ดูหนัง ฟังเพลง The Way Home
Tuesday, July 3, 2007
เมื่อครั้งที่แล้ว ครูได้เล่าเรื่อง รักนั้นนิรันดร The road home เรื่องนี้ชื่อเรื่องคล้ายๆกัน แต่เนื้อเรื่องไม่คล้ายกันค่ะ เป็นเรื่องของความรักของยายกับหลานชาย และให้เห็นถึงสายใยแห่งความรัก ถึงแม้ว่าทั้งสองยายหลานนั้น จะอยู่ห่างกัน แม้กระทั่งการใช้ชีวิตก็ไม่เหมือนกันค่ะ
....เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อแม่ของซังวู (ดองโยฮี) พาเขาไปฝากยังบ้านของ คุณยาย (คิมยูลบุน) ที่ต่างจังหวัด ซังวู (ยูซังโฮ) เด็กน้อยวัย 7 ปีรู้ว่า นี่คือของเวลาที่ลำบากที่สุด นับตั้งแต่แม่ของเขาแยกทางกับพ่อของเขา ตั้งแต่เขายังเล็ก มันไม่ง่ายที่จะหาเลี้ยงลูกชายเพียงลำพังในเมืองใหญ่ ซึ่งดูเหมือนว่า ซังวู จะเข้าใจ และพร้อมที่จะดูแลตัวเอง ในขณะที่แม่ไปทำงาน
....แต่ดูเหมือนชีวิตในเมืองชนบท มันดานี ช่างน่าเบื่อสำหรับเด็กที่เติบโตจากเมืองใหญ่อย่าง ซังวู มันไม่มีอะไรจะให้เขาเล่นสนุกด้วย ยายของเขาเป็นใบ้ เขาปฏิเสธทุกสิ่งที่ยายของเขาหาให้ เขาเรียกร้องที่จะกินแฮม แทนกิมจิที่ยายเตรียมไว้ เขาร้องหาโค้กแทนที่น้ำที่ยายริน ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์ แต่มีเส้นทางชวนขนลุกเวลากลางคืน ของทางไปห้องน้ำ ที่อยู่นอกหลังคาบ้าน เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีของเล่น สิ่งเดียวที่พอจะทำให้เขา พ้นจากประสบการณ์ต่างเมืองอันน่าหดหู่นี้คือ เครื่องเล่นเกมส์ และโปสการ์ดที่เขาซึ้อมาจากกรุงโซล แต่แล้วเย็นวันหนึ่ง เมื่อแบตเตอรี่ในเกมส์สุดรักหมดลง เขาขอให้ยายซึ้อแบตเตอรี่ใส่เกมส์ให้เขาใหม่ แต่เธอตอบเขาด้วยภาษาใบ้สั้นๆ ว่าเธอ “เสียใจ” เขาได้แต่คิดว่ายายคงไม่มีเงิน สำหรับซื้อแบตเตอรี่ให้เขา เขาพยายามตื้อยายทุกวิถีทาง แต่ก็ไร้ประโยชน์ จนกระทั่งเขาตัดสินใจ ที่จะขโมยปิ่นปักผมของยาย และเอาเงินที่ได้ไปซื้อแบตเตอรี่ใหม่
....เขาขโมยปิ่นในขณะที่ยายหลับ แล้ววิ่งออกไปตามทางของหมู่บ้าน จนกระทั่งเจอกับร้านขายของเล็กๆ แต่ที่นั่นไม่มีแบตเตอรี่แบบที่ใส่กับเกมส์ของเขาได้ ทั้งขมขื่น, ผิดหวัง และหลงทาง โชคดีที่ลุงแก่ๆ คนหนึ่ง ถีบจักรยานพาเขามาส่งที่บ้านคุณยาย ตอนที่ยายเดินออกมารับซังวู เห็นยายใช้ช้อนทองเหลืองม้วนผมยายไว้ แทนที่ปิ่นที่เขาขโมยมา แต่ดูเหมือนว่า เธอจะไม่ได้คิดว่าเขาขโมยมันไป ซังวูจึงซ่อนมันไว้ด้านหลัง และเดินตามเธอเข้าไปในบ้าน
