Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว พุทธศาสนา วันธรรมสวนะ

Tuesday, February 19, 2008



วันธรรมสวนะ คือวันกำหนดประชุมฟังธรรม หรือที่เรียกว่า วันพระ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ 4 วัน ในเดือนๆหนึ่ง คือ วันขึ้น 8 ค่ำ วันขึ้น 15 ค่ำ วันแรม 8 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำ วันทั้ง 4 นี้ ถือเป็นวันกำหนดประชุมฟังธรรมโดยปกติ


การเข้าร่วมกิจกรรมในวันธรรมสวนะและหลักปฏิบัติ

1.ไปทำบุญที่วัด เข้าร่วมทำวัตรและรักษาอุโบสถศีล

2.ฟังพระธรรมเทศนา และร่วมสนทนาธรรมกับพระสงฆ์หรือผู้รู้

3.บำเพ็ญสมาธิภาวนา


นี่คือบทสรุปสั้นๆของวันธรรมสวนะ สำหรับในชั้นเรียนนี้ แต่ครูขอเติมอีกสักนิดค่ะว่า เดี๋ยวนี้สำหรับคนที่ต้องไปทำงาน นักเรียนที่ต้องไปเรียน ต้องห่างเหินวัด ไม่เหมือนกับในสมัยก่อน เพราะเราไม่ได้หยุดไปประกอบศาสนกิจ ฟังเทศฟังธรรมกันในวันพระ เราจะได้ไป ก็ในเฉพาะวันที่สำคัญจริงๆ อย่างเช่นวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา อะไรอย่างนี้


เล่าย้อนหลังไปในอดีตสักช่วงหนึ่ง ในปี 2479 (ครูยังไม่ได้เกิดนั่นแหละ) สมัยโน้นทางราชการเขาให้หยุดเรียนในวันพระนะคะ นี่แสดงว่านักเรียนรุ่นคุณปู่ คุณพ่อของครู เขาได้ไปวัดกัน เพราะโรงเรียนเขาปิดให้ ตอนครูยังเด็กครูเองก็ได้ไปวัดกับคุณยายของครูอยู่เป็นประจำ ต้องไปนอนวัด ถืออุโบสถศีลหรือศีล 8 ในวันนั้น ข้าวเย็นนี่ต้องอดค่ะ นั่นเพราะเนื่องมาจาก ในสมัยโน้น เขาให้ความสำคัญกับการปฏิบัติศาสนกิจ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไป สำหรับคนที่เอาใจใส่ในหลักของศาสนาแล้ว ก็ต้องไป เอาเป็นว่า ยังไงๆเสีย ปู่ย่าตายายของเราก็ต้องชวนเราไปวัด จนกระทั่ง ถึงเดือนตุลาคม 2500 ก็ได้มาเปลี่ยนแปลงมาหยุดในวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการทำงานแบบชาติตะวันตก จนถึงบัดนี้ก็ 51 ปีเข้าไปแล้ว แล้วเป็นอย่างไร....เดี๋ยวนี้ ถ้าจะฟังเทศฟังธรรม ก็ต้องไปหาวัดกันเองในวันหยุด....อย่างครูนี่ก็ต้องไปโน่นค่ะ...อำเภอบ้านผือ วัดนาหลวง วัดอภิญญาเทสิตธรรม เดือนละครั้ง คือทุกวันเสาร์ ที่ 2 ของเดือน จากเดือนละ 4 ครั้ง เหลือเดือนละครั้ง แต่ก็เอาละ ถือว่าพอได้ไปวัดไปวากับเขาบ้าง... แต่ถ้าเราเอาการปฏิบัติศาสนกิจของเรา ไปเทียบกับประเทศศรีลังกา...ครูว่าเขาเอาใจใส่มากกว่าบ้านเรานะคะ เท่าที่ครูได้อ่านมา เขาจะหยุดในวันพระขึ้น 15 ค่ำด้วย และเพื่อความยุติธรรมกับศาสนาอื่น ของฮินดู 3 วันของมุสลิม 3 วัน ของคริสต์ 2 วัน หยุดให้ด้วย แล้วประธานาธิบดีของเขาก็ไปวัด การทำบุญ สวดมนต์ก็ถ่ายทอดทางทีวีไปทั่วประเทศ ครูอยากให้ประเทศเราทำอย่างนั้นด้วยค่ะ แถมประเทศเขาเป็นตัวตั้งตัวตี ให้สหประชาชาติถือว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลอีก (International Recognition of Vesak) โดยมีเราและประเทศต่างๆที่นับถือศาสนาพุทธร่วมมือกันเสนอ แล้วก็สำเร็จ ประเทศเขามีชาวพุทธประมาณ 18 ล้านคนค่ะ เห็นมั้ยคะ ว่าเขาใส่ใจกับศาสนาพุทธกันขนาดไหน


รูปที่เอามาให้ดู เป็นรูปของประธานาธิบดีของศรีลังกา ที่นั่งฟังเทศน์ในทำเนียบค่ะ


อ้างอิง//พระเทพโสภณ// http://oldwww.mcu.ac.th/vesak/history_article2_sub1_th.html?trnslang=th

Photo//http://www.dmc.tv/pages//Srilanka_Buddhist_holy_day.html

Posted by ครูพเยาว์ at 5:39 PM

รอบรั้ว ประวัติศาสตร์ เกาะหมาก ปีนัง

Saturday, February 16, 2008


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ครูได้รับของฝากจากเพื่อนๆครูหลายๆคน ที่ซื้อมาฝากจากมาเลเซีย จากการที่คณะครูได้ไปศึกษา-ดูงาน ที่สิงคโปร์และมาเลเซีย ของฝากชิ้นหนึ่งที่เตะตาครู คือพวงกุญแจ ของปีนัง มันทำให้เราคิดถึงเมืองนี้ไม่ได้ ถ้าเราศึกษาเรื่องการเสียดินแดน ของประเทศไทย.... เราได้เสียดินแดนเกาะนี้ไป นับเป็นอันดับแรกทีเดียว ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถ้าถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2551 เมื่อไหร่ละก็ ครบ 222 ปีพอดี คำนวณตัวเลขเอาก็แล้วกันว่าตั้งแต่ พ.ศ. เท่าไหร่ค่ะ เมื่อก่อนเป็นเมืองของไทย ชื่อว่า เกาะหมาก อังกฤษได้ขอเช่าไป เมื่อตกไปเป็นของมาเลย์ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นปีนัง ซึ่งก็แปลว่าหมากเหมือนเดิม

เกาะหมาก ในการปกครองของอังกฤษนั้นก็เจริญรุ่งเรื่อง มีชาวไทยภาคใต้ได้ส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือกันที่นั่น เพราะจะได้มีความรู้ ภาษาจีน และอังกฤษดี คนรุ่นก่อนๆของครอบครัวครู ก็เรียนหนังสือกันที่นั่นเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิด โรงเรียนที่มีชื่อ คือ จุงหลิง สอนเกี่ยวกับเรื่องพาณิชย์ ธุรกิจ การที่ไม่ได้ส่งลูกหลานมาเรียนในกรุงเทพ เหมือนกับทุกวันนี้ ก็เพราะการเดินทาง เป็นสาเหตุ อันหนึ่งเหมือนกัน จะไปกรุงเทพซักครั้ง ดูว่ามันไกล จากภาคใต้ ถ้าเอาฝั่งด้านอันดามัน จากภูเก็ต จะไปเกาะหมากมันง่าย จากตรังก็ไปที่ท่าเรือกันตัง มันก็ใกล้ ซึ่งถ้าดูจากระยะทางจากกรุงเทพ ถึงเกาะหมากแล้ว การดูแล เรื่องการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ต้องบอกว่า แทบจะปล่อยให้เป็นอิสระไปเลยทีเดียว ยังเสียดายมั้ยคะ กับสูญเสียเกาะหมาก เสียดายค่ะ เพราะคนไทยยังตกค้างที่นั่น ยังมีอยู่

ถ้าใครไปภูเก็ต ไปที่เขารังจะผ่านถนน คอซิมบี้ด้วย คุณครูที่ไปปีนัง ไม่ทราบว่าได้ผ่านถนนที่ชื่อว่า คอซิมบี้ หรือเปล่า (Jalan Khaw Sim Bee) นั่นเป็นชื่อถนน ที่เขาเอาชื่อของคนไทย เชื้อสายจีน ไปตั้งเป็นชื่อถนนค่ะ คอซิมบี้ก็คือ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ท่านผู้นี้คือเจ้าเมืองตรัง และต่อมาได้เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต สมัยก่อนบ้านของท่านอยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่ายังอยู่กันหรือเปล่า แต่ในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7 ยังมีอยู่ เพราะกรมสมเด็จพระยาดำรงฯ เสด็จลี้ภัยอยู่ที่บ้านของพระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง-เจ้าเมืองระนอง) ประมาณปี 2476 เอาละค่ะ ให้พอเป็นที่สังเกตจากชื่อต่างๆของคนที่มีบ้านเดิมอยู่ปีนังตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ว่าเป็นคนไทย เชื้อสายจีน ซึ่งในภาคใต้แล้ว มีจำนวนมาก รูปภาพข้างบนนั่น ที่เอามาประกอบเรื่องเป็นทางแยกระหว่างถนนเวสต์แลนด์และถนน คอซิมบี้ในปีนังค่ะ จะเห็นว่าเป็นถนนแคบๆ เหมือนๆกับภูเก็ต และมารยาทการจอดรถยนต์ก็ทำให้คนที่นั่น รำคาญกันพอสมควรค่ะ

เอาเรื่องเกาะหมากและคนไทยในเกาะหมากมาพูดพอสมควรแล้ว และได้พูดถึงเรื่องการเสียดินแดน ถึงไหนๆแล้ว ก็พูดถึงเรื่องการเสียดินแดนทางภาคใต้อีกเรื่องหนึ่งซึ่งจะครบ 100 ปี ในเดือนหน้า คือ วันที่ 10 มีนาคม 2551 เมื่อ 100 ปีที่แล้ว เราเสียรัฐกลันตัง ตรังกานูและปลิสให้แก่อังกฤษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจศาลไทย ที่จะบังคับคนอังกฤษในประเทศไทย จะเห็นว่าในสมัยก่อนโน้น การเข้ายึดดินแดน เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่มีอำนาจทางทหาร ด้านอาวุธ เข้ามายังกับโจรปล้น ไอ้เสือเอาวา!!!! แล้วก็ปล้นชิงเอา ซึ่งๆหน้า สู้ไม่ได้ก็ยอมๆไป...แต่เดี๋ยวนี้ เขามีวิธีรุกแบบใหม่ เข้ามาทางด้านเศรษฐกิจ ลูกๆดูซิคะ ว่าเขาเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรของเราไปอย่างไร แล้วเราก็ยินดีไปด้วย แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ว่าเขาเข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากบ้านเมืองเราไป ไม่ว่าด้านไหน ธนาคาร ร้านค้า เครื่องดื่ม อาหาร ของขบเคี้ยว ฯลฯ เราต้องจ่ายเงินซื้อ แล้วเงินนั้นก็หายไปในต่างประเทศ ลูกๆต้องขยัน เรียนหนังสือ พัฒนาบ้านเมืองของเรา สร้างของๆเราเอง ไม่ต้องพึ่งต่างชาติ ถ้าเราเก่งแล้ว เราก็จะสู้กับต่างชาติได้ ดูอย่างสิงคโปร์ซิคะ เล็กนิดเดียว แต่คนของเขาเก่ง มีความรู้ มีการศึกษา พัฒนาประเทศจนมีอำนาจทางเศรษฐกิจ ขยายอิทธิพลไปทั่ว เราเอง ก็ยังเสียเปรียบอยู่เลยค่ะ

