ดูหนัง Akeelah and the Bee
Friday, June 29, 2007
Labels: ดูหนัง ฟังเพลง
รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ สนใจในพืช
Thursday, June 28, 2007
Labels: วิทยาศาสตร์
รอบรั้ว พุทธศาสนา ประโยชน์ของอริยสัจ 4
Wednesday, June 27, 2007
รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ กระบวนการสังเคราะห์แสง
Labels: วิทยาศาสตร์
รอบรั้ว พระพุทธศาสนา อริยสัจ 4
รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ ปัจจัยการดำรงชีวิตของพืช
Tuesday, June 26, 2007
3. อาหาร พืชต้องการอาหาร..แน่นอนค่ะ น้องเรายังมาแย่งขนมเราได้ เพราะขนมก็เป็นอาหารด้วย..แต่อาหารของพืชคือแร่ธาตุที่อยู่ในดิน เช่นไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแตสเซียม ซึ่งพืชจะใช้รากดูดแร่ธาตุเหล่านี้ขึ้นไปเลี้ยงส่วนต่างๆของลำต้น นอกจากนี้แร่ธาตุที่เป็นอาหารของพืช ยังมีอยู่ในปุ๋ยชนิดต่างๆ ชาวไร่ชาวนาจึงเพิ่มอาหารให้แก่พืชที่เพาะปลูกด้วยการใส่ปุ๋ย
4. อากาศ พืชต้องการอากาศในการหายใจเหมือนคนเรา พืชหายใจทั้งกลางวันและกลางคืน พืชหายใจเอาก๊าซออกซิเจนเข้าไปและคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ที่พิเศษคือในตอนกลางวันพืชมีการสังเคราะห์แสงด้วยจะคายก๊าซออกซิเจนออกมา ดังนั้นถ้าเราไปนั่งใต้ต้นไม้ตอนกลางวันจะรู้สึกสดชื่น แต่ตอนกลางคืน พืชหายใจเป็นปกติเหมือนคนเรา คือคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ดังนั้นจึงไม่ควรนำต้นไม้ไปตั้งไว้ในห้องนอน เพราะมันจะแย่งอากาศเราหายใจค่ะ Labels: วิทยาศาสตร์
รอบรั้ว พุทธสถานที่สำคัญสมัยพุทธกาล
Monday, June 25, 2007
รอบรั้ว ศรัทธา 4
รอบรั้ว พุทธจริยา 3
รอบรั้ว พระรัตนตรัย
รอบรั้ว พระพุทธศาสนา หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 บทที่ 2 ตอนที่ 3
รอบรั้ว พระพุทธศาสนา หน่วยการเรียนรู้ที่ 1บทที่ 2 ตอนที่ 2
รอบรั้ว พระพุทธศาสนา หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 บทที่ 2 ตอนที่ 1
รอบรั้ว พระพุทธศาสนา หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 บทที่ 1
มีค่ะ...เราไม่ใช่ไปวัดแค่ทำบุญ ตักบาตร แค่นั้นนะคะ ศาสนาพุทธของเรามีความสำคัญกว่านั้นค่ะ
ที่จะมาบอกให้ฟังคือ หนึ่ง. พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของไทยค่ะ และอย่างที่สอง คือ พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการพัฒนาชาติไทย มีสองอย่างนะคะ ทีนี้มาส่องกล้องดูซิว่า ทั้งสองอย่างนั่นมีอะไรซ่อนอยู่ข้างในอีก
ข้อแรก. พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติไทย...มรดกนี่ล้ำค่าทั้งนั้นแหละ ที่ดินของปู่ย่าตายาย ตกมาแก่คุณพ่อคุณแม่เรา...แหวนแต่งงานของคุณแม่ วันหนึ่งถึงเวลาเราแต่งงานบ้าง คุณแม่ก็ต้องยกมาให้เรา..ไม่ต้องซื้อ เพราะเป็นมรดกค่ะ แต่พระพุทธศาสนานี่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมค่ะ แถมมีค่ามากเสียด้วย เพราะอะไร เพราะศาสนามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย เป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทย มีวัดและพระสงฆ์เป็นศูนย์กลางของสังคม สำคัญในด้านไหนบ้าง
****ในด้านการศึกษาค่ะ ในสมัยก่อนโน้น ปู่ย่าตายายของเราศึกษาที่วัดค่ะ ใครที่มีลูกชายก็เอาไปฝากไว้ที่วัด หัดอ่าน หัดเขียนกับพระ แถมมีการอบรมทางด้านศีลธรรม จรรยาไปพร้อมกันค่ะ ในปัจจุบันแม้เราจะเห็นโรงเรียนของรัฐบาลและเอกชนไปทั่ว แต่อีกเยอะที่ยังอยู่ในวัด อาศัยที่ดินวัดอย่างเช่น โรงเรียนวัดลิงขบ...ชื่ออาจแปลกนะคะ แต่ก็มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อแล้ว เป็นโรงเรียนวัดบวรมงคล แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกอยู่นั่นแหละว่าวัดลิงขบ อยู่ที่ธนบุรีค่ะ
****ในด้านสังคมค่ะ หลักธรรมคำสอนในทางศาสนามีส่วนช่วยทำให้คนในสังคมให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเมตตาต่อผู้อื่น รู้รักสามัคคี ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนาได้มุ่งเน้นให้เรายึดมั่นในคุณธรรม รู้จักพึ่งพาตนเอง ให้มีความสุขทางจิตใจ สอนให้เห็นประโยชน์ของธรรมะ ไม่ให้ยึดมั่นกับสิ่งต่างๆที่ทำให้เกิดทุกข์ เห็นความสำคัญในด้านสังคมหรือยังคะ ถ้าทุกคนทำได้ เรื่องวุ่นวายต่างๆก็ไม่เกิดขึ้นเลยค่ะ
****ในด้านศิลปวัฒนธรรมค่ะ นี่เห็นบ่อยๆที่สุด วัดที่เราไปนี่สวยงามค่ะ นั่นเขาเรียกว่าสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามค่ะ ภาษายากหน่อยนะคะ มีภาพวาดที่ฝาผนังวัดที่อธิบายคำสอนและพุทธประวัติ ชาดก ที่ทำให้เกิดงานวรรณกรรมของไทย เกิดงานพุทธปฏิมาหรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า ทำให้เห็นความเจริญทางศิลปะและความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในแต่ละยุคค่ะ นอกจากนี้ มารยาทของชาวพุทธ เช่นการกราบ การไหว้ ประเพณีต่างๆ เช่น การเกิด การแต่งงาน การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ก็มีรากฐานจากพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยค่ะ
ข้อสอง. พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการพัฒนาชาติไทยค่ะ เนื่องจากพระพุทธศาสนามุ่งเรื่องพัฒนาจิตใจของคนจึงมีผลต่อการพัฒนาชาติไทย ว่ากันไปแล้ว แยกออกได้ 3 หัวข้อค่ะ
