รอบรั้ว การศึกษา
Saturday, December 6, 2008
ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น นักการเมืองเขาเข้าไปดูกิจกรรมเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด นับเวลาเป็นปี ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับรู้นโยบายที่ทางรัฐบาลได้ออกมาดำเนินการแล้ว การที่นักการเมืองฝ่ายค้านหรือเสียงข้างน้อยได้เข้าไปสังเกตการณ์นั้น นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การที่จะปรับปรุง พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่านโยบายเก่าที่กำลังดำเนินการ การศึกษาก็เหมือนกัน ในการหาเสียงของประธานาธิบดีโอบามา ท่านเอาใจใส่เรื่องนี้มากทีเดียว สังเกตจากการปราศรัยหลายๆครั้ง การศึกษาจะเป็นเรื่องที่อยู่ในลำดับของความสำคัญในการที่จะปรับปรุงให้ดี ยิ่งขึ้น
พูด ง่ายๆก็คือ การศึกษาของอเมริกันอ่อนด้อยลงมาก ถ้าเราติดตามข่าวในการแข่งขันทางวิชาการ เด็กอเมริกันจะแพ้เด็กทางเอเชีย แพ้จีน แพ้เกาหลี หรือแม้กระทั่งหนังสือคณิตศาสตร์บางรัฐ บางโรงเรียนของอเมริกายังต้องมาเอาของสิงคโปร์ไปใช้สอนอย่างนี้เป็นต้น และจากการที่นักการเมืองเข้าไปเจาะลึกถึงการล้มเหลวของการศึกษาของเขา พบกับความจริงแล้วก็ตกใจหนักเข้าไปอีก ในโรงเรียนมีการแบ่งเกรดทางสังคม การฟุ้งเฟ้อ เหลวแหลกทางจริยธรรม ถ้าเป็นเด็กอเมริกันสีผิวแล้วก็ยิ่งตกต่ำลงไปอีก อย่างเช่นเรียนอยู่เกรด 4 ยังอ่านหนังสือไม่ออกเลย พอๆกับบ้านเรา ที่เด็กเรียน ป. 4 ยังอ่านหนังสือไม่ออกก็มีให้เห็น
กลับ มาบ้านเรา งานด้านการศึกษาถือว่าเป็นงานที่สำคัญและด่วนที่สุดแล้ว...จะทำอะไรก็รีบทำ เสียเถอะ ขอให้ครูได้มีนโยบายที่มันเด่นชัด ที่จะปรับปรุงการศึกษาให้เราได้ก้าวหน้ายิ่งกว่านี้ ตอนนี้เด็กของเราจะอ่อนด้วยลงไปอยู่ระดับต่ำของเอเชียให้เข้าแล้ว การปรับคุณภาพการเรียนการสอน การปรับวิทยฐานะของครูก็ดูจะลักลั่น ไปไม่ถึงไหน ถ้าถามครูทุกๆคนที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการส่งรายงานผลงานทางวิชาการ เพื่อเลื่อนวิทยฐานะนั้น เราดำเนินถูกทางหรือเปล่า ครู เท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ทุ่มชีวิตอยู่กับการสอนเด็กที่แทบล้นห้องเรียน ใครจะคิดว่ามีโรงเรียนที่มีเด็กอยู่ในห้องหน้าสลอนอยู่ 50 คน แค่นี้ ถ้าไปดูผลสัมฤทธิ์ของเด็กแล้ว ประสบการณ์การสอนที่มีมานับสิบๆปีแล้ว จะให้ครูเหล่านั้นมานั่งทำผลงานด้านวิชาการในทำนองเดียวกันกับส่งผลงานเพื่อ ยกระดับให้เท่ากับผู้ช่วยศาสตราจารย์ มันมีเหตุผลพอไหม...มีครูบ่นเรื่องนี้ค่ะ เลยขอบ่นต่อให้ฟัง
เรา มีแนวคิดว่า ถ้าจะปรับปรุงการเรียนการสอนเด็ก ยกระดับของเด็กเราให้มีความรู้มากยิ่งขึ้น ผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น ก็ต้องยกระดับของครูที่มีความรู้อยู่ในเกณฑ์ อยู่ในระดับที่เรียกกันว่า Bench mark หรืออะไรทำนองนี้ ก็พอมีเหตุผลอยู่ แต่ ไม่ใช่ทั้งหมด จำนวนเด็กที่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ครูสามารถเจาะจงเด็กที่มีปัญหาในการเรียนได้อย่างพอเหมาะพอควร และให้ความช่วยเหลือเด็กเหล่านั้นได้ตามกำลัง นั่นก็คือเด็กต้องไม่มาจุกอยู่ในโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง รัฐบาลต้องเข้ามาจัดการ ติดตามตามความเป็นจริงว่าเด็กนักเรียนต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ครูสามารถดูแลได้ ครูคือผู้มาสั่งสอนวิชาการ ไม่ใช่มาดูแลม๊อบ รัฐเองต้องติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง ชาวอเมริกันเขาพูดว่า When it come to education in America, we need to start holding ourselves accountable. คือทุกคนนั้นต้องเอาใจใส่อย่างแท้จริง ไม่ว่ารัฐ โรงเรียน ผู้ปกครอง ศาสนา...ไม่มีใครที่จะบอกว่าไม่ใช่หน้าที่...ไม่ได้ ทุกคนจะต้องเริ่มทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่นผู้ปกครองของเด็กนักเรียน ที่ไม่มีใครสามารถออกนโยบายว่าให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ได้ แต่ผู้ปกครองสามรถทำได้ ถ้ารักจะให้การศึกษาแก่ลูก โดยการ ปิดทีวีไม่ให้ลูกมอมเมาไปกับละครเน่าๆ ตัดเกมส์ต่างๆออกอย่าให้ลูกติดอยู่กับเกมส์เหล่านั้น ช่วยลูกในการอ่านหนังสือ ช่วยให้คำแนะนำในการทำการบ้าน ให้เข้าร่วมประชุมกับโรงเรียน อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้มาถึงเรื่องสำคัญเสียที...ได้ฟังปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน พูดแล้ว ก็น่าจะเป็นทางออกให้ครูได้บ้าง ท่านพูดว่า “ปัญหาของการพัฒนาครูไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ส่วนหนึ่งมาจากการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ครูต้องอิงมาตรฐานหน่วยงานจากหลายองค์กร โดยเฉพาะการประเมินวิทยฐานะที่ผ่านมายังไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานของครู ซึ่งการพัฒนาครูเพื่อให้ได้วิทยาฐานะนั้น จะต้องตอบคำถามให้กับสังคมด้วยว่า เมื่อครูผ่านการประเมินวิทยฐานะนักเรียนมีคุณภาพดีขึ้นหรือไม่ แต่ทุกวันนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามเรื่องดังกล่าวให้กับสังคมได้ ซึ่งเรื่องการพัฒนาครู การประเมินวิทยฐานะ และการเพิ่มคุณภาพการเรียนการสอนจะต้องเชื่อมโยงกันได้” ก็จะคอยดูกันต่อไปว่าในการแก้ปัญหา หลังจากการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครู ที่ได้ระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่ออกมาให้ความเห็นพ้องต้องกันว่า การปฎิรูปการศึกษาตลอด 9 ปีที่ผ่านมายังไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางเอาไว้ การปฏิบัติงานที่ไม่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้การพัฒนาไม่ไปในทิศทางเดียวกัน และจะจัดทำแผนพัฒนาแบบบูรณาการให้ทุกหน่วยเข้ามาช่วยกัน ซึ่งก็จะคอยดูว่า แผนจะออกมาอย่างไรใน 3 เดือนข้างหน้า...ที่ดีก็คือ การยอมรับว่าที่ผ่านมานั้น การพัฒนาครูยังไม่สำเร็จ และถ้าจะให้สำเร็จนั้นต้องทุกคนต้องเข้าร่วมมือกัน....มันช่างเหมือนกับการ ศึกษาของอเมริกาตอนนี้จังค่ะ
Labels: การศึกษา, ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว การเมืองใหม่
Tuesday, December 2, 2008
Labels: การศึกษา, ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว โรงเรียนไกลโพ้น
Thursday, November 6, 2008
Labels: การศึกษา, ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว ถนนคนเดิน
Thursday, October 2, 2008
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ยังไม่เคลียร์
Friday, August 22, 2008
ระยอง - เกิดเหตุระเบิดบนเรือบรรทุกก๊าซ LPG จนเกิดเพลิงไหม้ลุกท่วม เป็นเหตุให้เรือจมลงในบริเวณบริเวณท่าเทียบเรือคลังเก็บเคมีภัณฑ์ของบริษัทในเครือ “สยามซีเมนต์กรุ๊ป” เบื้องต้นยังไม่ทราบจำนวนผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต วันนี้ (20 ส.ค.) เวลาประมาณ 21.00 น. พ.ต.ท.วสันต์ ยวงยิ้ม สารวัตรเวร สภ.มาบตาพุด อำเภอเมืองจังหวัดระยอง ได้รับแจ้งเหตุระเบิดในเรือบรรทุกก๊าซ LPG บริเวณท่าเทียบเรือ คลังเก็บเคมีภัณฑ์ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ถนนไอ.8
ข่าวจากผู้จัดการ ออนไลน์ วันที่ 20 สิงหาคม 2551 เวลา 23.03 น.