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว ครูก็ต้องมาพูดย้ำอีกละค่ะ ว่า ลูกๆที่จะไปเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า ต้องดูแลบ้านเมืองของเรา ไม่อยากให้ประเทศของเราต้องเสียเปรียบเขา เราเองต้องพัฒนา ต้องขยันหมั่นเพียร ในช่วงวัยเรียน ก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด คือเรียน เรียน เรียนและเรียน ต้องรักกันให้มาก อย่าแตกแยกกัน แม้จะมีความคิดเห็นต่างกัน ต้องฟังคนอื่นด้วย แล้วเอามาคิดพิจารณา ว่าความคิดของคนอื่นนั่น ผิดหรือถูก นะคะ


อ้างอิงจาก//ส.ศิวรักษ์ http://www.sulak-sivaraksa.org/th/index.php?option=com_content&task=view&id=448&Itemid=3
หอมมรดกไทย/ทำเนียบหัวเมืองของไทย// http://www.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/city/city.html
Photo//http://www.penang360.blogspot.com/

รอบรั้ว ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย

Sunday, February 10, 2008


ช่วงนี้ได้เข้าไปสู่ช่วงการตั้งรัฐบาล "ประชาธิปไตย" ......ที่จริงแล้ว คำๆนี้ได้ยินบ่อยๆ แต่บางครั้ง ก็งง งง งง กับคำๆนี้ ส่วนตัวแล้วชอบฟังการอภิปราย ชอบอ่านเรื่องราวต่างๆของนักการเมือง ที่ก้าวเข้าไปสู่สภาได้ด้วยวิถีประชาธิปไตย ที่เอาเสียงส่วนมากเป็นใบเบิกทาง แล้วก็เข้าไปสู่การโกงกินต่างๆ จับได้ ก็เข้าคุกบ้าง โดนภาคทัณฑ์บ้าง คดีที่ค้างคาอยู่ในศาลก็ยังรอตัดสินอยู่อีกบานเบอะ บางท่านยังไม่ยอมมาศาลก็มีข่าวให้เห็นตำตา ทำให้นึกถึงคำสอนของท่านพุทธทาส ที่เคยกล่าวในเรื่องประชาธิปไตยไว้ว่า


"...ถ้าหากว่ามันเป็นประชาธิปไตยแห่งการเห็นแก่ตัว มันก็เป็นประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง ใช่หรือไม่ใช่? เพราะถ้าเห็นแก่ตัวแล้ว, มันก็ต้องยื้อแย่งแน่... มันจึงเขยิบขึ้นเป็นอันดับที่๒ ว่า...มันเป็นประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง, มีสิทธิ์ที่จะยื้อแย่ง, ยื้อแย่งโดยทุกอย่างทุกทาง.... ยื้อแย่งซึ่งหน้า มือใครยาวก็สาวเอา... อย่างนี้ก็เป็นประชาธิปไตย ผู้มีอำนาจ มีอะไรก็บอกว่า มันก็มีสิทธิ ที่จะทำ ที่จะหา ที่จะรวบรวม. คนยากจน ก็มีสิทธิ ที่จะหา ที่จะทำ ที่จะรวบรวม; เมื่อไม่ได้มันก็มีสิทธิที่จะต่อสู้ มันก็เป็นประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง."


ตกลงแล้ว เราก้าวเข้าไปสู่ประชาธิไตยแห่งการยื้อแย่งหรือเปล่า หรือว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วแค่นี้ ก็ควรจะพอใจ...เรื่องนี้พูดในที่ทำงานไม่ได้ค่ะ เพราะถ้าพูดแล้ว มักจะโต้กัน แล้วก็จะแตกแยก เพราะพอเริ่มพูดก็ต้องต่อไปด้วยพรรค...แล้วก็ลามไปที่พรรคของใคร


ที่จริงแล้ว พรรคการเมืองต้องไม่ใช่พรรคของใครคนใดคนหนึ่ง หรือถือสิทธิเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้โดยคนๆเดียว ที่จริงแค่นี้ ก็พอบอกเลาๆได้ว่า พรรคนั้นพรรคนี้เป็นอย่างไร แต่ไม่มีใครอยากรับรู้...เพราะเราเพิ่งจะผ่านเรื่อง "ธนาธิปไตย" มาหยกๆ...แล้วก็ไพล่ไปคิดว่านั่นคือประชาธิปไตย...หารู้ไม่ว่า นั่นคือประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง ที่มาทางช่องธนาธิปไตยค่ะ


เอาคำพูดของท่านพุทธทาส อีกสักตอนค่ะ เกี่ยวกับประชาธิปไตย


“ธรรม กับ การเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ;... แยกกันเมื่อไร การเมืองก็กลายเป็นการ ทำลายโลกขึ้นมาทันที นักปราชญ์การเมืองแต่โบราณ... ขอร้องให้ทุกคนเป็นสัตว์การเมือง ( Political animal ) คือ มีหน้าที่สนใจการเมือง... ร่วมกันจัดสังคมให้อยู่กันอย่างสงบสุข โดยไม่ต้องใช้อาชญา ; แต่คนสมัยนี้ ทำได้มากเกินไป ขนาดที่เรียกว่า การเมืองขึ้นสมอง แล้วใช้การเมืองนั้นเอง เป็นเครื่องมือที่กอบโกย หรือฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ดังนั้น แทนที่การเมือง จะตั้งอยู่ในฐานะเป็นเรื่องศีลธรรม ก็กลายเป็นเรื่อง อุปัททวะจัญไร ในโลกไปเสีย. เมื่อกล่าวโดยปรัชญาทางศีลธรรม การเมืองก็คือหน้าที่ของมนุษย์ ที่เขาจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อันเฉียบขาด เพื่อผลคือ การอยู่กันอย่างผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่เมื่อไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรมกันเสียแล้ว การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรกสำหรับ หลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย มีแต่สัตว์การเมือง ที่เป็นสัตว์เอาเสียจริงๆ กล่าวคือ บูชาเรื่องกิน-กาม-เกียรติ แทนสันติสุข .มีใครสักกี่คน ที่เป็นนักการเมืองเพื่อเอาบุญด้วยการช่วยสร้างสันติภาพขึ้นในโลก ? และมีกี่คนที่เป็นนักการเมืองเพื่อตัวกู ของกู และมีผลกลายเป็นเรื่องของกิน-กาม-เกียรติ ที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว. นักการเมืองที่แท้จริงต้องมีการสังกัดพรรค ขึ้นอยู่กับพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นยอดสุดของนักการเมือง โดยท่านมุ่งหมายจัดสากลจักรกลให้อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่มนุษย์เป็นอันธพาลเสียเอง : จัดการเมืองอย่างเป็นพรรคของมารหรือกิเลส ซึ่งควรเปรียบด้วยภูต ผี ปีศาจ,.... เพื่อกู ของกู... โดยไม่ต้องมองดูประโยชน์ของผู้อื่น เป็นการท้าทาย และเหยียบหยามพระเจ้า ! การเมืองที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ ต้องตั้งรากฐานอยู่บนรากฐานทางศาสนาของทุกศาสนาที่มีอยู่ว่า “สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น” นักการเมืองที่มีธรรมสัจจะ ข้อนี้อยู่ในใจ ย่อมเป็นนักการเมืองของพระเจ้า การเคลื่อนไหวของเขาทุกกระเบียดนิ้ว มีแต่บุญกุศล จนกระทั่งกลายเป็นปูชนียบุคคลไป. “ขอภาวนาให้โลกเรามีนักการเมืองชนิดนั้น เป็นผู้จัดการโลกโดยทั่วไปเถิด.”

(พุทธทาสภิกขุ. ในวาทกรรมทางการเมือง รวบรวมโดย ไพโรจน์ อยู่มณเฑียร ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)


ถ้าเรามองการเมืองอย่างรู้เท่าทัน ก็จะเป็นการดีค่ะ...เวลาพูดกัน ก็พูดกันรู้เรื่อง ไม่ใช่มาแบ่งแยกกัน แค่เข้าใจ วิถีการเมือง จุดมุ่งหมายของการเมือง ของนักการเมืองด้วย ว่าที่เข้าไปนั้นเพื่อผลประโยชน์ของใคร ของเรา....หรือของนักการเมือง นายทุนนักการเมือง

Posted by ครูพเยาว์ at 9:52 AM

รอบรั้ว พุทธศาสนา วันมาฆบูชา

Saturday, February 9, 2008


วันมาฆบูชา
ความหมาย วันมาฆบูชาหมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ เป็นคำที่ย่อมาจาก วันมาฆปุรณมีบูชา ต่อมาวันมาฆบูชา ทางรัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติเมื่อปี ๒๕๔๙


ความสำคัญ วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา ๖ และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส ถือว่าวันนี้เป็นวันที่ระลึกถึงเหตุการสำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ๔ อย่าง ดังที่จะกล่าวในประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมา

ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน ๓


ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ คือ


๑. วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓


๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมาย


๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖


๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจาก พระพุทธเจ้าเพราะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่าว จึงมีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต และในโอกาสนี้ พระพุทธเจ้า ได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประกาศหลักการอุดมการณ์ และวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา

การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย

พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่าจาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวดมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์ ๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชา ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธีในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็นอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔


หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ

หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ ๓, อุดมการณ์ ๔, และวิธีการ ๖ ดังนี้

หลักการ ๓ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โอวาท ๓

๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็นความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกามความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม

๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะการทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนิวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่

๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)

๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)

๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)

๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ

๕. ความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง


อุดมการณ์ ๔

๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ

๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น

๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ

๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘


วิธีการ ๖

๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร

๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม

๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ

๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดี

Posted by ครูพเยาว์ at 3:16 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา วิธีฝึกสมาธิในชีวิตประจำวัน


บางครั้งเราไปที่วัด เราจะเห็นพระ เห็นเณร เราจะสังเกตว่าในแต่ละวัดที่เราไป ลักษณะ กริยา ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าการเดิน การพูด บางวัดท่านสำรวมเอามาก สังเกตได้ทันทีจากลักษณะการเดิน แต่บางวัด ท่านเดินเหมือนกับเราๆท่านๆ หันมองดูนั่นดูนี่ไปตลอดทาง ไม่ค่อยสำรวม เห็นมั้ยคะ ว่าการสังเกตของเรานั้น จะมองดูคนออกว่า นิสัยเป็นอย่างไร ฝึกมาอย่างไร หรือไม่ได้ฝึกมา


หลังจากสังเกตดูพระแล้ว เราลองหันมารอบๆตัวเรา สังเกตคนที่อยู่รอบๆข้างเราดู ว่าเป็นอย่างไร คนนี้เป็นใคร อาชีพอะไร เราพอรู้แล้วเขาเป็นอย่างไร ถ้าเขาเป็นนักเรียน ลักษณะที่ดีของนักเรียนเป็นอย่างไร มีระเบียบวินัยไหม เราสังเกตได้ใช่หรือเปล่าคะ เช่นการแต่งกาย เอาชายเสื้อใส่ไปกางเกงมั้ย หรือชายเสื้อลอยอยู่ด้านนอก นี่ ดูออกแล้ว ว่าเขาเป็นอย่างไร การพูดจา ก็ดูออกอีก ว่านิสัยเป็นอย่างไร ถ้าลูกๆโตขึ้น ก็จะดูคนในสังคมได้กว้างขึ้น เช่น ครูคนนี้เป็นอย่างไร ตำรวจอย่างนี้เป็นอย่างไร นักการเมืองพรรคนี้เป็นอย่างไร ทำไมเขาถึงกังวลกับฝ่ายค้าน ทำไมเขาไม่อยากให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เขากลัวอะไร อย่างนี้เป็นต้น


ทีนี้เรามาเข้าเรื่อง "วิธีฝึกสมาธิในชีวิตประจำวัน" ค่ะ ว่าทำอย่างไร อย่างหนึ่งที่จะเป็นของแถมให้กับเราอย่างวิเศษก็คือ เราจะดูเป็นคนเยือกเย็น ใจเย็น ใครพบเห็นก็สบายอกสบายใจค่ะ เพราะเราจะดูสบายตาสำหรับคนที่มาเห็นเรา เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งค่ะสำหรับคนที่สำรวมกาย วาจา ใจ สำรวมสติ


