่นรามคำแหง ลูกศิษย์ลูกหา ต้องถึงกับจองเก้าอี้กันล่วงหน้า เข้าไปฟังท่าน อาจารย์โรงเรียนกวดวิชาหลายๆคน สอนจนเป็นอาชีพหลักไปเลย เปิดโรงเรียนเป็นธุรกิจร้อยๆล้าน ก็มีให้เห็น ลองคิดเทียบเคียงกับพระนักเทศน์พี่น้องสองรูปนั่นดูค่ะ

ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องที่ครูอยากจะพูดตรงๆเสียที....เราจะสอนลูกศิษย์ที่นั่งหน้าสลอนอยู่ข้างหน้าอย่างไร เพราะที่เห็นๆอยู่นั่น ทั้งหน้าตา สมองความจำ นิสัยรักวิชานั้น เกลียดวิชานี้ ล้วนแต่เป็นปัญหาที่จะให้ผลมันออกมาเป็นบวกไปทั้งหมด มันก็ต้องมีมั่ง ที่เด็กไม่รับสิ่งที่เราให้ไปเลย จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่...ผลสุดท้าย เรื่องมันก็จะเกิดอยู่ระหว่างครูกับศิษย์ ตัวต่อตัว ครูจะให้ผ่านมั้ย เพราะเธอทำวิชาของครูไม่ได้ถึงครึ่งเลย เพื่อนๆเธอผ่านไปหมดแล้ว เธอเองก็ซ้ำชั้นไปแล้วหนึ่งปีกับวิชาของครูนี่ แก้วิชานี้มาสามครั้งแล้ว ก็ยังไม่ผ่าน...มีเรื่องอย่างนี้บ้างมั้ยคะ

ก็ต้องยอมรับค่ะ ว่าทุกปี เราจะได้ยินเรื่องอย่างนี้ ซึ่งก็มีอยู่ทุกช่วงชั้น ไม่ว่าประถม มัธยม แต่ที่สำคัญคือระดับมหาวิทยาลัย ที่เด็กบางคนหมดกำลังใจ ถอดใจ รีไทร์ไป หรือไม่ก็เปลี่ยนสาขา ยอมเสียเวลาไปสักปีหรือสองปี....ถ้าตีค่าราคาที่สูญเสียไปนั้นเป็นเงิน...นับกันไม่ไหวค่ะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการสูญเสียความตั้งใจตั้งแต่ต้นที่จะเรียนให้มันสำเร็จ...เราอาจได้ยินเรื่องมาบ้างว่าบิล เกตส์ เจ้าของไมโครซอฟท์ มหาเศรษฐีโลกคนนั้น ไม่ได้จบมหาวิทยาลัย...สมองดีมากจนเกินกว่าที่ครูจะสอน (หรือเปล่า)..อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกวิชา ยิ่งชีววิทยาและภาษาแล้วสอนอย่างไรก็ไม่จำ (หรือเปล่า) ...แล้วเด็กหน้าตาไทยๆ ที่นั่งต่อหน้าครูอยู่ทุกวันนี้ จะมีสิทธิเหมือนอย่างเขาบ้างมั้ย และถ้าเขามืดบอดในวิชาที่ครูสอนจนไม่สามารถรับได้แม้แต่เศษธุลี...แล้วจะทำอย่างไร(ถึงจะ)ดีกับเขาคะ

ครูเองมีคำตอบอยู่ในใจค่ะ...แต่อยากฝากถามเรื่องนี้ลอยลมไปยังครูทั่วๆไปและ....ในมหาวิทยาลัย....ที่ต้องเติมมหาวิทยาลัยเข้าไป ไม่ใช่เพราะมันประจวบกันกับที่มีเรื่องไม่เหมาะ ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น แต่ว่าลึกๆแล้ว มันก็มีเรื่องแบบนี้อยู่พอที่จะจับสังเกตได้ เพียงแต่ว่า มันจะดังขึ้นมาให้คนนอกได้ยินหรือเปล่าเท่านั้น....ครูจะไม่พูดเรื่องจรรยาบรรณหรอกค่ะ เพราะเท่าที่ฟังๆมา บางแห่งบางที่ ถ้ายังไม่ได้เขียนเป็นตัวบทกฏหมายขึ้นมา อาจจะได้ยินคำตอบที่ว่า...แล้วมันเขียนไว้ว่าอย่างไร ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องตราเอาไว้ในกฎที่ไหนหรอกค่ะ ตราไว้ในใจก็เพียงพอแล้ว เอาแค่ข้อเดียวคือ ครูต้องรักและเมตตาต่อศิษย์....แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 4:45 PM

รอบรั้ว ทุ่งศรีเมือง ท้าวเวสสุวรรณ

Wednesday, April 23, 2008


ตราประจำจังหวัดของอุดร เป็นรูปของท้าวเวสสุวรรณ ครูเองก็เดินผ่านทุ่งศรีเมืองบ่อยๆ เพื่อเดินออกกำลังกายที่หนองประจักษ์ ผ่านหน้าท้าวเวสสุวรรณและศาลหลักเมืองซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน และถ้าเดินจนถึงหนองประจักษ์แล้วละก้อ จะเจอกับท้าวเวสสุวรรณอีกนับไม่ถ้วน ที่ยืนมองพวกเราอยู่บนยอดเสาไฟฟ้า รอบๆหนองประจักษ์ อย่าทำอะไรผิดเชียวนะคะ ท่านเห็นแน่นอน

ท่านท้าวเวสสุวรรณ 1ใน 4 ท้าวจตุโลกบาล โดยมีท้าวธตรฐดูแลพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหกดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศใต้ ท้าววิรูปักข์ดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทิศตะวันตก และท้าวเวสสุวรรณรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศเหนือ โดยทั้ง 4 ท่านมีหน้าที่แบ่งกันปกครองทั้งเหล่าคนธรรพ์ กินรี กินนร กุมภัณฑ์ นาค เทวดา และยักษ์ อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ในส่วนของท้าวเวสสุวรรณ ท่านจะปกครองเหล่าอสูร และยักษ์ ตลอดจนภูติผีปีศาจทั้งหลาย หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่าเป็น “นายแห่งผี”

ตามตำนานกล่าวว่าเริ่มแรก ท่านท้าวเวสสุวรรณปกครองอยู่ เมืองลงกา ต่อมาได้ถูกทศกัณฑ์มายึด และขับไล่ให้ท่านไปอยู่ที่อื่นพร้อมทั้งแย่งบุษบก ( ของวิเศษที่พระพรหมมอบให้ ) ไปครอบครองอีก ท้าวเวสสุวรรณจึงได้มาสร้างเมืองใหม่อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา โดยท่านมีหน้าที่ดูแล ปกครองเหล่าอสูร ยักษ์ ตลอดจนเหล่าภูติผีปีศาจทั้งหมด และยังเป็นเจ้าบัญชีพระกาฬใหญ่

ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นยักษ์ที่ใจบุญ อีกทั้งยังให้ความเคารพนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ในสมัยพุทธกาล กล่าวว่ามีพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่ออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อแสวงหาโมกขธรรม มีพระภิกษุสงฆ์บางรูปที่ยังไม่ได้สำเร็จอภิญญา มักจะโดนบรรดาภูติผีปีศาจ หลอกหลอนไม่เป็นอันได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ คือการเจริญสมาธิกรรมฐาน เพื่อชำระจิตใจให้สงบได้อย่างเต็มที่ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ได้เสด็จลงมาจากเทวโลก เพื่อมากราบนมัสการ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งถวายมนต์ “ภาณยักษ์” ให้ไว้ เพื่อเป็นมนต์ป้องกันเวลาพระภิกษุ สามเณร ที่ออกเดินธุดงค์ตามป่าเขา ถูกบรรดา ภูติผี ปีศาจ ยักษ์ เทวดา ที่เป็นมิจฉาทิฐิ หลอกหลอน ซึ่งมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้ยังนำมาใช้สวดกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ โดยการสวดมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้มักจะทำเป็นพิธีการยิ่งใหญ่ ทุกวัดมักจะจัดให้มีการสวด “ภาณยักษ์” นี้ขึ้น เชื่อกันว่าใครที่ถูกคุณ ถูกของ หรือโดนผีเข้า เจ้าสิง เมื่อเข้าไปในบริเวณพิธีสวด “ภาณยักษ์” สิ่งอัปมงคลต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวก็จะหมดไปด้วย มนต์ภาณยักษ์ อันวิเศษบทนี้

และนอกจากนี้ ท้าวเวสสุวรรณ ยังเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย สัญญลักษณ์แห่งมหาเศรษฐี ในหนังสือเทวกำเนิดของพระยาสัจจาภิรมย์ ระบุชื่อท้าวเวสสุวรรณ ล้วนมุ่งหมายทางมหาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ อาทิ ท้าวรัตนครรถ (ผู้มีเพชรเต็มพุง) ท้าวกุเวรธนบดี (ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์) ท้าวธเนศวร (เจ้าทรัพย์) องค์อิฉาวสุ (ผู้มั่งมีได้ตามใจ) ท้าวเวสสุวรรณ (ยิ่งด้วยทอง) แม้แต่ชาวจีนก็ยกย่ององค์ท้าวเวสสุวรรณว่า เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำรวยในนาม “องค์ไฉ่ซิงเอี้ย” ซึ่งมีบูชากันทุกบ้านร่ำรวยทุกคน ขับไล่ภูติผีปีศาจ วิญญาณร้าย แก้เสนียดจัญไร อัปมงคลคุณไสยต่างๆ ที่อุดรธานี เมื่อถึงวันตรุษจีน เราก็จะได้เห็นพี่น้องไทยเชื้อสายจีน ต่างก็มาเซ่นไหว้ท้าวเวสสุวรรณที่ทุ่งศรีเมืองอยู่ไม่ขาดสาย ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคของชาวเมืองอุดรอยู่เหมือนกันที่มีท่านมาอยู่คุ้มครองเมือง

แต่อย่างหนึ่งที่ครูอยากขอติงเอาไว้ คือตราของทีมฟุตบอลประจำจังหวัดอุดรธานี ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ครูเคยเห็นว่าทีมจังหวัดอุดรคือ ทีมไจแอนท์ แล้วก็วาดรูปท่านท้าวเวสสุวรรณเป็นสัญลักษณ์ของทีม ขอให้ตรองอีกที ว่าถ้าจะใช้คำว่า Udorn Guardian แทน Udorn Giant (ที่เห็นมาเป็นภาษาอังกฤษค่ะ) จะได้มั้ย เพราะท่านท้าวเวสสุวรรณไม่ได้เป็นแค่ยักษ์ตัวใหญ่ๆ แต่เป็นผู้คุ้มครอง เป็นท้าวจตุโลกบาล ขอฝากเอาไว้ด้วยค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 1:32 PM

รอบรั้ว โรงพยาบาลอุดรธานี ยาง..ยืดชีวิตพิชิตโรค

Thursday, April 17, 2008


เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ครูได้เข้าไปในโรงพยาบาล เพราะถึงเวลานัดของคุณหมอที่ต้องให้พ่อบ้านของครูไปตรวจร่างกายอีกครั้ง แต่ในช่วงเช้าก็ได้เดินไปโรงอาหาร หาอะไรกิน เพราะพ่อบ้านต้องอดอาหารมาหลายชั่วโมง หลังตรวจเลือด แล้วก็เดินรอบๆโรงพยาบาลช่วงที่ต้องรอผลการตรวจเลือด และรอคุณหมอ เกิดไปเห็นพยาบาลหลายๆคน กำลังสอนให้ชาวบ้านออกกำลังกาย โดยการใช้ยางยืด ซึ่งก็มายางเส้นที่เด็กๆในโรงเรียนเอามาเป่ากบ หรือเด็กผู้หญิงเอามาเล่นกระโดดข้ามกัน

แน่นอนว่าเมื่อยางยืดนี้มาอยู่ในโรงพยาบาล มันต้องมีความสำคัญขึ้นมาก เราคงนึกไม่ถึงว่าจะสำคัญขนาดนั้น ที่จริงแล้ว ทางโรงเรียนอนุบาลก็เคยมีครูไปอบรมเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ส่วนมากก็จะเลือกเอาแต่คนที่มีน้ำหนักเกิน ที่เขาเรียกกันว่ามวลร่างกายหรืออะไรทำนองนั้นเกินพอดี ไปลดน้ำหนักลงให้พอเหมาะพอควรให้สมดุลย์กันกับส่วนสูง ก่อนที่จะมาถึงจุดที่ครูเห็นว่านางพยาบาลจะออกมานำเอาชาวบ้านมาออกกำลังกาย คงจะมองเห็นความสำคัญแล้วว่า ทำไมคนเราต้องออกกำลังกาย, ความจำเป็นในการออกกำลังกาย, เหตุผลและความสำคัญของการออกกำลังกาย, สาเหตุที่มาของปัญหาสุขภาพของคนไทย, การที่แพทย์และพยาบาลต้องมารับศึกหนักกับจำนวนคนป่วย ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆที่สามารถทำให้ลดลงได้ ทั้งงบประมาณและกำลังพล ถ้าคนในชาติรู้จักป้องกัน และระวังรักษาตัว ให้พ้นจากโรคภัย ดีกว่าปล่อยให้เกิดขึ้นแล้วมารักษา