พลังงานจากแร่ธาตุ พลังงานนิวเคลียร์ที่ยังพอหาได้ และราคาถูกกว่าก็จะเข้ามาแทนที่ ประเทศต่างๆทั่วโลกเขาก็มีกันแล้ว สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รัสเซีย ฯลฯ ต่างก็มีหลายโรงงานแล้ว เราอาจได้ยินว่าโรงไฟฟ้าระเบิด หรือโรงไฟฟ้ารั่วน้อยมาก ที่รุนแรงที่สุดก็คือที่เชอร์โนบีลในประเทศรัสเซียหรือประเทศยูเครนในปัจจุบัน แต่ว่านั่นคือโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้เทคโนโลยีรุ่นเก่า โบราณ แต่ว่าผลที่เกิดขึ้น รุนแรง และกว้างไปหลายประเทศ จนคนกลัวโรงไฟฟ้าแบบนี้ ที่น่ากลัวสำหรับครูอันดับแรกคือวินัยของคนไทยเราที่ยังอ่อนด้อย ขาดความรับผิดชอบที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ตั้งแต่เด็ก สะเพร่า ขาดความระมัดระวัง ครูเขียนเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง เพราะมันน่ากลัว ถ้าเราจะทำอะไรที่มันยังไม่มีอะไรมารับประกันความเสี่ยง และเรายังมีข้อด้อยอีกเยอะ การที่จะต้องสังเคราะห์องค์ความรู้ที่ลึกซึ้ง ให้รอบด้านและเหมาะสมกับเรื่องต่างๆ ถ้าหากจะมองถึงปัญหาในอนาคต ที่เรายังฝากเรื่องนี้เอาไว้กับผู้บริการนโยบายซึ่งเป็นนักการเมือง ที่เรามักเห็นว่านโยบายที่ออกมามักคลุมเครือ เพราะคนที่มาเกี่ยวข้องกับทุกๆเรื่อง คือนักธุรกิจ และผลที่ออกมาก็คือ การกอบโกยผลประโยชน์ ผลงานจะเป็นอย่างไร มักจะโยนไปให้คนรุ่นหลังแก้ไขเอาเอง แต่เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตคนจำนวนมาก...มันน่ากลัว
แม้กระทั่งการมีกระบวนการติดตามผล ก็มักจะไม่ได้ผล ที่สังเกตได้ก็คือ แม้ว่าทางฝ่ายค้าน (ในรัฐบาล) จะหาเอาการทำงานอย่างไม่ชอบมาพากลออกมาอย่างไร การที่จะหาความรับผิดชอบจากฝ่ายบริหารในเรื่องเหล่านั้น มักจะถูกเมินเฉย เหมือนกับว่ากระบวนการมีส่วนร่วมมีขึ้นไม่ได้ในสังคมไทย จนกระทั่งนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมในที่สุด
เพราะฉนั้นถ้าหากคนที่ดูแลนโยบายในเรื่องนี้ขาดไปซึ่งธรรมาภิบาล ขาดวินัย ขาดองค์ความรู้ที่ลึกซึ้ง กีดกันผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วม และจ้องที่จะคอยหาผลประโยชน์อย่างเดียวแล้ว...อย่ามีเสียเลยจะดีกว่าค่ะ
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว วัดนาหลวง วันมุทิตาจิต
Friday, August 1, 2008
หลังจากวันเข้าพรรษา ทางวัดนาหลวงก็ได้จัดงานสำคัญขึ้นอีกวันหนึ่ง นั่นก็คือวันขอแสดงมุทิตาจิต ระลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อ ทองใบ ปภัสโรภิกขุ ในวันนั้นมีลูกศิษย์ จากทั่วประเทศเข้ามาร่วมในงาน สำหรับครูซึ่งมีคุณแม่และญาติที่มาจากกรุงเทพ ร่วมกับคุณครูดวงจันทร์ พร้อมลูกหลานท่าน และญาติธรรมในโรงเรียนอนุบาลก็ได้ร่วมกันทำโรงทานไอศครีม โดยมีเด็กนักเรียนจากวิทยาลัยพละ ได้เข้ามาร่วมช่วยตักให้แก่ญาติโยม และ เด็กๆที่เข้ามาร่วมในงาน
คนเยอะมากค่ะ อาหารต่างๆมีทุกชนิด และทุกๆร้าน เท่าที่ครูสังเกตดู มีแต่ของดีๆ มีประโยชน์อาหารก็อร่อยๆ คนทำก็ทำอย่างสุดฝีมือ...ทำกันไม่ทัน ตักกันไม่ทัน มือแต่ละคนเป็นระวิง แต่ก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขในการที่ได้เข้ามาร่วมในงานบุญของหลวงพ่อในวันนั้น
เที่ยงกว่าๆ...หลวงพ่อก็ได้ออกมาจากกุฎิ...เดินอย่างช้าๆ...ท่านอายุมากแล้ว มีพระอุปัฎฐากคอยพยุงอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ท่านเดินออกมาสู่ที่กว้าง ญาติโยมที่ล้นศาลาออกไป ในสนามหญ้า ในทุกมุมที่สามารถหาที่นั่งได้ ต่างก็ประนมมือไหว้ เสียงเงียบกริบ...มองด้วยความศรัทธาเมื่อท่านเดินผ่าน...ประทับใจมากค่ะ
จากนั้น เมื่อหลวงพ่อเข้าไปนั่งบนอาสนะ ทุกคนก็ได้กล่าวคำขอขมาต่อหลวงพ่อ ตามลำดับศีล ญาติโยมอย่างครู ก็กล่าวทีหลังหมู่พระ เณร แม่ชี...ครูไม่ได้ฟังเทศน์ในวันนั้น เพราะต้องรีบกลับ...ลูกชายคนเล็กต้องกลับไปขอนแก่น เพื่อเข้าห้องสอบให้ทัน คนที่ไปร่วมงานในวันนั้นเยอะพอสมควรค่ะ เฉพาะพระสงฆ์ ก็มีทั้งหมด 311 รูป สามเณร 109 รูป รวมกันทั้งหมด ที่ได้ทราบมาว่ามีจำนวนทั้งหมด 5,877 คน
Labels: วัดอภิญญาเทสิตธรรม
รอบรั้ว ห้อง 5/10 กลุ่มอิทธิบาท 4
Wednesday, July 30, 2008
Labels: เด็กดีขยันเรียน
รอบรั้ว ห้อง 5/10 กลุ่มศรัทธา 4
Labels: เด็กดีขยันเรียน
รอบรั้ว ห้อง 5/10 กลุ่มพุทธจริยา
Labels: เด็กดีขยันเรียน
รอบรั้ว ห้อง 5/10 กลุ่มอริยสัจ 4
Labels: เด็กดีขยันเรียน
รอบรั้ว ห้อง 5/10 กลุ่มเบญจธรรม
Labels: เด็กดีขยันเรียน
รอบรั้ว ห้อง 5/10 กลุ่มเบญจศีล
Labels: เด็กดีขยันเรียน
รอบรั้ว ห้อง 5/10 กลุ่มไตรสิกขา
เราทุกคนนะคะ เมื่อมารวมกลุ่มกันแล้ว มีหลักฐานแน่นหนาอย่างนี้ ก็อย่าลืมกันนะคะ เมื่อเราต้องทำอะไรร่วมกัน ช่วยเหลือกัน เมื่อเห็นว่าเพื่อนเดือดร้อน เราก็ต้องรีบไปช่วย เห็นว่าเพื่อนเดินทางผิด เราก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดี...ตักเตือนกันได้ค่ะ ถือว่าเป็นกัลยาณมิตรนะคะ
Labels: เด็กดีขยันเรียน
รอบรั้ว ห้อง 5/10 กลุ่มบุญกิริยาวัตถุ 3
Labels: เด็กดีขยันเรียน
รอบรั้ว พุทธศาสนา การบวช
Wednesday, July 16, 2008
น้ำตาแห่งความปิติ ได้หลั่งออกมาจากดวงตาของพ่อแม่ ที่ได้เห็นลูก ถือดอกไม้มากราบขอขมา มันเป็นเวลาที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ ณ วินาทีนั้น...มันเต็มตื้นไปหมด และไม่มีวันลบเลือน
หลังจากนี้...ผู้ที่ได้เข้าบวช ก็จะได้ตั้งหน้า ตั้งตาเรียน ฝึกฝน ที่จะเอาชนะตัวเอง พาตัวเองให้พ้นภัยจากกิเลสมารทั้งหลายที่จ้องมากลุ้มรุมทำร้ายอยู่ตลอดเวลา อาจเป็นอุบายอย่างหนึ่งของชาวพุทธเรา ที่พยายามจูงลูก เข้าสู่ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา ให้มีชีวิตใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ให้มีสติมั่นคง หากได้ลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตคฤหัสถ์ในภายหลังอย่างมีความสุข
...