1. การฝึกสมาธิโดยการยืน การเดิน การนั่ง และการนอนอย่างมีสติ

การยืน ควรยืนด้วยอาการสำรวม ยืนตัวตรง ก้มหน้าพองาม

การเดิน ควรเดินด้วยอาการสำรวม มีสติ ขณะก้าวเดินก็กำหนดรู้ตามอาการเดิน

การนั่ง ควรนั่งด้วยอาการสำรวม มีสติไม่วอกแวก กำหนดสติให้สงบนิ่งอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเป็นการนั่งเพื่อทำการฝึกสมาธิโดยตรงก็ปฏิบัติตามวิธีการฝึกสมาธิ

การนอน ให้นอนตะแคงข้างขวา กำหนดจิตให้มีสมาธิ และมีสติระลึกอยู่เสมอ หรือจะนอนกำหนดลมหายใจเข้า - ออก โดยภาวนาว่าพุท - โธ


2. วิธีฝึกสมาธิโดยกำหนดความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน 6 )

ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราจะต้องรับรู้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่เราสัมผัสได้ทางตาคือมองเห็น ทางหูคือการได้ยิน ทางจมูกคือการดมกลิ่น ทางลิ้นคือการลิ้มรสและทางกายคือการได้สัมผัส ทางใจคือการรับร้อารมณ์ความร้สึกต่างๆเช่น ชอบ หรือไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้มีทั้งดีและไม่ดี ดังนั้นเราควรฝึกจิตของเราให้มีสติ กำหนดให้รู้ว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี สิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ

เมื่อนักเรียนมีสติอยู่กับตัว ก็ควรดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ระมัดระวังรอบคอบ ตั้งมั่นอยู่ในความดีเสมอ


3. วิธีฝึกสมาธิในการฟัง อ่าน คิด ถาม และเขียน


1. การฟัง ฟังด้วยใจจดจ่อและความสนใจ จับใจความว่าผู้พูดพูดเรื่องอะไรมีประโยชน์อย่างไร


2. การอ่าน กำหนดสติว่าเรากำลังอ่านเรื่องเกี่ยวกับอะไรมีสาระสำคัญอะไรบ้าง


3. การคิด เมื่อฟังหรืออ่านแล้วต้องคิดพิจารณาตามอย่างมีเหตุผล


4. การถาม เมื่อฟังหรืออ่านเกิดความสงสัย ควรถามครูหรือผู้ที่มีความรู้เพื่อความกระจ่าง


5. การเขียน เขียนด้วยความรอบคอบ มีสมาธิจดจ่อ เพื่อบันทึกความรู้ที่ถูกต้องตามสิ่งที่ได้ฟัง ได้อ่าน ได้คิดหรือถามมา


ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น จะเห็นว่าถ้าใครปฏิบัติได้ ก็จะมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าไปทุกทางเลยค่ะ ไม่ว่าในด้านใด ลูกๆต้องฝึกปฏิบัตินะคะ เพราะว่า การฝึกจิตให้มีสติ - สัมปชัญญะและให้มีสมาธินั้น จะทำให้จิตใจผ่องใสและร่างกายสดชื่น ไม่มีความเครียด ดำเนินชีวิตด้วยความหนักแน่น อยู่ในความดีเสมอ ถ้าจิตของเราเป็นสมาธิแล้วจะคิดอ่านหรือศึกษาอะไรก็ทำได้ทะลุปรุโปร่งทำให้เกิดปัญญา ประสบผลสำเร็จในชีวิตอยู่เสมอ

Posted by ครูพเยาว์ at 12:25 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา ประโยชน์ของการบริหารจิตและเจริญปัญญา


หลังจากครูได้นำบทความจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์มาให้อ่าน ก็มาพูดถึงเรื่องผลดีของการบริหารจิต และเจริญปัญญา ตามแบบเรา ซึ่งต่างชาติเขาจะมองแค่ นั่งสมาธิ ทำสมาธิ เห็นมั้ยคะ แม้แต่การเรียกการนั่งสมาธิก็ยังแตกต่างกัน ฝรั่งพูดง่ายๆค่ะ Meditation คำเดียวจบ ถ้ายิ่งได้อ่านบทความของเขาที่เขาสอน จะยิ่งง่ายกว่าเข้าไปอีก ลองอ่านดูค่ะ นี่ก็จาก Time เหมือนกัน

How to Meditate
You can teach yourself in a matter of minutes by following a few simple steps
Posted Sunday, July 27, 2003

1. FIND A QUIET PLACE (หาที่เงียบๆซักที่ มันง่ายที่จะมีสมาธิ)

If it helps, turn out the lights. The fewer distractions you have, the easier it will be to concentrate
2. CLOSE YOUR EYES (หลับตาลง เพื่อที่จะไม่ให้มีสิ่งเร้าเข้ามากระทบ)

The idea is to shut out the outside world so your brain can stop actively processing information coming from the senses
3. PICK A WORD, ANY WORD (หาคำที่จะกล่าวบริกรรม สักคำ อะไรก็ได้)

Find a word or phrase that means something to you, whose sound or rhythm is soothing when repeated
4. SAY IT AGAIN AND AGAIN (แล้วก็ท่องบริกรรมไป เพื่อช่วยให้มีสมาธิ)

Try saying your word or phrase to yourself with every outbreath. The monotony will help you focus


ง่ายเสียเหลือเกิน ใช่มั้ยคะ เอาละทีนี้ก็เข้ามาบทเรียนของเราเลยค่ะ "ประโยชน์ของการบริหารจิตและเจริญปัญญา"


**เรียนหนังสือได้ดี เพราะมีความจำแม่นยำ

**ทำสิ่งใดไม่ค่อยพลาด เพราะมีสติสัมปชัญญะ

**สามารถทำงานได้มาก และมีประสิทธิภาพ

**ทำให้โรคภัยบางอย่างหายไปได้

**ทำให้เป็นคนอารมณ์เย็น มีความสุขใจ และมีผิวพรรณผ่องใส

**ทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข

**สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างเหมาะสม

**นอนหลับสนิท ไม่ฝันร้าย และอื่นๆอีก


มีบทความอีกมากค่ะที่นายแพทย์ชาวต่างประเทศเขียนบทความเอาไว้ถึงผลพลอยได้จากการนั่งสมาธิ ซึ่งก็ตรงกันกับที่เราเรียนอยู่ค่ะ เพราะฉนั้น เราเองซึ่งเป็นชาวพุทธอยู่ควรปฏิบัติ นั่งสมาธิ แล้วก็มีจิตใจที่มั่นคง ไม่วอกแวก ไปกับอะไรๆ ที่เข้ามากระทบกับ หู ตา จมูก กาย ใจ ของเราค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 11:03 AM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ทึ่งนั่งสมาธิ



ไทยโพสต์ ***นักวิทยาศาสตร์ต่างชาติระบุ นั่งสมาธิ เจริญสติสัมปชัญญะและปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ จะส่งผลดีและช่วยพัฒนาศักยภาพของสมอง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาธิเมืองไทยยืนยันเห็นด้วย พร้อมชี้ทุกวันนี้คนทั่วไปดึงประสิทธิภาพของสมองมาใช้ได้เพียงแค่ 7% เท่านั้น
ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ได้ทำการทดลองสแกนคลื่นสมองของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมมามากกว่า 10,000 ช.ม. ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า "Magnetic Resonance Imaging" เปรียบเทียบกับผู้ฝึกสมาธิในขั้นเริ่มต้น พบว่าพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำจะมีคลื่นสมองที่เป็นระเบียบมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นการทดลองยังพบอีกว่า ในระหว่างที่ทำสมาธิอยู่นั้น ในกลุ่มพระสงฆ์จะมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มผู้ที่ฝึกสมาธิในระยะเริ่มต้นมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวถูกนำเสนอไปที่ประชุมหัวข้อ "จิตใจและชีวิต" ครั้งล่าสุดที่ประเทศอินเดีย ซึ่งมีองค์ทะไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งทิเบต เป็นประธานในการประชุม เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจทั้งจากนักวิทยาศาสตร์ในแขนงต่างๆ และผู้ศึกษาธรรมะเป็นจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติธรรมหรือทำสมาธิที่มีต่อร่างกายไว้เช่นกัน เช่น เฮอร์เบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการทดลองโดยสังเกตผู้นั่งสมาธิ จำนวน 35 คน เพื่อศึกษาอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อุณหภูมิผิวหนัง พบว่าช่วงที่นั่งสมาธิพวกเขาใช้ออกซิเจนลดลง 17% มีอัตราการเต้นของหัวใจลดลง 3 ครั้งต่อนาที และมีอัตราคลื่นสมองเกิดขึ้นเช่นเดียวกับผู้ที่นอนหลับ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำสมาธิเป็นประจำยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมี เกร็ก จาร์ค็อป ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาฮาร์วาร์ดเช่นกัน ได้ทำการทดลองโดยแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้ทำสมาธิ กลุ่มที่ 2 ให้ฟังเทปจากการอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาผ่อนคลาย พบว่าหลายเดือนต่อมากลุ่มแรกมีคลื่นสมองเกิดขึ้น เหมือนช่วงเวลานอนหลับ เนื่องจากการนั่งสมาธิจะไปลดการทำงานของสมองส่วนบนที่รับรู้เรื่องเวลาและสถานที่
ด้าน นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้ศึกษาเกี่ยวกับธรรมะและสมาธิ กล่าวว่า ทุกวันนี้คนทั่วไปใช้จิตหรือเซลล์สมองไม่เกิน 7% ของศักยภาพที่มีอยู่ทั้งหมด ขณะที่ผู้เป็นอัจฉริยะระดับโลกก็ใช้เซลล์สมองเพียง 8-10% เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าหากมนุษย์พัฒนาศักยภาพของสมองเพื่อนำเซลล์สมองที่ไม่ได้ถูกใช้ ซึ่งมีอีกถึงกว่า 90% ก็น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความคิดได้อีกมากมาย
เมื่อยังเด็กสมองทั้งในส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลและจินตนาการของคนส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน แต่เมื่อโตขึ้นสมองซีกซ้ายที่ควบคุมการทำงานด้านเหตุผลกลับโตอยู่ข้างเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพของสมอง ต้องหมั่นเจริญสติสัมปชัญญะ นั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรม ด้วยการปล่อยจิตให้เหมือนกระดาษเปล่า หรือแก้วน้ำที่ว่างเปล่า เปิดใจรับทุกอย่างตามความเป็นจริง โดยไม่ตั้งกรอบใดๆ ไว้ และปล่อยความคิดให้ลื่นไหลสำหรับการสร้างสรรค์ นั่นคือการใช้ศักยภาพสมองของสมองซีกขวา อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของสมองโดยรวมต่อไป.


