Daisypath Anniversary tickers

รอบรั้ว ภาวะโลกร้อน

Thursday, July 12, 2007


เมื่อเช้า นั่งฟังข่าวรายงานว่า ที่ดินแถบริมชายฝั่งอ่าวไทย สูญหายไปเพราะโดนน้ำทะเลเซาะเข้ามานับหมื่นไร่ แถบบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ชายฝั่งขยับเข้ามาปีละ 12 เมตร เคยเห็นรูปอยู่ค่ะ ว่าเสาไฟฟ้ายังปักอยู่ในทะเล ตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา เราเคยวัดอุณหภูมิสูงสุดในเมืองไทยมา นับว่านับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำสถิติตั้งแต่รู้สึกตัวว่าอากาศร้อนขึ้นแล้วนะ จาก 2533 อีกครั้งที่ 2538 และอีกครั้งที่ 2540 จากนั้นเป็นต้นมา อากาศก็แปรปรวนไปแล้ว องค์การสหประชาชาติเองก็เฝ้าสังเกตการณ์มานานนับ 50 ปี ก็ปรากฏว่า อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ตั้งแต่ 1.4 - 5.8 องศาเซลเซียส ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกหนทุกแห่งค่ะ

การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เปลี่ยนไปที่ละน้อยเหมือนเมื่อก่อน จะเปลี่ยนไปอย่างเฉียบพลัน ตั้งตัวกันไม่ทันค่ะ ถ้าอากาศร้อนขึ้นก็จะร้อนแบบคลื่นพายุร้อน เข้าไปในยุโรปนี่มีคนเสียชีวิตเป็นพันคน ฝนตกก็ชนิดที่เรียกว่าไม่ลืมหูลืมตา จนกระทั่งน้ำท่วม ทำลายสิ่งก่อสร้าง ไร่นา ทำลายผลผลิตเพื่อการบริโภคโดยรวมลดลง ทำให้คนต้องอดอยากเพิ่มขึ้น 60-350 ล้านคนค่ะ

ประเทศไทยเองมีพื้นที่ชายฝั่ง 2400 กิโลเมตร โดยเฉพาะในเขตภาคกลาง พื้นดินอยู่ไล่เลี่ยกันกับระดับน้ำทะเล โดยเฉพาะกรุงเทพฯ โอกาสที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ มันมีค่ะ ถ้าโลกยังร้อนขึ้นๆอย่างนี้ แล้วเราจะทำอย่างไรได้คะ ถ้าชาติที่เป็นพี่ใหญ่อย่างอเมริกา จีน ญี่ปุ่น อินเดียหรือประเทศในยุโรป ไม่ลดกำลังการใช้น้ำมันลง หรือปล่อยก๊าซจากโรงงานสู่บรรยากาศน้อยลง เราเองอีกไม่กี่ปี ก็คงจะต้องหันมาใช้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งก็น่ากลัวสำหรับเรา ที่ยังมองกันออกว่ามีความสะเพร่าอยู่ไม่เบา คนไทยเราไม่ค่อยระมัดระวังนะคะ ระเบียบวินัยก็ไม่ค่อยใส่ใจ แม้สิ่งเล็กๆน้อยๆที่ต้องทำ เช่นกฏจราจร การเดินข้ามถนน ก็ไม่ข้ามตรงทางม้าลาย หรือข้ามสะพานลอย ขับมอเตอร์ไซค์ก็ไม่อยากใส่หมวกกันน๊อค ขยะก็ทิ้งกันเกลื่อน ถ้าเรามีคนที่ไม่มีระเบียบวินัยอย่างนี้เข้ามาควบคุมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มันก็น่ากลัวนะคะ

กลับบ้านแล้ว ถ้ามีโอกาสนะคะ ปลูกต้นไม้เอาไว้ที่บริเวณบ้าน เอาไม้ผลที่เอามากินได้ มะม่วง มะพร้าว มะยม หรือต้นอะไรที่เราสามารถเก็บมากินได้นั่นแหละค่ะ อย่าปลูกแต่ไม้ดอกอย่างเดียว ปลูกไม้ยืนต้น เราก็จะได้ร่มเงา ต้นไม้ก็ช่วยโลกเราฟอกอากาศได้ทุกวัน อย่างน้อยก็บรรเทาเรื่องโลกร้อนได้นิดหนึ่งค่ะ

Posted by ครูพเยาว์ at 8:21 PM