และก็พลาด...พลาดโอกาสที่พระพุทธเจ้าได้มอบให้แก่มนุษย์มากว่าสองพันปี...ให้โอกาสที่จะศึกษาตนเองอย่างจริงจัง ฝึกอย่างจริงจัง และได้เอาวิชานั้นไปดำรงชีวิตให้อยู่อย่างรู้เท่าทันกับกิเลส ตัณหาต่างๆ ที่เราต้องอยู่ร่วมกันไปตลอดเส้นทางของชีวิต...ให้เรามองกิเลส ตัณหาต่างๆอย่างเหยียดๆได้...ว่าฉันรู้เท่าทันแกนะ
หลวงปู่เทศนาให้ฟังกัณฑ์หนึ่ง ก่อนที่จะถึงพิธีบวช พูดถึงการเห็นภัยในวัฎฎสังสาร ภิกษุคือผู้เห็นภัยนี้...การที่เข้าไปบวช ก็เท่ากับการที่เข้าไปศึกษาให้เห็นพิษภัยของเหล่ามารต่างๆที่แอบซ่อน แอบซุกอยู่ในจิตใจของเรา ปลุกเร้าเราให้ทำตามใจของมัน...เราเองก็ต้องฝึก ต้องปฎิบัติ ต้องทำความเข้าใจและสามารถรู้เท่าทัน จากนั้นถ้าเก่งพอ ก็ขจัดเหล่ามารนั้นให้พ้นจากเราได้...ไม่ถึงนิพพาน แต่ก็สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้โดยไม่มีมารมากวนใจ
Labels: พุทธศาสนา, วัฒนธรรม, วัดอภิญญาเทสิตธรรม
รอบรั้ว พุทธศาสนา วันเข้าพรรษา
Friday, July 11, 2008
จัดเป็นพิธีกรรมของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา โดยท่านต้องประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธบัญญัติ (ข้อที่ตั้งขึ้นให้รู้ทั่วกันการกำหนดเรียก การวางเป็นกฎข้อบังคับ) ที่ทรงวางเป็นระเบียบข้อบังคับให้พระสงฆ์ต้องเขาจำพรรษาในสถานที่ที่ทรงอนุญาตให้เข้าอาศัยอยู่ได้ และพิธีกรรมวันเข้าพรรษานี้ พุทธศาสนิกชนได้มีส่วนร่วมประกอบคุณงามความดีตามหน้าที่ของชาวพุทธ เพื่อช่วยเหลือพระสงฆ์อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งมีประวัติที่น่าสนใจ
รอบรั้ว พุทธศาสนา วันอาสาฬหบูชา
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม
ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ
ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ
๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค ๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด
๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา
๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ
“อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือ อาสาฬห (เดือน ๘ ทางจันทรคติ) กับบูชา (การบูชา) เมื่อรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน ๘ หรือเรียกให้เต็มว่า อาสาฬหบูรณมีบูชา
โดยสรุป วันอาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญ เดือน ๘ หรือ การบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันเพ็ญ เดือน ๘ คือ
๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา
เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนา บางทีเรียกวันอาสาฬหบูชา นี้ว่า วันพระสงฆ์ (คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์)
รอบรั้ว สะพานมัฆวานรังสรรค์
Friday, June 6, 2008
ในสมัย 40 ปีที่แล้ว อุดรของเราเป็นฐานทัพอเมริกัน ในฐานทัพก็ต้องมีเสาธง สำหรับเชิญธงชาติขึ้น แต่ที่ฐานโนนสูง ค่ายรามสูรย์ ไม่มีธงไทยค่ะ คนไทยที่อยู่ในที่นั้น ต้องยืนเคารพธงชาติอเมริกัน ฟังเพลงชาติอเมริกันทุกๆเช้า จนแทบจะร้องคลอได้ คนไทยที่ทำงานอยู่ในนั้น ต่างก็รวมใจ ร่วมกัน ขอให้มีการเคารพธงชาติไทยด้วย ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร และผลสุดท้าย ก็เป็นผลสำเร็จ มีการเปิดเพลงชาติไทย เชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสา...ไม่ต้องเดาค่ะ ว่าทุกคนที่ได้ฟังรู้สึกอย่างไร เสียงเพลงที่เปล่งจากปาก...ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยนั่น ไม่ค่อยเป็นเพลงซักเท่าไหร่ เพราะมันปนกับเสียงสะอื้น ที่ตื้นตัน ที่ได้เห็นธงไทยขยับขึ้นสู่ยอดเสา เลือดไทยขณะนั้นมันสูบฉีดแรงค่ะทีนี้ มาดูซิว่าแหม่มเคลลี่ มองในหลวงเราอย่างไร ดูจากเนื้อร้อง และคำแปลที่กระท่อนกระแท่นพอสมควร แต่ก็อยากให้ลูกๆ ถ้าเผื่อมีความรู้ทางด้านภาษาดี ได้หัดแปล หัดเกลาภาษาให้สละสลวยกว่านี้ เพลงนั้นชื่อ
“Long live the king of Thailand”
Ever since I saw the face of this man
หลังจากที่ฉันได้เห็นพระองค์ท่าน
The king of Thailand, The king of Siam
กษัตริย์ของประเทศไทย กษัตริย์ของประเทศสยาม
I fell in love with his soul loves this land
ฉันก็หลงรักในความรักที่ท่านมีให้แก่แผ่นดินของท่าน
It's in his eye, it's in his heart, it's in his hands
เห็นได้จากสายตาของท่าน จากหัวใจของท่าน และจากน้ำมือของท่าน
He is a husband, a father and a king
ท่านเป็นสามี เป็นพ่อ และเป็นกษัตริย์
A great photographer, musician so many things
เป็นช่างภาพผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักดนตรี และอีกมากมาย
The way he lives his life is something to be hold
การดำเนินชีวิตของท่านมันเป็นสิ่งที่ควรยึดถือ (ดำเนินตาม)
His grace, his wisdom, an example to the world
ความสง่า หลักแหลมลึกซึ้ง เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก
Long live the king of Thailand
Long live the king of Siam
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
..
And in the time when the rains came flooding down
และเมื่อถึงเวลาที่ฝนตกน้ำหลาก
He saved the city with a building of the dam
ท่านก็ช่วยเหลือเมืองไว้ด้วยการสร้างเขื่อน
In time of conflicts, he has always been there
ในเวลาเกิดความขัดแย้งกัน ท่านก็อยู่ตรงนั้นเสมอ
To stop the fighting just like the father who really cares
เพื่อช่วยหยุดการต่อสู้เช่นพ่อที่ห่วงใยลูกๆ
Long live the king of Thailand
Long live the king of Siam
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
..
I watch in wonder at the things he understands
ฉันเฝ้ามองด้วยความอัศจรรย์ ในทุกสิ่งที่ท่านนั้นเข้าใจ
His love for his people, his love for this land
ในความรักของท่านต่อประชาชน และต่อแผ่นดินนี้
His work in agriculture, he is one of a kind
งานด้านเกษตรของท่าน หาใครมาปรียบมิได้
His vision for the future way ahead of their time
วิสัยทัศน์ของท่านนั้นก้าวล้ำสู่อนาคต
Long live the king of Thailand
Long live the king of Siam
..
อ้างอิง: http://www.kellynewtonwordsworth.com.au/
รูปภาพ:http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000065049
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว ครอบครัวอบอุ่น
Monday, June 2, 2008
อากาศที่ใต้ดีมากค่ะ ไม่ร้อนมากนัก ถึงแม้ว่าแดดจะเผา คนใต้ถึงผิวคล้ำกว่าคนภาคอื่นๆ อาจเพราะเขาเดินกลางแดดได้อย่างสบาย ไม่ร้อน เพราะลมพัดตลอด และเพราะเดินตากแดดได้นี้เอง ผิวก็คล้ำได้ง่ายๆ ครูสันนิษฐานเอาเองนะคะ แต่ระยะที่อยู่กับคุณย่า ได้คุย ได้ฟังเรื่องต่างๆหลายเรื่อง มีเรื่องที่ครูฟังแล้ว ทึ่ง....คือคำทายอะไรเอ่ย ที่คนโบราณอย่างคุณย่าทวดเคยถามเล่นๆกับลูกหลาน ที่คุณย่ายังจำเอามาทายเล่นได้ อยากให้ลองฟังดูค่ะ
คำทายแรก...อะไรเอ่ย
อัฐิ ต่างตะโจ
แปดเท้าโท เศียรเว้น
คงคา เป็นที่เล่น
ปฐวี เป็นที่นอน
ดูแล้ว คนเก่าๆของเรานี่ ภาษาไทยไม่ใช่ว่าจะประมาทได้นะคะ เห็นนุ่งผ้าถุง ผ้าซิ่นอยู่กับบ้าน คุณย่าคุณยายเขารู้นะ ว่าคำนั้นคำนี้หมายความว่าอย่างไร...เราเองต่างหากที่ต้องทึ่ง ต้องงงกับคำทายเล่นๆเหล่านั้น...เอาละ รู้คำตอบแล้วยังคะ ถ้ายังนึกไม่ออก เอาคำทายที่สองมาลับสมองเล่นอีกคำ
อะไรเอ่ย....
