ดูหนัง ฟังเพลง The road home
Monday, July 2, 2007
ได้พูดมาครั้งก่อนถึงหนังเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้เล่าให้ฟัง ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร ก็คงจะขาดตอนข้อมูลทั้งหมดไปค่ะ วันนี้ก็ต้องมาเล่าให้ฟังค่ะ
....เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นักธุรกิจหนุ่ม ลั่วหยูเช็ง (แสดงโดย Sun Honglei) จะได้เดินทางกลับไปยัง Sanhetun หมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนเหนือของจีน อันเป็นบ้านเกิดของเขา เนื่องจากนายกเทศมนตรีได้โทรแจ้งข่าวแก่เขาว่า พ่อของเขาได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน และหยูเช็งก็จำเป็นต้องเร่งรีบเดินทางกลับบ้าน เพื่ออยู่เป็นเพื่อนแม่ เขาพบเธอกำลังนั่งโศกเศร้าอย่างมากมาย อยู่นอกอาคารเรียนของหมู่บ้าน ที่ทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก ทว่าเธอก็ยังแข็งใจไปร่วมงานศพของสามี ที่จัดขึ้นตามต้นแบบดั้งเดิมของประเพณีท้องถิ่น ที่สมัยนี้แทบจะไม่มีใครทำตามแบบเต็มขั้นตอนอีกต่อไปแล้ว เธอจะเป็นผู้ถักทอเสื้อผ้าสำหรับใส่ในพิธีศพ ด้วยเครื่องทอของหมู่บ้านด้วยตัวเอง และชายชาวบ้านก็จะเป็นผู้แบกโลงศพ จากโรงพยาบาลกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้
นายกฯได้แต่หวังว่า หยูเช็งจะสามารถเกลี้ยกล่อม ให้แม่ของเขามีเหตุผลมากกว่านี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ให้เธอยินยอมให้มีการนำโลงศพใส่รถ ขับกลับมายังหมู่บ้าน แทนการใช้คนแบกเช่นที่ว่ามา ด้วยเขาเกรงว่า หากจะต้องหาคนมาแบกโลงศพ เดินทางท่ามกลางหิมะในฤดูหนาว เป็นเวลาหลายไมล์แล้วล่ะก็ จำนวนคนอาจมีไม่เพียงพอ ทั้งนี้ก็เนื่องจากคนหนุ่มส่วนใหญ่ใน Sanhetun อย่างหยูเช็งนั้น ต่างก็จากหมู่บ้านไปทำงานในเมืองกันเสียเกือบหมดแล้ว
จากการที่ได้เฝ้าดูแม่ ถักทอเสื้อผ้าที่ใช้สำหรับงานศพนั้น หยูเช็งก็ได้รำลึกถึงเรื่องที่เขาได้ยินมา เกี่ยวกับความรักของพ่อและแม่ ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านในสมัยนั้น ต่างก็รู้จักเรื่องราวในตอนนั้นเป็นอย่างดี
...ตอนนั้นแม่ของเขา เจ้าดี (แสดงโดย จางซิยี่ - Zhang Zi-Yi) มีอายุได้ 18 ปี เธออาศัยอยู่กับแม่ผู้เป็นหม้ายและตาบอด เมื่อ ลั่วชางหยู (แสดงโดย Zheng Hao) วัย 20 ปี เดินทางมาจาก East Gate เพื่อมาเป็นครูสอนที่โรงเรียนในหมู่บ้านแห่งนี้ สมัยนั้นเธอได้รับการชื่นชมว่า เป็นเด็กสาวที่สวยน่ารักที่สุดใน Sanhetun ทว่าสายตาของเธอก็จับจ้องแต่ผู้มาใหม่ไม่วางตา นับแต่แรกที่ได้เห็นเขา เมื่อชางหยูเข้าร่วมกับชายฉกรรจ์ในหมู่บ้าน เพื่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่นั้น (และตามธรรมเนียมของหมู่บ้าน เจ้าดีก็ถูกเสนอชื่อให้เป็นคนทอผ้าแดง เพื่อใช้พันรอบคานหลังคาของโรงเรียน) เธอแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าชางหยูจะเป็นคนมารับอาหารกลางวันจากมือของเธอ ที่บรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านร่วมกันทำขึ้นมา และเมื่อถึงเวลาที่โรงเรียนแห่งใหม่เปิดเรียน เจ้าดีก็เลือกที่จะไปตักน้ำจากบ่อน้ำเล็กๆ เก่าๆ ที่ไม่ค่อยมีคนใช้ เนื่องจากจะทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับโรงเรียน และเป็นการเปิดโอกาสให้เธอได้พบปะกับชางหยู ตอนที่เขาส่งเด็กนักเรียนกลับบ้านด้วย