ภาพจาก Time. บทความจากหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์


ไหนๆก็เรียนเรื่องการนั่งสมาธิแล้วก็อยากให้อ่านข้อเขียนจากเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติที่มาศึกษาค่ะว่า การมีสมาธินั้น ดีอย่างไร อยากให้ลูกๆที่ศึกษาเรื่องนี้จากบทเรียน เอาไปปฏิบัติอย่างจริงจังค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 10:16 AM

รอบรั้ว พุทธศาสนา วิธีฝึกปฏิบัติการบริหารจิตและเจริญปัญญา

Friday, February 8, 2008


ทีนี้ เรามาถึงบทเรียนการฝึกปฏิบัติการควบคุมจิตเบื้องต้นแล้ว ครูว่านี่คือความแปลกของศาสนาพุทธของเรา เป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติเฝ้ามองดู ชาวพุทธทำอะไร....นั่งหลับตา นิ่ง เงียบๆ ในหนังจีน พระจีนก็ทำท่า อามิตตาพุทธ....บ่งบอกถึงความเป็นพุทธะ เราเองเป็นชาวพุทธ นี่ไม่ใช่ความแปลก แต่เป็นวิธีปฏิบัติขั้นต้น ที่จะเข้ามาเป็นพุทธอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่สวดมนต์เป็น กราบพระได้ แล้วมาบอกว่าเป็นพุทธ นั่นมันแค่เปลือกนอก


การบริหารจิตและเจริญปัญญา เป็นการฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องอื่นๆ จนจิตเกิดสมาธิ เมื่อจิตมีสมาธิ ทำให้เกิดปัญญาขึ้น นักเรียนควรฝึกการบริหารจิตนี้ทุกวัน วันละประมาณ 10-15 นาที ซึ่งสามารถฝึกได้ดังนี้


1.) นั่งคุกเข่า ประนมมือ และตั้งใจกล่าวคำนมัสการพระพุทธเจ้า และคำบูชาพระรัตนตรัย

คำนมัสการพระพุทธเจ้า

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (กล่าว 3 จบ)


แล้วก็ต่อกับคำบูชาพระรัตนตรัยว่า

อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยานิ

อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ

อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ


2.) จากนั้นก็สวดบทสรรเสริญพระรัตนตรัย เพื่อระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยว่า

อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา
พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง


พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ
ข้าพเจ้าของอภิวาทพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น (กราบ 1 ครั้ง)

สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
พระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมอันดีเลิส

ธัมมัง นะมัสสามิ
ข้าพเจ้าขอนมัสการพระธรรม (กราบ 1 ครั้ง)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
พระสงฆ์คือสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว

สังฆัง นะมามิ
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ (กราบ 1 ครั้ง)


3.) ตัดความกังวลต่างๆให้หมด แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ดังนี้

"ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าอย่างประเสริฐ ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ"

เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ให้ตั้งใจแน่วแน่ มุ่งปฏิบัติในการเจริญสมาธิภาวนา


4.) ทีนี้มาเริ่มกันเลยค่ะ หลังจากไหว้ครูมา 3 ข้อ (พระพุทธเจ้าเป็นบรมครูของเราเลยนะคะ)....ให้นั่งขัดสมาธิ เอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย เอามือขวาทับมือซ้าย วางมือบนหน้าตัก นั่งตัวตรง เพื่อให้ลมหายใจเดินสะดวก กำหนดสติไว้ให้มั่นคง


5.) ภาวนาในใจว่า "พุท" เมื่อหายใจเข้า และ "โธ" เมื่อหายใจออก เพื่อให้จิตมีเครื่องยึด ปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนจิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน


6.) ก่อนจะเลิกบำเพ็ญสมาธิ ให้กราบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้ง จากนั้นให้แผ่เมตตาและกรวดน้ำอย่างย่อว่า

อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย

ขอผลแห่งบุญกุศลนี้ จงมีแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงมีความสุขกายสุขใจ


จบแล้วค่ะ...กับการนั่งสมาธิเบื้องต้น แต่ผลของการสงบจิตใจนั้นจะส่งผลดีแก่เราแน่นอน ซึ่งการทำสมาธินี้ยังมีขั้นตอนที่สูงขึ้นต่อไปอีก และจะต้องมีพระอาจารย์คอยให้คำแนะนำเมื่อเรามีความก้าวหน้าในการนั่งสมาธิ.
Photo :: TIME Magazine

Posted by ครูพเยาว์ at 6:52 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา การสวดมนต์ไหว้พระ


การฝึกไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน สามารถทำได้ จะเรียกว่า อุบายอย่างหนึ่งก็ได้ นอกจากการทำอานาปานะสติ นั่นก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ เป็นวิธีการที่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้สวดมีจิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านหรือคิดเรื่องอื่นๆ เป็นการอบรมจิตใจให้สะอาด และเป็นการปลูกศรัทธา ให้มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนา


บทสวดมนต์ที่นักเรียนควรฝึกสวดเป็นประจำ คือ บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นบทสวดมนต์ที่ทางโรงเรียนกำหนดให้นักเรียนสวดทุกเช้าก่อนเข้าห้องเรียน และสมควรอย่างยิ่งที่จะสวดอีกครั้งก่อนนอน กราบลงบนหมอนงามๆสักสามครั้งก่อนนอนนะคะ


อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา

พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง

พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ

ข้าพเจ้าของอภิวาทพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น (กราบ 1 ครั้ง)

สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม

พระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมอันดีเลิส

ธัมมัง นะมัสสามิ

ข้าพเจ้าขอนมัสการพระธรรม (กราบ 1 ครั้ง)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

พระสงฆ์คือสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว

สังฆัง นะมามิ

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ (กราบ 1 ครั้ง)


หลังจากสวดมนต์แล้ว เราควรแผ่เมตตาแก่ผู้อื่น เป็นการส่งความปราถนาดีให้มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้มีความสุข และให้พ้นทุกข์ทั้งปวง ดังนั้นหลังจากเราทำบุญกุศล เช่นสวดมนต์ไหว้พระ ตักบาตรพระแล้ว ควรแผ่เมตตาให้ผู้อื่นทุกครั้งด้วยค่ะ เพื่อเป็นการลดความเห็นแก่ตัวให้ตัวเอง เรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า "เอาบุญมาฝากด้วยนะ" จากคนเฒ่าคนแก่ที่ไปวัด ทำบุญ ฟังเทศน์มา เราก็บอกว่า "สาธุ" ยินดีกับบุญกุศลที่เขาได้ทำไป...นี่ก็เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของเรานะคะ "เอาบุญมาฝาก"นี่


เอาละ...บทแผ่เมตตา


สัพเพ สัตตา...สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

อเวรา โหนตุ...จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย

อัพพะยาปัชชา โหนตุ...จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีพยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อะนีฆา โหนตุ...จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ...จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด


เห็นมั้ยคะ ในบทสวดนั้น ล้วนปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมโลกทั้งสิ้น ไม่ให้มีทุกข์ ไม่ก่อทุกข์ แต่ในความเป็นจริง เรามีคนที่ได้รับทุกข์อยู่ทั่ว จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จากข่าวหนังสือพิมพ์ วางระเบิดกันเอย ลอบยิงกัน ทำร้ายกัน ในต่างประเทศลากอาวุธเท่าที่มี ที่คิดออกมาได้ ไล่ฆ่ากัน ยังกับอยู่ในโลกล้านปี ที่ศาสนายังไม่เกิด ยังไม่มีใครสอน เราเป็นชาวพุทธ ควรที่จะสังวรเรื่องนี้ให้มาก และต้องหนีห่าง จากเรื่องเหล่านั้น

Posted by ครูพเยาว์ at 1:18 PM

รอบรั้ว พุทธศาสนา การบริหารจิตและเจริญปัญญา


เมื่อวานไปเดินออกกำลังกายที่หนองประจักษ์ ได้เห็นคนที่ทิ้งโฟมพลาสติกลงบนพื้น ทั้งๆที่ไม่ไกลนัก มีถังขยะรองรับอยู่ พลันใจก็นึกโกรธ สังเวช ว่าทำไมคนเราถึงมักง่ายกันได้เพียงนี้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าใจของเรามันแสดงออกมาว่าโกรธแล้วนะ ก็พยายามสะกดเอาไว้ ใจเรานี่มันสำคัญจริงๆ ที่จริงต้องบอกว่าสะกดอารมณ์เอาไว้ ไม่ให้มันเลยเถิดออกไป เช่นไปว่ากล่าวตักเตือนเขา มันอันตราย ถ้าเขาจะโกรธตอบแล้วสะกดอารมณ์ไม่อยู่ เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว เมื่อท่านรัฐมนตรีวัฒนธรรม คุณหญิงไขศรี ไปเห็นนักศึกษาแต่งตัวไม่สุภาพ ไม่สมกับเป็นนักศึกษา ท่านเข้าไปเตือน ก็โดนย้อนคืนว่า "มันเรื่องอะไรของป้าล่ะ" อะไรทำนองนี้ เรื่องอย่างนี้ เรามีสอนในพระพุทธศาสนาค่ะ เกี่ยวกับจิตใจ เกี่ยวกับอารมณ์ ซึ่งมันจะคอยบงการเรา หรือว่าเราจะฉลาดขึ้นพอที่จะบงการมันได้


เราจะมาเรียนเรื่องนี้กันค่ะ...คือเรื่องการบังคับจิตใจของเรา ว่าควรจะทำอย่างไร ควรฝึกอย่างไร แต่ก่อนอื่นนั้น ในชั้นนี้ เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า สิ่งที่เราจะฝึกในขั้นต่อไปนั้น มันมีตัวอะไรบ้าง เป็นการรู้เรา รู้เขาค่ะ


ตัวแรก..สติสัมปชัญญะ ค่ะ มันเป็น 2 คำติดกัน เหมือนคู่แฝด ไปไหน ไปด้วย สติ หมายถึงระลึกได้ คือก่อนที่จะทำหรือจะพูดสิ่งใด ต้องมีสติระลึกอยู่เสมอว่า สิ่งที่จะพูดหรือทำนั้นดี หรือไม่ดี สมควรทำหรือไม่ เมื่อระลึกได้แล้วจึงค่อยทำหรือพูด สัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัว คือรู้ตัวขณะที่ทำ ขณะที่พูด คนที่มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิต จะเป็นผู้ที่ทำการงานได้ไม่ผิดพลาด และประสบผลสำเร็จ สติสัมปชัญญะนั้น เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่สนับสนุนไม่ให้เกิดความประมาท


ตัวที่สอง...สมาธิ หมายถึง ความตั้งมั่นของจิต หรือสำรวมใจให้แน่วแน่ คนเราโดยส่วนมากแล้ว มักคิดอะไรๆฟุ้งไปหมด ชั่วไม่กี่นาที คิดได้ไปนับสิบเรื่อง เรื่องนั้น เรื่องนี้ ประดังเข้ามาในความคิด การที่จะบังคับมันไม่ไห้คิดเตลิดไปเรื่องโน้น เรื่องนี้ ต้องฝึกค่ะ อย่างเช่นการฝึกสมาธิโดยอานาปานสติ คือ การเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า...ลมหายใจออก


ตัวที่สาม...ปัญญา หมายถึง ความรู้ทั่ว ความฉลาดรอบรู้ที่เกิดจากการเรียนและการคิด พระพุทธศาสนากล่าวเกี่ยวกับการทำให้เกิดปัญญา มี 3 ทาง ดังนี้ค่ะ

1.) สุตมยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง การเล่าเรียน นั่นก็คือ ฟังมาก เกิดปัญญา

2.) จินตมยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการคิด พิจารณาหาเหตุผล นั่นก็คือ คิดมาก เกิดปัญญา

3.) ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการฝึกอบรม ลงมือปฏิบัติ นั่นก็คือ ทำมาก เกิดปัญญา

Posted by ครูพเยาว์ at 12:26 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ ประโยชน์ของดิน

Thursday, February 7, 2008


ประโยชน์ของดิน ดินมีประโยชน์มากมายมหาศาลต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คือ

1. ประโยชน์ต่อการเกษตรกรรม เพราะดินเป็นต้นกำเนิดของการเกษตรกรรมเป็นแหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ ในดินจะมีอินทรียวัตถุและธาตุอาหารรวมทั้งน้ำที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช อาหารที่คนเราบริโภคในทุกวันนี้มาจากการเกษตรกรรมถึง 90%

2. การเลี้ยงสัตว์ ดินเป็นแหล่งอาหารสัตว์ทั้งพวกพืชและหญ้าที่ขึ้นอยู่ ตลอดจนเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์บางชนิด เช่น งู แมลง นาก ฯลฯ

3. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แผ่นดินเป็นที่ตั้งของเมือง บ้านเรือน ทำให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมของชุมชนต่าง ๆ มากมาย

4. เป็นแหล่งเก็บกักน้ำ เนื้อดินจะมีส่วนประกอบสำคัญ ๆ คือ ส่วนที่เป็นของแข็ง ได้แก่ กรวด ทราย ตะกอน และส่วนที่เป็นของเหลว คือ น้ำซึ่งอยู่ในรูปของความชื้นในดินซึ่งถ้ามีอยู่มาก ๆ ก็จะกลายเป็นน้ำซึมอยู่คือน้ำใต้ดิน น้ำเหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมลงที่ต่ำ เช่น แม่น้ำลำคลองทำให้เรามีน้ำใช้ได้ตลอดปี

5. การท่องเที่ยว ที่ดินเป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งทิวทัศน์ตามธรรมชาตินั้นสวยงาม แปลกตา เป็นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชม เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ

6. ด้านอุตสาหกรรม เป็นที่ตั้งของโรงงานต่างๆ

7. ด้านธรรมชาติ เป็นพื้นที่ป่าไม้ให้มีสิ่งมีชีวิตพึ่งพาอาศัย

Posted by ครูพเยาว์ at 9:14 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ ปัญหาการใช้ดิน และการบำรุงรักษาดิน


ปัญหาการใช้ทรัพยากรดิน ดินส่วนใหญ่ถูกทำลายให้สูญเสียความอุดมสมบูรณ์ หรือตัวเนื้อดินไปเนื่องจากการกระทำของมนุษย์ และการสูญเสียตามธรรมชาติทำให้เราไม่อาจใช้ประโยชน์จากดินได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การสูญเสียดินเกิดได้จาก

1. การกัดเซาะและพังทลายโดยน้ำ น้ำจำนวนมากที่กระทบผิวดินโดยตรงจะกัดเซาะผิวดิน ให้หลุดลอยไปตามน้ำ การสูญเสียบริเวณผิวดินจะเป็นพื้นที่กว้าง หรือถูกกัดเซาะเป็นร่องเล็ก ๆ ก็ขึ้นอยู่กับความแรง และบริเวณของน้ำที่ไหลบ่าลงมาก

2. การตัดไม้ทำลายป่า การเผาป่า ถางป่าทำให้หน้าดินเปิด และถูกชะล้างได้ง่ายโดยน้ำและลมเมื่อฝนตกลงมา น้ำก็ชะล้างเอาหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ไปกับน้ำ ทำให้ดินมีคุณภาพเสื่อมลง
3. การเพาะปลูกและเตรียมดินอย่างไม่ถูกวิธี การเตรียมที่ดินทำการเพาะปลูกนั้นถ้าไม่ถูกวิธีก็จะก่อความเสียหายกับดินได้มากตัวอย่างเช่น การไถพรวนขณะดินแห้งทำให้หน้าดินที่สมบูรณ์หลุดลอยไปกับลมได้ หรือการปลูกพืชบางชนิดจะทำให้ดินเสื่อมเร็ว การเผาป่าไม้ หรือตอข้าวในนา จะทำให้ฮิวมัสในดินเสื่อมสลายเกิดผลเสียกับดินมาก ดินที่เป็นกรด เกษตรกรแก้ไขได้โดยการใช้ปูนขาวหว่าน และไถพรวนให้เข้ากับดิน


การอนุรักษ์ดิน ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการพังทลายหรือการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดินนั้น จะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ติดตามมา เช่น ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ทำให้เกษตรกรต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาบำรุงดินเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล ตะกอนดินที่ถูกชะล้างทำให้แม่น้ำและปากแม่น้ำตื้นเขิน ต้องขุดลอกใช้เงินเป็นจำนวนมาก เราจึงควรป้องกันไม่ให้ดินพังทลายหรือเสื่อมโทรมซึ่งสามารถกระทำได้ด้วยการอนุรักษ์ดิน

1. การใช้ที่ดินอย่างถูกต้องเหมาะสม การปลูกพืชควรต้องคำนึงถึงชนิดของพืชที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของดิน การปลูกพืชและการไถพรวนตามแนวระดับเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน นอกจากนี้ควรจะสงวนรักษาที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ไว้ใช้ในกิจการอื่น ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย เพราะที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมในการเพาะปลูกมีอยู่จำนวนน้อย

2. การปรับปรุงบำรุงดิน การเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน เช่น การใส่ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก การปลูกพืชตระกูลถั่ว การใส่ปูนขาวในดินที่เป็นกรด การแก้ไขพื้นที่ดินเค็มด้วยการระบายน้ำเข้าที่ดิน เป็นต้น

3. การป้องกันการเสื่อมโทรมของดิน ได้แก่ การปลูกพืชคลุมดิน การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชบังลม การไถพรวนตามแนวระดับ การทำคันดินป้องกันการไหลชะล้างหน้าดิน รวมทั้งการไม่เผาป่าหรือการทำไร่เลื่อนลอย ถ้าผิวดินไม่มีพืชคลุมเมื่อฝนตกน้ำฝนก็จะชะเอาผิวดินที่อุดมสมบูรณ์ให้ไหลไปตามน้ำโดยเร็ว วิธีป้องกันจึงต้องให้มีพืชคลุมดินไว้เสมอ การทำสวนบนเนินหรือไหล่เขาที่มีความลาดเอียง หากไถเป็นร่องจากที่สูงลงไปต่ำแล้วฝนตก จะชะล้างผิวดินลงไปยังที่ต่ำได้เร็วมาก ดินจะเสื่อมความอุดมสมบูรณ์อย่างรวดเร็วด้วย หากจะทำการเพาะปลูกบนเนิน หรือไหล่เขา ก็ควรเลือกวิธีอนุรักษ์ดิน เช่น

ก. การปลูกพืชตามแนวระดับ ใช้วิธีการไถพรวน หว่าน ปลูก และเก็บเกี่ยวพืชขนานไปตามแนวระดับเดียวกัน ขวางความลาดเอียงของพื้นที่

ข. การปลูกพืชแบบขั้นบันได ใช้วิธีการสร้างคันดินหรือแนวหินขวางความลาดเอียงของพื้นที่ แล้วปลูกพืชบนขั้นบันได วิธีการดังกล่าวจะชะลอการชะล้างพังทลายของดิน เริ่มตั้งแต่การลดความรุนแรงของเม็ดฝนที่ตกลงมากระแทกกับผิวดิน การควบคุมน้ำไหลบ่าทั้งปริมาณและความเร็วและการเพิ่มความต้านทานของดินมิให้แตกตัวได้เร็ว แม้ว่าการปลูก พืชจะเป็นการช่วยอนุรักษ์ดินวิธีหนึ่งแต่การปลูกพืชชนิดเดียวซ้ำซากอยู่ในที่เดิมตลอดเวลาจะทำให้ดินจืดขาดธาตุอาหาร จึงจำเป็นต้องปลูกพืชหมุนเวียนและเพิ่มสารอินทรีย์ในดินอาจกระทำได้โดยใช้ปุ๋ยพืชสด ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก ซึ่งปุ๋ยอินทรีย์เหล่านี้จะช่วยให้ดินมีความสามารถอุ้มน้ำ ดีขึ้น อากาศแทรกซึมได้สะดวกและลดอัตราการสูญเสียหน้าดิน แต่การใช้ปุ๋ยนั้นก็ต้องใช้ให้พอเหมาะมิฉะนั้นพืชจะไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ เนื่องจากการเกิดดินโดยกระบวนการตามธรรมชาติต้องใช้เวลานานมาก ไม่ทันความต้องการใช้ดินที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับดินบางส่วนถูกชะล้างพังทลายไป
ค. การปลูกหญ้าแฝก โครงการนี้เป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ควรอย่างยิ่งที่เราทั้งหลายจะต้องทำตาม เพราะนั่นเป็นการช่วยปรับโครงสร้างของดินที่เสื่อมโทรม ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของดิน และในกรณีที่เป็นแนวลาดชัน หญ้าแฝกจะเป็นแนวกั้นไม่ให้ถูกน้ำชะล้างจนเกิดการพังทลาย
ง. การจัดทางระบายน้ำ เป็นการช่วยระบายน้ำ ไม่ให้เกิดภาวะน้ำขังจนดินรับน้ำไม่ไหว และเกิดการพังทลาย

Posted by ครูพเยาว์ at 8:01 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ องค์ประกอบและชนิดของดิน

องค์ประกอบของดิน
ดินมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 อย่างคือ สารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ อากาศ และน้ำ
1.) สารอินทรีย์ ได้จากการสลายตัวของสิ่งมีชีวิตที่เน่าเปื่อยผุพังสลายตัวทับถมอยู่ในดินของซากพืช ซากสัตว์ และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไส้เดือน แมลง จุลินทรีย์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ช่วยให้ดินมีลักษณะร่วนซุย มีสีดำหรือสีน้ำตาล ที่เรียกว่า ฮิวมัส (Humus) มีประมาณ 5 %

2.) สารอนินทรีย์ ได้จากการสลายตัวของหินและแร่ อนินทรีย์สารเหล่านี้ประกอบด้วยธาตุซิลิกอน และอะลูมีเนียมเป็นส่วนใหญ่ มีเหล็ก แคลเซียม โพแทสเซีย มและแมกนีเซียม ปนบ้างเล็กน้อย ธาตุเหล่านี้พบอยู่ในรูปแร่ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ ไมกา แร่พวกเฟอร์โรแมกนีเซียนซิลิเกตและแร่ดิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของดิน ดินแต่ละที่จะมีแร่ธาตุในดินในปริมาณแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุต้นกำเนิดเดิมของดิน มีประมาณ 45 %

3.) อากาศ แทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน มีก๊าซคาร์บอนมอนไดออกไซด์ สูงกว่าอากาศบนผิวดิน ดินที่โปร่งมีรูพรุนมาก จะมีการระบายอากาศได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ่ต่อการหายใจ ของสิ่งมีชีวิตในดิน มีประมาณ 25 %

4.) น้ำ แทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน น้ำในดินจะช่วยละลายแร่ธาตุต่าง ๆ ทำให้รากพืชสามารถดูดธาตุอาหารขึ้นไปใช้ประโยชน์ในการสังเคราะห์แสงได้ มีประมาณ 25 %
จากการรวมตัวกันขององค์ประกอบทั้ง 4 ส่วนนี้ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และเกิดในปริมาณที่เหมาะสม จึงทำให้ดินเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพืช


ชนิดของดิน ดินมีหลายชนิด ในชั้นนี้เราจะแบ่งชนิดของดิน ตามชั้นของดิน และลักษณะของดิน



1.) แบ่งตามชั้นของดิน เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชั้น
ก. ดินชั้นบน เป็นดินที่มีอินทรีย์วัตถุปนอยู่มาก จึงเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชต่างๆ
ข. ดินชั้นล่าง เป็นดินที่มีเนื้อดินแน่นและแข็ง มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อพืชน้อย

2.) แบ่งตามลักษณะของดิน เราสามารถแบ่งออกได้ 3 ลักษณะ
ก. ดินทราย มีทรายปนอยู่ 70 % เนื้อดินหยาบ ไม่อุ้มน้ำ เหมาะสำหรับพืชที่ต้องการน้ำน้อย
ข. ดินเหนียว มีเนื้อดินละเอียด อุ้มน้ำได้ดี ถ้าแห้งเนื้อดินจะแข็งมาก เหมาะสำหรับปลูกพืชที่ต้องการน้ำมาก
ค. ดินร่วน มีเนื้อดินโปร่ง น้ำซึมผ่านได้ง่าย มีฮิวมัสปนอยู่มาก เหมาะสำหรับปลูกพืชส่วนใหญ่

Posted by ครูพเยาว์ at 7:19 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ จักรวาลและกาแล็กซี

