รอบรั้ว เมืองอุดร พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
Saturday, July 28, 2007

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระองค์ได้เปลี่ยนฐานันดรเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ทรงผนวช เมื่อปี พ.ศ.2418 และประทับอยู่ ณ วัดราชประดิษฐ์ ฯ อยู่หนึ่งพรรษาจึงลาสิกขา เพื่อเข้ารับราชการเป็นนักเรียนศาลฎีกา รับราชการในพระบรมมหาราชวัง จนพระชนมายุได้ 25 พรรษา ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาเป็นกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงศักดินา 15,000 โดยได้ทรงบังคับกรมวังนอก และเป็นผู้ช่วยราชการกรมวังในอีกตำแหน่งหนึ่ง ทรงตั้งกรมดับเพลิงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง และได้ริเริ่มกรมทหารล้อมพระราชวัง ซึ่งต่อมาคือ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
ในปี พ.ศ.2428 พระองค์ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้นายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ด้านมณฑลลาวพวน แถบเมืองหนองคาย ยกทัพขึ้นไปปราบพวกจีนฮ่อ ที่เข้ามาปล้นสะดมราษฎรในบริเวณมณฑลลาวพวน หัวพันทั้งห้าทั้งหก กองทัพไทยฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ประสบความยากลำบากในการปราบฮ่อ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นป่าเขา แต่ในที่สุดก็สามารถปราบได้ จึงได้ทรงสร้างอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ ขึ้นที่เมืองหนองคาย เมื่อปี พ.ศ.2429 เพื่อบรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิตเพื่อชาติในครั้งนั้น
หลังจากไทยได้ปราบฮ่อเรียบร้อยแล้ว ฝรั่งเศสได้ฉวยโอกาสเข้ายึดแคว้นสิบสองจุไทย โดยอ้างว่าจะคอยปราบพวกโจรจีนฮ่อ ทำให้เกิดกรณีพิพาทเรื่องอาณาเขตระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 ฝรั่งเศสบังคับให้ไทยลงนามในสนธิสัญญายอมรับสิทธิของฝรั่งเศส เหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และให้ไทยถอยกองกำลังทหารให้ห่างจากชายแดนแม่น้ำโขงในรัศมี 25 กิโลเมตร เป็นเหตุให้นายพลตรีพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคม ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวพวน ต้องย้ายที่บัญชาการมาตั้งที่บ้านเดื่อหมากแข้ง ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2436 พระองค์ได้ทรงรับราชการต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอุดร (ลาวพวน) และสถาปนาเมืองอุดรธานี และวางระเบียบแบบแผนการปกครองหัวเมืองชายแดนอยู่ 7 ปี เศษ จึงเสด็จกลับกรุงเทพ ฯ เมื่อปี พ.ศ.2442
ต่อมาพระองค์ได้ประชวรด้วยโรคพระอันตะพิการและสิ้นพระชนม์ ณ วังตรอกสาเก เมื่อปี พ.ศ.2467 สิริรวมพระชันษาได้ 68 ปี