สองตีนชี้ฟ้า
ผันหน้าสู่ดิน
น้ำท่าไม่กิน
แผ่นดินไม่เหยียบ
คำทายนี้คนอื่นๆอาจทายใกล้เคียงกัน แต่ฟังแล้วก็งงๆกับคำทาย ของคุณย่านี่ถือว่าฟังจากปากกันเลย ไม่ผิดหรือลอกมาผิดๆแน่ เอาแค่เบาะๆ สองคำทายก็พอ แต่ที่อยากให้ดูคือลักษณะการใช้ภาษา จะเป็นคำคล้องจองกัน เป็นคำกลอนที่มีบทรับบทส่งพร้อมเสร็จ สมกับไทยแท้แต่โบราณจริงๆ สมัยนี้ครูเองก็ยังมองไม่เห็นว่าเราจะรักษาความเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน เหมือนรุ่นปูย่าตาทวดได้อย่างไร เพลงในสมัยนี้เป็นตัวอย่างได้เลย ฟังๆแล้ว ก็ยังหาคำคล้องจองไม่ได้ ร้องก็ไม่เพราะเสนาะหูอะไรสักนิด ตะโกนกันมากกว่า ยิ่งพวกแรพโย่ ฟังแล้วฟังอีกก็ยังฟังไม่ออกเลยว่าเป็นเพลงหรือคำบ่น
(คำตอบ คำทายแรก Crab คำทายที่สอง Bat)
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว การศึกษา ระหว่างครูกับศิษย์
Tuesday, April 29, 2008
ครูยังไม่เข้าเรื่องที่ครูอยากจะพูดจริงๆ อยากให้ฟังเรื่องเล่าสักเรื่องของพระนักเทศน์สองพี่น้อง พระที่เป็นพี่ชาย ไปเทศน์ที่ไหน ญาติโยมก็ตามไปฟังจนแน่นวัด ส่วนพระที่เป็นผู้น้อง เทศน์ครั้งเดียวญาติโยมก็นั่งฟัง ถ้าจะเทศน์ครั้งต่อไป ก็ไม่มีใครตามไปฟังอย่างหนาแน่นเหมือนผู้พี่ จนลูกศิษย์ต้องออกปากถามว่า ทำไมไม่เทศน์เหมือนพระผู้พี่ล่ะ จะได้มีคนมาฟังเยอะๆ ท่านก็ตอบว่า “แก...ไม่รู้เรื่องอะไร ฉันน่ะ พูดทีเดียวคนเข้าใจหมด แต่ที่พี่ฉันเทศน์ยังไงๆ คนเขาก็ไม่เข้าใจ ถึงตามไปฟังแล้วฟังอีก ทีนี้เข้าใจมั้ย” ลูกศิษย์ก็ได้แต่เกาหัว คำตอบและผลที่เห็นมันก็อยู่คาตา แต่จะจริงหรือไม่.... ก็เป็นเรื่องของญาติโยมเองที่รู้อยู่แก่ใจ
การเป็นครูอาจารย์ก็เหมือนๆกัน …“บางท่าน”… ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยเปิด อย่างเช่นรามคำแหง ลูกศิษย์ลูกหา ต้องถึงกับจองเก้าอี้กันล่วงหน้า เข้าไปฟังท่าน อาจารย์โรงเรียนกวดวิชาหลายๆคน สอนจนเป็นอาชีพหลักไปเลย เปิดโรงเรียนเป็นธุรกิจร้อยๆล้าน ก็มีให้เห็น ลองคิดเทียบเคียงกับพระนักเทศน์พี่น้องสองรูปนั่นดูค่ะ
ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องที่ครูอยากจะพูดตรงๆเสียที....เราจะสอนลูกศิษย์ที่นั่งหน้าสลอนอยู่ข้างหน้าอย่างไร เพราะที่เห็นๆอยู่นั่น ทั้งหน้าตา สมองความจำ นิสัยรักวิชานั้น เกลียดวิชานี้ ล้วนแต่เป็นปัญหาที่จะให้ผลมันออกมาเป็นบวกไปทั้งหมด มันก็ต้องมีมั่ง ที่เด็กไม่รับสิ่งที่เราให้ไปเลย จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่...ผลสุดท้าย เรื่องมันก็จะเกิดอยู่ระหว่างครูกับศิษย์ ตัวต่อตัว ครูจะให้ผ่านมั้ย เพราะเธอทำวิชาของครูไม่ได้ถึงครึ่งเลย เพื่อนๆเธอผ่านไปหมดแล้ว เธอเองก็ซ้ำชั้นไปแล้วหนึ่งปีกับวิชาของครูนี่ แก้วิชานี้มาสามครั้งแล้ว ก็ยังไม่ผ่าน...มีเรื่องอย่างนี้บ้างมั้ยคะ
ก็ต้องยอมรับค่ะ ว่าทุกปี เราจะได้ยินเรื่องอย่างนี้ ซึ่งก็มีอยู่ทุกช่วงชั้น ไม่ว่าประถม มัธยม แต่ที่สำคัญคือระดับมหาวิทยาลัย ที่เด็กบางคนหมดกำลังใจ ถอดใจ รีไทร์ไป หรือไม่ก็เปลี่ยนสาขา ยอมเสียเวลาไปสักปีหรือสองปี....ถ้าตีค่าราคาที่สูญเสียไปนั้นเป็นเงิน...นับกันไม่ไหวค่ะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการสูญเสียความตั้งใจตั้งแต่ต้นที่จะเรียนให้มันสำเร็จ...เราอาจได้ยินเรื่องมาบ้างว่าบิล เกตส์ เจ้าของไมโครซอฟท์ มหาเศรษฐีโลกคนนั้น ไม่ได้จบมหาวิทยาลัย...สมองดีมากจนเกินกว่าที่ครูจะสอน (หรือเปล่า)..อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกวิชา ยิ่งชีววิทยาและภาษาแล้วสอนอย่างไรก็ไม่จำ (หรือเปล่า) ...แล้วเด็กหน้าตาไทยๆ ที่นั่งต่อหน้าครูอยู่ทุกวันนี้ จะมีสิทธิเหมือนอย่างเขาบ้างมั้ย และถ้าเขามืดบอดในวิชาที่ครูสอนจนไม่สามารถรับได้แม้แต่เศษธุลี...แล้วจะทำอย่างไร(ถึงจะ)ดีกับเขาคะ
ครูเองมีคำตอบอยู่ในใจค่ะ...แต่อยากฝากถามเรื่องนี้ลอยลมไปยังครูทั่วๆไปและ....ในมหาวิทยาลัย....ที่ต้องเติมมหาวิทยาลัยเข้าไป ไม่ใช่เพราะมันประจวบกันกับที่มีเรื่องไม่เหมาะ ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น แต่ว่าลึกๆแล้ว มันก็มีเรื่องแบบนี้อยู่พอที่จะจับสังเกตได้ เพียงแต่ว่า มันจะดังขึ้นมาให้คนนอกได้ยินหรือเปล่าเท่านั้น....ครูจะไม่พูดเรื่องจรรยาบรรณหรอกค่ะ เพราะเท่าที่ฟังๆมา บางแห่งบางที่ ถ้ายังไม่ได้เขียนเป็นตัวบทกฏหมายขึ้นมา อาจจะได้ยินคำตอบที่ว่า...แล้วมันเขียนไว้ว่าอย่างไร ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องตราเอาไว้ในกฎที่ไหนหรอกค่ะ ตราไว้ในใจก็เพียงพอแล้ว เอาแค่ข้อเดียวคือ ครูต้องรักและเมตตาต่อศิษย์....แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วค่ะ
Labels: การศึกษา, ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว ทุ่งศรีเมือง ท้าวเวสสุวรรณ
Wednesday, April 23, 2008
ท่านท้าวเวสสุวรรณ 1ใน 4 ท้าวจตุโลกบาล โดยมีท้าวธตรฐดูแลพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหกดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศใต้ ท้าววิรูปักข์ดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทิศตะวันตก และท้าวเวสสุวรรณรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศเหนือ โดยทั้ง 4 ท่านมีหน้าที่แบ่งกันปกครองทั้งเหล่าคนธรรพ์ กินรี กินนร กุมภัณฑ์ นาค เทวดา และยักษ์ อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ในส่วนของท้าวเวสสุวรรณ ท่านจะปกครองเหล่าอสูร และยักษ์ ตลอดจนภูติผีปีศาจทั้งหลาย หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่าเป็น “นายแห่งผี”
ตามตำนานกล่าวว่าเริ่มแรก ท่านท้าวเวสสุวรรณปกครองอยู่ เมืองลงกา ต่อมาได้ถูกทศกัณฑ์มายึด และขับไล่ให้ท่านไปอยู่ที่อื่นพร้อมทั้งแย่งบุษบก ( ของวิเศษที่พระพรหมมอบให้ ) ไปครอบครองอีก ท้าวเวสสุวรรณจึงได้มาสร้างเมืองใหม่อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา โดยท่านมีหน้าที่ดูแล ปกครองเหล่าอสูร ยักษ์ ตลอดจนเหล่าภูติผีปีศาจทั้งหมด และยังเป็นเจ้าบัญชีพระกาฬใหญ่
ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นยักษ์ที่ใจบุญ อีกทั้งยังให้ความเคารพนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ในสมัยพุทธกาล กล่าวว่ามีพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่ออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อแสวงหาโมกขธรรม มีพระภิกษุสงฆ์บางรูปที่ยังไม่ได้สำเร็จอภิญญา มักจะโดนบรรดาภูติผีปีศาจ หลอกหลอนไม่เป็นอันได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ คือการเจริญสมาธิกรรมฐาน เพื่อชำระจิตใจให้สงบได้อย่างเต็มที่ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ได้เสด็จลงมาจากเทวโลก เพื่อมากราบนมัสการ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งถวายมนต์ “ภาณยักษ์” ให้ไว้ เพื่อเป็นมนต์ป้องกันเวลาพระภิกษุ สามเณร ที่ออกเดินธุดงค์ตามป่าเขา ถูกบรรดา ภูติผี ปีศาจ ยักษ์ เทวดา ที่เป็นมิจฉาทิฐิ หลอกหลอน ซึ่งมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้ยังนำมาใช้สวดกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ โดยการสวดมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้มักจะทำเป็นพิธีการยิ่งใหญ่ ทุกวัดมักจะจัดให้มีการสวด “ภาณยักษ์” นี้ขึ้น เชื่อกันว่าใครที่ถูกคุณ ถูกของ หรือโดนผีเข้า เจ้าสิง เมื่อเข้าไปในบริเวณพิธีสวด “ภาณยักษ์” สิ่งอัปมงคลต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวก็จะหมดไปด้วย มนต์ภาณยักษ์ อันวิเศษบทนี้
และนอกจากนี้ ท้าวเวสสุวรรณ ยังเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย สัญญลักษณ์แห่งมหาเศรษฐี ในหนังสือเทวกำเนิดของพระยาสัจจาภิรมย์ ระบุชื่อท้าวเวสสุวรรณ ล้วนมุ่งหมายทางมหาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ อาทิ ท้าวรัตนครรถ (ผู้มีเพชรเต็มพุง) ท้าวกุเวรธนบดี (ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์) ท้าวธเนศวร (เจ้าทรัพย์) องค์อิฉาวสุ (ผู้มั่งมีได้ตามใจ) ท้าวเวสสุวรรณ (ยิ่งด้วยทอง) แม้แต่ชาวจีนก็ยกย่ององค์ท้าวเวสสุวรรณว่า เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำรวยในนาม “องค์ไฉ่ซิงเอี้ย” ซึ่งมีบูชากันทุกบ้านร่ำรวยทุกคน ขับไล่ภูติผีปีศาจ วิญญาณร้าย แก้เสนียดจัญไร อัปมงคลคุณไสยต่างๆ ที่อุดรธานี เมื่อถึงวันตรุษจีน เราก็จะได้เห็นพี่น้องไทยเชื้อสายจีน ต่างก็มาเซ่นไหว้ท้าวเวสสุวรรณที่ทุ่งศรีเมืองอยู่ไม่ขาดสาย ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคของชาวเมืองอุดรอยู่เหมือนกันที่มีท่านมาอยู่คุ้มครองเมือง
แต่อย่างหนึ่งที่ครูอยากขอติงเอาไว้ คือตราของทีมฟุตบอลประจำจังหวัดอุดรธานี ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ครูเคยเห็นว่าทีมจังหวัดอุดรคือ ทีมไจแอนท์ แล้วก็วาดรูปท่านท้าวเวสสุวรรณเป็นสัญลักษณ์ของทีม ขอให้ตรองอีกที ว่าถ้าจะใช้คำว่า Udorn Guardian แทน Udorn Giant (ที่เห็นมาเป็นภาษาอังกฤษค่ะ) จะได้มั้ย เพราะท่านท้าวเวสสุวรรณไม่ได้เป็นแค่ยักษ์ตัวใหญ่ๆ แต่เป็นผู้คุ้มครอง เป็นท้าวจตุโลกบาล ขอฝากเอาไว้ด้วยค่ะ
รอบรั้ว โรงพยาบาลอุดรธานี ยาง..ยืดชีวิตพิชิตโรค
Thursday, April 17, 2008
แน่นอนว่าเมื่อยางยืดนี้มาอยู่ในโรงพยาบาล มันต้องมีความสำคัญขึ้นมาก เราคงนึกไม่ถึงว่าจะสำคัญขนาดนั้น ที่จริงแล้ว ทางโรงเรียนอนุบาลก็เคยมีครูไปอบรมเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ส่วนมากก็จะเลือกเอาแต่คนที่มีน้ำหนักเกิน ที่เขาเรียกกันว่ามวลร่างกายหรืออะไรทำนองนั้นเกินพอดี ไปลดน้ำหนักลงให้พอเหมาะพอควรให้สมดุลย์กันกับส่วนสูง ก่อนที่จะมาถึงจุดที่ครูเห็นว่านางพยาบาลจะออกมานำเอาชาวบ้านมาออกกำลังกาย คงจะมองเห็นความสำคัญแล้วว่า ทำไมคนเราต้องออกกำลังกาย, ความจำเป็นในการออกกำลังกาย, เหตุผลและความสำคัญของการออกกำลังกาย, สาเหตุที่มาของปัญหาสุขภาพของคนไทย, การที่แพทย์และพยาบาลต้องมารับศึกหนักกับจำนวนคนป่วย ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆที่สามารถทำให้ลดลงได้ ทั้งงบประมาณและกำลังพล ถ้าคนในชาติรู้จักป้องกัน และระวังรักษาตัว ให้พ้นจากโรคภัย ดีกว่าปล่อยให้เกิดขึ้นแล้วมารักษา
นี่อาจเป็นที่มาของการออกกำลังกาย ของญาติผู้ป่วยที่ได้รับการฝึกจากเหล่าพยาบาลของโรงพยาบาลอุดรธานีของเราค่ะ สอนให้ชาวบ้านรู้จักยาง...ยืดชีวิตพิชิตโรค คงจะมีอยู่หลายๆโครงการที่ทางโรงพยาบาลได้พยายามยื่นมือมาช่วยชาวบ้าน ให้รู้จักรักษาและป้องกันตัวไม่ให้เกิดโรคภัย แต่คนภายนอกอย่างครูหรือใครๆอาจไม่รู้ เพราะไม่ได้เข้าไปคลุกคลีกับโรงพยาบาลบ่อยนัก ที่เข้าไปเห็นการออกกำลังกายนี่ก็เพราะต้องเข้าไปในโรงพยาบาลในวันนั้นพอดี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ทางโรงพยาบาลเขาตรวจวัดมวลกระดูก ครูเองก็จะได้ข่าวเอาทีหลัง หลังจากที่โครงการนั้นจบลงไปแล้ว อย่างไรก็ตามก็ขอให้กำลังใจกับแพทย์และพยาบาลของเราทุกคนค่ะ ที่ชาวบ้านอย่างครูนี่เห็นว่า ทุกคนที่โรงพยาบาลต่างก็ทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี จากรูปจะเห็นว่ามีคนมาร่วมการออกกำลังกายน้อยไปหน่อย ที่จริงแล้ว วันที่ครูเห็นครั้งแรกมากกว่านี้หลายเท่า และมีอยู่หลายจุด วันนั้นครูไม่ได้ถือกล้องถ่ายรูปไป เลยไม่ได้รูปตามที่ครูต้องการ
Labels: โรงพยาบาลอุดรธานี
รอบรั้ว วัดมัชฌิมาวาส ยักษ์หน้าวัด
Wednesday, April 16, 2008
ผ่านวันสงกรานต์มาก็ชุ่มโชกกันถ้วนหน้า แล้วก็น่าเสียดายที่วัฒนธรรมเก่าแก่ของเราก็เสื่อมถอย หายไปกับวัฒนธรรมของโลกใหม่ ที่มีแต่ความสนุกสนานเข้ามาแทนที่ เสียงเพลงที่กระหึ่ม หนุ่มสาวที่ตั้งหน้าตั้งตาชะโลมแป้ง ปะไปถ้วนทั่วร่าง ไม่รู้ว่าใครจะนึกจะคิดอย่างไร ไม่สนใจ น่าเศร้าใจไปกับกระทรวงวัฒนธรรมของเรา
ครูมาวันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องวันสงกรานต์ แต่จะพูดเรื่องยักษ์หน้าวัดมัชฌิมาวาส 2 ตนที่ยืนเฝ้าหน้าวัดมา นี่ก็น่าจะกว่า 40 ปีเข้าไปแล้ว เพราะครูเห็นมาตั้งแต่ครูยังเด็กๆอยู่เลย ถามใครๆที่เป็นคนเก่าแก่ของเรา ก็ไม่ค่อยจะมีใครรู้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ครูเลยต้องมาเขียนบันทึกเอาไว้ กันลืม เผื่อว่าลูกๆเวลาผ่านไปวัด หรือไปวัดมัชฌิมาวาสจะได้ไปเยี่ยม ไปดูว่ายักษ์ 2 ตนนั้นมีลักษณะอย่างไร
