Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ทึ่งนั่งสมาธิ

Saturday, February 9, 2008



ไทยโพสต์ ***นักวิทยาศาสตร์ต่างชาติระบุ นั่งสมาธิ เจริญสติสัมปชัญญะและปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ จะส่งผลดีและช่วยพัฒนาศักยภาพของสมอง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาธิเมืองไทยยืนยันเห็นด้วย พร้อมชี้ทุกวันนี้คนทั่วไปดึงประสิทธิภาพของสมองมาใช้ได้เพียงแค่ 7% เท่านั้น
ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ได้ทำการทดลองสแกนคลื่นสมองของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมมามากกว่า 10,000 ช.ม. ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า "Magnetic Resonance Imaging" เปรียบเทียบกับผู้ฝึกสมาธิในขั้นเริ่มต้น พบว่าพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำจะมีคลื่นสมองที่เป็นระเบียบมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นการทดลองยังพบอีกว่า ในระหว่างที่ทำสมาธิอยู่นั้น ในกลุ่มพระสงฆ์จะมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มผู้ที่ฝึกสมาธิในระยะเริ่มต้นมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวถูกนำเสนอไปที่ประชุมหัวข้อ "จิตใจและชีวิต" ครั้งล่าสุดที่ประเทศอินเดีย ซึ่งมีองค์ทะไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งทิเบต เป็นประธานในการประชุม เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจทั้งจากนักวิทยาศาสตร์ในแขนงต่างๆ และผู้ศึกษาธรรมะเป็นจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติธรรมหรือทำสมาธิที่มีต่อร่างกายไว้เช่นกัน เช่น เฮอร์เบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการทดลองโดยสังเกตผู้นั่งสมาธิ จำนวน 35 คน เพื่อศึกษาอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อุณหภูมิผิวหนัง พบว่าช่วงที่นั่งสมาธิพวกเขาใช้ออกซิเจนลดลง 17% มีอัตราการเต้นของหัวใจลดลง 3 ครั้งต่อนาที และมีอัตราคลื่นสมองเกิดขึ้นเช่นเดียวกับผู้ที่นอนหลับ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำสมาธิเป็นประจำยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมี เกร็ก จาร์ค็อป ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาฮาร์วาร์ดเช่นกัน ได้ทำการทดลองโดยแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้ทำสมาธิ กลุ่มที่ 2 ให้ฟังเทปจากการอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาผ่อนคลาย พบว่าหลายเดือนต่อมากลุ่มแรกมีคลื่นสมองเกิดขึ้น เหมือนช่วงเวลานอนหลับ เนื่องจากการนั่งสมาธิจะไปลดการทำงานของสมองส่วนบนที่รับรู้เรื่องเวลาและสถานที่
ด้าน นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้ศึกษาเกี่ยวกับธรรมะและสมาธิ กล่าวว่า ทุกวันนี้คนทั่วไปใช้จิตหรือเซลล์สมองไม่เกิน 7% ของศักยภาพที่มีอยู่ทั้งหมด ขณะที่ผู้เป็นอัจฉริยะระดับโลกก็ใช้เซลล์สมองเพียง 8-10% เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าหากมนุษย์พัฒนาศักยภาพของสมองเพื่อนำเซลล์สมองที่ไม่ได้ถูกใช้ ซึ่งมีอีกถึงกว่า 90% ก็น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความคิดได้อีกมากมาย
เมื่อยังเด็กสมองทั้งในส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลและจินตนาการของคนส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน แต่เมื่อโตขึ้นสมองซีกซ้ายที่ควบคุมการทำงานด้านเหตุผลกลับโตอยู่ข้างเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพของสมอง ต้องหมั่นเจริญสติสัมปชัญญะ นั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรม ด้วยการปล่อยจิตให้เหมือนกระดาษเปล่า หรือแก้วน้ำที่ว่างเปล่า เปิดใจรับทุกอย่างตามความเป็นจริง โดยไม่ตั้งกรอบใดๆ ไว้ และปล่อยความคิดให้ลื่นไหลสำหรับการสร้างสรรค์ นั่นคือการใช้ศักยภาพสมองของสมองซีกขวา อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของสมองโดยรวมต่อไป.


ภาพจาก Time. บทความจากหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์


ไหนๆก็เรียนเรื่องการนั่งสมาธิแล้วก็อยากให้อ่านข้อเขียนจากเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติที่มาศึกษาค่ะว่า การมีสมาธินั้น ดีอย่างไร อยากให้ลูกๆที่ศึกษาเรื่องนี้จากบทเรียน เอาไปปฏิบัติอย่างจริงจังค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 10:16 AM