****พระพุทธศาสนาเป็นศานาที่สอนให้ชาวพุทธ"เชื่อมั่นในเหตุและผล" ซึ่งความเชื่อดังกล่าว นำไปสู่การพัฒนาที่มีลักษณะ 3 ประการ คือ "เชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์" "เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม และผลของการกระทำ" "เชื่อมั่นว่าคนเราต้องรับผิดชอบต่อการกระทำและผลของการกระทำของตนเอง"
****พระพุทธศาสนาเน้นให้คนรู้จักฝึกอบรมตนเอง รู้จักการพึ่งพาตนเอง โดยมีหลักธรรมที่มุ่งให้คนรู้จักฝึกอบรมตนเองทั้งด้านพฤติกรรม (ศีล) ฝึกฝนทางด้านพัฒนาจิตใจ (สมาธิ) และพัฒนาปัญญาให้รู้จักคิด รู้เหตุผล (ปัญญา) ถ้าเราปฏิบัติได้แล้ว ก็จะพัฒนาชาติไทยได้แน่นอนค่ะ
****พระพุทธศาสนามีแนวคิดและหลักคำสอนเป็นแบบวิทยาศาสตร์ คือสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่สอนแบบให้เชื่องมงาย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน วิธีคิดแบบนี้เป็นแนวทางที่สำคัญต่อการพัฒนาบุคคลและในระดับชาติค่ะ ตัวอย่าง เช่นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระอัสสชิกล่าวให้อุปติสสะ (พระสารีบุตร) ฟัง และทำให้อุปติสสะทูลขออุปสมบท คือ "สิ่งใด มีเหตุเป็นเครื่องบันดาลให้เกิดขึ้น พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุแห่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น พร้อมทั้งความดับสนิทของสิ่งเหล่านั้น" แค่นี้เองทำให้อุปติสสะเกิดศรัทธาขอบวช
จบบทที่ 1 ค่ะ สั้นนิดเดียวนะคะ จำได้ง่ายๆค่ะ
รอบรั้ว ประชาธิปไตย
ลูกๆคะ วันนี้เป็นวันที่ 24 มิถุนาค่ะ เมื่อ 75 ปีที่แล้ว 24 มิถุนายน 2475 เราได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง จากสมบูรณายาสิทธิราช มาเป็น ประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญค่ะ ถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยค่ะ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของเราเป็นฉบับชั่วคราวค่ะ เรียกชื่อว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2475" ส่วนฉบับสมบูรณ์นั้นเป็นฉบับที่ 2 มีชื่อว่า "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2475"
Labels: ประชาธิปไตย
รอบรั้ว บ้านเรา
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด
ล้อมรั้ว ต้านยาเสพติด
รัก ในหลวงห่วงให้_____ไขข้อง
ใน วิกฤตผิดครรลอง_____เร่งร้น
หลวง ใหญ่ยิ่งสิ่งสนอง _ครองใคร่ ใครหลง
ห่วง ชีพรีบหลีกพ้น_____ ห่างไว้ใจแสลง
ลูก เล็กเด็กแดง_______ เดียงสา
หลาน ลูกถูกหมายตา_____เหยื่อพลั้ง
ร่วม ปรามปกป้องสา-____รพัด สรรพแฮ
กัน ก่อนแก้หลังยั้ง______ยุ่งย้อนยาวนาน
ต้าน ตอบต่อบ่ให้______ บั่นทอน
ยา หยูกปลูกพิษจร______จักไว้
เสพ สิ้นกลิ่นสังวร______ลับล่วง สังขาร
ติด ตกหมกต่ำใต้______ ต่ำต้อง ตายสูญ
(บทประพันธ์ โดย สาแก้วค่ะ)
ฟังดูน่ากลัวนะคะ และมันก็ไม่ใช่แค่น่ากลัว มันต้องกลัวค่ะ กับพิษภัยของยาเสพติด ลูกๆอย่าแม้แต่คิดไปลอง กับคนที่เรารักอย่างเช่นคุณพ่อของเรา ถ้าคุณพ่อสูบบุหรี่ ลูกต้องบอกคุณพ่อนะคะ ว่ารักคุณพ่อมากๆ อยากให้คุณพ่ออยู่กับลูกนานๆ อย่าสูบนะคะ
Labels: ต้านยาเสพติด
รอบรั้ว พระพุทธศาสนา
รอบกำแพง วัดโพธิสมภรณ์
ครูขอเอาใจช่วยนะคะ
รอบรั้ว คุณธรรมและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง:คุณธรรมพื้นฐาน
ธรรมสากล
1. การยึดถือความจริงความสัตย์
2. การให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์
3. การให้ความรักความเมตตาแก่กัน
คุณธรรม: หลักความดี-ความงาม-ความจริงที่ใจยึดถือ
ศีลธรรม: หลักคิดและข้อปฏิบัติทางศาสนา
จริยธรรม: ข้อพึงปฏิบัติ (จริยธรรมทั่วไป, จริยธรรมวิชาชีพ)
กฎธรรมชาติ:
1. กฎไตรลักษณ์ (กฎของการเปลี่ยนแปลง)
- ความไม่เที่ยง (อนิจจัง)
- ความทุกข์ (ทุกขัง)
- ความมิใช่ตัวตน (อนัตตา)
2. กฎของความเป็นเหตุปัจจัย (ปฏิจสมุปบาท)
เหตุปัจจัย ?
ผลซึ่งเป็นเหตุปัจจัยขั้นต่อไป ??
ผลขั้นต่อไป
3. กฎของความเป็นเหตุผล อริยสัจ 4
- ทุกข์ (ปัญหา)
- สมุทัย (เหตุปัจจัยของปัญหา)
- นิโรธ (เป้าหมายการแก้ปัญหา)
- มรรค (วิธีปฏิบัติเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น)
4. กฎแห่งกรรม
- การกระทำทางกาย-วาจา-ใจ ย่อมให้ผลของมัน
- ผู้ปฏิบัติย่อมรับผลของการปฏิบัติ
ความสุข
1. สามิสสุข ความสุขที่ต้องอาศัยวัตถุภายนอกมาตอบสนองความต้องการของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงแสวงหาไม่รู้จบ หวงหึง ผูกพัน กลัวสูญหาย-สูญเสีย
2. นิรามิสสุข ความสุขภายใน เกิดจากใจที่สงบ สะอาด สว่าง เกิดความพอเพียง-ไม่ดิ้นรน
ความพอ: สันโดษ
หลัก: จะทำอะไร ให้ทำด้วยอิทธิบาทธรรม คือทำอย่างเต็มที่ และเมื่อได้ผลออกมาอย่างไรจากการกระทำครั้งนั้นก็ให้เกิดความสุข-ความพอ (ถ้าไม่ได้ผลตามต้องการให้ปรับปรุงใหม่คราวหน้า)
ความสุข-ความพอ
- พอใจในสิ่งที่ได้
- พอใจในสิ่งที่มี
- พอใจในสิ่งที่เป็น
ความสุขในความพอ
- ตามควรแก่ความสามารถ
- ตามควรแก่การกระทำ
- ตามควรแก่ฐานะ
- ตามควรแก่กฎเกณฑ์สังคม (จริยธรรม) กฎเกณฑ์ศีลธรรม และกฎเกณฑ์ของกฎหมาย
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี”
เป้าประสงค์:
“เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์”
หลักความพอเพียง:
“ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน”
(สามองค์ประกอบสำคัญคือ 1. ความพอประมาณ 2. ความมีเหตุผล 3. มีภูมิคุ้มกันในตัว)
สามเงื่อนไข:
1. เงื่อนไขหลักวิชา
“ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และ…”
2. เงื่อนไขคุณธรรม
“ขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และ…”
3. เงื่อนไขการดำเนินชีวิต
“ให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ...”
