รอบรั้ว บุญกุศล มวลหมู่ญาติธรรม
Monday, March 2, 2009
เมื่อวานได้กลับบ้าน หลังจากที่ได้ไปช่วยงานวัดที่หลวงพ่อได้กำหนดพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างตึกอริยภูมิมา 3-4 วัน ตอนกลับนี่มีปัญหาเรื่องรถยนต์ ซึ่งเป็นรถที่เก่ามากแล้ว แต่ก็พยายามซ่อมให้พอใช้ได้ ก็ไม่ดีนัก เพราะช่างที่ซ่อมก็เดาอาการไม่ออก แล้วอาการของรถก็แสดงออกมาอย่างแรงตอนกลับบ้านพอดี ซึ่งกว่าจะเสร็จงาน ช่วยเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก็ทุ่มหนึ่งพอดี มืดแล้วค่ะ และจะต้องเดินทางอีก 100 กิโลเมตรถึงจะเข้าบ้านได้
ออกมาจากวัดไม่นาน ไฟหน้ารถเริ่มหรี่ลง แตรที่ลองกดดูเสียงก็ออกเพี้ยนๆจากที่เคยได้ยิน เลยบ้านนาหลวงไปไม่ไกลนักไฟหน้าปิดสนิท เลยตีรถแอบข้างทาง เดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน เพราะคิดว่าอย่างไรๆก็คงจะเป็นแบตเตอรี่หมดไฟ มันคงไม่เก็บไฟ เพราะมันเก่าเกิน 1 ปีแล้ว ก็ไปหาอาจารย์โรงเรียนบ้านนาหลวง ขอยืมแบตเตอรี่ที่ใช้กับรถปิคอัพของอาจารย์ไปก่อน จะคืนให้ในวันถัดไป อาจารย์ก็ใจดี ให้ยืมค่ะ และขอร้องชาวบ้านที่เปิดร้านขายของ ขายอาหารที่อยู่ในหมู่บ้าน เขาก็กุลีกุจอออกไปช่วย ถอดแบตและขนใส่รถเขาไปส่งให้ แต่กลายเป็นว่าแบตของรถปิคอัพใหญ่กว่ารถเก๋งไปเกือบ 2 นิ้ว ใส่ไม่ได้ ใจก็คิดว่าคงจะกลับไปนอนที่วัดต่ออีกสักคืน ถึงตอนนี้ปรากฏว่ามีรถของมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ที่นำนักศึกษาไปช่วยงานวัดเหมือนกันผ่านมาพอดี มาจอดถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อคนขับรถของมหาวิทยาลัยทราบอาการ ก็บอกว่า น่าจะเป็นที่ฟิวส์นะ ถึงตอนนี้ก็ค่ำมากแล้วเลยขอให้รับลูกชายคนเล็กและอาจารย์โรงเรียนอุดรพิทยาที่มาช่วยงานเช่นกันกลับไปกับรถของมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ลองเปลี่ยนฟิวส์ที่มองเห็นว่ามีกี่ตัว แล้วก็ติดเครื่องรถดู ได้ค่ะ....ไฟสว่างขึ้นมาอีก เลยคิดว่าจะขับตามหลังไป แต่เรื่องไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ ไปได้แค่ 10 กิโลเมตรจากจุดเดิม ไฟดับวูบลงไปอีก คราวนี้ไกลจากหมู่บ้านแล้ว รีบขับรถแอบข้างทาง ใจแป้วค่ะ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีรถของญาติธรรมจากเมืองไกลผ่านมา 2 คัน เขามาจากฉะเชิงเทรา มาช่วยงานวัดของหลวงพ่อเหมือนกัน เดินออกไปโบกมือขอความช่วยเหลือ เขาจอดทันทีค่ะ....หาไม่ได้อีกแล้ว ที่จะเจอคนมีน้ำใจอย่างนี้ กลางป่าที่ห่างไกลจากเมืองหรือหมู่บ้าน เขาก็ลงมาดู ออกความเห็นต่างๆนาๆถึงอาการของรถ ผลออกมาว่าอย่างไรก็ต้องลากรถไปให้ถึงทางถนนลาดยาง หรือหมู่บ้านข้างหน้า แต่รถทั้งสองคันก็ไม่มีสลิงดึง มีเพียงแต่เชือกเส้นเล็กที่ดูแล้วก็มองไม่เห็นว่าจะดึงได้อย่างไร มันขาดแน่ๆ ตอนนี้ก็ต้องหาทางออกใหม่ เลยขอร้องให้เขากลับไปส่งที่บ้านนาหลวง ไปบ้านฝรั่งชาวเยอรมันที่มีภรรยาคนไทย มาปลูกยางพาราอยู่ในพื้นที่ เป็นฝรั่งที่เคยช่วยเหลือเอาไว้ครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาขับรถตกคูถนนมาหลายเดือนแล้ว และภายหลังก็คุ้นเคยกันดี แวะเวียนไปคุยด้วย เขาก็บอกว่าให้ไปหาเขาถ้ามีปัญหา บางทีเวลาขึ้นไปวัด เขาและภรรยาก็ฝากผักไปทำบุญที่วัดด้วย ญาติธรรมจากฉะเชิงเทราก็ช่วยเหลือพาไปส่งถึงที่ ซึ่งความจริงแล้วถ้าช้ากว่านี้สัก 5- 10 นาทีก็จะไม่เจอใครเลยที่บ้าน เพราะเขามีนัดไปรับประทานอาหารนอกบ้านกับเพื่อนของเขา ถือว่าโชคดีค่ะ เพราะพอเจอเขาเข้า เขาก็รีบเชิญพวกเรา ซึ่งก็มีพ่อบ้าน และลูกชายคนโตเข้าบ้าน ญาติธรรมจากฉะเชิงเทราก็ลาจากกันตอนนั้น ซึ่งพวกเขาต้องขับรถอีก 8 ชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน
เรื่องนี้ยาวค่ะ แต่จำเป็นต้องเล่าให้ครบทุกตอน....จากนั้นฝรั่งและพ่อบ้านก็ออกไปดูรถด้วยกัน ถอดแบตเตอรี่กลับมา เพื่อจะเอาแบตมาชาร์จไฟให้เต็ม ซึ่งมารู้เอาว่าแบตเตอรี่ยังดีอยู่ เพียงแต่ว่าไฟอ่อน ตอนเอาแบตเตอรี่ชาร์จเชอร์มาต่อ เกิดควันคลุ้งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมา มีปัญหาอีกแล้ว พ่อบ้านและฝรั่งก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อ แล้วก็ออกมาว่ามันน่าจะเป็นขั้วแบตเตอรี่ไม่ดี แล้วก็ชวนกันเอากระดาษทรายขัดขั้วแบตเตอรี่ แล้วก็พกเอาอลูมินั่มฟอล์ยออกไปเสริมขั้วแบตด้วย ที่นี้ไปพร้อมกันหมดทั้งครอบครัว ช่วยกันดันรถ ต่อสายเคเบิลเพื่อช่วยสตาร์ต ผลออกมาก็ยิ้มกันทุกคน ที่แท้คือขั้วแบตไม่ดีนี่เอง คืนนั้นเลยต้องนอนพักที่บ้านของฝรั่ง ที่เขามีห้องรับรองเอาไว้ ตื่นเช้าขึ้นมา ตีห้าครึ่งลองติดเครื่องรถดู ปรากฎว่าไม่มีปัญหา เลยขอบคุณเขาที่ได้ช่วยเหลือและเขาก็รับปากว่าจะขับตามหลังไป เพราะเขาต้องไปงานแต่งงานของลูกสาวที่อีกอำเภอหนึ่งด้วย
ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ เพราะอยากจะบันทึกเรื่องนี้เอาไว้ ไว้ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ ไว้ให้เราทุกคนได้เห็นถึงการมีน้ำใจของญาติธรรม พุทธศาสนิก ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทองใบ ปภัสโรภิกขุ แห่งบ้านนาหลวง ที่ทุกคนล้วนมีน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือคนที่ตกที่นั่งลำบาก และอยากบอกทุกคนว่าขอให้ทำดีกันอย่างนี้ตลอดไป ขอขอบคุณและขออนุโมทนากับบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายที่ได้มาช่วยงานของหลวงพ่อ สำหรับดิฉันแล้ว ตอนนี้ก็เท่ากับว่าผลบุญที่ได้ทำมาได้แสดงให้เห็นว่าไม่เสียหลายค่ะ
ขอขอบคุณ อาจารย์เศวตร์ ขันตีกลม แห่งโรงเรียนบ้านนาหลวงที่ให้ยืมแบตเตอรี่ ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ แต่ก็ให้แสงสว่างในใจแล้วค่ะ ขอขอบคุณ คุณฉลอม ชาวดร ที่ได้ช่วยเอาแบตไปส่ง ช่วยเข็นรถ ดันให้พ้นทาง ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎ และพนักงานขับรถที่จอดรถช่วย ที่รับลูกชายคนเล็ก และอาจารย์อิสราจากโรงเรียนอุดรพิทยากลับ ขอขอบคุณญาติธรรมจากฉะเชิงเทราทุกท่าน ที่หาน้ำใจอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบชื่อท่านเพราะมันฉุกละหุกกันเต็มที หวังว่าจะหาท่านให้เจอตอนท่านกลับมาทำบุญร่วมกันอีก ขอขอบคุณ Mr. Horst Dammer และภรรยา คุณเพียร (Phian Dammer) ที่ได้ขับรถกลับไปกลับมาถึง 2 รอบ เพื่อที่จะเอารถออกจากกลางป่าให้ได้ และขับตามมาเป็นเพื่อนคอยดูแลถ้ามีปัญหาให้ ขอขอบคุณ
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด, พุทธศาสนา, วัดอภิญญาเทสิตธรรม