....บ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่ใช้เวลายาวนานที่แสนน่าเบื่อ หมดไปกับการส่งสัญญาณมือ เพื่อบอกกับยายว่าเขาอยากกินไก่ทอด ยายหอบผักกำใหญ่ไปที่ตลาดใกล้ๆ ทันที เพื่อหาทางซื้อไก่มาให้เขา ท่ามกลางลมพายุ ในที่สุดเธอก็กลับมา พร้อมกับไก่สำหรับซังวู ด้วยความยากลำบากที่เธอพยายามทำให้แก่หลาน และความแตกต่างของชีวิต ในสังคมเมืองและสังคมชนบท สิ่งที่เธอหามาให้แก่หลาน เป็นเพียงไก่ทอด ในขณะที่สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือไก่ทอดจาก KFC เขาไม่แตะต้องไก่จานนั้น จนกระทั่งกลางดึกของคืนวันนั้น ความหิวทำให้เขาออกมากินมัน และเขาก็ร้องให้
....วันหนึ่งเมื่อยายของเขาล้มป่วย ซังวูพยายาม หาทางทำให้ยายของเขารู้สึกอุ่น ผ้าทุกชิ้น อาหารร้อนๆ ... และตัดสินใจคืนปิ่นปักผม ที่ขโมยมาคืนให้กับยาย ขณะเดียวกัน เขาหันไปเจอกับ ชูลอี (มินกังฮุน) เด็กผู้ชายที่กำลังไถลงมาจากเนินเขา หนีกระทิงดุที่กำลังตามขวิดเขาอยู่ พร้อมกับเด็กผู้หญิงน่ารักที่ชื่อ ฮียุน (ยิมยุนกัง)
....หลายวันต่อมา เมื่อยายของเขาหายดี เขาชวนยายของเขา ออกไปขายผักที่ตลาด ด้วยเงินเเพียงล็กน้อยที่ขายผักได้ เธอซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ให้ซังวู พาเขาไปทานอาหารที่ภัตตาคารอาหารจีน สั่งก๋วยเตี๋ยวให้เขา ในขณะที่เธอกินเพียงของกินเล่นและชาเขียว จากนั้นเธอส่งช็อกโกแล็ตและท๊อฟฟี่ให้กับเขา และส่งเขาขึ้นรถเมล์กลับ เขาเก็บขนมไว้ให้ยายหนึ่งอัน และยืนคอยยายอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน มันผ่านไปนาน กว่าที่เขาจะเห็นยายเดินกลับมา ทั้งถือของและเปียกชุ่ม นั่นทำให้เขาคิดได้ว่า ที่ยายส่งเขาขึ้นรถกลับบ้านคนเดียว เพราะเธอไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่ารถเมล์สำหรับสองคน เขาตรงเข้าไปช่วยยายถือของทันที และเดินกลับบ้านพร้อมยายทั้งน้ำตา พร้อมทั้งไม่ลืมที่จะใส่ขนมที่เขาเก็บไว้ ลงไปในถุงของยาย
เพื่อตามหาฮียุน เขาปีนขึ้นไปบนยอดเขา แต่เขาเจอแต่ชูลอี และสุนัขของเขา เขาได้แต่คิดว่า ชูลอีจงใจแกล้งเขา มันทำให้เขาหงุดหงิดและเข้าไปโกหกชูลอีว่า วัวกระทิงตัวเดิมกำลังกลับมาทางเขา ชูลอีรีบวิ่งหนีสุดชีวิต และตกลงมาจากเขา พร้อมทั้งแผลเจ็บๆ และนั่นทำให้ซังวูเจอฮียุนโดยบังเอิญ และสิ่งที่ฮียุนบอกกับเขาว่า เธอก็ตามหาเขาเหมือนกัน ทำให้ซังวูรู้สึกมีความสุขทันที