(สามเงื่อนไข คือ 1. เงื่อนไขคุณธรรม 2. เงื่อนไขหลักวิชาความรู้ 3. เงื่อนไขการดำเนินชีวิต)
ผลที่คาดว่าจะได้รับ:
เศรษฐกิจพอเพียง “เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี”
(ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง 1. ทางวัตถุ 2. ทางสังคม 3. ทางสิ่งแวดล้อม 4. ทางวัฒนธรรม)
สรุป:
1. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ ทางสายกลาง
2. ความพอเพียง ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอ
3. ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ 3 ข้อ คือ
- เงื่อนไขคุณธรรม (ซื่อสัตย์-มีคุณธรรม)
- เงื่อนไขหลักวิชา (ใช้หลักวิชาวางแผน-ปฏิบัติ)
- เงื่อนไขชีวิต (ขยัน-อดทน-สติ-ปัญญา)
4. นำไปสู่ (สมดุล พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง)
5. ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง
- ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง
- กฏการเปลี่ยนแปลงเกิดจากเหตุ-ปัจจัย (ภายนอก ควบคุมไม่ได้ / ภายใน ควบคุมได้)
- การเปลี่ยนแปลงมีลักษณะเป็นวงจร (มีทั้งขาขึ้น-ขาลง ขาขึ้นต้องไม่ประมาท ขาลง ต้องรีบยับยั้ง)
- ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง (วัตถุ-สังคม-สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม) โดยอาจเกิดเร็ว-รุนแรง และกว้างขวาง
คุณธรรมสำหรับชาวไทย
(พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในงานฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เมื่อ พ.ศ. 2525 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง) ทรงแนะนำให้คนไทยมีคุณธรรมประจำใจ 4 ประการ ได้แก่
1. รักษาความสัตย์ ความจริง ต่อตนเองที่จะประพฤติปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์
2. รู้จักข่มใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัตย์ ความดี
3. อดทน อดกลั้น และอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใด
4. รู้จักระวังความชั่ว ความทุจริต และรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง
After the Cold War (1990 to present)
- Peter Drucker: the “Age of Discontinuity” (it will not be the same as before)
- Joseph Schumpeter: the world will feel the forces of creative destruction.
- Rowan Gibson: the journey ahead is going to be like an off-road experience bumpy, uncertain and full of surprises.
บรรยายโดย ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย นายกสภามหาวิทยาลัย ในการสัมมนากรรมการสภามหาวิทยาลัยและผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประจำปี 2549 เรื่อง แนวทางการจัดทำแผนพัฒนาอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2550-2554 วันที่ 7-8 กรกฎาคม 2549
รอบรั้ว Understanding by design กับคำถามเบื้องต้น
เมื่อตั้งใจว่าจะวางแผนการสอน ก็จะมีคำถาม ที่ตัวเองจะต้องตอบก่อนว่า นี่ฉันต้องทำอย่างไร ซึ่งต้องนั่งใจเย็นๆสักพัก และก็วางขั้นตอน
ถามตัวเองก่อนว่า อะไรคือหน่วยของการเรียนรู้ ที่ต้องกำหนดก่อน อะไรคือความเข้าใจคงทน ที่ติดตัวผู้เรียนตลอดไป และอะไรคือคำถาม ที่ต้องวางเป้าหมายเอาไว้กับบทเรียนนี้ จะวางแผน วางกรอบอย่างไรเพื่อที่จะให้เด็กๆได้รู้ถึงจุดประสงค์และเหตุผล เพื่อที่ว่าเด็กจะได้รู้ว่าเขาเรียนอะไร ตั้งแต่เริ่มบท
จะประเมินความรู้ของเด็กล่วงหน้าอย่างไร ว่าเขามีความรู้เดิมขนาดไหน เพื่อที่จะโยงความรู้เก่าๆของเขาไปกับบทเรียนใหม่ตลอดจนจบบทเรียน
จะประเมินรวบยอดเมื่อจบบทเรียนอย่างไร จะให้เด็กแสดงออกว่าเขารู้เรื่องแล้ว และสามารถจะประยุกต์มาใช้งานได้ หรือประยุกต์แนวคิดได้ หรือแม้แต่จะให้เด็กมีบทบาทอย่างไรในการช่วยการสรุปบทเรียนที่กำลังจะจบลง
จะประเมินตามรูปแบบมาตรฐานตลอดการสอนอย่างไร เพื่อที่จะให้รู้ว่า ตลอดการสอนไปนั้นเด็กเข้าใจแล้ว จะให้เด็กแสดงออกอย่างไรว่าเขาเข้าใจมากขึ้นหรือพัฒนาขึ้นจากคำถามที่สำคัญๆตลอดการเรียน
ฉันจะรับทราบถึงเกณท์มาตรฐานได้อย่างไรเพื่อที่จะหาค่าของการประเมินความรู้ทั้งในระหว่างเรียนและตอนสรุปบทเรียน
จากพื้นฐานของการสรุปบทเรียนที่เด็กนักเรียนจะต้องแสดงออก อะไรคือทักษะที่สำคัญ หรือแนวคิดที่วางเป็นเป้าหมายเอาไว้ เช่นการอ่าน หรือการเขียนออกมา
อะไรคือยุทธศาสตร์การสอน หรือการแสดงออกที่ดีที่จะเอามาใช้ในการสอนให้เห็นเด่นชัดในการสอนตลอดบทเรียน ถ้าคุณได้อ่านจากการพูดครั้งก่อนๆของรอบรั้ววิทยาศาสตร์ จะเห็นว่า คำถามบางครั้ง จะมีแนวคำถามแบบ “แฟนพันธุ์แท้” คือจะอธิบายความรู้ให้ฟังก่อน ว่าอะไรคืออะไร แล้วเอาคำถามมาถามอีกเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกริ่นนำเอาไว้ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “โหนกระแส”
ยังไม่จบค่ะ ถ้าหาเจออะไรดีๆ พอเป็นประโยชน์บ้าง ก็จะเอามาขยายให้ฟังค่ะ
Labels: understanding by design
รอบรั้ว ความผูกพัน