นี่อาจเป็นที่มาของการออกกำลังกาย ของญาติผู้ป่วยที่ได้รับการฝึกจากเหล่าพยาบาลของโรงพยาบาลอุดรธานีของเราค่ะ สอนให้ชาวบ้านรู้จักยาง...ยืดชีวิตพิชิตโรค คงจะมีอยู่หลายๆโครงการที่ทางโรงพยาบาลได้พยายามยื่นมือมาช่วยชาวบ้าน ให้รู้จักรักษาและป้องกันตัวไม่ให้เกิดโรคภัย แต่คนภายนอกอย่างครูหรือใครๆอาจไม่รู้ เพราะไม่ได้เข้าไปคลุกคลีกับโรงพยาบาลบ่อยนัก ที่เข้าไปเห็นการออกกำลังกายนี่ก็เพราะต้องเข้าไปในโรงพยาบาลในวันนั้นพอดี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ทางโรงพยาบาลเขาตรวจวัดมวลกระดูก ครูเองก็จะได้ข่าวเอาทีหลัง หลังจากที่โครงการนั้นจบลงไปแล้ว อย่างไรก็ตามก็ขอให้กำลังใจกับแพทย์และพยาบาลของเราทุกคนค่ะ ที่ชาวบ้านอย่างครูนี่เห็นว่า ทุกคนที่โรงพยาบาลต่างก็ทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี จากรูปจะเห็นว่ามีคนมาร่วมการออกกำลังกายน้อยไปหน่อย ที่จริงแล้ว วันที่ครูเห็นครั้งแรกมากกว่านี้หลายเท่า และมีอยู่หลายจุด วันนั้นครูไม่ได้ถือกล้องถ่ายรูปไป เลยไม่ได้รูปตามที่ครูต้องการ

Posted by ครูพเยาว์ at 11:26 AM

รอบรั้ว วัดมัชฌิมาวาส ยักษ์หน้าวัด

Wednesday, April 16, 2008

ยักษ์หน้าวัดมัชฌิมาวาสผ่านวันสงกรานต์มาก็ชุ่มโชกกันถ้วนหน้า แล้วก็น่าเสียดายที่วัฒนธรรมเก่าแก่ของเราก็เสื่อมถอย หายไปกับวัฒนธรรมของโลกใหม่ ที่มีแต่ความสนุกสนานเข้ามาแทนที่ เสียงเพลงที่กระหึ่ม หนุ่มสาวที่ตั้งหน้าตั้งตาชะโลมแป้ง ปะไปถ้วนทั่วร่าง ไม่รู้ว่าใครจะนึกจะคิดอย่างไร ไม่สนใจ น่าเศร้าใจไปกับกระทรวงวัฒนธรรมของเรา

ครูมาวันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องวันสงกรานต์ แต่จะพูดเรื่องยักษ์หน้าวัดมัชฌิมาวาส 2 ตนที่ยืนเฝ้าหน้าวัดมา นี่ก็น่าจะกว่า 40 ปีเข้าไปแล้ว เพราะครูเห็นมาตั้งแต่ครูยังเด็กๆอยู่เลย ถามใครๆที่เป็นคนเก่าแก่ของเรา ก็ไม่ค่อยจะมีใครรู้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ครูเลยต้องมาเขียนบันทึกเอาไว้ กันลืม เผื่อว่าลูกๆเวลาผ่านไปวัด หรือไปวัดมัชฌิมาวาสจะได้ไปเยี่ยม ไปดูว่ายักษ์ 2 ตนนั้นมีลักษณะอย่างไร

อย่างไรก็ตามยักษ์ทั้งสองนั้นก็ไม่ได้ปั้นถูกต้องตามลักษณะเดิมไปหมดทุกอย่าง อาศัยว่ามีลักษณะอย่างนั้นคือยักษ์ตนนั้นก็พอ ยักษ์ตนแรกอยู่ทางซ้ายมือ มีจมูกเล็กๆเป็นงวงช้าง ตนนี้ถ้าไม่ใช่ทศคีรีวันก็ต้องเป็นทศคีรีธร ทำไมถึงต้องออกมาแบบกึ่งกลางอย่างนั้นล่ะ นั่นก็เพราะสีของยักษ์ค่ะ ของวัดมัชฌิมาวาสออกสีขาวทั้งตัว ซึ่งก็ไม่เหมือนของเดิม ที่จริงแล้วทศคีรีวันมีกายเป็นสีแดง ทศคีรีธรมีกายสีเขียว ยักษ์ทั้งสองตนนั้นเป็นยักษ์ฝาแฝด ที่เกิดจากทศกัณฐ์กับนางช้างพัง ทศคีรีวันเป็นพี่ ทศคีรีธรเป็นน้อง เมื่อเกิดแล้วทศกัณฐ์ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ท้าวอัศกรรมมาลา เจ้าเมืองดุรัม พอรู้เรื่องราวที่บิดาตนทำศึกกับพระราม จึงอาสาออกรบ ผลที่สุดก็ตายด้วยศรของพระราม ยักษ์ฝาแฝดนี้เฝ้าประตูของวัดพระแก้ว แล้วยังไปยืนอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วย ทำหน้าที่ส่งเสริมวัฒนธรรมของไทยอยู่หลายที่ด้วยกัน

ยักษ์อีกตนที่อยู่ทางด้านขวามือทางเข้าประตูวัด ครูถามใครๆแล้ว คนที่อยู่มาตั้งแต่เก่าก่อน ก็ไม่มีใครรู้ว่า ยักษ์ตนนี้ชื่ออะไร แต่ครูก็ต้องบอกว่า จะมีอยู่ก็แค่ตนเดียวเท่านั้น ที่นึกได้ เพราะการปั้น เขาปั้นให้มี สองหน้า คือหน้าด้านหนึ่งหัดหน้าออกนอกวัด อีกด้านหนึ่งหันเข้าไปในวัด ลักษณะอย่างนี้มีอยู่ตนเดียวคือ ท้าวสหัสเดชะ ตนนี้เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์เดชมากทีเดียว มีพันพักตร์ สองพันกร ทศกัณฐ์แค่สิบพักตร์ ยี่สิบกร ฤทธิยังมากถึงกับท้ารบกับพระรามได้ นี่มีตั้งพันหน้า คิดดูว่าฤทธิ์มากขนาดไหน เขาถึงเอามาเฝ้าประตูวัด ดูลักษณะของท้าวสหัสเดชะ คือ กายใหญ่โต มีสีขาว 1000หน้า 2000 มือ ตาสีแดงดังดวงอาทิตย์ ได้พรจากพระพรหมให้มีตะบองวิเศษชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น รบกับใครก็ชนะตลอด แต่ก็มาเสียท่าหนุมาน ที่จับตะบองหักทิ้ง แล้วมัดด้วยหาง จากนั้นก็ตัดเศียรกระเด็น ตายไป เดี๋ยวนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิท้าวสหัสเดชะก็ไปยืนเป็นตัวแทนคนไทย ไปทำหน้าที่ต้อนรับชาวต่างประเทศด้วยเหมือนกัน

ที่วัดมัชฌิมาวาสยังมีสิ่งสำคัญๆอีกหลายอย่าง ครูจะเอามาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 2:55 PM