ความพยายามที่จะดึงดูดความสนใจจากคุณครูคนใหม่ ก็สัมฤทธิ์ผลเข้าจนได้ เมื่อถึงคิวของเจ้าดีและแม่ของเธอได้เชื้อเชิญให้ชางหยู มารับประทานอาหารที่บ้านของพวกเธอ และเขาก็แสดงความสนใจในตัวเธออยู่เงียบๆ เช่นกัน ทว่ามันกลับกลายเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรงสำหรับเจ้าดี เมื่อมีชายหลายคนจากในเมือง มาพาตัวชางหยูกลับเมืองไปกับพวกเขา เพื่อทำการสอบปากคำ ชางหยูได้ฉวยโอกาสที่มีอยู่น้อยนิด กล่าวคำอำลาแก่เจ้าดี และสัญญาว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับให้ปิ่นปักผมแก่เธอเป็นของขวัญ ช่วงเวลาที่ชางหยูไม่อยู่นั้น เจ้าดีก็ได้ไปที่โรงเรียนเพื่อทำความสะอาด และทำการซ่อมแซมหน้าต่างกระดาษ ให้คงอยู่ในสภาพเดิม และนั่นเองที่ทำให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า เธอกับชางหยูมีความรักให้แก่กัน มีการพูดถึงกันอย่างหนาหู เนื่องด้วยในสมัยนั้น การจัดงานแต่งงานนับเป็นเรื่องปกติวิสัย และครั้งนี้จะนับเป็นการแต่งงาน ที่เกิดขึ้นด้วยความรักของทั้งสองฝ่าย เป็นครั้งแรกของ Shahetun
ชางหยูจากไปเป็นเวลานาน กระทั่งวันหนึ่งมีเสียงร่ำลือมาว่า เขาจะกลับมา ทว่าก็ไร้ซึ่งวี่แววของเขา เจ้าดีเฝ้าแต่รอคอยมาเนิ่นนาน จนเธอเป็นไข้ แต่ก็ยังปักหลักกลางหิมะและสายหมอก เพื่อมองหาเขาที่อยู่ในเมืองแสนไกล จากนั้นก็มีคนพบเธอล้มพับอยู่ท่ามกลางหิมะ และเธอก็ถูกนำส่งบ้านด้วยอาการหนาวสั่นจนน่ากลัว เธอได้ตื่นขึ้นในอีก 2 วันต่อมา และพบว่าชางหยูได้กลับมาแล้ว และนั่งเฝ้าเคียงข้างเตียงนอนของเธอ อยู่นานนับหลายชั่วโมง ปรากฏว่าชางหยูได้แอบเดินทางมา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลการเมือง เพื่อมาหาเธอโดยเฉพาะ การฝ่าฝืนคำสั่งของเขานั้น ก็ทำให้เขาถูกลงโทษเมื่อเดินทางกลับไปในเมืองอีกครั้ง และทั้งเขาและเจ้าดี ก็ต้องแยกจากกันอีกถึงสองปีกว่าเลยทีเดียว ในที่สุดเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง และเขาเดินทางกลับมายัง Sanhetun อีกครั้ง เจ้าดีก็ยังอยู่ที่นั่นเพื่อต้อนรับเขา และทั้งคู่ก็ไม่เคยแยกจากกันอีกเลยนับแต่นั้น...
กลับมายังปัจจุบัน หยูเช็งเข้าใจดีว่า แม่ของเขาหวังว่าในพิธีศพของพ่อนั้น จะต้องถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ เขาจึงได้จ่ายเงินจำนวน 5,000 หยวนแก่นายกเทศมนตรี เพื่อว่าจ้างชายฉกรรจ์ 32 คน เป็นผู้ผลัดเปลี่ยนแบกโลงศพไปตามทาง และกระตุ้นให้พวกเขาจดจ่ออยู่กับงาน ด้วยบุหรี่และกระแช่ ทว่าเมื่อวันฝังศพมาถึง กลับปรากฏว่า มีอดีตลูกศิษย์ของชางหยูกว่าร้อยคน เดินทางกลับมาเป็นผู้แบกโลงศพด้วยตัวเอง โดยไม่มีใครยอมรับค่าจ้างนั้นแม้สักคน โลงศพนั้นถูกวางลงไว้ข้างๆ บ่อน้ำเก่า ที่สามารถมองเห็นอาคารเรียนได้อย่างชัดเจน
วันต่อมา เจ้าดี (แสดงโดย Zhao Yuelin) ได้พาหยูเช็งไปยังอาคารเรียน (ซึ่งจะได้รับการก่อสร้างใหม่อีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิหน้า) และเล่าให้เขาฟังว่า พ่อของเขามีความหวังเสมอว่า เขาจะกลายเป็นครูประจำหมู่บ้าน ดังนั้นก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปทำงานในเมืองอีกครั้ง หยูเช็งก็ได้ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ทำการสอนหนังสือแก่เด็กๆ ในหมู่บ้านภายในอาคารเรียนหลังเก่านั่นเอง..