ความรู้สึกเดิมๆกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อลูกคนเล็กต้องออกจากบ้าน ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น มันไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อลูกคนโตออกไปเรียนต่อมี่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภูเก็ต เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ความผูกพันของลูกที่ต้องอยู่ห่างบ้าน ห่างพ่อแม่ เป็นลูกที่ไม่เคยจากไกล ครั้งนั้นเมื่อเห็นน้ำตาของลูกคนโต ที่แอบร้องให้ เพราะความอ้างว้างจะเข้ามาเยือน มันบั่นทอนหัวใจของพ่อแม่ รู้สึกว่าใจมันสลาย เช่นนั้นจริงๆ แต่ก็ต้องทำใจ เพราะความก้าวหน้าในการเรียน ความก้าวหน้าในชีวิตยังรออยู่ เด็กทุกคนต้องไปในวิถีนั้นทั้งหมด ที่พูดมานี้ก็เพื่อให้กำลังใจกับพ่อแม่ ว่าต้องตัดใจนะ กับความผูกพันที่มีอยู่ เพื่อความก้าวหน้าของลูก ทุกๆปีที่โรงเรียนอนุบาล เราจะเห็นลูกตัวเล็กๆ เข้ามาครั้งแรก เจ้าตัวน้อยๆ ก็ร้องไห้ อยากตามกลับบ้าน บางทีก็เห็นน้ำตาของแม่ แต่ก็ตัดใจได้ในที่สุด และแล้ว เมื่อเราผ่านช่วงวิกฤติทางอารมณ์นี้ออกไปได้ เหตุการณ์มันก็จะเป็นปกติไป ทุกคนก็สำเร็จสมกับความต้องการไป
พ่อแม่ดีใจ ที่ลูกได้มีความก้าวหน้าในการเรียน ลูกก็จะมีอนาคตที่ดี
ทุกอย่างมันเป็นการสอนให้เราไม่ให้เห็นแก่ตัวจนลืมความก้าวหน้าของลูกและครอบครัว และไม่ว่าในเรื่องใดในสังคมก็เหมือนกัน เพื่อความก้าวหน้าของสังคมแล้ว ต้องตัดความผูกพันซึ่งมันเป็นเหมือนกับว่ามันเป็นเส้นด้ายที่บางแนบติดกับความเห็นแก่ตัว ดังนั้นจึงต้องตั้งสติให้ดี คิดให้เป็น ถ้ามีแม่คนไหนสักคนคิดว่าต้องเอาลูกอยู่กับตัว ไม่ล่ะ ไม่ยอมให้ไปไกล ไม่ยอมตัดความผูกพัน ผลสุดท้ายลูกนั่นแหละจะเป็นคนได้รับผลเสีย ตัดใจเสียเถอะค่ะ กับความผูกพัน ทำใจให้กว้างๆ ใจเย็นๆ เมื่อทำได้ สักหน่อยก็จะเห็นว่า ลูกนั่นเองแหละ จะเป็นคนไม่ค่อยอยากกลับบ้านเอง เขาจะไปเจอสังคมใหม่ ชีวิตใหม่ เราเองก็จะดีใจ ยินดีกับเขาในตอนนั้น อย่างลูกคนโตตอนนี้ อยู่ภูเก็ต เมื่อเขามาเยี่ยมบ้านตอนปิดเทอม ตอนกลับไป เขาก็ไม่ได้มีอาการเหมือนเมื่อตอนต้นๆ ดูค่อนข้างจะดีใจเสียอีก
Labels: ทั่วไป ตามใจคิด
รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ ทดสอบ
ที่ผ่านมาก็คิดว่า จบบทเรียนเกี่ยวกับ ส่วนประกอบต่าง และหน้าที่ของแต่ละส่วนของพืชไปพอสมควร ทีนี้มาทบทวนกันสักนิด ถึงเรื่องวงจรการเกิดของพืช ถ้าเราสังเกตุในกรณีที่แม่ทำข้าวเหนียวมะม่วงให้กิน เมล็ดมะม่วงที่เราเอาไปโยนทิ้งหลังบ้าน หรือบางคนเอาไปเพาะ เราจะเห็นวงจรการเกิดของมัน ถ้าจะทำเป็นภาพยนตร์ย่นย่อเวลา ให้มันแสดงเหตุการณ์เร็วๆขึ้น เราจะเห็นว่า เมล็ดมะม่วงมันจะแตกออกมีรากงอกออกมา....เพื่ออะไร...เพื่อดูดเอาสารอาหาร น้ำส่งให้หน่อมะม่วงที่ออกมาพร้อมๆกัน หน่อนั้นก็จะเจริญเติบโต ออกเป็นลำต้น ออกใบ แตกกิ่งก้าน..แล้วก็สูงขึ้นๆ ลำต้นนั้นทำหน้าที่ส่งผ่านอาหารไปยังส่วนต่างๆ ใบก็ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง สร้างอาหารให้แก่ต้นไม้ จากนั้นก็จะออกดอก..เหล่าผึ้ง แมลงต่างๆก็จะเข้ามากินน้ำตาลหวานๆจากดอก ได้เป็นค่าจ้างในการผสมพันธุ์ให้กับต้นไม้ จากนั้น ดอกก็จะเหี่ยวลงกลายเป็นผลไม้ ในที่สุดถ้าเราเก็บผลไม้นั้นมาไม่หมด มันก็จะสุกคาต้น แล้วร่วงหล่นลงมาบนพื้น และหลังจากนั้น มันก็จะเกิดวงเวียนชีวิต หมุนวนอยู่อย่างนั้น เมล็ดแตก งอกราก แตกหน่อออกมาเป็นต้น ออกดอก ผสมพันธุ์ ออกผล ร่วงหล่นลง แล้วก็....ไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด แต่ทั้งหมดนั่น ก็ต้องอาศัยน้ำ แร่ธาตุสารอาหาร แสงแดดเป็นตัวช่วย...และอย่าลืมแมลงต่างๆด้วยนะทีนี้มาถึงตอนสำคัญ....จบบทเรียนแล้ว ก็ขอถามหน่อย ว่าจำอะไรได้บ้าง เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวิทยาศาสตร์ขนาดไหน เอาละ มาตอบคำถามกัน
เรารู้ว่าพืชมีรากเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ มีหน้าที่ยึดลำต้นให้อยู่กับพื้น ดูดสารอาหารและน้ำส่งให้กับลำต้น เพื่อไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของพืชให้เจริญเติบโตได้.... ขอถามว่า ให้บอกชื่อพืชมา 3 ชนิด ที่มีรากสะสมอาหาร
1........................................................2...................................................3..................................................
เรารู้ว่าเมื่อหน่อเจริญเติบโต ขึ้นไปเป็นลำต้นสูงขึ้น ออกใบและกิ่งก้านมากขึ้น และ ถ้าเราปลูกพืชอยู่ระหว่างตึกสูงๆ พืชจะมีลำต้นสูงด้วย ถามว่าพืชที่มีลำต้นสูงขึ้นนั้น เพื่ออะไร............................................................
.....................................................................................................................................................................
เรารู้ว่าใบเป็นเปรียบเสมือนครัวของต้นไม้ ทำหน้าที่สร้างอาหาร ซึ่งการสร้างอาหารนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้แสงแดดและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาเป็นตัวช่วยด้วย ถามว่า ส่วนของพืชที่จะสร้างอาหารได้ คืออะไร..................................................เรารู้ว่ารากเป็นส่วนที่หาอาหารให้กับพืช คงจะเห็นว่ารากจะชอนไชไปทั่ว เป็นตัวหาวัตถุดิบส่งให้ใบ ถามว่า วัตถุดิบที่พืชใช้ในการสร้างอาหาร คืออะไร................................................................................
เรารู้ว่าหน้าที่สำคัญของใบคือสังเคราะห์แสง สร้างอาหาร หายใจ คายน้ำ แต่ใบก็ยังทำหน้าที่แปลกๆออกไปอีกคือ เป็นมือเกาะ เป็นหนามเพื่อลดการคายน้ำเช่นตะบองเพชร สะสมอาหารและน้ำก็ได้เช่นว่านหางจระเข้ ขยายพันธุ์ก็ได้เช่นคว่ำตายหงายเป็น ทีนี้คำถาม ให้บอกชื่อพืชมา 3 ชนิดที่เปลี่ยนจากใบไปเป็นมือเกาะ1...............................
2................................................3.......................................................
