รอบรั้ว ประวัติศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่
Thursday, June 25, 2009
เมื่อคืนครูได้ดูภาพยนตร์ที่นำออกมาฉายทางเคเบิลทีวี อยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เคยดูจนจบมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว นี่เป็นการดูซ้ำของบางช่วงตอนที่ใกล้จะจบ ก็สนุกไปกับเรื่องราวที่อิงประวัติศาสตร์ ศาสนา ที่มีหลักฐานให้เราค้นหาได้ หนังเรื่อง Kingdom of Heaven เป็นเรื่องราวที่รบพุ่งกันในกรุงเยรุซาเล็ม ตะวันออกกลาง ระหว่างชาวคริสต์และชาวอิสลาม หรือมุสลิม และดำเนินการต่อสู้กันมาอย่างนี้เป็นศตวรรษ ที่ดูเหมือนจะยังไม่จบสิ้น
ตอนท้ายสุดในตอนจบ ชาวมุสลิมสามารถควบคุมการต่อสู้ไว้ได้ ได้เปรียบทุกด้าน มีทหารมากกว่าเป็นจำนวนมาก แม้ชาวคริสต์มีจำนวนน้อยกว่ารวมทั้งมีทั้งผู้หญิง เด็กและคนชราอยู่ในเมือง แต่พวกนักสู้ก็ได้ต่อสู้จนสุดความสามารถ จนซาลาดินแม่ทัพของมุสลิมต้องเจรจาด้วย และจบลงด้วยการให้คริสเตียนออกจากเมืองไป โดยจะไม่ทำร้ายใคร ตอนที่ออกจากเมืองก็จากไปโดยไม่มีคำกล่าวเยาะเย้ย ถากถาง ต่างก็ยิ้มแย้ม ถ้อยทีถ้อยอาศัย นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ และอยู่ในเรื่องของศาสนา การยึดพื้นที่ของศาสนจักร เรื่องอย่างนี้แม้ในประเทศของเรา ครูก็คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเกิดขึ้น ในสมัยที่เรายังรบพุ่งกันอยู่กับพม่า น่าจะสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ต่อสู้กันจนสุดความสามารถ ยังเอาชนะกันไม่ได้ ก็ขอดูตัวแม่ทัพ พักรบกัน ทหารทั้งสองฝ่ายก็สามารถเดินเข้าหากัน พูดคุยกันได้ นั่นคือเรื่องของอาณาจักร เขตแดนของประเทศในแถบนี้
ในยุโรปก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกัน เมื่อต่อสู้ก็ต้องต่อสู้กันไป เมื่อพักรบก็เข้าไปมาหาสู่กันได้ นั่นคือเรื่องการเมือง การเศรษฐกิจ การขยายเขตพื้นที่ทางการค้า และการปกครองของเขา
ทีนี้มาย้อนดูเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเรา การเมือง การสงครามในอดีตในประวัติศาสตร์เกิดเหตุการณ์อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม การแก่งแย่ง แสวงหาอำนาจ ทรัพย์สมบัติยังคงมีอยู่เหมือนเดิม แต่มาในรูปที่ใหม่กว่า ไม่ได้ยกกองทัพมาเต็มรูปแบบเหมือนในสมัยก่อน แต่มาในรูปการแสวงหาในหน่วยงานต่างๆ ความคิดที่จะปฏิวัติ ความคิดที่จะขับไล่ผู้มีอำนาจการปกครอง ยังคงดำเนินอยู่ทุกวัน อาวุธที่ใช้คือเงิน ใครมีเงินทองมาก คนนั้นได้เปรียบในการยึดพื้นที่ ในการทำสงคราม ส่วนเบื้องหลังการได้ทรัพย์สินเงินทองนั้น ได้มาอย่างไร ไม่มีใครสนใจ จะโกง จะเลี่ยงภาษี จะใช้แบบแก้กฎหมายให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ แบบที่เขาพูดกันว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ก็ทำกันเข้าไป เงินส่วนหนึ่งไหลออกมาซื้อเสียง ซื้อใจประชาชน ซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งซื้ออำนาจ เงินสามารถซื้ออะไรได้หมด เราจึงเห็นคนจำนวนมากออกมาเดินบนท้องถนน ใส่เสื้อสีต่างๆเหมือนกับแบ่งฝ่ายกันเต็มตัว ทำสงครามเป็นตัวแทนเจ้าของเงิน เป็นตัวแทนความเชื่อในเรื่องการเมือง ฯลฯ ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นการขยายอำนาจเขตการปกครองของนักการเมือง ที่ยังต้องแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรส่วนรวมของเรา พวกนี้หารายได้จากเงินภาษีที่ต้องเอามาบำรุงประเทศ ลองอ่านดูจากหน้าหนังสือพิมพ์ ทำไมต้องเสนอโครงการโน้น โครงการรี้ด้วยจำนวนเงินมหาศาล เขาทำเพื่อประชาชนจริงๆหรือ
อยากทบทวนอีกครั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเราเดี๋ยวนี้ เหมือนกับในหนังไม่มีผิด ทหารในรูปของชาวบ้านที่เดินออกมาสู้รบกัน แม้ไม่ถึงกับตายเลือดนองท้องช้างเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ได้แสดงออกมาให้เห็นว่า มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าคนที่มีอำนาจ นักการเมือง ไม่ลดราวาศอกกัน เหมือนคนในสมัยโบราณ เดี๋ยวนี้จะมีคนพูดเรื่องการศึกษามากขึ้น ข่าวสารที่ถูกต้อง ครบด้านมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดถึงด้านศีลธรรม จริยธรรมกันซักเท่าไหร่ ครูคิดว่า ถ้าเราเอาเรื่องศีลธรรม จริยธรรมนำหน้า เรื่องเลวร้ายอย่างที่เราเห็น ทั้งบนท้องถนนหรือในรัฐสภา คงจะเกิดขึ้นยากค่ะ