....วันต่อมา เขาแพ็คของเล่นใส่รถลาก ยายของเขาช่วยเอากระดาษ ห่อเครื่องเล่นเกมส์ของเขา และวางไว้บนกองของเล่น เขาเดินออกมาจากบ้าน ใส่รองเท้าคู่เก่า มองไปที่ฮียุน และแลกของเล่นทั้งหมดของเขา กับตุ๊กตาที่ฮียุนถืออยู่ เขาลากรถกลับพร้อมทั้งอุ้มตุ๊กตาไว้ในมือ บนทางชันรถลากไหล ซังวูสะดุดหกล้ม และมันทำให้เท้าของเขาเจ็บมาก ในขณะที่เขาพยายามหาอะไรมาเช็ดที่หัวเข่า มือของเขากับเจอกับบางอย่าง ที่หุ้มอยู่บนเกมส์เครื่อง ที่ยายของเขาห่อไว้ ...เงิน 1,000 วอนพับครึ่ง!!!! เพียงพอสำหรับค่าแบตเตอรี่ นั่นไม่อาจทำให้ซังวูกลั้นน้ำตา และร้องไห้เสียงดังออกมา เขาวิ่งกลับไปหาเธอ ที่ในมือถือจดหมายจากแม่ของซังวูว่า “ถึงเวลาที่ซังวูต้องกลับแล้ว” คืนนั้น เขาพยายามสอนให้ยายที่ไม่เคยรู้หนังสือ ให้เขียนจดหมายถึงเขา แน่นอนว่ายายไม่สามารถ แม้แต่จะเขียนประโยคง่ายๆ อย่าง “ฉันป่วย” หรือ “คิดถึง” บนความหมดหวัง เขาบอกกับยายทั่งน้ำตาว่า “ถ้ายายป่วย แค่ส่งโปสการ์ดเปล่าๆ ให้เขาเขาจะได้รู้” กลางดึกคืนนั้น ท่ามกลางแสงสลัว ซังวูกำลังเขียนบางอย่างอยู่
....และวันที่ยายหลานต้องจากกันก็มาถึง ซังวูส่งของบางอย่างให้กับยาย และรีบวิ่งขึ้นรถ และไม่เหลียวหลังกลับไป และนาทีสุดท้ายเมื่อรถออกตัว เขาก็หันกลับมาทำสัญญาณมือว่า “เสียใจ” ด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา นั่นทำให้ยายไม่อาจละสายตา มองไปที่รถจนสุดสายตา และบนมือของเธอถือโปสการ์ด 5 ใบ ทั้งหมดเขียนชื่อและที่อยู่ของซังวู และในช่องผู้ส่งเขาเขียนว่า “จากยาย” เขาวาดภาพ “ยายที่กำลังป่วย” ซึ่งบรรยายถึงยายกำลังป่วย หรือคิดถึง ภูมิปัญญาแห่งชีวิต และความผูกพัน อันเป็นประสบการณ์ล้ำค่า ที่ความแตกต่างของสังคมไม่อาจพังทลาย ความทรงจำครั้งสำคัญ ..จะยังคงอยู่กับซังวูตลอดไป
นี่คือเรื่องราวของเด็กชายอายุ 7 ขวบที่ชื่อ ซังวู เขาเกิดและเติบโตในเมืองใหญ่ ขณะที่ คุณยาย ที่เป็นใบ้ของเขา กลับใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในต่างจังหวัด หลังจากถูกบีบให้ต้องไปใช้ชีวิตกับคุณยาย เด็กชายซังวูได้มีโอกาส เรียนรู้ความหมายของชีวิตมากขึ้น ในฐานะของเด็กเมือง ซึ่งเคยชินกับโลกที่ทันสมัยและหรูหรา จึงไม่แปลกที่เขาไม่อาจจะเข้ากันได้ กับหญิงชรา ที่มีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติอย่างคุณยาย อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องเผชิญกับความดื้อ ของเด็กชายมากเท่าใด แต่หญิงชราก็ทนได้เสมอ แถมบางครั้ง ยังคอยปลอบประโลม เมื่อเด็กชายท้อใจเสียอีก ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะพาผู้ชมสัมผัสกับภูมิปัญญาแห่งชีวิต และทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของเรา นั่นก็คือ - ธรรมชาติ หนังเรื่องนี้มีชื่อภาษาไทยว่า คุณยายผม ดีที่สุดในโลกค่ะ