Monday, February 4, 2008


เรื่องนี้น่าเขียน เพราะเด็กๆทุกคนชอบ ชอบที่จะคิดไปผจญภัย ไปในโลกที่กว้างใหญ่ ก้าวไปในอวกาศ สังเกตว่ามีเด็กไทยไม่น้อยที่ได้รับรางวัลในการตอบคำถามเกี่ยวกับดาราศาสตร์ นั่นเพราะเขามีแรงที่อัดแน่นอยู่ภายใน อยากรู้ อยากเห็นว่าในอวกาศอันไกลโพ้นนั้น มีชีวิตอื่นอีกไหม เราจะดูหนังเกี่ยวกับอวกาศอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่สร้างมา ทำเงินได้ทุกเรื่อง

จากการศึกษาของนักดาราศาสตร์ ทำให้เราทราบว่าในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่นอกโลกเรานี้ มีกลุ่มดาวฤกษ์อีกมากมายหลายกลุ่ม รวมทั้งฝุ่น ก๊าซและวัตถุท้องฟ้าอื่นๆอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่อย่างมีระบบด้วยแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน นักดาราศาสตร์เรียกกลุ่มดาวฤกษ์จำนวนมากมายหลายๆกลุ่มรวมทั้งสิ่งอื่นๆที่อยู่รวมกันนี้ว่า "กาแลกซี" หรือ "ดาราจักร"

นักดาราศาสตร์พบว่า กาแลกซีมีจำนวนมากมายและมีรูปร่างต่างกันไป บางกาแลกซีมีรูปร่างคล้ายกังหัน บางกาแลกซีมีรูปร่างเป็นวงรี บางกาแลกซีไม่มีรูปร่าง
ถ้านักเรียนเคยสังเกตท้องฟ้าในคืนเดือนมืด ในยามที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง บางครั้งจะเห็นทางสีขาวสว่าง พาดผ่านท้องฟ้า ท่ามกลางกลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ เราเรียกทางสีขาวนี้ว่า "ทางช้างเผือก" หรือที่ชาว
กรีกโบราณเรียกว่า "ทางน้ำนม" (Milky Way)

ทางช้างเผือกเป็นชื่อของกาแลกซีหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งฝุ่น ก๊าซ และวัตถุท้องฟ้าอื่นๆ ประกอบกันประมาณแสนล้านดวง เราเรียกว่า "กาแลกซีทางช้างเผือก" หรือ "ดาราจักรทางช้างเผือก"

กาแลกซีทางช้างเผือกนี้ เป็นที่อยู่ของโลกเราและระบบสุริยะ ระบบสุริยะจะอยู่บนแขนของกาแลกซีทางช้างเผือก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็จะรู้สึกว่า โลกของเรานี้ช่างเล็กเสียเหลือเกิน เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับ "เอกภพ" หรือ "จักรวาล" เพราะเอกภพเป็นที่อยู่ของอาณาจักรของดวงดาวจำนวนมากมายมหาศาล ไม่มีที่สิ้นสุด ประกอบด้วยกาแลกซีประมาณแสนล้านกาแลกซี หรือจะกล่าวว่า เอกภพหรือจักรวาล ก็คือระบบกาแลกซีนั่นเอง

Posted by ครูพเยาว์ at 6:32 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ การกำเนิดของดิน

Sunday, February 3, 2008

กำเนิดของดิน

การเกิดของดินจะเกี่ยวข้องกับการผุพังสลายตัวของทั้งอินทรียสาร และอนินทรียสาร กับการสังเคราะห์วัตถุใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของกระบวนการสร้างดินต่างๆ และอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยควบคุมการเกิดดิน โดยทั่วไปมักจะแยกกระบวนการเกิดของดินออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ ด้วยกันคือ กระบวนการทำลาย และกระบวนการสร้าง ซึ่งกระบวนการทั้งสองแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันหรือเกิดกระบวนการทำลายขึ้นก่อนแล้วเกิดกระบวนการสร้างดินตามมาก็ได้



กระบวนการทำลาย

หมายถึงกระบวนการที่ทำให้หิน แร่ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ เกิดการอ่อนตัวลง สลายตัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือเปลี่ยนไปเป็นสารใหม่ และทับถมรวมตัวกันเกิดเป็นวัตถุต้นกำเนิดดินขึ้น ซึ่งอาจเกิดอยู่กับที่ หรืออาจถูกพาหะต่างๆ พัดพาออกไปจากที่เดิมและไปสะสมรวมตัวกันใหม่ในแหล่งอื่นก็ได้

กระบวนการสร้างตัวของดิน

คือกระบวนการที่ทำให้เกิดพัฒนาการของลักษณะต่างๆที่ปรากฏอยู่ในดิน เช่น สีดิน เนื้อดิน โครงสร้าง ความเป็นกรดเป็นด่าง รวมถึงการเกิดเป็นชั้นต่างๆ ขึ้นในหน้าตัดดิน ซึ่งลักษณะเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะบ่งบอกถึงตวามแตกต่างของดินแต่ละชนิดแต่ละประเภท และสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไปถึงชนิดของวัตถุต้นกำเนิด กระบวนการ และผลของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อกระบวนการสร้างตัวของดิน ณ บริเวณนั้น อาทิเช่น สีของดินมีความสัมพันธ์กับ ปริมาณอินทรียวัตถุในดิน และความเปียกแห้งของดิน โดยทั่วไปดินที่มีสีคล้ำควรจะมีอินทรียวัตถุมากกว่าดินสีจาง สีเทาที่ปรากฏอยูในหน้าตัดดินบ่งบอกถึงสภาวะที่ดินมีการขังน้ำ หรือการพบจุดสีประในดินบ่งบอกถึงสภาพที่ดินมีการเปียกสลับแห้ง เป็นต้น

โดยสรุปจึงอาจกล่าวได้ว่า ดินเป็นผลลัพธ์โดยตรงของหิน แร่ ที่สลายตัวผุพังแล้ว ทับถมกันเกิดเป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน เมื่อผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุ และผ่านกระบวนการทางดิน จะปรากฏลักษณะและเกิดเป็นชั้นดินต่างๆ ขึ้น ซึ่งเราสามารถประเมินคุณสมบัติและจำแนกดินออกเป็นชนิดๆ ได้โดยการศึกษาลักษณะ และชั้นดินต่างๆ ที่เรียงต่อเนื่องกันจากข้างบนลงไปข้างล่างจนถึงชั้นหินที่สลายตัวหรือชั้นของวัตถุอื่นๆ

ชั้นต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในหน้าตัดดิน แบ่งเป็นชั้นดินหลักได้ 5 ชนิดด้วยกัน คือ O-A-E-B-C แต่ชั้นที่เป็นองค์ประกอบหน้าตัดดินอาจมีชั้น R อยู่ใต้สุดของชั้นดินหลักด้วย โดยทั่วไปแล้วชั้น R ถือว่าเป็นชั้นหินพื้น (bed rock) ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับชั้นดินหลักตอนบนหรือไม่ก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุต้นกำเนิดและกระบวนการทางธรณีที่เกี่ยวข้อง ชั้นดินหลักต่างๆ มีลักษณะโดยทั่วไปดังนี้

ชั้น O หรือชั้นดินอินทรีย์ ตามปกติจะอยู่ตอนบนสุดของหน้าตัดดิน เป็นชั้นที่ประกอบด้วยอินทรียวัตถุเป็นส่วนใหญ่ มีสีค่อนข้างดำจัด ประกอบด้วยเศษซากพืชต่างๆ ที่ยังไม่ผุพังสลายตัว หรือมีการสลายตัวบ้างแล้วเป็นบางส่วนชั้นดินแบบนี้มีอยู่แต่เพียงในสภาพของป่าไม้หรือทุ่งหญ้าที่สามารถให้อินทรียวัตถุได้เป็นจำนวนมากเท่านั้น
Oi เป็นชั้นวัสดุอินทรีย์ที่ซากพืชหรือสัตว์มีการสลายตัวเพียงเล็กน้อย ยังสามารถสังเกตเห็นลักษณะดั้งเดิมได้
Oe เป็นชั้นวัสดุอินทรีย์ที่ซากพืชหรือสัตว์มีการสลายตัวปานกลาง
Oa เป็นชั้นวัสดุอินทรีย์ที่ซากสารอินทรีย์มีการสลายตัวมาก จนไม่สามารถสังเกตเห็นลักษณะดั้งเดิมได้

ชั้น A เป็นชั้นดินแร่ (mineral horizon) เกิดอยู่บนผิวหน้าของดิน หรือใต้ชั้น O ลักษณะเด่นของชั้นดิน A คือเป็นชั้นที่ประกอบด้วยอินทรียวัตถุที่สลายตัวแล้วผสมคลุกเคล้าอยู่กับแร่ธาตุในดิน มีสีคล้ำ หรืออาจพบลักษณะที่บ่งชี้ว่ามีการไถพรวน

ชั้น E หรือ ชั้นชะล้าง ป็นชั้นดินบนตอนล่างที่มีการชะละลาย (leaching) หรือมีการเคลื่อนย้ายออก(eluviation) มากที่สุดของวัสดุต่างๆ เช่น ดินเหนียว เหล็ก และอะลูมินัมออกไซด์ เป็นผลให้เกิดการสะสมของแร่ที่มีความคงทนต่อการสลายตัว เช่น ควอร์ตซ์ในอนุภาคขนาดทรายและทรายแป้งในปริมาณที่สูง ลักษณะเด่นคือเป็นชั้นที่มีสีจาง มีอินทรียวัตถุต่ำ กว่าชั้น A และมักจะมีเนื้อดินหยาบกว่าชั้น B ที่อยู่ตอนล่างลงไป

ชั้น Bหรือชั้นสะสม ป็นชั้นหลักของหน้าตัดดิน มักจะมีความหนามากกว่าชั้นดินอื่นๆ ชั้น B ต่างๆ เป็นชั้นใต้ชั้นดินบน (subsurface horizons) ที่แสดงถึงการเคลื่อนย้ายมาสะสม (illuviation) ของวัสดุจากชั้นดินตอนบน ในเขตชื้น ชั้น B เหล่านี้จะเป็นชั้นที่มีการสะสมสูงสุดของวัสดุต่างๆ เช่น เหล็กและอะลูมินัมออกไซด์ และแร่ดินเหนียวซิลิเกต ส่วนในเขตแล้งและกึ่งแห้งแล้ง ในชั้นนี้อาจมีการสะสมของแคลเซียมคาร์บอเนต แคลเซียมซัลเฟต และเกลือต่างๆ

ชั้น C หรือชั้นวัตถุต้นกำเนิดดิน เป็นชั้นของวัสดุที่เกาะตัวกันอยู่หลวมๆ ใต้ชั้นที่เป็นดิน ประกอบด้วยหินและแร่ที่กำลังผุพังสลายตัว ซึ่งอาจจะมีองค์ประกอบที่เหมือนหรือต่างไปจากวัสดุที่ทำให้เกิดชั้น A E หรือ B ก็ได้

ชั้น R คือชั้นของหินแข็ง เป็นชั้นหินพื้น หรือชั้นของหินแข็งชนิดต่างๆ ที่ยังไม่มีการผุพังสลายตัว เป็นชั้นที่เชื่อมติดแน่น ใช้พลั่วขุดไม่ค่อยเข้าถึงแม้จะได้รับความชื้น

Posted by ครูพเยาว์ at 1:54 PM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของหิน


หินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเปลือกโลก นักธรณีวิทยาจำแนกหินออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร ซึ่งหินทั้ง 3 ประเภทนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนกันต่อเนื่อง หินประเภทหนึ่ง สามารถเปลี่ยนเป็นหินอีกประเภทหนึ่งได้ด้วยความร้อน การผุพังสึกกร่อนและการทับถมเป็นตัวช่วยในการเปลี่ยนลักษณะหิน เราเรียกกระบวนการเปลี่ยนแปลง และการหมุนเวียนของหินประเภทต่างๆนี้ว่า "วัฏจักรของหิน"