รอบรั้ว เมืองอุดรธานี ต้นศรีมหาโพธิ์

Saturday, April 12, 2008


ต้นโพธิ์ต้นนี้มีความสำคัญกับความเป็นมาของจังหวัดอุดรธานีอยู่ส่วนหนึ่ง ที่คนรุ่นหลังมักจะไม่รู้ว่าต้นโพธิ์ที่ยืนอยู่ข้างถนน ฝั่งตรงข้ามกับวัดมัชฌิมาวาสมีความเป็นมาอย่างไร ยังโชคดีที่มีหน่วยงานทางราชการอย่างเช่นเทศบาลได้รื้อฟื้น ให้เด็กๆรุ่นหลังได้รู้ปูมประวัติ ซึ่งก็ยังมีอีกหลายแห่ง ที่จะต้องเอามาปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้กลายเป็นที่ศึกษาของเด็กรุ่นหลัง และให้เป็นจุดท่องเที่ยวให้ชาวบ้านต่างเมืองเข้ามาชม ต้นโพธิ์ต้นนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มก่อตั้งเมืองอุดรธานีทีเดียว ซึ่งเราเองก็ต้องศึกษาไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ของชาติไทย และจะได้รู้ถึงการเอาเปรียบของชาติมหาอำนาจ ที่ถืออำนาจบาตรใหญ่ เข้ามาบังคับ ให้เราที่เป็นชาติที่เล็กกว่าต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนของเราไป

พ.ศ.2428 (1885)
ในปี พ.ศ.2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ยกกองทัพไปทางเหนือหนองคายถึงแขวงเมืองพวนขึ้นไปปราบฮ่อทางหลวงพระบางและเมืองหัวพันห้าทั้งหกซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนประเทศราชของไทย เมื่อศึกปราบฮ่อสงบลงในปี พ.ศ.2434 พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้รับกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการหัวเมืองลาวพวนหรือหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือประทับอยู่ที่หนองคาย

พ.ศ.2436 (1893)
จนเมื่อเกิดปัญหาพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ไทยจำต้องสูญเสียฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและสนธิสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศษเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) ห้ามไทยตั้งกองกำลังทหารประชิดริมฝั่งขวาฟากตะวันตกของแม่น้ำโขงในรัศมี 25 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม จึงย้ายกองบัญชาการมณฑลลาวพวนจากเมืองหนองคาย มาตั้งที่ริมหนองนาเกลือ (หนองประจักษ์ปัจจุบัน) บริเวณบ้านเดื่อหมากแข้ง (หมากแข้ง หมายถึง ต้นมะเขือพวง)

ซึ่งเป็นต้นที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติธรรมดาอยู่หนึ่งต้น โดยอยู่ในบริเวณวัดมัชฌิมาวาสในปัจจุบัน ดังนั้นจึงให้ชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านหมากแข้ง” และเรียกค่ายทหารว่า “ค่ายหมากแข้ง”

พ.ศ. 2436 (1893)

จากหนังสือประวัติวัดมัชฌิมาวาสกล่าวไว้ว่า การย้ายกองบัญชาการดังกล่าวต้องใช้เกวียนประมาณ 200 เล่ม ต้องออกเดินทางมาเป็นลำดับ ผ่านน้ำสวย จนถึงบ้านเดื่อหมากแข้งจึงได้พักกองเกวียนซึ่งอยู่ใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่ข้างวัดมัชฌิมาวาส (ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นที่ตั้งที่ทำการสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี) ต้นโพธิ์ใหญ่ที่ว่า ก็คือต้นศรีมหาโพธิ์ในปัจจุบันนี่แหละ จากนั้นเสด็จในกรมฯจึงได้ให้ออกสำรวจดูห้วย หนอง คลอง บึง ในบริเวณใกล้เคียง จึงให้ตั้งกองทัพในบริเวณนี้ ด้วยเหตุผล 4 ประการคือ

1.เป็นพื้นที่โล่ง (บ้านร้าง เนื่องจากโรคระบาด) จึงไม่ต้องถางป่า และห่างแนวกำหนดมากกว่า 25 กิโลเมตร
2.มีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับกองทัพ
3.เป็นชุมชนทางของสายโทรเลข
4.สามารถติดต่อเชื่อมโยงไปยังเมืองต่างๆได้สะดวก

พ.ศ. 2449 (1906)

จากนั้นในระยะแรกๆบ้านหมากแข้งเป็นเพียงค่ายทหารเท่านั้น ต่อมาจึงมีประชาชนอพยพมาสร้างบ้านเรือนรอบๆค่าย เมื่อบ้านหมากแข้งเรี่มเป็นชุมชนหนาแน่น เสด็จในกรมฯจึงได้ให้ทหารตัดถนนหนทางเชื่อมกันหลายสาย จนมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอมีการปกครองขึ้นกับอำเภอหนองหาน

ครึ้งถึงสมัยเมื่อพระยาศรีสุริยะราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์) มาเป็นข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาลคนแรกนั้นได้สร้างความเจริญให้แก่กิ่งอำเภอหมากแข้งอย่างมากมาย เช่น ก่อสร้างวัดโพธิสมภรณ์, ก่อสร้างถนนโพธิ์ศรี (ถนนโพศรีปัจจุบัน) นับแต่ปี พ.ศ.2449 เป็นต้นมา

พ.ศ. 2450 (1907)

ปีรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฐานะกิ่งอำเภอหมากแข้งขึ้นเป็นเมืองมีชื่อเรียกว่าเมืองอุดรธานี อันเป็นนามที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยคิดขึ้น บ้านหมากแข้งจึงมีฐานะเป็นเมืองอุดรธานีแต่ปี พ.ศ.2450 เป็นต้นมา (มีพิธีตั้งเมืองอุดรเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2450)

ปัจจุบัน จังหวัดอุดรธานีมีอายุครบ 115 ปี ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551 โดยถือเอาวันที่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงย้ายกองบัญชาการมณฑลลาวพวนจากหนองคายมาที่บ้านหมากแข้งเป็นวันก่อตั้งจังหวัดอุดรธานี

เอาละค่ะ ต้นโพธิ์ต้นเดียวที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างถนน บอกเราให้รู้ถึงประวัติความเป็นไปของบ้านเมืองเราได้เป็นอย่างดี ถ้าลูกๆเดินไปแถวนั้น หรือผ่านไปก็ควรที่จะเข้าไปอ่านเรื่องราวต่างๆที่เขาเขียนเล่าเอาไว้นะคะ

Posted by ครูพเยาว์ at 1:22 PM

รอบรั้ว หนองประจักษ์ Hi punk!!! นกเอี้ยงเจ้าถิ่น


นกในสวนหนองประจักษ์.....ครูใช้เวลาที่ว่างในวันหยุด ไปเดินออกกำลังกายตอนเช้า ที่หนองประจักษ์ อากาศดีมากค่ะ ช่วงหน้าหนาวยิ่งอากาศดี หนาวไปสักหน่อย แต่ก็เดินได้หลายรอบ (ในสวนนะคะ ไม่ใช่วงรอบนอก) สังเกตดูนกที่เจอในหนองประจักษ์ ช่วงนี้มีอยู่ไม่มากนัก ที่เดินหากินอยู่บนพื้นก็มี นกเอี้ยง นกกระจิบ นกกระจอก นกเขาไฟตัวเล็กๆ นกพิราบ นี่มีเป็นฝูง เพราะคนจะซื้ออาหารโปรยให้ ส่วนมากเด็กๆจะชอบ ระยะหลังนี่ ไข้หวัดนกระบาด เทศบาลก็ได้เขียนป้าย ห้ามให้อาหารนก แต่ดูแล้ว ก็ยังมีคนที่ไม่ค่อยสนใจ...ก็น่าเหนื่อยใจแทนเทศบาล และคนที่ห่วงสุขภาพ นกเอี้ยงนี่ก็พอสมควร นกพวกนี้จะคุ้นเคยกับคน ไม่ค่อยบินหนี ส่วนมากจะกระโดด หย็องๆ หนีให้พ้นทางกัน หรือไม่เราเองก็เดินให้ช้าลงหน่อย ปล่อยให้นกเดินข้ามถนนไปก่อน