อย่างไรก็ตามยักษ์ทั้งสองนั้นก็ไม่ได้ปั้นถูกต้องตามลักษณะเดิมไปหมดทุกอย่าง อาศัยว่ามีลักษณะอย่างนั้นคือยักษ์ตนนั้นก็พอ ยักษ์ตนแรกอยู่ทางซ้ายมือ มีจมูกเล็กๆเป็นงวงช้าง ตนนี้ถ้าไม่ใช่ทศคีรีวันก็ต้องเป็นทศคีรีธร ทำไมถึงต้องออกมาแบบกึ่งกลางอย่างนั้นล่ะ นั่นก็เพราะสีของยักษ์ค่ะ ของวัดมัชฌิมาวาสออกสีขาวทั้งตัว ซึ่งก็ไม่เหมือนของเดิม ที่จริงแล้วทศคีรีวันมีกายเป็นสีแดง ทศคีรีธรมีกายสีเขียว ยักษ์ทั้งสองตนนั้นเป็นยักษ์ฝาแฝด ที่เกิดจากทศกัณฐ์กับนางช้างพัง ทศคีรีวันเป็นพี่ ทศคีรีธรเป็นน้อง เมื่อเกิดแล้วทศกัณฐ์ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ท้าวอัศกรรมมาลา เจ้าเมืองดุรัม พอรู้เรื่องราวที่บิดาตนทำศึกกับพระราม จึงอาสาออกรบ ผลที่สุดก็ตายด้วยศรของพระราม ยักษ์ฝาแฝดนี้เฝ้าประตูของวัดพระแก้ว แล้วยังไปยืนอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วย ทำหน้าที่ส่งเสริมวัฒนธรรมของไทยอยู่หลายที่ด้วยกัน
ยักษ์อีกตนที่อยู่ทางด้านขวามือทางเข้าประตูวัด ครูถามใครๆแล้ว คนที่อยู่มาตั้งแต่เก่าก่อน ก็ไม่มีใครรู้ว่า ยักษ์ตนนี้ชื่ออะไร แต่ครูก็ต้องบอกว่า จะมีอยู่ก็แค่ตนเดียวเท่านั้น ที่นึกได้ เพราะการปั้น เขาปั้นให้มี สองหน้า คือหน้าด้านหนึ่งหัดหน้าออกนอกวัด อีกด้านหนึ่งหันเข้าไปในวัด ลักษณะอย่างนี้มีอยู่ตนเดียวคือ ท้าวสหัสเดชะ ตนนี้เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์เดชมากทีเดียว มีพันพักตร์ สองพันกร ทศกัณฐ์แค่สิบพักตร์ ยี่สิบกร ฤทธิยังมากถึงกับท้ารบกับพระรามได้ นี่มีตั้งพันหน้า คิดดูว่าฤทธิ์มากขนาดไหน เขาถึงเอามาเฝ้าประตูวัด ดูลักษณะของท้าวสหัสเดชะ คือ กายใหญ่โต มีสีขาว 1000หน้า 2000 มือ ตาสีแดงดังดวงอาทิตย์ ได้พรจากพระพรหมให้มีตะบองวิเศษชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น รบกับใครก็ชนะตลอด แต่ก็มาเสียท่าหนุมาน ที่จับตะบองหักทิ้ง แล้วมัดด้วยหาง จากนั้นก็ตัดเศียรกระเด็น ตายไป เดี๋ยวนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิท้าวสหัสเดชะก็ไปยืนเป็นตัวแทนคนไทย ไปทำหน้าที่ต้อนรับชาวต่างประเทศด้วยเหมือนกัน
ที่วัดมัชฌิมาวาสยังมีสิ่งสำคัญๆอีกหลายอย่าง ครูจะเอามาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปค่ะ
รอบรั้ว เมืองอุดรธานี ต้นศรีมหาโพธิ์
Saturday, April 12, 2008
พ.ศ.2428 (1885)
ในปี พ.ศ.2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ยกกองทัพไปทางเหนือหนองคายถึงแขวงเมืองพวนขึ้นไปปราบฮ่อทางหลวงพระบางและเมืองหัวพันห้าทั้งหกซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนประเทศราชของไทย เมื่อศึกปราบฮ่อสงบลงในปี พ.ศ.2434 พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้รับกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการหัวเมืองลาวพวนหรือหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือประทับอยู่ที่หนองคาย
พ.ศ.2436 (1893)
จนเมื่อเกิดปัญหาพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ไทยจำต้องสูญเสียฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและสนธิสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศษเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) ห้ามไทยตั้งกองกำลังทหารประชิดริมฝั่งขวาฟากตะวันตกของแม่น้ำโขงในรัศมี 25 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม จึงย้ายกองบัญชาการมณฑลลาวพวนจากเมืองหนองคาย มาตั้งที่ริมหนองนาเกลือ (หนองประจักษ์ปัจจุบัน) บริเวณบ้านเดื่อหมากแข้ง (หมากแข้ง หมายถึง ต้นมะเขือพวง)
ซึ่งเป็นต้นที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติธรรมดาอยู่หนึ่งต้น โดยอยู่ในบริเวณวัดมัชฌิมาวาสในปัจจุบัน ดังนั้นจึงให้ชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านหมากแข้ง” และเรียกค่ายทหารว่า “ค่ายหมากแข้ง”
พ.ศ. 2436 (1893)
จากหนังสือประวัติวัดมัชฌิมาวาสกล่าวไว้ว่า การย้ายกองบัญชาการดังกล่าวต้องใช้เกวียนประมาณ 200 เล่ม ต้องออกเดินทางมาเป็นลำดับ ผ่านน้ำสวย จนถึงบ้านเดื่อหมากแข้งจึงได้พักกองเกวียนซึ่งอยู่ใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่ข้างวัดมัชฌิมาวาส (ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นที่ตั้งที่ทำการสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี) ต้นโพธิ์ใหญ่ที่ว่า ก็คือต้นศรีมหาโพธิ์ในปัจจุบันนี่แหละ จากนั้นเสด็จในกรมฯจึงได้ให้ออกสำรวจดูห้วย หนอง คลอง บึง ในบริเวณใกล้เคียง จึงให้ตั้งกองทัพในบริเวณนี้ ด้วยเหตุผล 4 ประการคือ
1.เป็นพื้นที่โล่ง (บ้านร้าง เนื่องจากโรคระบาด) จึงไม่ต้องถางป่า และห่างแนวกำหนดมากกว่า 25 กิโลเมตร
2.มีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับกองทัพ
3.เป็นชุมชนทางของสายโทรเลข
4.สามารถติดต่อเชื่อมโยงไปยังเมืองต่างๆได้สะดวก
พ.ศ. 2449 (1906)
จากนั้นในระยะแรกๆบ้านหมากแข้งเป็นเพียงค่ายทหารเท่านั้น ต่อมาจึงมีประชาชนอพยพมาสร้างบ้านเรือนรอบๆค่าย เมื่อบ้านหมากแข้งเรี่มเป็นชุมชนหนาแน่น เสด็จในกรมฯจึงได้ให้ทหารตัดถนนหนทางเชื่อมกันหลายสาย จนมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอมีการปกครองขึ้นกับอำเภอหนองหาน
ครึ้งถึงสมัยเมื่อพระยาศรีสุริยะราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์) มาเป็นข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาลคนแรกนั้นได้สร้างความเจริญให้แก่กิ่งอำเภอหมากแข้งอย่างมากมาย เช่น ก่อสร้างวัดโพธิสมภรณ์, ก่อสร้างถนนโพธิ์ศรี (ถนนโพศรีปัจจุบัน) นับแต่ปี พ.ศ.2449 เป็นต้นมา
พ.ศ. 2450 (1907)
ปีรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฐานะกิ่งอำเภอหมากแข้งขึ้นเป็นเมืองมีชื่อเรียกว่าเมืองอุดรธานี อันเป็นนามที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยคิดขึ้น บ้านหมากแข้งจึงมีฐานะเป็นเมืองอุดรธานีแต่ปี พ.ศ.2450 เป็นต้นมา (มีพิธีตั้งเมืองอุดรเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2450)
ปัจจุบัน จังหวัดอุดรธานีมีอายุครบ 115 ปี ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551 โดยถือเอาวันที่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงย้ายกองบัญชาการมณฑลลาวพวนจากหนองคายมาที่บ้านหมากแข้งเป็นวันก่อตั้งจังหวัดอุดรธานี
เอาละค่ะ ต้นโพธิ์ต้นเดียวที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างถนน บอกเราให้รู้ถึงประวัติความเป็นไปของบ้านเมืองเราได้เป็นอย่างดี ถ้าลูกๆเดินไปแถวนั้น หรือผ่านไปก็ควรที่จะเข้าไปอ่านเรื่องราวต่างๆที่เขาเขียนเล่าเอาไว้นะคะ
