รอบรั้ว ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย
Sunday, February 10, 2008
ช่วงนี้ได้เข้าไปสู่ช่วงการตั้งรัฐบาล "ประชาธิปไตย" ......ที่จริงแล้ว คำๆนี้ได้ยินบ่อยๆ แต่บางครั้ง ก็งง งง งง กับคำๆนี้ ส่วนตัวแล้วชอบฟังการอภิปราย ชอบอ่านเรื่องราวต่างๆของนักการเมือง ที่ก้าวเข้าไปสู่สภาได้ด้วยวิถีประชาธิปไตย ที่เอาเสียงส่วนมากเป็นใบเบิกทาง แล้วก็เข้าไปสู่การโกงกินต่างๆ จับได้ ก็เข้าคุกบ้าง โดนภาคทัณฑ์บ้าง คดีที่ค้างคาอยู่ในศาลก็ยังรอตัดสินอยู่อีกบานเบอะ บางท่านยังไม่ยอมมาศาลก็มีข่าวให้เห็นตำตา ทำให้นึกถึงคำสอนของท่านพุทธทาส ที่เคยกล่าวในเรื่องประชาธิปไตยไว้ว่า
"...ถ้าหากว่ามันเป็นประชาธิปไตยแห่งการเห็นแก่ตัว มันก็เป็นประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง ใช่หรือไม่ใช่? เพราะถ้าเห็นแก่ตัวแล้ว, มันก็ต้องยื้อแย่งแน่... มันจึงเขยิบขึ้นเป็นอันดับที่๒ ว่า...มันเป็นประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง, มีสิทธิ์ที่จะยื้อแย่ง, ยื้อแย่งโดยทุกอย่างทุกทาง.... ยื้อแย่งซึ่งหน้า มือใครยาวก็สาวเอา... อย่างนี้ก็เป็นประชาธิปไตย ผู้มีอำนาจ มีอะไรก็บอกว่า มันก็มีสิทธิ ที่จะทำ ที่จะหา ที่จะรวบรวม. คนยากจน ก็มีสิทธิ ที่จะหา ที่จะทำ ที่จะรวบรวม; เมื่อไม่ได้มันก็มีสิทธิที่จะต่อสู้ มันก็เป็นประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง."
ตกลงแล้ว เราก้าวเข้าไปสู่ประชาธิไตยแห่งการยื้อแย่งหรือเปล่า หรือว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วแค่นี้ ก็ควรจะพอใจ...เรื่องนี้พูดในที่ทำงานไม่ได้ค่ะ เพราะถ้าพูดแล้ว มักจะโต้กัน แล้วก็จะแตกแยก เพราะพอเริ่มพูดก็ต้องต่อไปด้วยพรรค...แล้วก็ลามไปที่พรรคของใคร
ที่จริงแล้ว พรรคการเมืองต้องไม่ใช่พรรคของใครคนใดคนหนึ่ง หรือถือสิทธิเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้โดยคนๆเดียว ที่จริงแค่นี้ ก็พอบอกเลาๆได้ว่า พรรคนั้นพรรคนี้เป็นอย่างไร แต่ไม่มีใครอยากรับรู้...เพราะเราเพิ่งจะผ่านเรื่อง "ธนาธิปไตย" มาหยกๆ...แล้วก็ไพล่ไปคิดว่านั่นคือประชาธิปไตย...หารู้ไม่ว่า นั่นคือประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง ที่มาทางช่องธนาธิปไตยค่ะ
เอาคำพูดของท่านพุทธทาส อีกสักตอนค่ะ เกี่ยวกับประชาธิปไตย
“ธรรม กับ การเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ;... แยกกันเมื่อไร การเมืองก็กลายเป็นการ ทำลายโลกขึ้นมาทันที นักปราชญ์การเมืองแต่โบราณ... ขอร้องให้ทุกคนเป็นสัตว์การเมือง ( Political animal ) คือ มีหน้าที่สนใจการเมือง... ร่วมกันจัดสังคมให้อยู่กันอย่างสงบสุข โดยไม่ต้องใช้อาชญา ; แต่คนสมัยนี้ ทำได้มากเกินไป ขนาดที่เรียกว่า การเมืองขึ้นสมอง แล้วใช้การเมืองนั้นเอง เป็นเครื่องมือที่กอบโกย หรือฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ดังนั้น แทนที่การเมือง จะตั้งอยู่ในฐานะเป็นเรื่องศีลธรรม ก็กลายเป็นเรื่อง อุปัททวะจัญไร ในโลกไปเสีย. เมื่อกล่าวโดยปรัชญาทางศีลธรรม การเมืองก็คือหน้าที่ของมนุษย์ ที่เขาจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อันเฉียบขาด เพื่อผลคือ การอยู่กันอย่างผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่เมื่อไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรมกันเสียแล้ว การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรกสำหรับ หลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย มีแต่สัตว์การเมือง ที่เป็นสัตว์เอาเสียจริงๆ กล่าวคือ บูชาเรื่องกิน-กาม-เกียรติ แทนสันติสุข .มีใครสักกี่คน ที่เป็นนักการเมืองเพื่อเอาบุญด้วยการช่วยสร้างสันติภาพขึ้นในโลก ? และมีกี่คนที่เป็นนักการเมืองเพื่อตัวกู ของกู และมีผลกลายเป็นเรื่องของกิน-กาม-เกียรติ ที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว. นักการเมืองที่แท้จริงต้องมีการสังกัดพรรค ขึ้นอยู่กับพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นยอดสุดของนักการเมือง โดยท่านมุ่งหมายจัดสากลจักรกลให้อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่มนุษย์เป็นอันธพาลเสียเอง : จัดการเมืองอย่างเป็นพรรคของมารหรือกิเลส ซึ่งควรเปรียบด้วยภูต ผี ปีศาจ,.... เพื่อกู ของกู... โดยไม่ต้องมองดูประโยชน์ของผู้อื่น เป็นการท้าทาย และเหยียบหยามพระเจ้า ! การเมืองที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ ต้องตั้งรากฐานอยู่บนรากฐานทางศาสนาของทุกศาสนาที่มีอยู่ว่า “สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น” นักการเมืองที่มีธรรมสัจจะ ข้อนี้อยู่ในใจ ย่อมเป็นนักการเมืองของพระเจ้า การเคลื่อนไหวของเขาทุกกระเบียดนิ้ว มีแต่บุญกุศล จนกระทั่งกลายเป็นปูชนียบุคคลไป. “ขอภาวนาให้โลกเรามีนักการเมืองชนิดนั้น เป็นผู้จัดการโลกโดยทั่วไปเถิด.”
(พุทธทาสภิกขุ. ในวาทกรรมทางการเมือง รวบรวมโดย ไพโรจน์ อยู่มณเฑียร ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)
ถ้าเรามองการเมืองอย่างรู้เท่าทัน ก็จะเป็นการดีค่ะ...เวลาพูดกัน ก็พูดกันรู้เรื่อง ไม่ใช่มาแบ่งแยกกัน แค่เข้าใจ วิถีการเมือง จุดมุ่งหมายของการเมือง ของนักการเมืองด้วย ว่าที่เข้าไปนั้นเพื่อผลประโยชน์ของใคร ของเรา....หรือของนักการเมือง นายทุนนักการเมือง
Posted by
ครูพเยาว์
at
9:52 AM
Labels: ประชาธิปไตย