....แต่ดูเหมือนชีวิตในเมืองชนบท มันดานี ช่างน่าเบื่อสำหรับเด็กที่เติบโตจากเมืองใหญ่อย่าง ซังวู มันไม่มีอะไรจะให้เขาเล่นสนุกด้วย ยายของเขาเป็นใบ้ เขาปฏิเสธทุกสิ่งที่ยายของเขาหาให้ เขาเรียกร้องที่จะกินแฮม แทนกิมจิที่ยายเตรียมไว้ เขาร้องหาโค้กแทนที่น้ำที่ยายริน ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์ แต่มีเส้นทางชวนขนลุกเวลากลางคืน ของทางไปห้องน้ำ ที่อยู่นอกหลังคาบ้าน เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีของเล่น สิ่งเดียวที่พอจะทำให้เขา พ้นจากประสบการณ์ต่างเมืองอันน่าหดหู่นี้คือ เครื่องเล่นเกมส์ และโปสการ์ดที่เขาซึ้อมาจากกรุงโซล แต่แล้วเย็นวันหนึ่ง เมื่อแบตเตอรี่ในเกมส์สุดรักหมดลง เขาขอให้ยายซึ้อแบตเตอรี่ใส่เกมส์ให้เขาใหม่ แต่เธอตอบเขาด้วยภาษาใบ้สั้นๆ ว่าเธอ “เสียใจ” เขาได้แต่คิดว่ายายคงไม่มีเงิน สำหรับซื้อแบตเตอรี่ให้เขา เขาพยายามตื้อยายทุกวิถีทาง แต่ก็ไร้ประโยชน์ จนกระทั่งเขาตัดสินใจ ที่จะขโมยปิ่นปักผมของยาย และเอาเงินที่ได้ไปซื้อแบตเตอรี่ใหม่
....เขาขโมยปิ่นในขณะที่ยายหลับ แล้ววิ่งออกไปตามทางของหมู่บ้าน จนกระทั่งเจอกับร้านขายของเล็กๆ แต่ที่นั่นไม่มีแบตเตอรี่แบบที่ใส่กับเกมส์ของเขาได้ ทั้งขมขื่น, ผิดหวัง และหลงทาง โชคดีที่ลุงแก่ๆ คนหนึ่ง ถีบจักรยานพาเขามาส่งที่บ้านคุณยาย ตอนที่ยายเดินออกมารับซังวู เห็นยายใช้ช้อนทองเหลืองม้วนผมยายไว้ แทนที่ปิ่นที่เขาขโมยมา แต่ดูเหมือนว่า เธอจะไม่ได้คิดว่าเขาขโมยมันไป ซังวูจึงซ่อนมันไว้ด้านหลัง และเดินตามเธอเข้าไปในบ้าน
....บ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่ใช้เวลายาวนานที่แสนน่าเบื่อ หมดไปกับการส่งสัญญาณมือ เพื่อบอกกับยายว่าเขาอยากกินไก่ทอด ยายหอบผักกำใหญ่ไปที่ตลาดใกล้ๆ ทันที เพื่อหาทางซื้อไก่มาให้เขา ท่ามกลางลมพายุ ในที่สุดเธอก็กลับมา พร้อมกับไก่สำหรับซังวู ด้วยความยากลำบากที่เธอพยายามทำให้แก่หลาน และความแตกต่างของชีวิต ในสังคมเมืองและสังคมชนบท สิ่งที่เธอหามาให้แก่หลาน เป็นเพียงไก่ทอด ในขณะที่สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือไก่ทอดจาก KFC เขาไม่แตะต้องไก่จานนั้น จนกระทั่งกลางดึกของคืนวันนั้น ความหิวทำให้เขาออกมากินมัน และเขาก็ร้องให้
....วันหนึ่งเมื่อยายของเขาล้มป่วย ซังวูพยายาม หาทางทำให้ยายของเขารู้สึกอุ่น ผ้าทุกชิ้น อาหารร้อนๆ ... และตัดสินใจคืนปิ่นปักผม ที่ขโมยมาคืนให้กับยาย ขณะเดียวกัน เขาหันไปเจอกับ ชูลอี (มินกังฮุน) เด็กผู้ชายที่กำลังไถลงมาจากเนินเขา หนีกระทิงดุที่กำลังตามขวิดเขาอยู่ พร้อมกับเด็กผู้หญิงน่ารักที่ชื่อ ฮียุน (ยิมยุนกัง)