รอบรั้ว หนองประจักษ์ Hi punk!!! นกเอี้ยงเจ้าถิ่น
นกอีกพวกหนึ่ง จะไม่เดินบนพื้นดินหรือสนามหญ้า จะเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สูงขึ้นไป ที่เห็นก็มี นกแซงแซวหางปลา ที่ครูเห็นมีอยู่คู่เดียว มักจะอยู่แถวต้นตาลใกล้กับสนามเด็กเล่น นกนางแอ่น ที่บินฉวัดเฉวียนอยู่ทั่ว แล้วก็นกปรอด ที่จริงนกปรอดในอุดรมีมาก หลังบ้านครู จะได้ยินเสียงร้องบ่อยๆ อยู่กันเป็นกลุ่มๆ ถ้าเทศบาลปลูกต้นไม่ใหญ่ๆ สูงๆบางทีนกพวกนี้อาจย้ายมาจากในเมืองเข้ามาอยู่ก็ได้นะ นกปรอดนี่นิยมเลี้ยงกันมากในภาคใต้ เขาเรียกชื่อว่านกกรงหัวจุก เพราะมันมีหงอนเป็นจุกอยู่บนหัว บางครั้งอาจเจอนกกระยางขาว แต่พวกนี้แค่ผ่านๆมา แวะสักหน่อยก็บินออกไป อีกาก็มีค่ะ เพิ่งจะเห็น ถามแม่ค้าแถวนั้นดู เขาบอกว่ามาได้สักสามเดือนมาแล้ว มีอยู่ตัวเดียว
วันนี้ครูจะพูดเรื่องนกเอี้ยงก่อน เพราะครูไปเจอนกเอี้ยงรูปหล่อเข้าตัวหนึ่ง ครูสังเกตเห็นว่ามันแปลกกว่าทุกตัวที่เจอ เลยถ่ายรูปมาให้ดู....ตัวที่อยู่ทางขวามือในรูปนั่น ถ้าวันหลังถ้าได้รูปที่ชัดกว่านี่ จะเอามาเปลี่ยนให้ใหม่ เห็นทรงผมมันมั้ยคะ ครูเรียกมันว่า พังค์ เพราะทรงผมมันออกแนวพวกนั้น อันที่จริง ครูอยากให้ลูกๆ เวลาไปเล่นที่หนองประจักษ์ ได้หัดสังเกตอะไรๆที่นั่นบ้าง ว่าเรามีอะไรใหม่ๆเข้ามา ใครปลูกต้นไม้อะไรที่นั่น ชาวบ้านเขามาปลูกเอง หรือว่าทางเทศบาลปลูก เพราะที่ครูเห็นก็อดที่จะชื่นใจไม่ได้ ที่เขารักสวน ซึ่งก็เป็นของเราทั้งหมด มีชาวบ้านนะคะ ที่เขามากันเป็นกลุ่มๆออกกำลังกาย แล้วก็ช่วยกันดูแลรดน้ำต้นไม้ ช่วยกันปลูก...แต่ก็มีอีกนั่นแหละค่ะ ที่มีคนเห็นแก่ตัว ทิ้งขยะให้เกลื่อนบนพื้น ครูชักจะบ่นไปไกลแล้ว
เอาละ มาเข้าเรื่องนกเอี้ยงของเราดีกว่า นกเอี้ยงเขามีวงศาคณาญาติเหมือนกันนะคะ เรียกสั้นๆว่า วงศ์นกเอี้ยง หรือนกกิ้งโครง มีอยู่ด้วยกัน กว่า 20 วงศ์ มากกว่าร้อยชนิด เพราะนกเอี้ยงนี่อยู่คู่โลกมาตั้งแต่ยุคโลกเก่า คือเอเชีย ยุโรปและอัฟริกา และต่อมาก็ได้ไปเจอแถวทวีปอเมริกาและออสเตรเลีย เอาเฉพาะที่อยู่คู่บ้านคูเมืองของเรา คนไทยเคยเห็นก็แล้วกันนะคะ
1. นกเอี้ยงสาริกา (Common Myna) ตัวนี้แหละค่ะ ที่กระโดดหย็องๆอยู่ในสวนหนองประจักษ์ หัวดำ ตัวสีน้ำตาล เวลาบินจะเห็นวงสีขาวอยู่ที่ปีก มีทั่วๆไปทั้งเมืองเลย
2. นกเอี้ยงหงอนหรือเอี้ยงคำ (Crested Myna) ตัวสีดำ มีหงอนอยู่เหนือจงอยปาก นี่ก็เจอที่หนองประจักษ์ด้วย อยู่รวมกลุ่มด้วยกัน ที่ครูสังเกตดูนะ มีอยู่คู่เดียว
3. นกเอี้ยงด่าง (Pied Starling) แก้มขาว หน้าท้องขาว
4. นกเอี้ยงนวล (Jerdon’s Starling) มีสีขาวแซมตรงหัว หน้าอก ท้อง ปลายหาง
5. นกกิ้งโครงคอดำ (Black-collared Starling) หัวขาว หน้าท้องขาว คอดำ ปีกดำแซมขาว
6. นกขุนทองหรือนกเอี้ยงดำ (Hill Myna) ตัวดำ ปากสีส้ม เท้าเหลือง แก้มเหลือง
ถ้าเราดูรูปของนกทั้งหมดนี่ เราจะเห็นความแตกต่าง ถ้าตัวเล็กๆ ก็จะเป็นนกกิ้งโครง นกเอี้ยงนวลก็ตัวเล็กๆ มีสีขาวตรงหัว หน้าท้องและปลายหาง นกเอี้ยงหงอน ก็จะมีหงอนให้เห็น ตัวที่แบ่งแยกยากสำหรับเราๆก็คือ นกเอี้ยงสาริกา กับนกขุนทอง ครูดูเผินๆว่ามันค่อนข้างคล้ายกัน ทั้งขนาด สี แก้ม เหมือนกันหมด แต่ถ้าเราดูบ่อยๆ ก็จะแยกแยะได้ ถ้าขนดำขลับ ก็นั่นแหละ นกขุนทอง เวลามันร้องก็ร้องเสียงดัง เลียนเสียงต่างๆรอบตัวได้ ไม่ว่านกเอี้ยงหรือนกขุนทองคนมักเอามาเลี้ยง แล้วก็สอนให้มันเลียนเสียงของเรา
รอบรั้ว ประชาธิปไตยในหมู่โจร
Wednesday, April 2, 2008
ทีนี้มาถึงประโยคที่ว่า “ในหมู่โจร...โจรเลือกโจร ได้คนดี” ทำไมถึงเป็นคนดีได้ล่ะ ที่จริงแล้ว คนที่ได้ก็คือ “คนดีของโจร” แล้วเป็นคนดีมั้ยคะคนๆนี้...คำตอบคือ ไม่ค่ะ เขายังเป็นโจรอยู่นั่นเอง แถมเป็นโจรที่เก่งเหนือโจรเสียอีก สามารถใช้วิธีต่างๆที่ชนะใจโจรได้ เป็นผู้แทนโจร...ปล้นได้เท่าไหร่ เอาไปแจกในชุมโจร เอาไปแจกชาวบ้าน รักษาน้ำใจชาวบ้านเอาไว้ คอยเป็นหูเป็นตาให้ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจับได้ เราเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ที่ตำรวจไม่สามารถจับโจรได้ เพราะชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตาให้โจร นั่นเพราะโจร รู้จักเอาชาวบ้านเข้ามาเป็นพวก ในทางการเมืองก็เหมือนๆกันแหละค่ะ นักการเมืองที่ทำตัวเป็นโจร คอยคอรัปชั่นเอาเงินจากภาษีของประชาชน จากเงินงบประมาณที่รัฐจะต้องลงทุน ไปสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ เราก็คงจะได้ยินจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ โกงกันที่นั่น ที่นี่ ในโครงการใหญ่ๆ โจรใส่สูท รวยไปเยอะแล้วค่ะ
แล้ว “ในหมู่คนดี...คนดีเลือกคนดี ได้โจร” หมายความว่าอย่างไร ก็ทำนองเดียวกันนั่นแหละค่ะ คนที่ได้มาก็ยังเป็นคนดีอยู่นั่นเอง...แต่เก่ง เหนือคนดีเหล่านั้น ช่วยเหลือชาวบ้าน ช่วยเหลือคนเดือดร้อน เห็นมั้ยคะ ว่าไม่ได้แตกต่างกันเลย คนดีกับคนเลว ห่างกันนิดเดียว...ตัวอย่างง่ายๆ คนขับแท๊กซี่ เจอเงินที่ผู้โดยสารวางลืมไว้ในรถ..อาจเลยไปนานแล้ว เงินวางอยู่ตรงหน้า...ความเป็นโจรกับความเป็นคนดี มันก็วางอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน จะเลือกเอาด้านไหน...คิดจะเอามาเป็นของตัวมั้ย ไม่มีใครรู้นี่ ถือว่าเป็นโชค คิดอย่างนี้มันก็ต้องเก็บเงินนั้นไว้เอง แต่จะคิดถึงคนที่ลืมเอาไว้บ้างไหม ว่าเขาต้องเดือดร้อนแน่ๆ ที่ทำเงินหายไป โจรจะไม่มองจุดนี้ ไม่มองความเดือดร้อนของคนอื่น แต่ถ้าเป็นคนดี เขาคิดค่ะ อย่างน้อย มันไม่ใช่สมบัติของตัว อย่างนี้ต้องคืนเจ้าของเดิม จิตใจมันต่างกันค่ะ ระหว่างโจรกับคนดี
เราเป็นคนเลือกผู้แทนราษฎร เราเองต้องศึกษาค่ะ ว่าผู้แทนของเราที่จะเลือกเข้าไปนั้น เป็นอย่างไร พรรคของเขามีแนวคิดอย่างไร เขาถือว่าประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ หรือว่าประโยชน์ของตัว ของพรรคพวกตัวเป็นใหญ่ อ่านข่าวตามหนังสือพิมพ์ ฟังนักวิชาการเขาวิจารณ์อย่างไร เอามาคิด เอามาวิเคราะห์ แล้วถึงจะลงคะแนนให้ได้ค่ะ คะแนนของเราแต่ละคะแนนมีค่านะคะ ลงผิดกลายเป็นลงคะแนนให้โจรค่ะ
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด, ประชาธิปไตย
รอบรั้ว ความกลัวห้องสอบ
Tuesday, April 1, 2008
草 อ่านว่า เฉ่า แปลว่า หญ้า
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว สังคมคนประชาธิปไตย น้ำผึ้งหยดเดียว