นกอีกพวกหนึ่ง จะไม่เดินบนพื้นดินหรือสนามหญ้า จะเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สูงขึ้นไป ที่เห็นก็มี นกแซงแซวหางปลา ที่ครูเห็นมีอยู่คู่เดียว มักจะอยู่แถวต้นตาลใกล้กับสนามเด็กเล่น นกนางแอ่น ที่บินฉวัดเฉวียนอยู่ทั่ว แล้วก็นกปรอด ที่จริงนกปรอดในอุดรมีมาก หลังบ้านครู จะได้ยินเสียงร้องบ่อยๆ อยู่กันเป็นกลุ่มๆ ถ้าเทศบาลปลูกต้นไม่ใหญ่ๆ สูงๆบางทีนกพวกนี้อาจย้ายมาจากในเมืองเข้ามาอยู่ก็ได้นะ นกปรอดนี่นิยมเลี้ยงกันมากในภาคใต้ เขาเรียกชื่อว่านกกรงหัวจุก เพราะมันมีหงอนเป็นจุกอยู่บนหัว บางครั้งอาจเจอนกกระยางขาว แต่พวกนี้แค่ผ่านๆมา แวะสักหน่อยก็บินออกไป อีกาก็มีค่ะ เพิ่งจะเห็น ถามแม่ค้าแถวนั้นดู เขาบอกว่ามาได้สักสามเดือนมาแล้ว มีอยู่ตัวเดียว

วันนี้ครูจะพูดเรื่องนกเอี้ยงก่อน เพราะครูไปเจอนกเอี้ยงรูปหล่อเข้าตัวหนึ่ง ครูสังเกตเห็นว่ามันแปลกกว่าทุกตัวที่เจอ เลยถ่ายรูปมาให้ดู....ตัวที่อยู่ทางขวามือในรูปนั่น ถ้าวันหลังถ้าได้รูปที่ชัดกว่านี่ จะเอามาเปลี่ยนให้ใหม่ เห็นทรงผมมันมั้ยคะ ครูเรียกมันว่า พังค์ เพราะทรงผมมันออกแนวพวกนั้น อันที่จริง ครูอยากให้ลูกๆ เวลาไปเล่นที่หนองประจักษ์ ได้หัดสังเกตอะไรๆที่นั่นบ้าง ว่าเรามีอะไรใหม่ๆเข้ามา ใครปลูกต้นไม้อะไรที่นั่น ชาวบ้านเขามาปลูกเอง หรือว่าทางเทศบาลปลูก เพราะที่ครูเห็นก็อดที่จะชื่นใจไม่ได้ ที่เขารักสวน ซึ่งก็เป็นของเราทั้งหมด มีชาวบ้านนะคะ ที่เขามากันเป็นกลุ่มๆออกกำลังกาย แล้วก็ช่วยกันดูแลรดน้ำต้นไม้ ช่วยกันปลูก...แต่ก็มีอีกนั่นแหละค่ะ ที่มีคนเห็นแก่ตัว ทิ้งขยะให้เกลื่อนบนพื้น ครูชักจะบ่นไปไกลแล้ว

เอาละ มาเข้าเรื่องนกเอี้ยงของเราดีกว่า นกเอี้ยงเขามีวงศาคณาญาติเหมือนกันนะคะ เรียกสั้นๆว่า วงศ์นกเอี้ยง หรือนกกิ้งโครง มีอยู่ด้วยกัน กว่า 20 วงศ์ มากกว่าร้อยชนิด เพราะนกเอี้ยงนี่อยู่คู่โลกมาตั้งแต่ยุคโลกเก่า คือเอเชีย ยุโรปและอัฟริกา และต่อมาก็ได้ไปเจอแถวทวีปอเมริกาและออสเตรเลีย เอาเฉพาะที่อยู่คู่บ้านคูเมืองของเรา คนไทยเคยเห็นก็แล้วกันนะคะ
1. นกเอี้ยงสาริกา (Common Myna) ตัวนี้แหละค่ะ ที่กระโดดหย็องๆอยู่ในสวนหนองประจักษ์ หัวดำ ตัวสีน้ำตาล เวลาบินจะเห็นวงสีขาวอยู่ที่ปีก มีทั่วๆไปทั้งเมืองเลย
2. นกเอี้ยงหงอนหรือเอี้ยงคำ (Crested Myna) ตัวสีดำ มีหงอนอยู่เหนือจงอยปาก นี่ก็เจอที่หนองประจักษ์ด้วย อยู่รวมกลุ่มด้วยกัน ที่ครูสังเกตดูนะ มีอยู่คู่เดียว
3. นกเอี้ยงด่าง (Pied Starling) แก้มขาว หน้าท้องขาว
4. นกเอี้ยงนวล (Jerdon’s Starling) มีสีขาวแซมตรงหัว หน้าอก ท้อง ปลายหาง
5. นกกิ้งโครงคอดำ (Black-collared Starling) หัวขาว หน้าท้องขาว คอดำ ปีกดำแซมขาว
6. นกขุนทองหรือนกเอี้ยงดำ (Hill Myna) ตัวดำ ปากสีส้ม เท้าเหลือง แก้มเหลือง
ถ้าเราดูรูปของนกทั้งหมดนี่ เราจะเห็นความแตกต่าง ถ้าตัวเล็กๆ ก็จะเป็นนกกิ้งโครง นกเอี้ยงนวลก็ตัวเล็กๆ มีสีขาวตรงหัว หน้าท้องและปลายหาง นกเอี้ยงหงอน ก็จะมีหงอนให้เห็น ตัวที่แบ่งแยกยากสำหรับเราๆก็คือ นกเอี้ยงสาริกา กับนกขุนทอง ครูดูเผินๆว่ามันค่อนข้างคล้ายกัน ทั้งขนาด สี แก้ม เหมือนกันหมด แต่ถ้าเราดูบ่อยๆ ก็จะแยกแยะได้ ถ้าขนดำขลับ ก็นั่นแหละ นกขุนทอง เวลามันร้องก็ร้องเสียงดัง เลียนเสียงต่างๆรอบตัวได้ ไม่ว่านกเอี้ยงหรือนกขุนทองคนมักเอามาเลี้ยง แล้วก็สอนให้มันเลียนเสียงของเรา