Labels: วิทยาศาสตร์
รอบรั้ว วิทยาศาสตร์ II

ชื่อดอก.....ส่วนที่สวยงามที่สุดของพืชทีเดียว ใครๆก็อยากมอง มีสีสรรต่างๆกัน บางดอกมีกลิ่นหอมอีก และเพราะมีสีสวยๆและกลิ่นหอมนี่เองก็ทำให้มีราคา ให้คนเอามาซื้อขายกันได้ เอาไปไหว้พระ เอาไปแขวนคอนักการเมือง ให้นักร้องลูกทุ่ง ให้คนที่เรารัก แล้วคนล่ะ จะมีค่าในตัวแบบดอกไม้ได้มั้ย...ได้ค่ะ เป็นเด็กก็เป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ ไม่ดื้อ ช่วยงานพ่อแม่ ทำได้แค่นี้ หอมแล้ว ใครๆเห็นก็ชื่นใจ มาโรงเรียนก็เป็นเด็กที่ขยันเรียน ไม่คุยในห้องเวลาครูสอน ไม่รังแกน้อง มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ แค่นี้ หอมแล้ว ครูทุกคนก็จะชมว่า เขาเป็นเด็กดีนะ เรียนเก่งหรือไม่เก่ง นั่นเป็นเรื่องที่เราแสวงหาได้ ขยันเรียน ถามคุณครูเวลาติดขัด ไม่เก่งให้มันรู้ไป แต่ขอให้เป็นเด็กดีก็พอแล้วจ้ะ แค่นี้ทุกคนก็มีความสุขแล้ว อ้าว..ครูหลงออกนอกเรื่องแล้ว กลับมาที่ดอกไม้สีสวยๆนี่อีก เขามีส่วนประกอบ 4 อย่างนะคะ มีกลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย แต่บางทีรูปร่างลักษณะของดอกไม้จะต่างกัน ลองเปรียบเทียบกันดูนะคะ สัก 3 อย่าง จะรู้จักดอกไม้มากขึ้น
เวลาเราเห็นดอกไม้ เคยสังเกตุดูกันบ้างมั้ยคะ ว่า มันมีการเปลี่ยนแปลง ดอกมะม่วงก็มีการเปลี่ยนแปลง มันไม่เป็นดอกทั้งปี ดอกทุเรียนก็เปลี่ยนแปลง นั่นไงเราถึงมีมะม่วงหลายๆชนิดให้เรากิน มีทุเรียนกินกัน ทุกอย่างนั่นมันมาจากดอกของมันทั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปตามขั้นตอน เมื่อดอกเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จะได้รับการผสมพันธุ์ กลีบดอกจะค่อยๆเหี่ยวลง จากนั้นก็จะเกิดผลขึ้นแทนที่ แล้วผลก็จะค่อยๆเจริญเติบโต สังเกตุลูกมะม่วงมั้ย จะเล็กๆก่อน แล้วค่อยๆโตขึ้น บางคนรอไม่ไหว สอยลงเอามาจิ้มกับน้ำปลาหวานก่อน อืม...อร่อยดีนะคะ และภายในผลที่เจริญเติบโตนั่น ภายในของมันจะมีเมล็ดบรรจุอยู่ ส่วนนอกของผลจะทำหน้าที่คอยป้องกันเมล็ดจนกระทั่งพร้อมที่จะเจริญเติบโตเป็ตต้นพืชใหม่ต่อไป
แล้วผลไม้เกิดขึ้นได้อย่างไร...มันต้องมีวิธีซินะ จากดอกสวยๆมาเป็นผลที่อร่อยๆนั่น มันจะมีละอองเกสรตัวผู้ค่ะ เข้าไปผสมกับเกสรตัวเมีย เราเรียกการผสมกันนี้ว่า การปฏิสนธิ อีกแล้ว..เอาคำศัพท์แปลกๆมาให้อีกแล้ว แต่ก็ต้องจำเอาไว้นะคะ มันจะเจอในข้อสอบละค่ะ ทีนี้ก็บอกได้แล้วว่า ดอกมีหน้าที่ๆสำคัญคือ สืบพันธุ์
ทีนี้จะมาพูดเรื่องการสืบพันธุ์ของพืช ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร....จะเกิดขึ้นเมื่อละอองเกสรตัวผู้ที่อยู่ในอับละอองเรณูตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย ละอองเกสรตัวผู้จะงอกหลอดเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ที่อยู่ภายในรังไข่ของเกสรตัวเมีย เรียกว่า การปฏิสนธิ หลังจากที่มีการปฏิสนธิแล้ว รังไข่จะเจริญเติบโตเป็นผล และออวุลจะเจริญเป็นเมล็ด ภายในเมล็ดจะมีต้นอ่อนอยู่ และถ้ามีสภาพที่เหมาะสม ต้นอ่อนก็จะเจริญเติบโตเป็นต้นพืชต้นใหม่ต่อไป ดังนั้น ผลจึงทำหน้าที่ ห่อหุ้มเมล็ด
Labels: วิทยาศาสตร์
รอบรั้ว วิทยาศาสตร์
เรื่องที่เขียนขึ้นนี้ เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 4 วิชาวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างอิงไว้กับบทเรียน มีแต่คำพูดเท่านั้น ที่เป็นในเชิง เล่าเรื่องให้ฟัง อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เด็กๆ รู้สึกเครียดต่อการอ่านหนังสือ ถือว่าเอาไว้อ่านเล่น ประกอบการเรียน หรือ เอาไว้ฝึกทำข้อสอบก่อนล่วงหน้า เพราะคำถามที่ถามไปนั้น อยู่ในมาตรฐานของข้อสอบ ถ้าทำได้ ก็ถือว่าเวลาสอบจริง ถ้าไม่ลืม คงจะทำข้อสอบได้
ครอบครัวพืช
ทุกคนมีครอบครัว มีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง และขยายออกไปเป็นปู่ย่าตายาย และญาติๆอีกเยอะแยะ เราจึงเห็นคนอยู่ทั่งไปไงล่ะ แต่ละคนก็มีหน้าที่ทำงานต่างๆกัน บางคนหาอาหาร บางคนปรุงอาหาร รักษาความสะอาด ทำหน้าที่ต่างๆกัน
วันนี้ เรามารู้จักกับครอบครัวพืชกันเถอะว่า เขาอยู่กันอย่างไร มีใครบ้าง ทำหน้าที่อะไร เขาเติบโตได้อย่างไร เขาหายใจได้มั้ย เขาโกรธ โมโห รักใครเป็นมั้ย
นี่ไงครอบครัวพืช มีสมาชิกดังนี้
ชื่อราก อยู่กันเป็นกลุ่มเลย มีรากแก้ว, รากแขนง, รากฝอย งานหลักคือยึดลำต้นให้ตั้งอยู่บนดิน งานรองลงมาคือลำเลียงอาหาร น้ำและแร่ธาตุส่งให้ลำต้น แต่บางทีรับงานพิเศษอีก คือสะสมอาหาร พวกนี้คือ มันแกว แครอท หัวไชเท้า มันสำปะหลัง เฮ้อ...ทำหน้าที่หลายอย่างเลยนะราก เหนื่อยบ้างมั้ยนี่
ชื่อลำต้น เป็นพวกที่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทางนะ บางพวกอยู่บนดิน...เราเห็นได้ เช่น มะม่วง มะละกอ ชมพู่ ข้าวโพด แต่บางพวกขี้อาย ไม่อยากเจอใคร ชอบซ่อนอยู่ใต้ดิน เช่น เผือก, แห้ว, ขิง หน้าที่ของพวกนี้คือ ชูกิ่ง ก้าน และใบขึ้นสู่อากาศ เพื่อให้ได้รับแสงแดด และอากาศจ้ะจำๆได้มั้ยว่าหน้าที่ของลำต้นคือชูกิ่ง ก้าน ใบ ขึ้นสู่อากาศ อยากแกล้งดูซิว่าทำหน้าที่อย่างนั้นได้จริงๆหรือเปล่า หรือโม้ ดูซิว่าถ้าต้นไม้นอนบนพื้น เขาจะทำอย่างไร ลองจับต้นไม้ในกระถางให้นอนบนพื้นดูซิ...มันจะกัดเอามั้ยนี่