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนมาชาวบ้านทุกคนต่างรักใคร่สามัคคีปรองดองกันด้วยดี จนกระทั่งมาวันหนึ่งมีคนหาบน้ำผึ้งเดินผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ และบังเอิญทำน้ำผึ้งหยดลงพื้นดินหนึ่งหยด (แค่หยดเดียว) จิ้งจกตัวหนึ่งคลานมาพบก็ตรงเข้าแลบเลียเป็นอาหาร แมวมาเจอจิ้งจกก็รีบกระโดดเข้าตะครุบ สุนัขเห็นแมวก็เข้ามาไล่กัด เจ้าของแมวเห็นสุนัขมากัดแมวของตนเลยเอาไม้ไล่ตี เจ้าของสุนัขได้ยินเสียงร้องก็วิ่งออกมาดู พอรู้ว่าสุนัขของตนถูกเพื่อนบ้านไล่ตี จึงตรงเข้าชกต่อยเจ้าของแมว ญาติของเจ้าของแมวได้ยินเสียงการต่อสู้จึงรีบออกมาช่วย ญาติฝ่ายเจ้าของสุนัขเห็นพรรคพวกของตนถูกทำร้ายก็ออกมาช่วยเช่นกัน การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด จากการใช้มือใช้ไม้กลายเป็นมีด ปืน และอาวุธชนิด ต่าง ๆ จนมีการบาดเจ็บล้มตาย ผู้คนในหมู่บ้านแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ พวกเข้าข้างเจ้าของสุนัขและพวกที่เข้าข้าง เจ้าของแมว เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำจนเหลือกำลังน้อยกว่า ก็ออกไปชักชวนญาติหรือ เพื่อน ๆ ของตนที่อยู่ต่างหมู่บ้านมาช่วย จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง กว่าเจ้าเมืองจะส่ง คนมายุติศึกได้ ผู้คนก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพราะต่างฝ่ายต่างขาดการยับยั้งชั่งใจ และไม่รู้จักการพิจารณาเหตุผล หากเจ้าของสุนัขและเจ้าของแมวเจรจาสอบถามเรื่องราว ให้เป็นที่เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุก่อนที่จะหุนหันพลันแล่นทำอะไรไปตามอารมณ์แล้ว เหตุการณ์คงจะไม่ลุกลามบานปลายเหมือนดังกรณีของน้ำผึ้งหยดเดียวในเรื่องนี้
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด, ประชาธิปไตย
รอบรั้ว โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี วันอำลา
Monday, March 17, 2008
ครูเอง ยังจะเฝ้ามองเธอทั้งหลาย อยากเห็นว่าเธอโตขึ้นแล้ว จะมีอนาคตเป็นอย่างไร...ดีใจค่ะ ที่ได้เจอในที่ต่างๆ แม้จะจำได้ไม่แม่น เพราะเธอโตขึ้นจนผิดหูผิดตา...ขอบใจ ที่บางคนกำลังเรียนแพทย์ เมื่อเจอครู ก็มีความหวังดี พูดว่า คุณครูอย่าเพิ่งป่วยนะคะ รอให้หนูเรียนจบก่อน หนูจะมารักษาคุณครู...แค่นี้ก็ตื้นตันใจแล้วค่ะ
ก็ขอให้เธอทั้งหลายจงประสบกับความสมหวังในการเข้าเรียนในโรงเรียนที่ประสงค์ และสำเร็จในการเรียน จงเป็นเด็กดี อย่าเอาชื่อของโรงเรียนไปทำในทางที่เสียหาย จงตั้งใจเรียนให้มากขึ้น เพราะยิ่งชั้นสูงขึ้น ก็ยิ่งจะต้องพยายามให้มากขึ้น คบเพื่อนก็ต้องระวัง ต้องรู้จักแยกแยะ ว่าคนไหนมีนิสัยเป็นอย่างไร อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ แค่นี้เธอก็จะไม่ตกอยู่ในภาวะตกต่ำแล้วค่ะ
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว หนังอิงประวัติศาสตร์
Thursday, March 13, 2008
ที่ครูสนใจและนั่งดูก็เพราะ เป็นเรื่องของพ่อค้าที่มีคุณธรรม ในหนังมีหลายตอน ที่สอนการทำการค้า ไม่ให้เอาเปรียบลูกค้า ไม่รังแกลูกค้า ไม่รังแกพ่อค้าด้วยกัน อย่างเช่นพวกทุนใหญ่ ไม่ไปรังแกพ่อค้าทุนน้อย ใครไปทำเข้า ก็เข้ากับคำพูดที่ว่า “เหมือนแย่งขนมเด็ก” ซึ่งก็มาจากตอนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ดูไปดูมา มันก็ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ปัจจุบันของเรา มีพ่อค้าที่หนีภาษี มีเจ้านายที่คอรัปชั่น หรือ กินสินบาทคาดสินบน ที่ว่าคาดสินบนก็ดูออกจริงๆว่า เจ้านายนั่นคาดเอาไว้ว่าจะได้สินบนจากพ่อค้า บางคนยอมขายตัวเป็นลูกน้องของนายทุนใหญ่ไปก็มี หรือว่าเหตุการณ์อย่างนี้มีทั่วไปทุกที่ และตั้งแต่ยุคโบราณมาจนถึงยุคนี้ แต่พ่อค้าที่มีคุณธรรม อย่าง อิมซังอ๊ก ก็ไม่พยายามที่จะเลี่ยงภาษี ซึ่งครั้งหนึ่ง เงินภาษีที่ได้จากกลุ่มการค้าของเขาคนเดียว เท่ากับภาษีครึ่งหนึ่งของทั้งอาณาจักรโชซอน เขาไม่ยอมให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ แม้จะยิ่งใหญ่ มีอำนาจขนาดไหน ซึ่งก็ทำให้เขาไม่ได้รับความยุติธรรมในด้านการค้าจากทางราชการ
ครูดูจนจบแล้ว ทั้ง 50 ตอน ที่ฉายในเมืองไทยยังไม่จบ แต่ไปดูจากเว็บไซท์ของจีน ฟังไม่ค่อยออกหรอก เพราะพากย์เป็นภาษาจีนล้วนๆ แต่ก็เดาออกว่ามันหมายความว่าอย่างไร
ทีนี้ เรามาพูดเรื่องนี้กัน ถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ว่าหนังซีรี่ย์อิงประวิติศาสตร์ของเกาหลีเป็นอย่างไร ดูแล้วรู้สึกอย่างไร ครูว่า หนังอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของคนในสมัยก่อนๆ ไม่ว่าในการปกครอง การกดขี่ของระบบขุนนาง ที่มีต่อราษฎร ที่เรียกกันในหนังว่าไพร่ การที่จะหาจุดยืนในสังคม ใช่ว่าจะอยู่รอดปลอดภัย หลายๆครั้งต้องหนีจากภยันตรายจากขุนนาง เหตุผลแค่ เป็นที่น่าสงสัย ว่าจะกระด้างกระเดื่อง การสอบสวน ก็ล้วนแต่ทารุณทั้งนั้น มันน่ากลัว... ที่น่ายกย่องก็คือ ระเบียบ ประเพณี วัฒนธรรม ที่ยังเอามาให้เราดู ว่าคนในสมัยโน้น เขาถือประเพณีเอาไว้ มั่นคง คำพูด คำสอนต่างๆ ที่เอาออกมาให้เราฟังล้วนแต่สอนใจ ภาษิตต่างๆที่เราได้ยินกัน ล้วนแต่มาจากคนรุ่นก่อนทั้งนั้น เราจะได้ยินคำคมๆเหล่านั้นจากหนังเกาหลี ของไทย ครูยังไม่เคยได้ยินสักคำ เห็นแต่ที่พูดกัน คือ การแก่งแย่ง ตบตีกัน ...เป็นซะอย่างนั้น
อยากเห็นหนังของไทย เอาอย่างดีๆอย่างเขาบ้าง ครูว่า ตั้งแต่ดูหนังเกาหลีแนวประวัติศาสตร์มาแค่ 3 เรื่อง จะวาดแผนที่โบราณของเกาหลีได้แล้ว เขาสอนประวัติศาสตร์ให้คนดูไปในตัว ขณะที่เขียนเรื่องนี้อยู่นี่ ภาพอาณาจักรโชซอนโบราณ มันผุดขึ้นอยู่ในความคิด ตรงไหนเป็นเมืองแพกเจ พูยอ ชิลลา น่าคิดนะคะ เราไม่ได้สร้างหนังแนวประวัติศาสตร์ให้เรา ได้ชื่นชมกับการต่อสู้เพื่อบ้านเมืองของบรรพบุรุษของเรามากนัก เท่าที่เห็น ถึงมีก็มีฉากที่เด็กๆจะต้องปิดตาดูเสียอีก ในขณะที่เกาหลีสร้างเป็นตัวอย่างที่ให้เราดู ไม่ได้มีฉากรักให้เห็น ซึ่งตัวผู้แสดงเขาสามารถบอกได้จากสายตา ว่ารัก ว่าชัง ว่าชื่นชม ว่าเสียใจ ว่าผูกเจ็บ ว่าแค้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากออกมาสักคำ เขาแสดงได้ค่ะ ส่วนของเราแสดงออกมาหมด ทั้งกริยาท่าทาง เสียงที่ตะโกนออกมา รวมทั้งตบให้ดูเป็นตัวอย่างให้เด็กดู เรียกว่าครบเครื่องปัญญาอ่อน
Labels: ดูหนัง ฟังเพลง, ทั่วไป ตามใจคิด