ตอนท้ายสุดในตอนจบ ชาวมุสลิมสามารถควบคุมการต่อสู้ไว้ได้ ได้เปรียบทุกด้าน มีทหารมากกว่าเป็นจำนวนมาก แม้ชาวคริสต์มีจำนวนน้อยกว่ารวมทั้งมีทั้งผู้หญิง เด็กและคนชราอยู่ในเมือง แต่พวกนักสู้ก็ได้ต่อสู้จนสุดความสามารถ จนซาลาดินแม่ทัพของมุสลิมต้องเจรจาด้วย และจบลงด้วยการให้คริสเตียนออกจากเมืองไป โดยจะไม่ทำร้ายใคร ตอนที่ออกจากเมืองก็จากไปโดยไม่มีคำกล่าวเยาะเย้ย ถากถาง ต่างก็ยิ้มแย้ม ถ้อยทีถ้อยอาศัย นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ และอยู่ในเรื่องของศาสนา การยึดพื้นที่ของศาสนจักร เรื่องอย่างนี้แม้ในประเทศของเรา ครูก็คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเกิดขึ้น ในสมัยที่เรายังรบพุ่งกันอยู่กับพม่า น่าจะสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ต่อสู้กันจนสุดความสามารถ ยังเอาชนะกันไม่ได้ ก็ขอดูตัวแม่ทัพ พักรบกัน ทหารทั้งสองฝ่ายก็สามารถเดินเข้าหากัน พูดคุยกันได้ นั่นคือเรื่องของอาณาจักร เขตแดนของประเทศในแถบนี้
ในยุโรปก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกัน เมื่อต่อสู้ก็ต้องต่อสู้กันไป เมื่อพักรบก็เข้าไปมาหาสู่กันได้ นั่นคือเรื่องการเมือง การเศรษฐกิจ การขยายเขตพื้นที่ทางการค้า และการปกครองของเขา
ทีนี้มาย้อนดูเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเรา การเมือง การสงครามในอดีตในประวัติศาสตร์เกิดเหตุการณ์อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม การแก่งแย่ง แสวงหาอำนาจ ทรัพย์สมบัติยังคงมีอยู่เหมือนเดิม แต่มาในรูปที่ใหม่กว่า ไม่ได้ยกกองทัพมาเต็มรูปแบบเหมือนในสมัยก่อน แต่มาในรูปการแสวงหาในหน่วยงานต่างๆ ความคิดที่จะปฏิวัติ ความคิดที่จะขับไล่ผู้มีอำนาจการปกครอง ยังคงดำเนินอยู่ทุกวัน อาวุธที่ใช้คือเงิน ใครมีเงินทองมาก คนนั้นได้เปรียบในการยึดพื้นที่ ในการทำสงคราม ส่วนเบื้องหลังการได้ทรัพย์สินเงินทองนั้น ได้มาอย่างไร ไม่มีใครสนใจ จะโกง จะเลี่ยงภาษี จะใช้แบบแก้กฎหมายให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ แบบที่เขาพูดกันว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ก็ทำกันเข้าไป เงินส่วนหนึ่งไหลออกมาซื้อเสียง ซื้อใจประชาชน ซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งซื้ออำนาจ เงินสามารถซื้ออะไรได้หมด เราจึงเห็นคนจำนวนมากออกมาเดินบนท้องถนน ใส่เสื้อสีต่างๆเหมือนกับแบ่งฝ่ายกันเต็มตัว ทำสงครามเป็นตัวแทนเจ้าของเงิน เป็นตัวแทนความเชื่อในเรื่องการเมือง ฯลฯ ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นการขยายอำนาจเขตการปกครองของนักการเมือง ที่ยังต้องแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรส่วนรวมของเรา พวกนี้หารายได้จากเงินภาษีที่ต้องเอามาบำรุงประเทศ ลองอ่านดูจากหน้าหนังสือพิมพ์ ทำไมต้องเสนอโครงการโน้น โครงการรี้ด้วยจำนวนเงินมหาศาล เขาทำเพื่อประชาชนจริงๆหรือ
อยากทบทวนอีกครั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเราเดี๋ยวนี้ เหมือนกับในหนังไม่มีผิด ทหารในรูปของชาวบ้านที่เดินออกมาสู้รบกัน แม้ไม่ถึงกับตายเลือดนองท้องช้างเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ได้แสดงออกมาให้เห็นว่า มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าคนที่มีอำนาจ นักการเมือง ไม่ลดราวาศอกกัน เหมือนคนในสมัยโบราณ เดี๋ยวนี้จะมีคนพูดเรื่องการศึกษามากขึ้น ข่าวสารที่ถูกต้อง ครบด้านมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดถึงด้านศีลธรรม จริยธรรมกันซักเท่าไหร่ ครูคิดว่า ถ้าเราเอาเรื่องศีลธรรม จริยธรรมนำหน้า เรื่องเลวร้ายอย่างที่เราเห็น ทั้งบนท้องถนนหรือในรัฐสภา คงจะเกิดขึ้นยากค่ะ
Posted by
ครูพเยาว์
at
8:35 AM
Labels: ดูหนัง ฟังเพลง, ทั่วไป ตามใจคิด, ประชาธิปไตย, ประวัติศาสตร์