Posted by ครูพเยาว์ at 11:13 AM

รอบรั้ว ประชาธิปไตยในหมู่โจร

Wednesday, April 2, 2008


“ในหมู่โจร โจรเลือกโจร ได้คนดี...ในหมู่คนดี คนดีเลือกคนดี ได้โจร” เป็นคำพูดที่แปลกๆสำหรับคนทั่วไป แต่ในหมู่ชาวใต้แล้ว...เป็นคำพูดที่..คนรุ่นก่อนๆเขาพูดกัน แล้วหมายถึงอะไร....ก่อนที่จะขยาย คำพูดที่ออกแปลกๆนี้ อยากให้ฟัง คำพูดของพระสงฆ์องคเจ้า ก่อน...ท่านพุทธทาส ก็เคยพูดคำทำนองนี้ออกมา ประโยคนี้ ทุกคนก็คงจะเคยได้ผ่านหูมาบ้าง จากรายการธรรมะในทีวี หรือไม่ก็จากหนังสือ ที่เกี่ยวกับการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ท่านพุทธทาส เคยเทศน์เอาไว้เยอะ ท่านพูดเอาไว้ว่า
“ ประชาธิปไตย....ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ... ให้ประชาชนได้รับประโยชน์จริง อย่างนี้จึงจะเป็นประชาธิปไตย ถ้าประชาชนเป็นใหญ่แล้วมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชน โดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้ว...ฉิบหายหมด”
เห็นมั้ยคะ ว่าท่านพุทธทาส ท่านมองเรื่องประชาธิปไตยไว้อย่างไร ประโยคนี้ ไม่ใช่เพิ่งจะพูด ท่านพูดมานานแล้ว มาเดี๋ยวนี้ เราก็ยังคงมองเห็นอยู่ว่า เป็นความจริง แทบไม่ต้องตีความอะไรอีกเลย

ทีนี้มาถึงประโยคที่ว่า “ในหมู่โจร...โจรเลือกโจร ได้คนดี” ทำไมถึงเป็นคนดีได้ล่ะ ที่จริงแล้ว คนที่ได้ก็คือ “คนดีของโจร” แล้วเป็นคนดีมั้ยคะคนๆนี้...คำตอบคือ ไม่ค่ะ เขายังเป็นโจรอยู่นั่นเอง แถมเป็นโจรที่เก่งเหนือโจรเสียอีก สามารถใช้วิธีต่างๆที่ชนะใจโจรได้ เป็นผู้แทนโจร...ปล้นได้เท่าไหร่ เอาไปแจกในชุมโจร เอาไปแจกชาวบ้าน รักษาน้ำใจชาวบ้านเอาไว้ คอยเป็นหูเป็นตาให้ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจับได้ เราเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ที่ตำรวจไม่สามารถจับโจรได้ เพราะชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตาให้โจร นั่นเพราะโจร รู้จักเอาชาวบ้านเข้ามาเป็นพวก ในทางการเมืองก็เหมือนๆกันแหละค่ะ นักการเมืองที่ทำตัวเป็นโจร คอยคอรัปชั่นเอาเงินจากภาษีของประชาชน จากเงินงบประมาณที่รัฐจะต้องลงทุน ไปสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ เราก็คงจะได้ยินจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ โกงกันที่นั่น ที่นี่ ในโครงการใหญ่ๆ โจรใส่สูท รวยไปเยอะแล้วค่ะ

แล้ว “ในหมู่คนดี...คนดีเลือกคนดี ได้โจร” หมายความว่าอย่างไร ก็ทำนองเดียวกันนั่นแหละค่ะ คนที่ได้มาก็ยังเป็นคนดีอยู่นั่นเอง...แต่เก่ง เหนือคนดีเหล่านั้น ช่วยเหลือชาวบ้าน ช่วยเหลือคนเดือดร้อน เห็นมั้ยคะ ว่าไม่ได้แตกต่างกันเลย คนดีกับคนเลว ห่างกันนิดเดียว...ตัวอย่างง่ายๆ คนขับแท๊กซี่ เจอเงินที่ผู้โดยสารวางลืมไว้ในรถ..อาจเลยไปนานแล้ว เงินวางอยู่ตรงหน้า...ความเป็นโจรกับความเป็นคนดี มันก็วางอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน จะเลือกเอาด้านไหน...คิดจะเอามาเป็นของตัวมั้ย ไม่มีใครรู้นี่ ถือว่าเป็นโชค คิดอย่างนี้มันก็ต้องเก็บเงินนั้นไว้เอง แต่จะคิดถึงคนที่ลืมเอาไว้บ้างไหม ว่าเขาต้องเดือดร้อนแน่ๆ ที่ทำเงินหายไป โจรจะไม่มองจุดนี้ ไม่มองความเดือดร้อนของคนอื่น แต่ถ้าเป็นคนดี เขาคิดค่ะ อย่างน้อย มันไม่ใช่สมบัติของตัว อย่างนี้ต้องคืนเจ้าของเดิม จิตใจมันต่างกันค่ะ ระหว่างโจรกับคนดี

เราเป็นคนเลือกผู้แทนราษฎร เราเองต้องศึกษาค่ะ ว่าผู้แทนของเราที่จะเลือกเข้าไปนั้น เป็นอย่างไร พรรคของเขามีแนวคิดอย่างไร เขาถือว่าประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ หรือว่าประโยชน์ของตัว ของพรรคพวกตัวเป็นใหญ่ อ่านข่าวตามหนังสือพิมพ์ ฟังนักวิชาการเขาวิจารณ์อย่างไร เอามาคิด เอามาวิเคราะห์ แล้วถึงจะลงคะแนนให้ได้ค่ะ คะแนนของเราแต่ละคะแนนมีค่านะคะ ลงผิดกลายเป็นลงคะแนนให้โจรค่ะ

รอบรั้ว ความกลัวห้องสอบ

Tuesday, April 1, 2008


มีเด็กหลายคน เรียนอะไรไปแล้ว เรียนไม่รู้เรื่อง..ไม่เข้าใจ..พาลต่อไปข้างหน้า ไม่ชอบวิชาที่เรียน แล้วก็วันหนึ่ง ต้องเข้าห้องสอบ แน่นอน...ว่าหนักหนาสาหัสเอามากๆ ไม่เฉพาะเด็กไทยเท่านั้น เด็กทั่วโลกก็เหมือนๆกัน ครูเอง อ่านหลายบทความเกี่ยวกับเรื่องการกลัวห้องสอบ เด็กฝรั่งก็มี พูดเหมือนกับเด็กบ้านเรานี่แหละ...ยกตัวอย่างวิชา ที่เด็กๆกลัวได้เลย "แคลคูลัส" ส่วนมากจะบ่นว่า เรียนไปทำไม ไม่เห็นต้องใช้ตรงไหน ไม่ใช่เรียนวิศวะสักหน่อย