นอกจากนี้แล้ว ลำต้นยังหางานพิเศษทำอีก คือมีหน้าที่เป็นทางผ่านของน้ำและแร่ธาตุไปสู่ส่วนต่างๆของลำต้น และยังแอบงุบงิบหางานเพิ่มอีก ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอาหารที่สร้างจากใบไปสู่ส่วนต่างๆของพืชอีก รับทำหน้าที่ไปกี่อย่างแล้วนี่ ชูกิ่งก้านและใบสู่อากาศ หนึ่งละ ทำตัวเป็นทางผ่านของน้ำและแร่ธาตุไปสู่ส่วนต่างๆของลำต้น สองละ และยังไม่พอ ขยันหนักเข้าไปอีก แอบทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอาหารที่สร้างจากใบไปสู่ส่วนต่างๆอีก ทำตั้ง 3 งาน เอาเงินไปเก็บที่ไหนกันนี่ มาแบ่งกันใช้หน่อยซิ
ชื่อใบ เป็นส่วนสำคัญของพืชทีเดียวนะ ทำหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่สำคัญประการแรกคือ สร้างอาหาร พืชมีใบสีเขียวสร้างอาหารเองได้ เราเรียกการสร้างอาหารของพืชว่า การสังเคราะห์แสง.....ว้าว....เท่จังเลย....ไม่เห็นเรียกเหมือนเราเลยนะ ของแม่เรียกว่าทำกับข้าว ปรุงอาหารอยู่ในครัว ของพืช ครัวอยู่ที่ใบ แถมเรียกซะเท่อีก การสังเคราะห์แสง ที่บ้านแม่ใช้ความร้อนจากเตาแกสปรุงอาหาร แต่พืชนี่ใช้แสงแดด ฟรีๆซะด้วยและสิ่งที่ได้จากการสังเคราะห์แสงคือ แป้งและน้ำตาล ซึ่งพืชใช้เป็นอาหาร และขณะที่พืชสังเคราะห์แสง พืชจะคายน้ำและออกซิเจนสู่อากาศด้วย...ช่างใจดีจัง
สังเกตุดูมั้ยว่าตั้งแต่เริ่มแรกในแต่ละส่วนของพืชทำหน้าที่ได้หลายๆอย่าง ใบก็เหมือนกัน นอกจากทำหน้าที่สร้างอาหาร หายใจ และคายน้ำแล้ว ใบพืชบางชนิด จะเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ทำหน้าที่อื่นๆอีก ใบตำลึง เปลี่ยนเป็นมือเกาะช่วยยึดลำต้น ใบตะบองเพชร เปลี่ยนเป็นหนาม เพื่อลดการคายน้ำ ใบว่านหางจระเข้ ช่วยสะสมอาหารและน้ำ ใบคว่ำตายหงายเป็น ช่วยขยายพันธุ์ ไม่เหมือนคนบางคนเลยนะ แค่กวาดขยะอย่างเดียว ยังอยากหนีเลย
Labels: วิทยาศาสตร์
รอบรั้ว พุทธศาสนา
ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้พูดประโยคนี้ มาหลายปีดีดักแล้วค่ะ ยิ่งนานวันเข้า มันก็เริ่มมีอะไรใหม่ๆมามากขึ้น วันฮาโลวีน ปล่อยผี แต่งตัวแปลกๆมันก็เข้ามา จากนั้นเกมส์ต่างๆเข้าไปทุกบ้าน ออกจากบ้านก็เจอศูนย์การค้าต่างประเทศที่เปิดประตูอ้าต้อนรับ พร้อมไอเย็นๆ ชอบกันใช่มั้ยคะ และนับวันเราก็จะห่างความเป็นไทยไปทุกวัน ความเจริญต่างๆ รับไปเถอะค่ะ แต่อย่าให้มันทิ้งความเป็นไทย เป็นพุทธ โดยไม่หันกลับไปดูแล ใส่ใจ นี่เฉพาะตัวเราเองนะคะที่เอาใจออกห่างพระพุทธศาสนา ถ้าจะย้อนหลังไปสักไม่นานมานี้ ข่าวใหญ่ที่กระจายไปทั่วโลก เมื่อประเทศมุสลิมอัฟกานิสถาน ได้ระเบิดทำลายพระพุทธรูปที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกลง ทั้งๆที่ทั่วโลกทักท้วง หรือแม้แต่มุสลิมด้วยกัน ก็ร่วมทักท้วงด้วย เพราะพระพุทธรูปนั้น อยู่ที่นั่นมา 1800 กว่าปี ก่อนที่อิสลามจะเข้าไปยึดครอง แต่สุดท้ายพระพุทธรูปทั้งสององค์นั้นก็ถูกทำลายลง ท่ามกลางเสียงประท้วงของชาวพุทธและศาสนิกอื่นๆทั่วโลก...นั่นคือความสูญเสียของชาวพุทธที่เกิดขึ้นในต่างแดน เราจะสูญเสียต่ออีกไหม ท่านพุทธทาสบอกว่าต่อไป โลกจะเหลือแค่ศาสนาเดียวเท่านั้น ท่านไม่ได้บอกว่าศาสนาไหน แต่เราชาวพุทธก็อย่าได้วางใจว่าคงไม่ใช่ศาสนาพุทธนะคะ

รอบรั้วศาสนาพุทธวันนี้ เริ่มต้นให้คิดก่อนค่ะ ว่าเรามันเดินเข้าไปในความเสื่อม...อย่างน้อย ชีวิตเราก็นับถอยหลังกันทั้งนั้น ยิ่งอายุมากขึ้น ชีวิตที่เหลือมันก็ถดถอยลง อย่าได้ประมาทกับการใช้ชีวิตนะคะ แต่เราก็เจริญขึ้นด้วยเหมือนกัน เป็นเด็กๆก็รูปร่างใหญ่โตขึ้น..หน้าตาจากลูกเป็ดขี้เหร่ ก็สวยงามขึ้น หล่อดูดีขึ้น ใช่มั้ยคะ และถ้าเราสนใจในเรื่องที่เกริ่นมาแต่ต้นว่า ศาสนาของเราก็มีโอกาศเสื่อม มีแต่เราเท่านั้น ที่จะช่วยพยุงดูแล ศาสนาเรานี่ 2500 กว่าปีแล้วนะคะ หายไปจากอินเดีย ดินแดนเอเชียกลางแทบหาคนนับถือไม่ได้ จะเหลือมากๆก็ในแถบบ้านเรา ศรีลังกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เมียนม่า ลาว กัมพูชา...สังเกตุบ้างมั้ยคะ ว่า ในอินโดนีเซีย พุทธศาสนาเคยรุ่งเรืองมาก่อน มีศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ให้คนเข้าไปชมคือบรมพุทโธ หรือที่ชาวอินโดนีเซียเรียกว่า บุโรบุดุร์ แต่ว่าเดี๋ยวนี้คงเหลือแค่สถานที่โบราณ ให้ชาวพุทธทั่วโลกไปเที่ยวชม ในขณะที่พระพุทธรูปในเมืองบามิยาน อัฟกานิสถานเหลือแค่ชื่อ

เอาละค่ะ...น่าสงสารศาสนาเรามั้ยคะ แล้วเราจะดูแลอย่างไร ไม่ให้ศาสนาของปู่ย่าตายายของเราศูนย์หายไป เราต้องเข้ามาดู เข้ามาศึกษาความเป็นมาเป็นไปของพระพุทธศาสนาของเรา ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตาม เชื่อมั้ยคะ เดี๋ยวนี้ ฝรั่งที่มีความรู้ ใฝ่รู้เรื่องจิตวิญญาณ เข้ามาศึกษาศาสนาพุทธมากขึ้น เราเห็นพระฝรั่งมากขึ้น วัดไทยในเมืองนอกก็มีมากขึ้น แถมพระฝรั่งเขียนหลักคำสอนของศาสนาพุทธมาสอนเราเสียอีก...อย่าคิดว่าไม่จริงนะคะ ไม่น่าอายหรอกค่ะ ที่ฝรั่งต่างชาติที่เพิ่งเข้ามานับถือศาสนาเขียนให้อ่าน น่าดีใจแทนเขาเสียอีก ที่สนใจ ใส่ใจ จนลึกซึ้งในคำสอน อดใจไว้ไม่ได้ ต้องเขียนบอกคนอื่น เพราะฉนั้น เราต้องสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาให้มากขึ้นนะคะ
รอบรั้ว Understanding by design " Part II "