นายกฯได้แต่หวังว่า หยูเช็งจะสามารถเกลี้ยกล่อม ให้แม่ของเขามีเหตุผลมากกว่านี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ให้เธอยินยอมให้มีการนำโลงศพใส่รถ ขับกลับมายังหมู่บ้าน แทนการใช้คนแบกเช่นที่ว่ามา ด้วยเขาเกรงว่า หากจะต้องหาคนมาแบกโลงศพ เดินทางท่ามกลางหิมะในฤดูหนาว เป็นเวลาหลายไมล์แล้วล่ะก็ จำนวนคนอาจมีไม่เพียงพอ ทั้งนี้ก็เนื่องจากคนหนุ่มส่วนใหญ่ใน Sanhetun อย่างหยูเช็งนั้น ต่างก็จากหมู่บ้านไปทำงานในเมืองกันเสียเกือบหมดแล้ว
จากการที่ได้เฝ้าดูแม่ ถักทอเสื้อผ้าที่ใช้สำหรับงานศพนั้น หยูเช็งก็ได้รำลึกถึงเรื่องที่เขาได้ยินมา เกี่ยวกับความรักของพ่อและแม่ ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านในสมัยนั้น ต่างก็รู้จักเรื่องราวในตอนนั้นเป็นอย่างดี
...ตอนนั้นแม่ของเขา เจ้าดี (แสดงโดย จางซิยี่ - Zhang Zi-Yi) มีอายุได้ 18 ปี เธออาศัยอยู่กับแม่ผู้เป็นหม้ายและตาบอด เมื่อ ลั่วชางหยู (แสดงโดย Zheng Hao) วัย 20 ปี เดินทางมาจาก East Gate เพื่อมาเป็นครูสอนที่โรงเรียนในหมู่บ้านแห่งนี้ สมัยนั้นเธอได้รับการชื่นชมว่า เป็นเด็กสาวที่สวยน่ารักที่สุดใน Sanhetun ทว่าสายตาของเธอก็จับจ้องแต่ผู้มาใหม่ไม่วางตา นับแต่แรกที่ได้เห็นเขา เมื่อชางหยูเข้าร่วมกับชายฉกรรจ์ในหมู่บ้าน เพื่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่นั้น (และตามธรรมเนียมของหมู่บ้าน เจ้าดีก็ถูกเสนอชื่อให้เป็นคนทอผ้าแดง เพื่อใช้พันรอบคานหลังคาของโรงเรียน) เธอแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าชางหยูจะเป็นคนมารับอาหารกลางวันจากมือของเธอ ที่บรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านร่วมกันทำขึ้นมา และเมื่อถึงเวลาที่โรงเรียนแห่งใหม่เปิดเรียน เจ้าดีก็เลือกที่จะไปตักน้ำจากบ่อน้ำเล็กๆ เก่าๆ ที่ไม่ค่อยมีคนใช้ เนื่องจากจะทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับโรงเรียน และเป็นการเปิดโอกาสให้เธอได้พบปะกับชางหยู ตอนที่เขาส่งเด็กนักเรียนกลับบ้านด้วย
ความพยายามที่จะดึงดูดความสนใจจากคุณครูคนใหม่ ก็สัมฤทธิ์ผลเข้าจนได้ เมื่อถึงคิวของเจ้าดีและแม่ของเธอได้เชื้อเชิญให้ชางหยู มารับประทานอาหารที่บ้านของพวกเธอ และเขาก็แสดงความสนใจในตัวเธออยู่เงียบๆ เช่นกัน ทว่ามันกลับกลายเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรงสำหรับเจ้าดี เมื่อมีชายหลายคนจากในเมือง มาพาตัวชางหยูกลับเมืองไปกับพวกเขา เพื่อทำการสอบปากคำ ชางหยูได้ฉวยโอกาสที่มีอยู่น้อยนิด กล่าวคำอำลาแก่เจ้าดี และสัญญาว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับให้ปิ่นปักผมแก่เธอเป็นของขวัญ ช่วงเวลาที่ชางหยูไม่อยู่นั้น เจ้าดีก็ได้ไปที่โรงเรียนเพื่อทำความสะอาด และทำการซ่อมแซมหน้าต่างกระดาษ ให้คงอยู่ในสภาพเดิม และนั่นเองที่ทำให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า เธอกับชางหยูมีความรักให้แก่กัน มีการพูดถึงกันอย่างหนาหู เนื่องด้วยในสมัยนั้น การจัดงานแต่งงานนับเป็นเรื่องปกติวิสัย และครั้งนี้จะนับเป็นการแต่งงาน ที่เกิดขึ้นด้วยความรักของทั้งสองฝ่าย เป็นครั้งแรกของ Shahetun