แต่ถ้ามันอยู่ในหลักสูตร ก็ต้องเรียนค่ะ บ้านเรา ม.ปลายก็เรียนแล้ว...บ้านเขา ประถมก็เริ่มเรียน เพราะโลกข้างหน้า การคำนวณ บวก ลบ คูณ หาร มันไม่พอ..คณิตศาสตร์ชั้นสูงมันต่อยอดไปเรื่อยๆ บางทีเริ่มตอนเด็กๆน่าจะดีกว่า มีเวลาเตรียมตัวได้นาน เตรียมตามหลังให้ทันความเจริญของมนุษยชาติ ที่ส่วนหนึ่งก้าวไปในอวกาศแล้ว

พูดถึงความกลัว ครูมีบทความที่อ่านแล้ว ก็ชอบใจ เพราะว่าความกลัวนี่แหละ ที่จะทำให้เราพบกับความพ่ายแพ้ ทั้งๆที่ไม่น่าจะแพ้ ถ้าเราเอาชนะความกลัวได้ ศัตรูจะใหญ่ขนาดไหน เราก็สามารถต่อกรได้ เรื่องที่ครูว่าก็คือ "ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น" จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการ"

เฉ่ามู่เจียปิง (草木皆兵 ) : ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น

草 อ่านว่า เฉ่า แปลว่า หญ้า

木 อ่านว่า มู่ แปลว่า ไม้

皆 อ่านว่า เจีย แปลว่า ทั้งหมด

兵 อ่านว่า ปิง แปลว่า ทหาร

คริสต์ศตวรรษที่ 383 รัฐเฉียนฉิน (ฉินยุคก่อน) ภายใต้การปกครองของอ๋องฝูเจียน ซึ่งควบรวมดินแดนทางตอนเหนือเกือบทั้งหมด ได้นำกองทัพทหารและม้าราว 9 แสนลงใต้เพื่อโจมตีรัฐตงจิ้น(จิ้นตะวันออก) อ๋องแห่งตงจิ้น แต่งตั้งเซี่ยสือและเซี่ยเสวียน 2 พี่น้องเป็นแม่ทัพ นำกำลังพลราว 8 หมื่นเข้าต้าน

อ๋องฝูเจียน เชื่อมั่นว่าทัพของตนต้องได้ชัยชนะแน่นอน เนื่องจากกองทัพจิ้นขณะนั้นทั้งอ่อนแอ และมีจำนวนทหารน้อยกว่ารัฐฉินมากนัก อ๋องฝูเจียนตั้งทัพอยู่ที่เมืองโซ่วหยัง (ปัจจุบันคือเมืองโซ่วในมณฑลอันฮุย) และได้ส่งคนผู้หนึ่ง นามว่าจูซี่ว์เดินทางไปยังรัฐจิ้นเพื่อส่งข่าวข่มขวัญแม่ทัพเซี่ยสือ

จูซี่ว์นั้นเดิมเป็นชาวตงจิ้น อดีตมีตำแหน่งถึงเจ้าเมืองนายทัพรักษาการเมืองโซ่วหยังซึ่งเป็นอดีตเชลยศึกของเฉียนฉิน ปัจจุบันถูกชุบเลี้ยงเป็นขุนนางในพระราชสำนักในตำแหน่งอาลักษณ์ แต่ด้วยความภักดีต่อรัฐตงจิ้น ดังนั้นเมื่อเขาพบกับแม่ทัพเซี่ย และรายงานความตามที่อ๋องรัฐฉินสั่งมาเรียบร้อยแล้ว จึงแนะนำให้กองทัพจิ้น ถือโอกาสตอนที่กำลังหนุนของทัพฉินยังไม่มา เข้าจู่โจมเมืองลั่วเจี้ยนก่อน แม่ทัพเซี่ยเห็นด้วยจึงนำกองกำลังจู่โจม ผลคือได้ชัยชนะกลับมาทำให้กองทหารจิ้นคึกคักอักโข ดังนั้นจึงเดินทัพมาตั้งค่าย ณ อีกฝั่งของริมน้ำเฝยสุ่ย (ปัจจุบันคือแม่น้ำเฝย สาขาแม่น้ำหวยเหอทางภาคกลางของมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน)

เมื่อฝูเจียนได้รับข่าวว่าทหารจิ้นชนะและมาตั้งค่าย ณ อีกฝั่งของริมน้ำเฝยสุ่ย ก็ตกใจมากและรีบขึ้นไปมองดูจากบนกำแพงเมือง เมื่อมองไปไกลๆ เห็นกองทหารจิ้น ตั้งค่ายอย่างเป็นระบบระเบียบ มั่นคงยิ่งนัก จนอ๋องฝูเจียนลอบชมเชยเบาๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออ๋องรัฐฉินมองขึ้นไปยังยอดเขาปากงซาน คลับคล้ายว่าคลาคล่ำไปด้วยกองทหารจิ้นที่กำลังโบกสะบัดธงแห่งชัยชนะ ซึ่งหากเพ่งดูอย่างละเอียดนั่นเป็นเพียงต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังไหวเอนไปมาไม่มีทหารจิ้นแม้สักผู้เดียว แต่อ๋องฝูเจียนตาฝาด พลันเห็นเป็นกองทัพที่แสนจะเข้มแข็งและทรงพลานุภาพ จึงเกิดความตระหนกอย่างยิ่ง จนต้องกล่าวออกมาว่า “นี่คือกองทัพอันยิ่งใหญ่ เหตุใดจึงกล่าวว่ากองทัพจิ้นอ่อนแอ?”

หลังจากนั้นไม่นาน อ๋องฝูเจียนก็สั่งกองทหารทำทีเป็นถอยทัพเพื่อให้กองทัพจิ้นข้ามมารบกันที่ฝั่งน้ำด้านนี้ โดยวางแผนว่าเมื่อทหารจิ้นข้ามมาถึงกลางน้ำ ฝ่ายกองทัพฉินก็จะลงมือโจมตีทันที แต่เนื่องจากทหารเฉียนฉินบางส่วนได้รับฟังคำกล่าวปากต่อปากว่าทหารจิ้นเข้มแข็งยิ่งนักจึงเกิดความกลัว พอมีคำสั่งถอยทัพ ก็หันหลังวิ่งหนีไปจริงๆ ประกอบกับเมื่อทัพจิ้นยกข้ามมา จูซี่ว์ ได้ตะโกนว่า “ทัพฉินแพ้แล้วๆ” ทำให้กองทหารฉินที่อยู่เบื้องหลังเห็นเพียงแต่ทหารกองหน้าวิ่งหนีกลับเข้ามาและได้ยินคำกล่าวนั้นต่างปักใจเชื่อว่าเป็นจริงจึงวิ่งหนีเอาตัวรอดด้วย

ผลของการสู้รบรัฐเฉียนฉินจึงพ่ายแพ้ให้กับตงจิ้นอย่างราบคาบ การศึกครั้งนี้ เป็นการศึกครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์จีน โดยเรียกว่า “เฝยสุ่ยจือจั้น” หรือ “การศึกที่แม่น้ำเฝย” เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการศึกที่ใช้คนน้อยชนะคนมาก คนอ่อนแอชนะคนเข้มแข็ง