เมื่อมาถึงจุดนี้ มันทำให้นึกถึงรายการทีวีเกมส์โชว์ที่มีคนติดตามมาก ถ้าสมัยก่อนโน้น ก่อนที่ใครบางคนแถวนี้จะเกิดเสียอีก มีรายการ 20 คำถาม ของพันเอก การุณ เก่งระดมยิง รายการนี้มีคนเฝ้าดูมากค่ะ ลุ้นตอบไปด้วยกับจอทีวี คำถามจะงวดเข้างวดเข้า จนถึงหมด 20 คำถาม ถึงจะเฉลยว่าเป็นอะไร นั่นคือผู้เล่นเป็นคนตั้งคำถามเอง ซึ่งก็เหมือนเด็กนักเรียนนั่นแหละที่ตั้งคำถาม จนจบ รายการอย่างนี้ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ตายตามผู้พันเลยค่ะ กลับเกิดรายการที่มีคำถามให้เลือกคำตอบ คนชอบมาก..จนถึงพูดตามกันได้ เช่น ถูก..ต้อง..แล้ว..คร้าบ...เด็กๆคงเคยนั่งตอบคำถามไปด้วย แต่ที่ชอบมากที่สุดในรายการอย่างนี้คือ “แฟนพันธุ์แท้” เมื่อมาอ่านการสอนแบบ Understanding by design แล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่า เราอาจมีลูกศิษย์ที่ตอบคำถามแบบแฟนพันธุ์แท้เกิดขึ้นหลายคน เพราะบทสรุปของการสอนแบบใหม่นี้ มุ่งไปในทางนั้น ทุกแง่มุมค่ะ ลองฟังคำถามตัวอย่างดูนะคะ นี่ไม่ใช่ยกมาเอง แต่คัดลอกมาจากฝรั่งค่ะ ต้นแบบนั่นแหละ ว่าเด็กต้องตอบแง่ไหนบ้าง
คำถาม// อะไร คือ ความเกี่ยวเนื่องกันระหว่าง”ความขัดแย้ง”และ”การเปลี่ยนแปลง”
ไม่น่าเชื่อว่าเขายกตัวอย่างแบบนี้มาถาม ซึ่งเป็นคำถามที่เปิดกว้างเอามากๆ เอาละค่ะ ว่าเขา”หวัง”กับคำตอบอย่างไร
ให้อธิบาย// ความขัดแย้งนำไปสู่ผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?
ให้แปลความหมาย/ตีความ// ความขัดแย้งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและปฏิบัติการของคนได้อย่างไร?
ให้ประยุกต์ใช้// มียุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาการขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?
เจตคติ มุมมอง// มีผลต่อแนวความคิดของคนได้อย่างไรในการต่อรองของความขัดแย้ง หรือ การเปลี่ยนแปลง?
ต่อจิตพิสัย// มีความรู้สึกอย่างไร ถ้าต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่เข้ามากระทบวิถีชีวิต?
ต่อการเรียนรู้// ต้องใช้คุณสมบัติเฉพาะตัวอะไรที่จะช่วยต่อรองกับความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลง?
มันเหมือนกับเหตุการณ์บ้านเราเหลือเกินนะคะ แต่นั่นอาจไม่ใช่ของเด็กประถมก็ได้ ซึ่งถ้าของเด็กก่อนวัยเรียน เขาจะพูดเรื่องผีเสื้อ...ครูก็จะนำเด็กเข้ามาสู่เรื่องผีเสื้อ...อย่างโน้นอย่างนี้..ล่อจนเด็กเข้าใจจนได้..นี่ก็สนุกไปอีกอย่าง
จะอย่างไรก็ตามค่ะ สรุปว่าจะเอาวิธีสอนแบบไหนๆมา ก็ยังอยู่ที่ครูนี่แหละ จะสอนอย่างไร ให้เด็กสนุกตามเรื่อง และเข้าใจถ่องแท้ได้

Labels: understanding by design
รอบรั้ว Understanding by design

เอาละค่ะ...เข้ามาสู่เรื่องที่ว่านี่เลย ก่อนอื่น ก็ต้องเข้ามาสู่ คำจำกัดความแบบไทยๆ ที่ต้องแปลความหมายกัน ตีความกัน...นักการเมืองเขาชอบนะคะ...ตีความ อะไรคือความเข้าใจ และมันต่างกันอย่างไรกับการแค่รับรู้ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า เด็กๆลูกศิษย์ของเรานั่นเข้าใจอย่างถ่องแท้ และเขาจะนำความรู้ที่ได้เหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ที่ถูกทางแก่ตัวเขาได้อย่างไร เราจะออกแบบบทเรียนอย่างไรที่จะทำให้เด็กได้รู้เรื่อง และเข้าใจ โดยไม่รู้ตัวว่านี่กำลังเรียนอยู่ในบทเรียนนะ คำถามเบื้องต้นเหล่านี้ มีคำตอบอยู่แล้วในหนังสือคู่มือ ที่คณะอบรมครูเอามาแจกให้...แต่ที่จะพูดต่อก็คือ ในคู่มือนั้นเขาจะบอกอะไรบ้าง โดยย่อ และพื้นๆว่า พื้นฐานของการสอนแบบนี้ (Understanding by design นี่แหละ) มาจากทฤษฎีการเข้าใจมาจากฐานของการเข้าใจใน 6 แง่มุม หรือแนวทาง หรือเหลี่ยม แล้วแต่จะเลือกเอา อดใจไว้นิดเถอะค่ะ จะนำมาพูดทีหลัง ในหนังสือคู่มือนี้ จะให้แนวทางที่นำไปปฏิบัติได้ มีอะไรบ้าง อย่างเช่น บทเรียนที่เป็นแม่แบบไว้แล้ว, ใบความรู้, แบบฝึกหัด, อุปกรณ์สื่อการสอน, มาตรฐานของบทเรียนรวมกับบททดสอบ และการทบทวนขั้นตอนการเรียนรู้และการนำมาประยุกต์กับแนวความคิดต่างๆในการเรียนรู้แบบนี้ ตามมาด้วยตรรกะของท่านอาจารย์ทั้งสองคนนั่น ที่นำแนวความคิดว่าการสอนแบบย้อนกลับ..ย้อนไปหาจุดเดิม จะพูดไทยว่าอย่างไรดีคะ..ภาษาอังกฤษบอกว่า backward design approach ในหนังสือคู่มือบอกวิธีที่จะวางแผนแนวหลักสูตร, บทเรียน และแนวทางการสอน หนังสือคู่มือนี้ ได้พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยช่วยเหลือครูที่สนใจในการออกแบบบทเรียนในวิชาต่างๆให้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการเข้าใจในบทเรียนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกอย่างหนึ่งที่ทำบทเรียนแบบนี้ขึ้นก็เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่เด็กในชั้นเรียนต่างๆกัน ไม่ว่าใครก็จะได้มีประโยชน์จากแหล่งเรียนรู้นี้