ชางหยูจากไปเป็นเวลานาน กระทั่งวันหนึ่งมีเสียงร่ำลือมาว่า เขาจะกลับมา ทว่าก็ไร้ซึ่งวี่แววของเขา เจ้าดีเฝ้าแต่รอคอยมาเนิ่นนาน จนเธอเป็นไข้ แต่ก็ยังปักหลักกลางหิมะและสายหมอก เพื่อมองหาเขาที่อยู่ในเมืองแสนไกล จากนั้นก็มีคนพบเธอล้มพับอยู่ท่ามกลางหิมะ และเธอก็ถูกนำส่งบ้านด้วยอาการหนาวสั่นจนน่ากลัว เธอได้ตื่นขึ้นในอีก 2 วันต่อมา และพบว่าชางหยูได้กลับมาแล้ว และนั่งเฝ้าเคียงข้างเตียงนอนของเธอ อยู่นานนับหลายชั่วโมง ปรากฏว่าชางหยูได้แอบเดินทางมา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลการเมือง เพื่อมาหาเธอโดยเฉพาะ การฝ่าฝืนคำสั่งของเขานั้น ก็ทำให้เขาถูกลงโทษเมื่อเดินทางกลับไปในเมืองอีกครั้ง และทั้งเขาและเจ้าดี ก็ต้องแยกจากกันอีกถึงสองปีกว่าเลยทีเดียว ในที่สุดเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง และเขาเดินทางกลับมายัง Sanhetun อีกครั้ง เจ้าดีก็ยังอยู่ที่นั่นเพื่อต้อนรับเขา และทั้งคู่ก็ไม่เคยแยกจากกันอีกเลยนับแต่นั้น...
กลับมายังปัจจุบัน หยูเช็งเข้าใจดีว่า แม่ของเขาหวังว่าในพิธีศพของพ่อนั้น จะต้องถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ เขาจึงได้จ่ายเงินจำนวน 5,000 หยวนแก่นายกเทศมนตรี เพื่อว่าจ้างชายฉกรรจ์ 32 คน เป็นผู้ผลัดเปลี่ยนแบกโลงศพไปตามทาง และกระตุ้นให้พวกเขาจดจ่ออยู่กับงาน ด้วยบุหรี่และกระแช่ ทว่าเมื่อวันฝังศพมาถึง กลับปรากฏว่า มีอดีตลูกศิษย์ของชางหยูกว่าร้อยคน เดินทางกลับมาเป็นผู้แบกโลงศพด้วยตัวเอง โดยไม่มีใครยอมรับค่าจ้างนั้นแม้สักคน โลงศพนั้นถูกวางลงไว้ข้างๆ บ่อน้ำเก่า ที่สามารถมองเห็นอาคารเรียนได้อย่างชัดเจน
วันต่อมา เจ้าดี (แสดงโดย Zhao Yuelin) ได้พาหยูเช็งไปยังอาคารเรียน (ซึ่งจะได้รับการก่อสร้างใหม่อีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิหน้า) และเล่าให้เขาฟังว่า พ่อของเขามีความหวังเสมอว่า เขาจะกลายเป็นครูประจำหมู่บ้าน ดังนั้นก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปทำงานในเมืองอีกครั้ง หยูเช็งก็ได้ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ทำการสอนหนังสือแก่เด็กๆ ในหมู่บ้านภายในอาคารเรียนหลังเก่านั่นเอง..
ต้องดูเองค่ะ เพราะอารมณ์ของนักแสดงที่เอาออกมานั้น มันสมควรที่พวกเขาจะได้รับรางวัล และจะได้เห็นประเพณีการจัดงานศพ เขาทำกันอย่างไร และการสอนหนังสือ แม้แค่หนึ่งวัน ของลูกชาย ที่อุทิศให้กับความตั้งใจดั้งเดิมของพ่อนั้น เป็นการตอบแทนคุณพ่อ และการที่ไม่มีใครรับค่าจ้างในการแบกโลงศพแม้แต่คนเดียวนั้น มันบอกถึงความรักและเคารพของผู้คนต่อครูบาอาจารย์ มันแสดงออกถึงวัฒนธรรมตะวันออกของเรา แม้ครูจะรับเป็นศิษย์แค่วันเดียว ก็ต้องนับถือไปตลอดชีวิต คุณครูอาจดูหนังกำลังภายในมากไปหน่อย เลยจำคำพูดในหนังมา หนังเรื่องนี้มีชื่อไทยค่ะ "เส้นทางรักนิรันดร"
The Road Home คว้ารางวัล Prize of the Ecumenical Jury และ Silver Berlin Bear ประเภท Jury Grand Prix จาก Berlin International Film Festival ประจำปี 2000
Posted by
ครูพเยาว์
at
6:37 PM
Labels: ดูหนัง ฟังเพลง