....หลายวันต่อมา เมื่อยายของเขาหายดี เขาชวนยายของเขา ออกไปขายผักที่ตลาด ด้วยเงินเเพียงล็กน้อยที่ขายผักได้ เธอซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ให้ซังวู พาเขาไปทานอาหารที่ภัตตาคารอาหารจีน สั่งก๋วยเตี๋ยวให้เขา ในขณะที่เธอกินเพียงของกินเล่นและชาเขียว จากนั้นเธอส่งช็อกโกแล็ตและท๊อฟฟี่ให้กับเขา และส่งเขาขึ้นรถเมล์กลับ เขาเก็บขนมไว้ให้ยายหนึ่งอัน และยืนคอยยายอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน มันผ่านไปนาน กว่าที่เขาจะเห็นยายเดินกลับมา ทั้งถือของและเปียกชุ่ม นั่นทำให้เขาคิดได้ว่า ที่ยายส่งเขาขึ้นรถกลับบ้านคนเดียว เพราะเธอไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่ารถเมล์สำหรับสองคน เขาตรงเข้าไปช่วยยายถือของทันที และเดินกลับบ้านพร้อมยายทั้งน้ำตา พร้อมทั้งไม่ลืมที่จะใส่ขนมที่เขาเก็บไว้ ลงไปในถุงของยาย
เพื่อตามหาฮียุน เขาปีนขึ้นไปบนยอดเขา แต่เขาเจอแต่ชูลอี และสุนัขของเขา เขาได้แต่คิดว่า ชูลอีจงใจแกล้งเขา มันทำให้เขาหงุดหงิดและเข้าไปโกหกชูลอีว่า วัวกระทิงตัวเดิมกำลังกลับมาทางเขา ชูลอีรีบวิ่งหนีสุดชีวิต และตกลงมาจากเขา พร้อมทั้งแผลเจ็บๆ และนั่นทำให้ซังวูเจอฮียุนโดยบังเอิญ และสิ่งที่ฮียุนบอกกับเขาว่า เธอก็ตามหาเขาเหมือนกัน ทำให้ซังวูรู้สึกมีความสุขทันที
....วันต่อมา เขาแพ็คของเล่นใส่รถลาก ยายของเขาช่วยเอากระดาษ ห่อเครื่องเล่นเกมส์ของเขา และวางไว้บนกองของเล่น เขาเดินออกมาจากบ้าน ใส่รองเท้าคู่เก่า มองไปที่ฮียุน และแลกของเล่นทั้งหมดของเขา กับตุ๊กตาที่ฮียุนถืออยู่ เขาลากรถกลับพร้อมทั้งอุ้มตุ๊กตาไว้ในมือ บนทางชันรถลากไหล ซังวูสะดุดหกล้ม และมันทำให้เท้าของเขาเจ็บมาก ในขณะที่เขาพยายามหาอะไรมาเช็ดที่หัวเข่า มือของเขากับเจอกับบางอย่าง ที่หุ้มอยู่บนเกมส์เครื่อง ที่ยายของเขาห่อไว้ ...เงิน 1,000 วอนพับครึ่ง!!!! เพียงพอสำหรับค่าแบตเตอรี่ นั่นไม่อาจทำให้ซังวูกลั้นน้ำตา และร้องไห้เสียงดังออกมา เขาวิ่งกลับไปหาเธอ ที่ในมือถือจดหมายจากแม่ของซังวูว่า “ถึงเวลาที่ซังวูต้องกลับแล้ว” คืนนั้น เขาพยายามสอนให้ยายที่ไม่เคยรู้หนังสือ ให้เขียนจดหมายถึงเขา แน่นอนว่ายายไม่สามารถ แม้แต่จะเขียนประโยคง่ายๆ อย่าง “ฉันป่วย” หรือ “คิดถึง” บนความหมดหวัง เขาบอกกับยายทั่งน้ำตาว่า “ถ้ายายป่วย แค่ส่งโปสการ์ดเปล่าๆ ให้เขาเขาจะได้รู้” กลางดึกคืนนั้น ท่ามกลางแสงสลัว ซังวูกำลังเขียนบางอย่างอยู่