เมื่อมาถึงจุดนี้ อยากจะเพิ่มเติมให้อีกนิด...ในการสอนแบบนี้ เราที่เป็นชาวพุทธ ควรที่จะได้รับทราบมาบ้างแล้วว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ได้มีวิธีที่จะโปรดสั่งสอนเราก็ด้วยวิธีที่ไม่แตกต่างกัน นั่นคือ บทที่ว่าด้วยอิทัปปัจยตา..ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาแต่เหตุ..เกิดสิ่งนี้ขึ้นมาได้ เพราะมันมีปัจจัยอย่างนี้ส่งเสริมให้เกิด สองพันกว่าปีแล้ว ที่ชาวพุทธรับรู้กันมา ท่านพุทธทาส ก็ได้นำคำสอนนี้ไปเทศนา แพร่หลายไปทั่วโลก ขอเรียนถามท่านทั้งหลายว่า ทำไมเราไม่เอาคำสอนนี้มาเป็นหลักในการสอนของเราคะ ไม่เป็นไรค่ะ แค่ขอออกความเห็นสักนิด ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทุกอย่างมันเกิดแต่เหตุ เราก็เข้าไปดูเหตุอันนั้น มันก็จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ ไม่ต้องสาธุนะคะ จบเรื่องนี้แค่นี้ละค่ะ
ที่นี้ จะนำเข้าไปสู่คำถามหัวใจหลักของการสอนแบบนี้ อะไรคือ Understanding by design ในหนังสือคู่มือของครูไทยเรายังไม่แปลคำนี้ออกมาเลยนะคะ ทับศัพท์เต็มๆตัวไปเลยค่ะ UbD คือโครงร่างแนวทางที่จะปรับปรุงพัฒนาให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนรู้โดยเน้นไปที่บทบาทหน้าที่ของครูที่จะออกแบบการเรียนการสอนให้ โดยอาศัยหลักพื้นฐานมาจากหลักสูตรส่วนกลาง ที่จะช่วยทำให้ครูมีความเข้าใจอย่างชัดเจนถึงจุดประสงค์ของบทเรียนหรือเป้าหมาย, กลไกที่แสดงให้เห็นว่าเด็กมีความรู้จริง ประเมินได้, ให้เด็กมีความเชี่ยวชาญ และเอาใจใส่ในการเรียนมากขึ้น นั่นคือเป้าหมายขั้นพื้นฐานที่อยากให้เด็กได้มีการพัฒนา มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อสอนได้เช่นนี้ เด็กๆจะได้แสดงออกให้เห็นเมื่อเขาต้องไปเจอกับเรื่องที่ซับซ้อน เหตุการณ์จริงๆที่เด็กเหล่านั้นจะได้ อธิบายเรื่องราวต่างๆ, เข้าใจความหมายของแต่ละเรื่อง แต่ละเหตุการณืได้, รู้จักนำเอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามาใช้หรือประยุกต์ใช้กับตัวเขา, ได้เห็นมุมมองให้กว้างไกลขึ้น แง่มุมที่แตกต่างก็ได้รับรู้ด้วย, มองทะลุในเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้น มีการรับรู้ เดาเหตุการณ์ต่างได้ โดยไม่ต้องเข้าไปเจอจริงๆ และก็เข้าใจในเรื่องต่างๆมากขึ้น...ถ้าเรามีเด็กแบบนี้จริงๆ ก็น่าดีใจกับอนาคตของประเทศเราได้เลยนะคะ ต้องพร้อมใจกันช่วยทำให้ได้ค่ะ....สู้กันให้เต็มที่เลยค่ะ อันที่จริงได้เอาแง่มุมหลัก 6 ข้อ มาพูดแล้วนะคะ...แต่ยังไม่ได้บอกค่ะว่าอยู่ตรงไหน...นี่ก็พยายามเต็มที่นะคะว่าไม่ให้มันเหมือนกับนั่งเลคเช่อร์ค่ะ
ดูๆจากหนังสือที่คณะอบรมเอามาแจก มีหลายหน้าอยู่นะคะ ยังอ่านไม่หมดค่ะ นี่รับตรงๆเลย แต่จะหาเวลามานั่งอ่านดูสักวัน แต่วันนี้อยากพูดเรื่อง ความหมายของคำบางคำที่น่าสนใจในเรื่องนี้เป็นเบื้องต้นไว้ก่อน ปูพื้นเอาไว้ เผื่อวันหน้าวันหลัง มีโอกาศเขียนอีกจะได้เข้าใจร่วมกัน แต่ขอออกตัวไว้ก่อนนะคะ ขอแค่ว่ามีความเข้าใจอย่างนี้ ในตอนนี้ วันหลังเผื่อว่าท่านผู้รู้(จริงๆ) เขียนว่าอย่างไร จะได้เดินตามหลังท่านได้
คำแรก คือ Theme(s) นี่คือหัวข้อเรื่อง หัวข้อสำคัญ แก่นของเรื่อง ให้มันเข้าใจกันอยู่ในแนวนี้นะคะ เอาละ สมมุติว่าคุณเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ มีบ้างมั้ย หรือบ่อยมั้ย ที่เราออกแบบบทเรียนของเราโดยอาศัยเรื่องราวต่างๆจากบทเรียนที่เราสอนอยู่ ตามความจริงแล้วพื้นฐานของมันก็มาจากภาษาที่มาจากคำพูดของเรานั่นเอง อย่างเช่น
“I’m in the middle of my Huck Finn unit right now; what are you doing?” “I just started my unit on The Things They Carried, by Tim O’Brien.” ในการสอนแบบ Backward design จะยกระดับในการคิดเกี่ยวกับแก่นแท้ของเนื้อหาในภาษามากกว่าคำพูดในบทเรียนซึ่งจะต่างกันหรือตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว มันเป็นการเปิดทางกว้างขึ้นในการสอนที่จะนำบทเรียนไปสู่เนื้อหาที่แบบมีทางเดียวโดดๆ มาเป็นแบบหลายทางขึ้นมา หรือที่ฝรั่งบอกว่า multi-genre approach เราก็จะนำบทเรียนนั้น คำพูดนั้นไปสู่แนวความคิดที่ต่างกันออกไป โดยให้มันอาศัยความสัมพันธ์แนวแก่นคำถามอันเดิมเอาไว้ นี่ก็เป็นความจำเป็นที่เรายังต้องเน้นเรื่องสำคัญไปที่ “ความคิดหลักๆและคำถามที่ต่างๆออกไป” ซึ่งก็จะนำให้นักเรียนเข้าสู่บทเรียนแบบสนุกสนาน และทำให้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงบทประพันธ์และการใช้ภาษา ดังนั้นเราก็อาจเปลี่ยนบทสนทนาให้เป็นในเรื่อง “I’m in the middle of a unit on Social Justice; what are you doing?” “I’m just starting a unit exploring the complexities of War”
ในความจริง ไม่ว่าที่ไหนในโลก โรงเรียนมักมีอุปสรรคในเรื่องงบประมาณที่นำเอาอุดหนุนเรื่องหนังสือซื้อเอามาใส่เพิ่มในห้องสมุด ครูเองก็ต้องอาศัยหนังสือที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยนี่แหละมาประยุกต์ใช้ ซึ่งถ้านำเอามาสอนแล้วก็ไม่ได้ทำให้การสอนแบบนี้ลดคุณค่าลงไปได้เลย...ฟังดูเหมือนโม้เลยนะคะ อีกอย่างหนึ่งถ้านำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอนแล้ว หนังสือยังใช้เล่มเดิมอยู่เลยค่ะ พระไตรปิฎก ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย นำมาสอนได้ อย่างหนังสือของท่านพุทธทาส เรื่อง “คู่มือมนุษย์” เก็บไว้จนลูกชายต้องก้มหัวให้เวลาเดินผ่าน เพราะหนังสืออายุมากกว่า ที่จริงก็แก่กว่าครูหลายๆคน เพราะท่านสอนสมัยเราเพิ่งเกิด หรือยังไม่เป็นตัวเป็นตนเลย...อ้าวหลงไปอีกแล้ว

Labels: understanding by design




