ภายหลัง “เฉ่ามู่เจียปิง” หรือ เหมาว่าต้นไม้ใบหญ้าต่างเป็นทหารศัตรู ถูกนำมาเป็นสุภาษิต ใช้เปรียบเทียบกับอาการกลัวเกินกว่าเหตุ กลัวจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
การเรียน การสอบก็เหมือนกัน อย่าไปกลัวค่ะ วิชาไหนที่รู้ตัวว่า เรียนไม่ได้ ไม่เข้าใจ อย่าหนี เข้าไปหาครู ขอคำปรึกษาได้ทันที เรื่องร้ายๆ สอบตก มันจะมากล้ำกรายเราไม่ได้หรอกค่ะ


Posted by ครูพเยาว์ at 5:48 PM

รอบรั้ว สังคมคนประชาธิปไตย น้ำผึ้งหยดเดียว


เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ และดูผ่านจอทีวี ถึงหมู่คนที่ออกมาตอบโต้กัน พาไปนึกถึงนิทานอีสปที่เคยเรียนเคยอ่านสมัยเด็กๆ....เพราะคนสมัยนี้ไม่ได้ใส่ใจอะไรในความจริงมากนัก ว่าที่เขาทำไปนั้น มันเรื่องอะไรกัน มาจากสาเหตุอะไร...เพียงแต่ ไม่ถูกใจของตัวเอง หรือพรรคพวกของตัวเอง แล้วก็ไม่อยากรับรู้ ว่าอีกฝ่ายนั้น ทำไม่ถูกต้อง แล้วที่ถูกต้องนั้นคืออะไร เข้าใจผิดในเรื่องอะไร แล้วความจริงคืออะไร


มาคิดดู "น้ำผึ้งหยดเดียว" ไม่น่าจะมีได้ เกิดขึ้นได้ในสังคมไทย..สังคมพุทธ คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลามสูตร เรามีคำสอนที่ไม่ให้เอามีอารมณ์ที่คุอยู่ภายใน (ถ้าเผื่อมี) ไม่ให้มันระเบิดออกมา ตั้งหลายชั้นในคำสอน ที่ต้องผ่านหูเรามาบ้างละ มาดูว่าในชั้นของกาลามสูตรมีอะไรบ้าง


1. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บอกต่อๆกันมา

2. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตามๆกันมา(ประเพณี)

3. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง

4. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันมีอ้างอยู่ในปิฎก(คัมภีร์,ตำรา)

5. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า เป็นตรรก หรือการคำนวณ

6. อย่าได้เชื่อโดยการอนุมานเทียบเคียง หรือคาดคะเนเอาเอง

7. อย่าได้เชื่อโดยการตรึกตรองเอาตามอาการ

8. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันเข้ากันได้กับลัทธิความเชื่อ และทฤษฎีของตน

9. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า รูปร่างลักษณะน่าเชื่อถือ

10. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า ผู้สอนเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา


นี่ก็แค่ให้เราฟังเรื่องต่างๆแล้ว..เอามากรอง มาตรองดู ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร ยังไม่ให้บอกให้เชื่อเลย เราเองก็ต้องใฝ่รู้ และรู้จักคิดด้วย ด้วยใจที่เป็นธรรม แล้วก็จะเห็นความจริง ถ้าเข้าใจแล้ว เรื่องวุ่นวายต่างๆมันก็ไม่เกิด แต่ที่เราเห็นในจอทีวี...มันไม่เป็นอย่างชาวพุทธ เลยอยากให้อ่านนิทานอิสปของต่างชาติ แล้วมาคิด ว่าคนที่ไม่มีคำสอนแบบของเรา มายับยั้งชั่งใจ ผลสุดท้าย เป็นอย่างไร


นิทาน: น้ำผึ้งหยดเดียว
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนมาชาวบ้านทุกคนต่างรักใคร่สามัคคีปรองดองกันด้วยดี จนกระทั่งมาวันหนึ่งมีคนหาบน้ำผึ้งเดินผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ และบังเอิญทำน้ำผึ้งหยดลงพื้นดินหนึ่งหยด (แค่หยดเดียว) จิ้งจกตัวหนึ่งคลานมาพบก็ตรงเข้าแลบเลียเป็นอาหาร แมวมาเจอจิ้งจกก็รีบกระโดดเข้าตะครุบ สุนัขเห็นแมวก็เข้ามาไล่กัด เจ้าของแมวเห็นสุนัขมากัดแมวของตนเลยเอาไม้ไล่ตี เจ้าของสุนัขได้ยินเสียงร้องก็วิ่งออกมาดู พอรู้ว่าสุนัขของตนถูกเพื่อนบ้านไล่ตี จึงตรงเข้าชกต่อยเจ้าของแมว ญาติของเจ้าของแมวได้ยินเสียงการต่อสู้จึงรีบออกมาช่วย ญาติฝ่ายเจ้าของสุนัขเห็นพรรคพวกของตนถูกทำร้ายก็ออกมาช่วยเช่นกัน การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด จากการใช้มือใช้ไม้กลายเป็นมีด ปืน และอาวุธชนิด ต่าง ๆ จนมีการบาดเจ็บล้มตาย ผู้คนในหมู่บ้านแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ พวกเข้าข้างเจ้าของสุนัขและพวกที่เข้าข้าง เจ้าของแมว เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำจนเหลือกำลังน้อยกว่า ก็ออกไปชักชวนญาติหรือ เพื่อน ๆ ของตนที่อยู่ต่างหมู่บ้านมาช่วย จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง กว่าเจ้าเมืองจะส่ง คนมายุติศึกได้ ผู้คนก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพราะต่างฝ่ายต่างขาดการยับยั้งชั่งใจ และไม่รู้จักการพิจารณาเหตุผล หากเจ้าของสุนัขและเจ้าของแมวเจรจาสอบถามเรื่องราว ให้เป็นที่เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุก่อนที่จะหุนหันพลันแล่นทำอะไรไปตามอารมณ์แล้ว เหตุการณ์คงจะไม่ลุกลามบานปลายเหมือนดังกรณีของน้ำผึ้งหยดเดียวในเรื่องนี้

จากเรื่อง น้ำผึ้งแค่หยดเดียวเท่านั้น สามารถลากเอาใครต่อใครเข้ามาในเรื่องได้ นั่นเพราะไม่มีการไตร่ตรอง
ไม่มีการควบคุมอารมณ์...เรื่องที่มีอยู่ในบ้านเราก็คือ ลมปากของนักการเมือง คำพูดที่ออกมา แล้วก็สร้างความวุ่นวายได้ เพราะคนฟังไม่ได้ไตร่ตรอง "เชื่อไปหมด" อย่างนี้แล้ว คำสอนต่างๆของศาสนาเรา ก็เป็นหมันไปทันที ลูกๆ..ยังเล็กอยู่ สักวันก็ต้องโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ อาจมีหน้าที่การงานที่ใหญ่โต อยากให้คิดให้ดีก่อนนะคะ ก่อนที่จะพูด จะทำอะไร

รูปภาพ//จากหนังสือ วรรณคดีลำนำ