Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว สังคมคนประชาธิปไตย น้ำผึ้งหยดเดียว

Tuesday, April 1, 2008


เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ และดูผ่านจอทีวี ถึงหมู่คนที่ออกมาตอบโต้กัน พาไปนึกถึงนิทานอีสปที่เคยเรียนเคยอ่านสมัยเด็กๆ....เพราะคนสมัยนี้ไม่ได้ใส่ใจอะไรในความจริงมากนัก ว่าที่เขาทำไปนั้น มันเรื่องอะไรกัน มาจากสาเหตุอะไร...เพียงแต่ ไม่ถูกใจของตัวเอง หรือพรรคพวกของตัวเอง แล้วก็ไม่อยากรับรู้ ว่าอีกฝ่ายนั้น ทำไม่ถูกต้อง แล้วที่ถูกต้องนั้นคืออะไร เข้าใจผิดในเรื่องอะไร แล้วความจริงคืออะไร


มาคิดดู "น้ำผึ้งหยดเดียว" ไม่น่าจะมีได้ เกิดขึ้นได้ในสังคมไทย..สังคมพุทธ คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลามสูตร เรามีคำสอนที่ไม่ให้เอามีอารมณ์ที่คุอยู่ภายใน (ถ้าเผื่อมี) ไม่ให้มันระเบิดออกมา ตั้งหลายชั้นในคำสอน ที่ต้องผ่านหูเรามาบ้างละ มาดูว่าในชั้นของกาลามสูตรมีอะไรบ้าง


1. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บอกต่อๆกันมา

2. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตามๆกันมา(ประเพณี)

3. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง

4. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันมีอ้างอยู่ในปิฎก(คัมภีร์,ตำรา)

5. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า เป็นตรรก หรือการคำนวณ

6. อย่าได้เชื่อโดยการอนุมานเทียบเคียง หรือคาดคะเนเอาเอง

7. อย่าได้เชื่อโดยการตรึกตรองเอาตามอาการ

8. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันเข้ากันได้กับลัทธิความเชื่อ และทฤษฎีของตน

9. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า รูปร่างลักษณะน่าเชื่อถือ

10. อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า ผู้สอนเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา


นี่ก็แค่ให้เราฟังเรื่องต่างๆแล้ว..เอามากรอง มาตรองดู ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร ยังไม่ให้บอกให้เชื่อเลย เราเองก็ต้องใฝ่รู้ และรู้จักคิดด้วย ด้วยใจที่เป็นธรรม แล้วก็จะเห็นความจริง ถ้าเข้าใจแล้ว เรื่องวุ่นวายต่างๆมันก็ไม่เกิด แต่ที่เราเห็นในจอทีวี...มันไม่เป็นอย่างชาวพุทธ เลยอยากให้อ่านนิทานอิสปของต่างชาติ แล้วมาคิด ว่าคนที่ไม่มีคำสอนแบบของเรา มายับยั้งชั่งใจ ผลสุดท้าย เป็นอย่างไร


นิทาน: น้ำผึ้งหยดเดียว
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนมาชาวบ้านทุกคนต่างรักใคร่สามัคคีปรองดองกันด้วยดี จนกระทั่งมาวันหนึ่งมีคนหาบน้ำผึ้งเดินผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ และบังเอิญทำน้ำผึ้งหยดลงพื้นดินหนึ่งหยด (แค่หยดเดียว) จิ้งจกตัวหนึ่งคลานมาพบก็ตรงเข้าแลบเลียเป็นอาหาร แมวมาเจอจิ้งจกก็รีบกระโดดเข้าตะครุบ สุนัขเห็นแมวก็เข้ามาไล่กัด เจ้าของแมวเห็นสุนัขมากัดแมวของตนเลยเอาไม้ไล่ตี เจ้าของสุนัขได้ยินเสียงร้องก็วิ่งออกมาดู พอรู้ว่าสุนัขของตนถูกเพื่อนบ้านไล่ตี จึงตรงเข้าชกต่อยเจ้าของแมว ญาติของเจ้าของแมวได้ยินเสียงการต่อสู้จึงรีบออกมาช่วย ญาติฝ่ายเจ้าของสุนัขเห็นพรรคพวกของตนถูกทำร้ายก็ออกมาช่วยเช่นกัน การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด จากการใช้มือใช้ไม้กลายเป็นมีด ปืน และอาวุธชนิด ต่าง ๆ จนมีการบาดเจ็บล้มตาย ผู้คนในหมู่บ้านแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ พวกเข้าข้างเจ้าของสุนัขและพวกที่เข้าข้าง เจ้าของแมว เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำจนเหลือกำลังน้อยกว่า ก็ออกไปชักชวนญาติหรือ เพื่อน ๆ ของตนที่อยู่ต่างหมู่บ้านมาช่วย จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง กว่าเจ้าเมืองจะส่ง คนมายุติศึกได้ ผู้คนก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพราะต่างฝ่ายต่างขาดการยับยั้งชั่งใจ และไม่รู้จักการพิจารณาเหตุผล หากเจ้าของสุนัขและเจ้าของแมวเจรจาสอบถามเรื่องราว ให้เป็นที่เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุก่อนที่จะหุนหันพลันแล่นทำอะไรไปตามอารมณ์แล้ว เหตุการณ์คงจะไม่ลุกลามบานปลายเหมือนดังกรณีของน้ำผึ้งหยดเดียวในเรื่องนี้

จากเรื่อง น้ำผึ้งแค่หยดเดียวเท่านั้น สามารถลากเอาใครต่อใครเข้ามาในเรื่องได้ นั่นเพราะไม่มีการไตร่ตรอง
ไม่มีการควบคุมอารมณ์...เรื่องที่มีอยู่ในบ้านเราก็คือ ลมปากของนักการเมือง คำพูดที่ออกมา แล้วก็สร้างความวุ่นวายได้ เพราะคนฟังไม่ได้ไตร่ตรอง "เชื่อไปหมด" อย่างนี้แล้ว คำสอนต่างๆของศาสนาเรา ก็เป็นหมันไปทันที ลูกๆ..ยังเล็กอยู่ สักวันก็ต้องโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ อาจมีหน้าที่การงานที่ใหญ่โต อยากให้คิดให้ดีก่อนนะคะ ก่อนที่จะพูด จะทำอะไร

รูปภาพ//จากหนังสือ วรรณคดีลำนำ