1.) หินอัคนี คือหินที่เกิดจากการหลอมเหลวภายในโลก และไหลออกมาตามรอยแยกของเปลือกโลก เมื่อเกิดภูเขาไฟระเบิด ซึ่งต่อมาเย็นตัวลงกลายเป็นก้อนแข็ง เราจึงเรียกว่า "หินอัคนี" ขณะที่หลอมเหลวอยู่ภายใต้เปลือกโลก เรียกว่า "แมกมา" แต่ที่ไหลออกมาตามรอยร้าว เรียกว่า "ลาวา"
หินอัคนีมีความแข็งแกร่งกว่าหินชนิดอื่น เช่น หินแกรนิต หินบะซอลต์ หินพัมมิซ หินออบซิเดียน เป็นต้น

"หินแกรนิต" เนื้อหินเป็นผลึกขนาดใหญ่ มีความแวววาว มีความแข็ง ทนทานมาก จึงนิยมนำมาใช้ในงานก่อสร้างอาคารต่างๆ

"หินบะซอลต์" เนื้อหินมีสีดำคล้ำจนเกือบดำ ไม่มีความแวววาว เนื้อหินแน่นละเอียด แต่มีรูพรุน มีความแข็ง ทนทานต่อการสึกกร่อน จึงนิยมเอามาใช้ในงานก่อสร้าง

"หินพัมมิซ" เนื้อหินมีความแข็งและสาก มีรูพรุน และมีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถลอยน้ำได้ นิยมใช้ทำวัสดุขัดถู

"หินออบซิเดียน" เนื้อหินมีลักษณะเหมือนแก้ว มีสีดำ และผิวเรียบเป็นมัน

2.) หินชั้นหรือหินตะกอน คือหินที่เกิดจากการทับถมกันของซากพืชซากสัตว์ และตะกอนต่างๆ หรือเกิดจากการสึกกร่อนผุพังของหินอัคนีหรือหินอื่นๆเป็นเวลานาน หรือเกิดจากตะกอนต่างๆ ถูกกระแสน้ำ กระแสลมพัดพามา เมื่อสะสมหรือถูกแรงอัดนานๆเข้า ก็จะกลายเป็นหิน บางครั้งยังพบร่องรอยของซากพืช และซากสัตว์โบราณฝังอยู่ ซึ่งเรียกว่า "ฟอสซิล" หรือ "ซากดึกดำบรรพ์" หินชนิดนี้จึงมีลักษณะเป็นตะกอน หรือเป็นชั้นๆ เช่น หินทราย หินปูน หินดินดาน หินกรวด เป็นต้น

"หินทราย" มีอยู่ทั่วไป ประกอบด้วยทรายที่สึกกร่อนจากหินแกรนิตเกาะติดกันแน่น โดยมีสารบางอย่าง เป็นตัวยึดให้ทรายติดกัน มีหลายสี เช่นเหลือง น้ำตาล แดง ขาว เทา นิยมใช้ทำหินลับมีด และใช้ในการก่อสร้าง

"หินกรวด" เกิดจากกรวดทรายมาทับถมกัน หินชนิดนี้ นิยมนำมาใช้ในการทำถนน หรือหินประดับ

"หินปูน" เกิดจากเปลือกหอยหรือซากสัตว์เล็กๆทับถมกันแยู่ใต้ทะเลนานๆ มีสีเทาหรือสีดำ บางก้อนจะเห็นเปลือกหอย หรือซากสัตว์ทะเลติดอยู่ หินปูนใช้ทำปูนขาว และผสมทำคอนกรีต

"หินดินดาน" เกิดจากการทับถมของโคลนและดินเหนียวเป็นเวลานานๆ มีลักษณะเป็นชั้นบางๆ เนื้อหินละเอียดมาก กะเทาะหรือหลุดเป็นแผ่นได้ง่าย เหมาะสำหรับใช้ผสมทำปูนซีเมนต์ ใช้ในอุตสาหกรรมดินเผาและเซรามิก

3.) หินแปร คือ หินที่เปลี่ยนแปลงมาจากหินอัคนีหรือหินชั้น เพราะถูกความร้อน ความกดดันภายในโลก และการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ทำให้รูปร่างและเนื้อเดิมของหินเปลี่ยนไป เช่นหินชนวน หินอ่อน หินไนส์

"หินชนวน" เป็นหินแปรสภาพมาจากหินดินดาน เนื้อละเอียด ผิวเรียบ เป็นมัน เรียงกันเป็นแผ่นบางๆ แยกออกจากกันได้ แข็งกว่าหินดินดาน ใช้ทำกระดานชนวน ทำแผ่นอิฐปูทางเดิน

"หินอ่อน" เป็นหินแปรสภาพมาจากหินปูน มีทั้งเนื้อละเอียดและเนื้อหยาบ มีสีขาว หรือสีต่างๆ นิยมใช้ทำหินประดับอาคาร และนำมาแกะสลัก

"หินไนส์" เป็นหินแปรสภาพมาจากหินแกรนิต มีความแข็งทนทานมาก ประกอบด้วยสีขาวขุ่น สีขาวใส และสีดำเป็นมัน เรียงกันเป็นริ้วขนาน นิยมใช้ทำโม่ และครก

"หินควอร์ตไซต์" เป็นหินที่แปรสภาพมาจากหินทราย มีลักษณะเป็นเม็ดๆ นิยมใช้ทำกรวดคอนกรีต ทำหินอัดเม็ด และใช้ทำวัสดุทนไฟ

Posted by ครูพเยาว์ at 11:04 AM

รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ ระบบสุริยะ


ก่อนที่จะพูดถึงระบบสุริยะ ก็อยากให้ดูข่าว ในหน้าหนังสือพิมพ์ก่อนว่าเขาพูดถึงดาวพลูโตว่าอย่างไร ในเช้าวันที่ 25 สิงหาคม 2549

นักดาราศาสตร์ชั้นนำของโลกพร้อมใจกันปลดดาวพระยม หรือ ดาวพลูโต ออกจากดาวนพเคราะห์ของสุริยะจักรวาลแล้ว จำนวนดาวนพเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลจาก 9 ดวงเหลือเพียง8 ดวง


ที่ประชุมนักดาราศาสตร์ ของสหภาพนักดาราศาสตร์นานาชาติ หรือ The International Astronomical Union's (IAU)
ประมาณ 2,500 คน ซึ่งร่วมประชุมกันที่กรุง ปร๊าก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ได้มีมติถอนดาวพลูโต ออกจากการเป็นดาวบริวารของดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ

โดยอ้างว่า ดาวพลูโต ไม่ได้มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์เหมือนกับดาวเคราะห์บริวารอื่นๆ และเตรียมจัดฐานะให้ดาวพลูโต เป็นเพียงดาวเคราะห์แคระ ส่งผลให้ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ที่ยอมรับโดยนักดาราศาสตร์นานาชาติ เหลือเพียง 8 ดวงเท่านั้น และจะส่งผลต่อแบบเรียนและฐานข้อมูลทางวิชาการ ที่ยอมรับกันมาโดยตลอดว่า ดาวพลูโต เป็นดาวเคราะห์บริวารดวงที่ 9 ในระบบสุริยะจักรวาล ทั้งนี้ ดาวพลูโต ถูกค้นพบโดย Clyde Tombaugh ชาวสหรัฐ เมื่อปี 1930 (ข่าว INN)

ซึ่งนั่นก็คือ ดาวพลูโตถูกปลด (demotion) จากระบบสุริยะ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2549ค่ะ

ทีนี้เราก็เข้ามาสู่บทเรียนของเราต่อค่ะ แต่ก่อนเข้าบทเรียนเราจะมาให้ความสำคัญต่อดาวอีกดวงหนึ่ง ซึ่งมีความโดดเด่นขึ้น เมื่อดาวพลูโตออกจากระบบไปแล้ว นั่นคือดาวพุธค่ะิ ดาวพุธก็กลายเป็นน้องเล็กที่สุดในระบบสุริยะ เป็นดาวที่เล็กที่สุด

ระบบสุริยะ คือ ระบบของดวงดาวที่อยู่ในกาแลกซีทางช้างเผือก ซึ่งเป็นกาแลกซีหนึ่งในจักรวาล ระบบสุริยะประกอบด้วยดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ 8 ดวงเป็นบริวาร รวมทั้งดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอุกาบาต ซึ่งดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวงนี้มีตำแหน่ง เรียงตามลำดับจากดวงอาทิตย์ ดังนี้
1. ดาวพุธ 2. ดาวศุกร์ 3. โลก 4. ดาวอังคาร 5. ดาวพฤหัสบดี 6. ดาวเสาร์ 7. ดาวยูเรนัส
8. ดาวเนปจูน

ทีนี้ มาทำความรู้จักดาวแต่ละดวงว่าเป็นอย่างไร คือดวงอาทิตย์และดาวบริวาร


ดวงอาทิตย์ เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งมีขนาดใหญ่มาก ให้พลังงานแสงสว่างและความร้อนแก่ดาวบริวาร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1,392,000 กิโลเมตร หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 25-35 วัน


ดาวพุธ เป็นดาวเคราะห์ ที่เล็กที่สุดในระบบสุริยะ และอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ทำให้มีอุณหภูมิสูงมาก ประมาณ 400 องศาเซลเซียส แต่อีกด้านหนึ่งมีอุณหภูมิต่ำมาก ดาวพุธโคจรรอบดวงอาทิตย์ ใช้เวลา 88 วัน และหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 59 วันเมื่อใช้เวลาเกือบเท่ากัน จึงทำให้ด้านหนึ่งที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ร้อนมาก แต่อีกข้างหนึ่งเย็นจัด จากการที่อุณหภูมิแตกต่างกันมาก ทำให้เราเรียกดาวพุธว่า "เตาไฟแช่แข็ง" เราสามารถมองเห็นดาวพุธได้ด้วยตาเปล่าในตอนเช้าก่อนที่ ดวงอาทิตย์ขึ้นครึ่งชั่วโมง และหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกครึ่งชั่วโมงเท่านั้น


ดาวศุกร์ เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลก อยู่ห่างดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 2 จากการสำรวจโดยยานอวกาศ พบว่ามีพื้นผิวแห้งแล้ง มีบรรยากาศหนาแน่น เป็น 100 เท่าของโลก ก๊าซส่วนใหญ่ เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด และไอของกรดกำมะถัน ไม่มีออกซิเจนและไอน้ำ อุณหภูมิสูง เกือบ 500 องศาเซลเซียส จึงเชื่อได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เราสามารถมองเห็นดาวศุกร์ได้ ตอนเช้ามืด ก่อนสว่าง 3 ชั่วโมง ที่เราเรียกว่า "ดาวประจำเมือง"


โลก เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มาเป็นอันดับที่ 3 มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 1 ดวง โลกมีสภาวะเหมาะสม ที่สามารถก่อกำเนิดและดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต โลกหมุนรอบตัวเอง ใช้เวลา 23.56 ชั่วโมง หรือ 1 วัน และโคจรดวงอาทิตย์เป็นวงรีใช้เวลา ใช้เวลา 365 1/4 วัน หรือ 1 ปี


ดาวอังคาร จากการสำรวจโดยยานไวกิ้ง 1 และ 2 ของสหรัฐอเมริกาพบว่า ดาวอังคารมีลักษณะพื้นผิว สีแดง เต็มไปด้วยก้อนหิน มีหุบเหวลึกกว้างใหญ่ ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 2 ดวง คือ โฟบอส และ ไดมอส ซึ่งถูกค้นพบโดย เอแสฟ ฮอล ในปี พ.ศ. 2420


ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 28 ดวง อยู่ห่างดวงอาทิตย์เป็นอันดับ 5 เป็นดาวที่มีความหนาแน่นน้อย เพราะเป็นดาวเคาระห์ก๊าซ ไม่มีหินแข็งเหมือนกับโลกของเรา จาการสำรวจของยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 ของสหรัฐอเมริกา พบว่า มีจุดแดงใหญ่เป็นวง เป็นกลุ่มก๊าซร้อนหมุนวนด้วยความเร็วสูง มีดวงจันทร์ใหญ่สุด 4 ดวง คือ ไอโอ ยูโรปา แกนิมีด และคัลลิสโต รวมกันเรียกว่า ดวงจันทร์กาลิเลียน ซึ่งถูกค้นพบโดยกาลิเลโอ เมื่อ 340 ปีมาแล้ว


ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองมาจากดาวพฤหัสบดี มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 30 ดวง ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 6 จากการผ่านไปสำรวจของยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 พบว่า ดาวเสาร์ มีวงแหวน 7 วงใหญ่ๆ และมีวงแหวนเล็กซ้อนกันอยู่มากมาย ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของดาวเสาร์ วงแหวนนั้น คืออนุภาคน้ำแข็งและก้อนหินที่ปกคลุมด้วยน้ำ้แข็ง ไททันเป็นดวงจันทร์บริวารที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ และใหญ่เป็นอันดับ 2 ในบรรดาดวงจันทร์บริวารทั้งหมดของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ


ดาวยูเรนัส หรือดาวมฤตยู เป็นดาวเคราะห์ดวงใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ค้นพบโดย วิลเลียม เฮอร์เซล เมื่อ พ.ศ. 2324 ดาวยูเรนัสมีดวงจันทร์บริวารที่ถูกค้นพบแล้วรวม 21 ดวง จากการผ่านไปสำรวจของยานวอยเอเจอร์พบว่ามีวงแหวนบางๆ 10 ชั้นอุณหภูมิพื้นผิว -210 องศาเซลเซียส บรรยากาศประกอบด้วย ก๊าซไฮโดรเจน ฮีเลียม มีเทน และอะเซททีลีน เนื่องจากก๊าซมีเทนในบรรยากาศชั้นบนดูดซับแสงสีแดงไว้ จึงทำให้เรามองเห็นดาวยูเรนัสมีสีน้ำเงินเขียว


ดาวเนปจูน หรือดาวเกตุ เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 8 นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน โจฮันน์ จี. กาเล ใช้กล้องโทรทรรศน์ตรวจพบเมื่อ พ.ศ. 2389 หลังจากนั้นไม่นาน มีการค้นพบดวงจันทร์บริวารของดาวเนปจูน ชื่อ ไทรตัน กับเนรีด และมีการค้นพบเพิ่มอีก 6 ดวง ดาวเนปจูน จึงมีดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 8 ดวง จากการสำรวจของยานวอยเอเจอร์ 2 พบว่า ดาวเนปจูนมีวงแหวน 4 ชั้น และมีอุณหภูมิพื้นผิว -220 องศาเซลเซียส นอกจากนี้พบว่ามีพายุหมุนขนาดใหญ่เท่าโลกอยู่ทางซีกใต้ ของดาวเนปจูน ลักษณะคล้ายกับจุดแดงบนดาวพฤหัสบดี

Posted by ครูพเยาว์ at 7:36 AM

รอบรั้ว พุทธศาสนา มรรยาทชาวพุทธ การแสดงความเคารพ

Saturday, February 2, 2008


การแสดงความเคารพของคนไทยมีหลาย ลักษณ เช่น การประนมมือ การไหว้ การกราบ การคำนับ การถวายความเคารพ การถวายบังคมหรือแม้กระทั่งการเดินผ่านผู้ใหญ่ การที่จะ แสดงความเคารพในลักษณะใดนั้น ต้องพิจารณาผู้ที่ จะรับความเคารพด้วยว่าอยู่ในฐานะเช่นใด หรือในโอกาสใด แล้วจึงแสดงความเคารพให้ถูกต้องและเหมาะสม การแสดงความเคารพแบ่งได้ดัง นี้คือ

1. การประนมมือ (อัญชลี) ประนมมือให้นิ้วมือแนบชิดกัน ฝ่ามือราบ ปลายนิ้วตั้งขึ้น แขนแนบตัวระดับอก ไม่กาง ศอก ทั้งชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน การประนมมือ นี้ใช้ในการสวดมนต์ ฟังพระสวดมนต์ ฟัง พระธรรมเทศนา และขณะพูดกับพระสงฆ์ซึ่งเป็น ที่เคารพนับถือ เป็นต้น


2. ไหว้ (วันทา ) การไหว้เป็นการแสดงความเคารพโดยการประนม มือให้นิ้วชิดกันยกขึ้นไหว้ การไหว้แบบ ไทยแบ่งออกเป็น 3 แบบ ตามระดับของบุคคล ดัง นี้


ระดับที่ 1 การไหว้พระ ได้แก่ การ ไหว้พระรัตนตรัยรวมทั้งปูชนียวัตถุและปูชนีย สถานที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในกรณีที่ไม่ สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ โดยประนมมือให้ปลาย นิ้วชี้จรดส่วนบนของหน้าผาก



ชาย ยืน แล้วค้อมตัวลงให้ต่ำพร้อมกับยกมือขึ้น ไหว้
หญิง ยืนแล้วย่อเข่าลงให้ต่ำโดย ถอยเท้าข้างใดข้างหนึ่งตามถนัด พร้อมยกมือ ขึ้นไหว้


ระดับที่ 2 การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้มีอาวุโส ได้แก่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ครู อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพนับถือ อย่างสูง โดยประนมมือให้ปลายนิ้วชี้จรดระหว่าง คิ้ว



ชาย ยืนแล้วค้อมตัวลงน้อยกว่าระดับ การไหว้พระ พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้
หญิง ยืนแล้วย่อเข่าลงน้อยกว่าระดับการไหว้พระ โดยถอยเท้าข้างใดข้างหนึ่งพร้อมกับยกมือ ขึ้นไหว้


ระดับที่ 3 การไหว้บุคคลทั่ว ไปที่เคารพนับถือหรือผู้มีอาวุโส รวมทั้ง ผู้ที่เสมอกันโดยประนมมือยกขึ้นให้ปลาย นิ้วจรดปลายจมูก



ชาย ยืนแล้วค้อมตัวลง น้อยกว่าระดับการไหว้ผู้มีพระคุณ พร้อมกับ ยกมือขึ้นไหว้
หญิง ยืนแล้วย่อเข่าลง น้อยกว่าระดับการไหว้ผู้มีพระคุณ โดยถอย เท้าข้างใดข้างหนึ่งเล็กน้อย พร้อมกับยกมือ ขึ้นไหว้



ในการไหว้ผู้เสมอกันทั้งชาย และหญิงให้ยกมือขึ้นไหว้พร้อมกัน หรือใน เวลาใกล้เคียงกัน ในกรณีที่ทำพร้อมกันเป็น หมู่คณะ ควรจะนัดหมายให้ทำอย่างเดียวกัน
การไหว้ตามมารยาทไทย เช่นนี้ปฏิบัติให้เรียบร้อยนุ่มนวลด้วยความสำรวม จึงจะดูงาม
3. การกราบ (อภิวาท) เป็นการแสดงความเคารพด้วย วิธีนั่งประนมมือขึ้นเสมอหน้าผากแล้วน้อมศีรษะ ลงจรดพื้นหรือจรดมือ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วน้อมศีรษะลงบนมือนั้น เช่น กราบลงบน ตักก็อนุโลมถือว่าเป็นกราบ ถ้าหมอบแล้วน้อม ศีรษะจรดมือที่ประนมถึงพื้นเรียกว่า หมอบกราบ การกราบมี 2 ลักษณะ คือ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ และการกราบผู้ใหญ่


3.1 การกราบแบญจางคประดิษฐ์ ใช้กราบพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หมายถึง การที่ ให้อวัยวะทั้ง 5 คือ เข่าทั้ง 2 มือทั้ง 2 และหน้าผากจรดพื้น การกราบจะมี 3 จังหวะ และจะต้องนั่งอยู่ในท่าเตรียมกราบ







ท่าเตรียมกราบ
ชาย นั่งคุกเข่าปลายเท้าตั้ง นั่ง บนส้นเท้า มือทั้งสองวางบนหน้าขาทั้ง สองข้าง (ท่าเทพบุตร)


หญิง นั่งคุกเข่าปลาย เท้าราบ นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวางบน หน้าขาทั้งสองข้าง (ท่าเทพธิดา)


จังหวะ ที่ 1 ( อัญชลี) ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก ปลายนิ้วชิดกันตั้งขึ้นแนบตัวไม่กางศอก



จังหวะที่ 2 (วันทา) ยกมือขึ้น พร้อมกับก้มศีรษะ โดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้า ผาก



จังหวะที่ 3 (อภิวาท) ทอดมือลง กราบ ให้มือและแขนทั้งสองข้างลงพร้อมกัน มือคว่ำห่างกันเล็กน้อยพอให้หน้าผากจรด พื้นระหว่างมือได้



ชาย ให้กางศอกทั้งสอง ข้างลง ต่อจากเข่าขนานไปกับพื้น หลังไม่ โก่ง


หญิง ให้ศอกทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็ก น้อย


ทำสามจังหวะให้ครบสามครั้ง แล้วยก มือขึ้นจบโดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผาก แล้วปล่อยมือลง การกราบไม่ควรให้ช้าหรือ เร็วเกินไป


3.2 การกราบผู้ใหญ่ ใช้ กราบผู้ใหญ่ที่มีอาวุโส รวมทั้งผู้มีพระ คุณได้แก่ พ่อ แม่ ครูอาจารย์ และผู้ที่เรา เคารพ กราบเพียงครั้งเดียว โดยที่ผู้กราบทั้งชาย และหญิงนั่งพับเพียบ ทอดมือทั้งสองข้างลง พร้อมกัน ให้แขนทั้งสองคร่อมเข่าที่อยู่ด้าน ล่างเพียงเข่าเดียว มือประนม ค้อมตัวลงให้หน้า ผากแตะส่วนบนของมือที่ประนม ในขณะกราบ ไม่ควรกระดกนิ้วหัวแม่มือขึ้นรับหน้าผาก



4. การแสดงความเคารพศพ จะต้องกราบพระพุทธ รูปเสียก่อนแล้วจึงไปทำความเคารพศพ ส่วน การจุดธูปหน้าศพนั้นเป็นเรื่องเฉพาะของลูก หลานหรือศิษยานุศิษย์ หรือผู้เคารพนับถือ ที่ประสงค์จะบูชา


การเคารพศพพระ ถ้า เจ้าภาพจัดให้มีการจุดธูปให้จุด 3 ดอก ชายกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หญิงหมอบกราบแบบเบญจางค ประดิษฐ์ 3 ครั้ง



การเคารพศพคฤหัสถ์ ให้ทำ ความเคารพเช่นเดียวกับตอนที่ผู้ตายยังมี ชีวิตอยู่ ถ้าเป็นศพของผู้ที่มีอาวุโสมาก กราบ 1 ครั้ง แต่ถ้าเป็นศพของผู้ที่มี อาวุโสใกล้เคียงกันกับผู้ที่ไปทำความเคารพ ให้ไหว้ในระดับที่ 3 (ไหว้บุคคลทั่ว ไป) ส่วนการเคารพศพเด็กนั้นเพียงยืนสงบ หรือนั่งสำรวมครู่หนึ่ง


ในกรณีที่ศพได้ รับพระราชทานเกียรติยศ ผู้เป็นประธานจุดธูป เทียนที่หน้าพระพุทธรูปและที่หน้าตู้พระ ธรรม แล้วไปจุดเครื่องทองน้อยที่หน้าศพเพื่อ แสดงว่าผู้วายชนม์บูชาพระธรรม แล้วจึงเคารพศพ


ส่วนผู้ไปในงาน กราบพระพุทธรูป ที่โต๊ะหมู่บูชาแล้วจึงเคารพศพด้วยการกราบ หรือคำนับ

Posted by ครูพเยาว์ at 5:40 PM