Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว การเมือง เรื่องศาสนา

Wednesday, September 22, 2010


ครูฟังข่าวที่สถานทูตซาอุดิ อเรเบีย ได้ออกมาบอกว่าไม่สามารถออกวีซ่าให้กับไทยมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่เมืองเมกกะให้ทันได้ เพราะเจ้าหน้าที่ลาหยุดพัก ออกวีซ่าให้ไม่ทัน คิดแบบชาวบ้านก็พอจะรู้ทัน ไม่จำเป็นต้องเป็นให้นักการเมืองออกมาพูดแบบนักการเมือง ให้พวกชาวบ้านต้องตีความกันอีก จริงๆแล้ว เราเองก็ต้องเห็นใจประเทศซาอุดิ อเรเบียสักนิด เพราะเราไปสร้างเวร สร้างกรรม กับประเทศเขา คนของเขาไว้มาก ครูไม่อยากเอ่ยชื่อคนไทยที่ไปขโมยเพชรจากพระราชวังของเขา แต่นั่นก็ทำให้เราต้องเสียโอกาสในการส่งคนงานไทยไปขุดทองที่ซาอุฯ สูญเสียเงินไปไม่รู้ว่าจะนับได้หรือเปล่า เพราะไม่เห็นใครออกมาพูด นั่นเราไปผิดศีล 5 ข้อที่ 2 ไปแล้ว กรรมที่ได้รับก็เฉลี่ยไปกันทั้งประเทศ คนอิสานและคนภาคเหนือ ซึ่งเป็นแรงงานส่วนใหญ่ เจ็บมากกว่าใครๆ ยังไม่พอ เรายังมาผิดศีลซ้ำซ้อนอีก ทั้งปาณาฯ ทั้งมุสาฯ ทั้งอทินนาฯ และศีล ฯลฯ อีก ซึ่งก็ยังมีตำรวจต้องรับกรรมอยู่ในคุกอยู่ เรื่องที่หนัก ฆ่านักการทูต 2 ปี 4 ศพ แล้วก็อุ้มฆ่านักธุรกิจของเขาอีก ซึ่งก็โยงมายังตำรวจ (อีกแล้ว!!!!) ตอนนี้ก็ต้องมาแสดงความรับผิดชอบ เพราะตัวเองเป็นตัวต้นเหตุแห่งทุกข์ของชาวไทยมุสลิม ที่ต้องไปแสวงบุญที่เมืองเมกกะ นายตำรวจใหญ่จะผิดหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ตัวของเขาเองรู้อยู่เต็มอก แต่เรื่องก็ยุติไปแล้ว...ไม่ผิดเพราะไม่มีหลักฐาน มีแค่บัตรสนเท่ห์ ซึ่งอุปทูตซาอุฯ เขาคิดไม่เหมือนกับเรา....ก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ครูไม่ทราบว่า เขามีกฎ “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” หรือไม่ ซึ่งปุถุชนธรรมดาย่อมไม่คิดอยู่ในสมองอยู่แล้ว ยิ่งถ้าดูหนังจีนกำลังภายในแล้วละก็ “แก้แค้นรอได้ 10 ปี ไม่สายเกินไป” ก็ต้องรอคอยกันถึงวันนี้ละค่ะ

เรื่องการเมืองโยงมาหาศาสนานี่ เกินความคาดหมายของครู เพราะมันไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักนิด อย่างน้อยก็ให้ความเคารพในคำสอนของศาสดา และให้ความนับถือในสิทธิของการเป็นชาวมุสลิม ไปแสวงบุญโดยไม่มีข้อโต้แย้งอยู่แล้ว จะเป็นรอยด่างในศาสนาหรือไม่ ควรที่ทุกคนเอาไปคิดเป็นการบ้าน ศาสนาควรอยู่ที่ใจ ควรอยู่ที่การปฏิบัติตามคำสอนอย่างครบถ้วน เอาละคำสอนจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ วัตรปฏิบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เป็นหนังประวัติศาสตร์ของอินเดียในยุคฮินดูสถาน ช่วงศตวรรษที่ 16 ยุคที่ราชวงศ์โมกุล ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่นับถืออิสลาม และทำสงครามชนะไปทั่ว ตรงกับสมัยของ จักรพรรดิ จาลาลาดิน โมฮัมหมัด อักบาร์ ชาวอินเดียในสมัยนั้นขนานนามพระองค์ว่า อักบาร์มหาราช (Akbar the Great) ก่อนที่พระองค์ได้รับการขนานนามนั้น พระองค์ได้เสด็จประพาส โดยการปลอมตัวเข้ากับชาวบ้านไปสืบเสาะ เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวเมือง ซึ่งก็เป็นชาวฮินดู ที่พระองค์รับทราบก็คือ การที่ชาวฮินดูจะไปแสวงบุญต้องจ่ายภาษีให้กับทางราชการ ซึ่งชาวฮินดูไม่พอใจ หาว่าพระองค์ไม่เป็นพวกเดียวกัน อีกทั้งพระชายาของพระองค์ที่ตั้งขึ้นเป็นพระจักรพรรดินีนั้น ไม่ยอมกลับเข้าวัง ซึ่งพระนางได้ตั้งข้อแม้ขึ้นว่า พระองค์ต้องชนะใจของพระนางเสียก่อน เมื่อพระจักรพรรดิเข้าไปประชุมเหล่าขุนนาง พระองค์ก็ให้ยกเลิกเก็บภาษีทางด้านศาสนาของชาวฮินดูเสีย โดยไม่ต้องกังวลถึงรายได้ท้องพระคลัง มีที่ปรึกษาของพระองค์คัดค้าน พระองค์ก็บอกกับขุนนางท่านนั้น ให้ไปแสวงบุญที่เมกกะเป็นการถาวรเสียเลย ครูเล่าเท่าที่จำได้ เพราะดูหนังเรื่องนี้มาเป็นเดือนแล้ว จำไม่ค่อยได้ หลังจากที่ยกเลิกภาษีที่ว่านั่นแล้ว ชาวเมืองก็พร้อมกันออกมา (แบบหนังอินเดียขนานแท้...รำกันแบบเถิดเทิงทีเดียว) ถวายพระนามว่า เป็นมหาราช และหนังก็จบแบบสมบูรณ์คือพระจักรพรรดินีก็เสด็จกลับมาประทับ (อยู่) กับพระองค์

จะเห็นว่าแม้ในสมัยโบราณที่ศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องเคารพ บวกกับ ต้องยำเกรง เขาก็ไม่เอาการเมืองเข้ามายุ่ง แม้จะมีเพราะคนที่มีอำนาจมักทำตามอำเภอใจ แต่เพื่อความถูกต้อง เป็นธรรม เรื่องนี้ก็จะได้รับการแก้ไขในที่สุด มาสมัยนี้เราเองก็ต้องคอยดูต่อไป แต่โชคดีของชาวไทยมุสลิม ช่วงที่ครูกำลังเขียนอยู่นี่ ท่านนายพลตำรวจออกมาแถลงไม่รับตำแหน่งแล้ว และพร้อมกันนั้นทางสถานทูตซาอุดิฯ ก็ได้ออกวีซ่าให้แล้วด้วยค่ะ....แถมให้อีกนิด เมืองจาลาลาบัดในอัฟกานิสถาน ตั้งเป็นชื่อเมืองให้เป็นเกียรติแด่ท่านจักรพรรดิจาลาลาดินค่ะ