....และวันที่ยายหลานต้องจากกันก็มาถึง ซังวูส่งของบางอย่างให้กับยาย และรีบวิ่งขึ้นรถ และไม่เหลียวหลังกลับไป และนาทีสุดท้ายเมื่อรถออกตัว เขาก็หันกลับมาทำสัญญาณมือว่า “เสียใจ” ด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา นั่นทำให้ยายไม่อาจละสายตา มองไปที่รถจนสุดสายตา และบนมือของเธอถือโปสการ์ด 5 ใบ ทั้งหมดเขียนชื่อและที่อยู่ของซังวู และในช่องผู้ส่งเขาเขียนว่า “จากยาย” เขาวาดภาพ “ยายที่กำลังป่วย” ซึ่งบรรยายถึงยายกำลังป่วย หรือคิดถึง ภูมิปัญญาแห่งชีวิต และความผูกพัน อันเป็นประสบการณ์ล้ำค่า ที่ความแตกต่างของสังคมไม่อาจพังทลาย ความทรงจำครั้งสำคัญ ..จะยังคงอยู่กับซังวูตลอดไป
นี่คือเรื่องราวของเด็กชายอายุ 7 ขวบที่ชื่อ ซังวู เขาเกิดและเติบโตในเมืองใหญ่ ขณะที่ คุณยาย ที่เป็นใบ้ของเขา กลับใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในต่างจังหวัด หลังจากถูกบีบให้ต้องไปใช้ชีวิตกับคุณยาย เด็กชายซังวูได้มีโอกาส เรียนรู้ความหมายของชีวิตมากขึ้น ในฐานะของเด็กเมือง ซึ่งเคยชินกับโลกที่ทันสมัยและหรูหรา จึงไม่แปลกที่เขาไม่อาจจะเข้ากันได้ กับหญิงชรา ที่มีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติอย่างคุณยาย อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องเผชิญกับความดื้อ ของเด็กชายมากเท่าใด แต่หญิงชราก็ทนได้เสมอ แถมบางครั้ง ยังคอยปลอบประโลม เมื่อเด็กชายท้อใจเสียอีก ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะพาผู้ชมสัมผัสกับภูมิปัญญาแห่งชีวิต และทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของเรา นั่นก็คือ - ธรรมชาติ หนังเรื่องนี้มีชื่อภาษาไทยว่า คุณยายผม ดีที่สุดในโลกค่ะ
ภาพยนตร์ดราม่าประทับใจเรื่องนี้ เปิดตัวในอเมริกาโดย Paramount Classics เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2002 ในจำนวนเพียง 3 โรง และทำรายได้ไปถึง $28,794 เฉลี่ยต่อโรงออกมาสูงถึง $9,598 หลังจากที่ทำเงินอย่างมหาศาล จนติดอันดับ 2 ของหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล ในเกาหลีมาแล้วเมื่อเดือนเมษายนปี 2002 ที่ผ่านมา
The Way Home ได้รับรางวัล Golden Bell หรือตุ๊กตาทองเกาหลี สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เคยได้รับเลือกให้ฉายโชว์ใน Toronto Film Festival และ AFI Film Festival มาแล้ว
The Way Home ได้รับรางวัล Golden Bell หรือตุ๊กตาทองเกาหลี สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เคยได้รับเลือกให้ฉายโชว์ใน Toronto Film Festival และ AFI Film Festival มาแล้ว
Posted by
ครูพเยาว์
at
6:16 PM
Labels: ดูหนัง ฟังเพลง